[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว => ข้อความที่เริ่มโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 17:59:05



หัวข้อ: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 17:59:05
108 เคล็ดกิน

ผมจะนำเสนอเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับการกินมาให้อ่านกัน

หากท่านใดที่มีข้อมูลนำเสนอ  ช่วยกันลงข้อมูล จะได้มีไว้ศึกษากันครับ


http://board.palungjit.com/f76/108- (http://board.palungjit.com/f76/108-)เคล็ดกิน-226035.html
.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 17:59:49
สารอาหารบำรุงเส้นผม 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 กุมภาพันธ์ 2553 15:39 น.
 
 
 
 
สำหรับสาวๆ แทบทุกคนแล้ว นอกจากหน้าตาต้องสดใส เสื้อผ้าต้องสวย เรื่องของเส้นผมและหนังศีรษะก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับความงามที่หลายๆคนให้ความสำคัญ เพราะเส้นผมที่ดูมีสุขภาพดีก็จะทำให้บุคลิกภาพดูดีขึ้นไปด้วย

"108 เคล็ดกิน" มีสารอาหารที่เส้นผมต้องการมาฝากกัน โดยแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับเส้นผมนั้นก็คือซิลิคอน ไอโอดีน กำมะถัน เหล็ก แมงกานีส โดยในเมล็ดฟักทองและถั่วต่างๆ นั้นเป็นแหล่งรวมของสังกะสี ส่วนแตงกวาและข้าวโอ๊ต ก็มีซิลิกาที่เส้นผมต้องการ สาหร่ายทะเลแห้ง เต้าหู้ งา และเมล็ดทานตะวัน ก็มีธาตุเหล็กอยู่มาก ต้องไม่ลืมกินปลาซึ่งเป็นแหล่งรวมโปรตีนและกรดโอเมก้า 3 ส่วนข้าวกล้องและธัญพืช ก็มีทั้งวิตามินบี ส่วนผักใบเขียวก็มีกรดโฟลิกที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้สวยงาม

นอกจากนั้นแล้ว ปัญหาผมร่วงก็เป็นปัญหาที่หลายคนกังวล ใครที่มีปัญหาผมร่วงจะลองใช้น้ำกะทิช่วยดูก็ได้ เพราะน้ำกะทินั้นอุดมไปด้วยสารอาหารโปรตีนที่ช่วยบำรุงรากผมให้ผมงอกและยาวเร็ว ทั้งป้องกันผมร่วงและผมบาง แถมยังช่วยแก้ปัญหาผมแตกปลายได้ด้วย แค่ใช้หัวกะทิมาโชลมเส้นผมและหนังศีรษะให้ทั่ว นวดเบาๆแล้วทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วสระผมตามปกติ
 
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:00:21
"ผักกูด" เฟิร์นกินได้ 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 มกราคม 2553 18:09 น.
 
 
 
 
"ผักกูด" แม้เป็นผัก แต่ก็จัดอยู่ในพืชประเภทเฟิร์น ชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะอย่างเช่นริมลำธาร หรือตามชายคลอง ซึ่งผักกูดสามารถเป็นตัวบ่งชี้สภาพแวดล้อมได้ เพราะหากสภาพแวดล้อมไม่ดี ผักกูดก็จะไม่ขึ้น

ผักกูดสามารถนำมาประกอบอาหารหลายอย่าง โดยเราจะนำยอดอ่อน ใบอ่อนมาทำเป็นอาหาร แถมเมนูจากผักกูดก็ยังอร่อยถูกปากหลายๆ คนเป็นพิเศษอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ยำผักกูด ผักกูดผัดน้ำมันหอย แกงปลากับผักกูด จะกินสดๆ หรือลวกจิ้มกับน้ำพริกก็ได้เช่นกัน แต่ไม่ควรกินสดบ่อยนักเพราะจะมีสารออกซาเลตสูง โดยสารนี้จะมีฤทธิ์ในการยับยั้งการดูดซึมของแคลเซียมและแร่ธาตุสำคัญๆ อีกทั้งหากสะสมสารนี้ไปในร่างกายมากๆ ก็จะทำให้ออกซาเลตไปตกผลึกสะสมในไตและกระเพาะปัสสาวะทำให้เป็นนิ่ว จึงควรทำผักกูดให้สุกก่อนกิน

สารอาหารในผักกูดนั้นก็มีมากมาย โดยมีสารเบต้าแคโรทีน และธาตุเหล็กสูง นอกจากนั้นก็ยังให้แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง วิตามินซี ไนอาซีน ผักกูดยังเป็นผักพื้นบ้านของไทยที่มีสรรพคุณทางยา โดยจะช่วยแก้ไข้ตัวร้อน แก้พิษอักเสบ บำรุงสายตา บำรุงโลหิต แก้โลหิตจาง ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ขับปัสสาวะ
 
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:00:54
"มันฝรั่ง" อาหารเก่าแก่ของชาวโลก
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 มกราคม 2553 14:55 น.
 
 
 
 
"มันฝรั่ง" เป็นพืชชนิดหัวใต้ดินที่ใช้เป็นอาหารของมนุษย์มายาวนานตั้งแต่ 6,000 ปีก่อนคริสตกาล เชื่อกันว่าต้นมันฝรั่งมีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าอเมริกาใต้ และเป็นสารอาหารคาร์โบไฮเดรตหลักที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกในปัจจุบัน

แม้จะอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต แต่เมื่อเทียบกับข้าวแล้วในปริมาณที่เท่ากันแล้ว มันฝรั่งจะให้แคลอรี่ในปริมาณที่น้อยกว่า นอกจากนั้นมันฝรั่งยังอุดมไปด้วยกากใย มีธาตุโปแทสเซียมสูง วิตามินซีสูง และมีธาตุเหล็กในปริมาณปานกลาง ซึ่งจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีเนื่องจากมีวิตามินซีเป็นตัวช่วยในการดูดซึม

มันฝรั่งยังช่วยบำรุงลำไส้ใหญ่ แก้อาการท้องผูก ช่วยรักษาความยืดหยุ่นของหลอดเลือด ช่วยในการห้ามเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ ป้องกันเส้นเลือดใหญ่แข็งตัว โพแทสเซียมช่วยลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ และบรรเทาอาการตะคริว อาการเจ็บปวดช้ำ ปวดประสาท และไขข้ออักเสบ นอกจากนั้น น้ำมันฝรั่งคั้นสดๆ ยังช่วยบรรเทาอาการแผลในกระเพาะอาหารและไขข้ออักเสบ โดยดื่มน้ำมันฝรั่งสดครึ่งแก้วเล็กๆ วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 1 เดือน อาจเติมน้ำผึ้งหรือน้ำมะนาวลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติด้วยก็ได้
 
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:01:36
หวานชุ่มคอกับ "มะขามเทศ" 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 มกราคม 2553 17:11 น.
 
 
 
 
มะขามนั้นถือเป็นต้นไม้ท้องถิ่นของบ้านเรา มีปลูกไปทั่วทั้งประเทศ และยังมีมะขามหลายชนิด ทั้งมะขามหวานกินอร่อยช่วยขับถ่าย มะขามป้อมมีวิตามินซีสูงช่วยป้องกันหวัด และสำหรับ "มะขามเทศ" ก็เป็นมะขามอีกหนึ่งชนิดที่กินอร่อยและมีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน

"มะขามเทศ" นั้นเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ ส่วนที่เรานำมากินกันนั้นก็คือผลของมัน ที่อยู่ในฝักโค้งเป็นวงกลม รสชาติของมะขามเทศจะออกหวานมัน ผสมรสฝาดนิดๆ กินอร่อยชุ่มคอ และยังมีประโยชน์ตรงที่เป็นผลไม้ไทยที่มีวิตามินอีสูงเป็นอันดับสองรองจากขนุนหนัง และให้วิตามินซีสูงเป็นอันดับสี่ รองจากฝรั่งกลมสาลี่ ฝรั่งไร้เมล็ด และมะขามป้อม ทั้งยังมีแคลเซียมสูง อุดมไปด้วยธาตุเหล็กช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ทั้งยังมีเส้นใยสูง ช่วยให้ขับถ่ายคล่อง ไม่เป็นโรคท้องผูกอีกด้วย

นอกจากนั้นแล้ว มะขามเทศยังถือเป็นพืชสมุนไพร คนโบราณมักนำเอาเปลือกมาต้มกับเกลือป่นแก้โรคปากเปื่อย ส่วนเปลือกต้นใช้ต้มน้ำเคี่ยวรวมกับเปลือกข่อยและเกลือแกง ใช้อมแก้ปวดฟัน เปลือกใช้ทำยาย้อมผม และยาสระผมได้อีกด้วย
 
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:20:14
เสริมสร้างสมองของเด็กๆด้วยธาตุเหล็กในผัก 5 ชนิด
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 มกราคม 2553 16:50 น.
 
 
 
 
หลังจากผ่านช่วงเทศกาลปีใหม่มาแล้ว คราวนี้ก็ถึงทีของเด็กๆ ได้เฮกันบ้าง เพราะวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมนั้นถือเป็น "วันเด็ก" ที่เด็กๆทุกคนจะได้ทำกิจกรรมสนุกๆมากมาย "108 เคล็ดกิน" ก็เลยนำเอาอาหารที่จะช่วยให้เด็กๆ แข็งแรงสมวัย มีพลังในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆได้เต็มที่มาฝากกัน นั่นก็คือสารอาหารสำคัญอย่าง "ธาตุเหล็ก" นั่นเอง

ธาตุเหล็กนั้นเป็นส่วนสำคัญของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง หากร่างกายขาดธาตุเหล็กก็จะเกิดภาวะโลหิตจาง และทำให้ความสามารถของเลือดในการนำออกซิเจนไปเลี้ยงยังเนื้อเยื่อต่างๆลดประสิทธิภาพลง และสำหรับเด็กๆแล้ว ธาตุเหล็กถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาร่างกายและสมอง เพราะการขาดธาตุเหล็กจะส่งผลต่อพัฒนาการของสมอง ทำให้มีสมาธิในการเรียนต่ำ ความจำไม่ดี แถมยังมีอาการเหนื่อยง่าย เฉื่อยชา ง่วงเหงาหาวนอน เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง และไม่มีกำลังในการทำกิจกรรมต่างๆ

และสำหรับคุณแม่ที่อยากจะให้ลูกๆได้รับธาตุเหล็กเต็มที่ "108 เคล็ดกิน" ก็มีผักพื้นบ้านที่มีธาตุเหล็กสูงสุด 5 อันดับมาฝากกัน ได้แก่ ผักกูด ให้ธาตุเหล็ก 36.3 มิลลิกรัม/100 กรัม ถั่วฟักยาว ให้ธาตุเหล็ก 26 มิลลิกรัม/100 กรัม ผักแว่น ให้ธาตุเหล็ก 25.2 มิลลิกรัม/100 กรัม เห็ดฟาง ให้ธาตุเหล็ก 22.2 มิลลิกรัม/100 กรัม และพริกหวาน ให้ธาตุเหล็ก 17.2 มิลลิกรัม/100 กรัม คุณแม่ลองนำผักเหล่านี้มาทำอาหารจานอร่อยให้คุณลูกกิน ก็จะได้รับธาตุเหล็กกันถ้วนหน้า อ้อ...และหากอยากให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี ก็ต้องกินอาหารที่มีวิตามินซีควบคู่กันไปด้วย
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:20:48
ดื่มสารต้านอนุมูลอิสระ ดื่ม"โกโก้"
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ธันวาคม 2552 17:09 น.
 
 
 
 
สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) เป็นสารที่ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้งในเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพและความงาม เพราะสารตัวนี้รู้จักกันดีว่าเป็นสารที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลายโรค อีกทั้งยังช่วยชะลอความแก่ได้ด้วย

ส่วนมากแล้วสารต้านอนุมูลอิสระนี้จะพบมากในอาหารประเภทผักผลไม้ แต่ในตอนนี้มีการศึกษาแล้วว่า "โกโก้" ก็เป็นเครื่องดื่มอย่างหนึ่งที่มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ด้วยเช่นกัน และมีอยู่มากเสียด้วย

การวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์แนล ได้ทำการทดสอบโดยวัดระดับสารต่อต้านอนุมูลอิสระใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ พบว่าโกโก้ถ้วยหนึ่งนั้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด โดยมีมากกว่า ไวน์แดง 1 แก้วถึง 2 เท่า มากกว่าชาเขียว 1 ถ้วยถึง 3 เท่า และมากกว่าชาดำถึง 5 เท่าเลยทีเดียว

โกโก้นั้นถูกนำไปผลิตเป็นอาหารหลายๆ อย่าง เช่น ช็อกโกแลต ซึ่งก็ได้มีการศึกษากับคนอเมริกันกว่า 8,000 คนพบว่าช็อกโกแลต ซึ่งผลิตมาจากโกโก้ นั้นอาจช่วยให้อายุยืนขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วย โพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยกวาดล้างของเสียที่ผลิตจากร่างกาย โดยของเสียเหล่านั้นมีส่วนทำลายเซลล์ และก่อให้เกิดมะเร็งได้ แต่ทั้งนี้ หากจะให้ดีก็ควรจะดื่มโกโก้โดยตรงจะดีกว่าการกินช็อคโกแลต เพราะในช็อกโกแลตแท่งขนาด 40 กรัมนั้นมีไขมันมากถึง 8 กรัม ขณะที่โกโก้ร้อน 1 ถ้วยมีไขมันเพียงแค่ประมาณ 0.3 กรัมเท่านั้น
 
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:22:10
"ไก่งวง" พระเอกบนโต๊ะอาหารวันคริสต์มาส
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 ธันวาคม 2552 14:48 น.
 
 
 
 
"เทศกาลคริสต์มาส" ถือเป็นเทศกาลสำคัญของชาวคริสต์ทั่วโลก เพราะถือเป็นวันประสูติของพระเยซู ซึ่งถือเป็นศาสดาของศาสนาคริสต์ ชาวคริสต์จึงถือเอาวันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญ อีกทั้งยังเป็นวันที่ครอบครัวญาติพี่น้องจะได้มาเจอกัน ในบ้านจะตกแต่งด้วยต้นคริสต์มาสประดับไฟไว้อย่างงดงาม มีการแลกของขวัญกันอย่างสนุกสนาน นอกจากนั้นแล้วก็ยังจะได้กินอาหารมื้อใหญ่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกด้วย

อาหารที่มักจะกินกันในเทศกาลคริสต์มาสนั้นจะเป็นอาหารพิเศษที่ไม่ได้กินกันเป็นปกติทุกวัน โดยปกติแล้วมักจะมี "ไก่งวง" เป็นพระเอกในโต๊ะอาหาร สำหรับที่ประเทศอังกฤษนั้นมักจะกินไก่งวงคริสต์มาส ซึ่งเป็นไก่งวงตัวโตอบแล้วราดด้วยซอสเกรวี่ และมีของหวานเป็นพุดดิ้งคริสต์มาส มีลักษณะคล้ายเค้กก้อนกลมๆ สีน้ำตาล มีส่วนผสมของผลไม้แห้งจำพวกลูกเกด แอปเปิ้ล และราดด้วยบรั่นดี

ส่วนชาวเยอรมันก็มักจะมีจานเด็ดวันคริสต์มาสเป็นห่านย่างกรอบแบบโบราณ ยัดไส้ด้วยผลไม้และผัก เช่น ลูกเกด เก๋าลัด และมีมันฝรั่งบด หัวผักกาดแดง รวมทั้งแอปเปิ้ลเป็นเครื่องเคียง ชาวอิตาลีนอกจากจะกินไก่งวงแล้วก็ยังนิยมกินปลาในวันคริสต์มาสกันด้วย และชาวอเมริกัน ก็จะมีเครื่องดื่มแก้หนาวในช่วงคริสต์มาสอย่าง เอ๊กน็อก (Egg-Nog) ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่เป็นครีม มีน้ำตาล นมสด และไข่ไก่ นำมาปั่นด้วยเครื่องปั่น จนทั่วและเหยาะด้วยเหล้ารัม หรือจะเป็นวิสกี้ หรือบรั่นดีก็ได้ตามใจชอบ
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:22:53
"แกงกระหรี่" มีดีช่วยป้องกันความจำเสื่อม
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 ธันวาคม 2552 16:39 น.
 
 
 
 
"แกงกะหรี่" อาหารจานอร่อยอีกอย่างหนึ่งที่ถือเป็นของโปรดของ "108 เคล็ดกิน" เวลากินได้กลิ่นเครื่องเทศหอมๆ กินกับข้าวสวยร้อนๆ หรือจะกินกับโรตีแบบอาหารอินเดียซึ่งเป็นต้นฉบับของแกงกะหรี่ก็ยิ่งอร่อยเข้าไปใหญ่ เพิ่งรู้ว่านอกจากความอร่อยแล้ว แกงกะหรี่ยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย

จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยดุค ในนอร์ธ แคโรไลน่า สหรัฐอเมริกา โดยเชื่อว่าสารเคอร์คูมินที่อยู่ในขมิ้น ซึ่งเป็นเครื่องเทศที่อยู่ในส่วนผสมหลักของแกงกะหรี่นั้น มีบทบาทสำคัญในการป้องกันการแพร่กระจายของหินปูนโปรตีนที่ชื่อแอมมิลอยด์ ในสมองที่เชื่อว่าเป็นสาเหตุของความจำเสื่อม และทางสมาคมโรคอัลไซเมอร์แห่งสหรัฐอเมริกา ออกมาสนับสนุนผลทางการวิจัยนี้ โดยชี้ว่าชุมชนชาวอินเดียที่รับประทานแกงกะหรี่อย่างสม่ำเสมอ มีอัตราการเกิดของโรคความจำเสื่อมอย่างน่าประหลาดใจ

นอกจากนั้น ก็ยังมีงานวิจัยจากศูนย์ เอ็ม ดี แอนเดอร์สัน มหาวิทยาลัยเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าสารเคอร์คิวมินตัวเดียวกันนี้ยังสามารถช่วยหยุดยั้งมะเร็งเต้านมไม่ให้ลุกลามไปที่อื่นได้ โดยสถาบันได้ทดลองกับหนูที่เป็นมะเร็งเต้านม พบว่าหนูที่ได้รับสารเคอร์คิวมินเพียงอย่างเดียว สามารถทำให้ก้อนเนื้อเล็กลงเรื่อยๆได้อีกด้วย
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:23:21
"มะกรูด" สมุนไพรคู่บ้าน
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 ธันวาคม 2552 14:32 น.
 
 
 
 
"มะกรูด" เป็นสมุนไพรคู่บ้านที่หลายคนคงรู้จักและคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เพราะว่ามะกรูดนั้นอยู่คู่กับคนไทยมานาน และเราใช้มะกรูดในการปรุงอาหาร ใช้ทำยารักษาโรค และประโยชน์อีกสารพัด มะกรูดถือได้ว่าเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรปลูกไว้ในบริเวณบ้าน โดยจะไว้ปลูกทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

เรามักใช้มะกรูดเป็นส่วนประกอบในอาหาร โดยในผิวและใบมะกรูดนั้น จะมีน้ำมันหอมระเหย เราจึงมักใช้ผิวมะกรูดเป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มความหอมในเครื่องแกงหลายชนิด ส่วนใบมะกรูดนั้นก็มีกลิ่นหอม ใช้แต่งกลิ่นในอาหารคาวหลายชนิดเช่น ต้มยำ แกงเผ็ด ส่วนน้ำมะกรูดใช้ปรุงอาหารเพื่อให้มีรสเปรี้ยวและดับกลิ่นคาวปลา

พูดถึงประโยชน์สรรพคุณทางยา ในน้ำมะกรูด มีกรดซิตริกเป็นสารหลัก ซึ่งน้ำของมะกรูดนั้นสามารถแก้ปวดท้อง แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน แก้ไอช่วยละลายขับเสมหะ ฟอกเลือด ส่วนผิวผลสดและผลแห้งมีสรรพคุณแก้ลมหน้ามืด แก้วิงเวียน บำรุงหัวใจ ขับลมลำไส้ ขับระดู ใบใช้แก้ไอ แก้อาเจียนเป็นเลือด แก้ช้ำใน มีสารต้านมะเร็งอีกด้วย ส่วนประโยชน์อย่างหนึ่งที่จะลืมกันไปไม่ได้เลยก็คือ สามารถนำเอามะกรูดมาสระผมเพื่อขจัดรังแคและทำให้ผมดกดำเงางามได้อีกด้วย
 
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:24:47
"กระเจี๊ยบแดง-เขียว" กินก็ได้ ดื่มก็ดี
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 ธันวาคม 2552 16:07 น.
 
 
 
 
หลายคนคงเคยได้ลองลิ้มรสน้ำกระเจี๊ยบ น้ำสมุนไพรสีแดงสด รสชื่นใจกันมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่เคยทำความรู้จักกับ "กระเจี๊ยบ" กันอย่างจริงๆจังๆ โดยกระเจี๊ยบนั้นเป็นพืชสมุนไพรไทยที่ปลูกกันทั่วไป แต่จะพบมากในภาคกลาง การบริโภคนั้นจะนำผลของมันมากิน โดยมีให้เลือกกินกันได้สองแบบ คือ "กระเจี๊ยบแดง" และ "กระเจี๊ยบเขียว"

สำหรับผลกระเจี๊ยบแดงนั้นมีลักษณะค่อนข้างกลม มีกลีบเลี้ยงหนาสีแดง เรามักจะนำผลแห้งใช้มาต้มทำน้ำกระเจี๊ยบ รสเปรี้ยวของดอกกระเจี๊ยบทำให้ชุ่มคอ กัดเสมหะ แก้ไอ ช่วยย่อยอาหาร แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง ขับเมือกมันในลำไส้ บำรุงโลหิต ช่วยขับปัสสวะ และยังสามารถลดไขมันในเลือด และสารสีแดงในผลกระเจี๊ยบนั้นก็ยังมีสาร anthocyanin ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติอีกด้วย

ส่วนผลกระเจี๊ยบเขียวนั้น จะมีลักษณะยาวรีเป็นสีเขียว นิยมนำมาลวกกินกับน้ำพริก เมื่อเคี้ยวฝักกระเจี๊ยบเขียวแล้วจะรู้สึกลื่นๆในปาก เพราะฝักกระเจี๊ยบเขียวจะมีสารเมือกพวกเพ็กติน (Pectin) และกัม (Gum) ที่ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ เหมาะกับคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร ทั้งยังช่วยรักษาความดันให้เป็นปกติ เป็นยาบำรุงสมอง ช่วยระบาย และสามารถแก้โรคพยาธิตัวจี๊ดได้ด้วย
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:25:31
เลือกกินให้ถูกหลัก กลางกระแส"รักสุขภาพ"

 
ชมรมโภชนวิทยา มหิดล พบคนไทยรักสุขภาพมากขึ้น พร้อมเปิดรับกระแสความคิดมุมมองกับ "อาหารธรรมชาติ...ดีจริงหรือแค่กระแส?" โดยเฉพาะกลุ่มธัญญาหารยอดฮิต อาทิ งาดำ ถั่วเหลือง ลูกเดือย จมูกข้าวสาลี มอลต์ เป็นต้น และยังหันมาดื่มเครื่องดื่มที่มีนมโคเพื่อเพิ่มแคลเซียม วิตามินและเกลือแร่สูง ส่งผลให้มีการนำมาแปรรูปหลากหลายรูปแบบ ดังนั้น จึงแนะผู้บริโภคเลือกกินเลือกซื้ออย่างถูกหลัก เพื่อให้ได้คุณค่าและประโยชน์อย่างแท้จริง

ผศ.ดร.เรวดี จงสุวัฒน์ ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า กระแสอาหารธรรมชาติมีมานานแล้วแต่จะเงียบหายไปเป็นบางช่วง เช่น การกินน้ำข้าวอาร์ซี โรยงาผสมในข้าว ดื่มน้ำข้าวกล้องงอก เป็นต้น จนปัจจุบันกระแสนี้ค่อยๆ แพร่หลายมากขึ้น เพราะคนไทยเริ่มใส่ใจตัวเองและมีปัญหาด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งอาหารธรรมชาติหรือธัญญาหารที่กำลังมาแรงในเมืองไทย ได้แก่ ข้าวกล้อง งาดำ ถั่วเหลือง ข้าวโอ๊ต มอลต์ ลูกเดือย และจมูกข้าวสาลี เพราะธัญญาหารเหล่านี้เป็นแหล่งวิตามินและแร่ธาตุ ทั้งวิตามิน เอ บี 1 บี 2 บี 12 แคลเซียม ธาตุเหล็ก โฟเลต ไอโอดีน และมีใยอาหารสูง หลายคนนำมาเติมในเมนูอาหารและเครื่องดื่ม แต่ส่วนใหญ่จะเลือกแบบแปรรูปสำเร็จเป็นเครื่องดื่ม และอาหารเสริมมากกว่า เพราะจากข้อมูลคนยุคใหม่จะไม่ทำอาหาร ทำให้เทรนด์ในอนาคตอาจมาควบคู่กับเทคโนโลยีการแปรรูปที่สูงขึ้น และหลากหลายมากยิ่งขึ้นซึ่งก็น่าจะกลายเป็นเทรนด์ฮิตได้อย่างแน่นอน

 


ด้วยวิวัฒนาการและการตลาดทำให้อาหารธรรมชาติมีวางจำหน่ายอย่างแพร่หลาย ทั้งในรูปแบบเมล็ดแห้งบรรจุห่อหรือแบบแบ่งขายตามท้องตลาด ตลอดจนเครื่องดื่มธัญญาหารเพื่อสุขภาพแบบสำเร็จหรือกึ่งสำเร็จรูป ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีทางการอาหารในบางบริษัทก้าวหน้าถึงขั้นนำธัญญาหารมาบดละเอียดจนเนียนเป็นน้ำทำให้มีใยอาหาร แต่ปริมาณใยอาหารจะเพียงพอหรือไม่ต้องดูฉลากควบคู่กันไป หากเพียงพอ ก็ดื่มแทนการกินแบบเมล็ดได้ นอกจากนี้เครื่องดื่มที่เลือกตั้งมีไขมันต่ำและหวานน้อย ตัวอย่างเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยม เช่น เครื่องดื่มมอลต์ เครื่องดื่มผสมธัญญาหารหลากชนิด น้ำเต้าหู้ เป็นต้น ดังนั้น การอ่านรายละเอียดจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกซื้อ ส่วนกรณีเมล็ดแห้งต้องดูบรรจุภัณฑ์ วันเดือนปีผลิต วันหมดอายุ เครื่องหมายมาตรฐานอาหาร บริษัทที่ผลิตต้องน่าเชื่อถือ และไม่ควรซื้อมาเก็บไว้ในปริมาณมากๆ เพราะจะทำให้ธัญญาหารต่างๆ ลดคุณค่าลง หรืออาจเกิดเชื้อราได้

"อย่างไรก็ตามกระแสนิยมก็ยังมีคนเชื่อแบบผิดๆ จึงไม่ควรตามกระแสมากเกินไป กินแบบพอดี ครบ 5 หมู่ ครบทุกมื้อ กินผักผลไม้มากขึ้น หันมากินธัญญาหารเพื่อเพิ่มเส้นใยให้ขับถ่ายง่ายและช่วยลดคอเลสเตอรอล ซึ่งปกติร่างกายควรได้รับปริมาณใยอาหาร 20-25 กรัมต่อวัน หากมากเกินไปกากใยจะไปดูดสารอาหารอื่นๆ ดังนั้น เดินสายกลางตามหลักโภชนาการเป็นดีที่สุด" ผศ.ดร.เรวดี กล่าวเสริม

 


รศ.พ.ญ.ชุติมา ศิริกุลชยานนท์ ภาควิชาโภชนวิทยา คณะสาธารณสุขศาสตร์ และประธานโครงการเด็กไทยดูดีและมีพลานามัย มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า อาหารธรรมชาติ คือ อาหารที่ได้รับการปลูกและเติบโตตามธรรมชาติไม่มีการเติมสารเคมีใดๆ หากพูดตามหลักโภชนาการจะต้องเป็นอาหารครบ 5 หมู่ ประกอบด้วย ข้าว แป้งขัดสีน้อย ธัญญาหาร เนื้อสัตว์ ผักผลไม้ และไขมัน การนำมาประกอบอาหารจะต้องสุก สะอาด และสงวนคุณค่าทางโภชนาการ หากปรุงอาหารเองจะดีมากแต่ด้วยข้อจำกัดของเวลาบวกอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมจึงเกิดจุดเปลี่ยน จากอาหารธรรมชาติมาสู่อาหารสำเร็จรูปตามร้านค้า หรืออาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีน้ำตาล เกลือและไขมันสูง ทำให้เกิดปัญหาโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในเด็กที่ชื่นชอบอาหารตามสื่อโฆษณาเป็นทุนเดิม ประกอบกับการถูกตามใจ และชอบนั่งดูทีวี หรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดวัน ส่งผลให้โรคร้ายเข้ามาทักทายโดยไม่รู้ตัว เช่น โรคหัวใจ ความดัน และไขมันในเลือดสูง เบาหวาน หอบ ภูมิแพ้โรคข้อและกระดูก มะเร็ง เป็นต้น

"โครงการเด็กไทยดูดีและมีพลานามัย" จัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและคุณภาพชีวิตให้เด็กนักเรียนมีวินัย มีการเรียนรู้ด้านอาหารและโภชนาการ รักการออกกำลังกาย โดยได้สำรวจนักเรียนในโรงเรียนภาครัฐพบว่ามีเด็กอ้วนร้อยละ 20 ภาคเอกชนพบร้อยละ 25-30 ซึ่ง 2 ใน 3 ของเด็กอ้วนมีความดันโลหิตสูงกว่าเด็กปกติ และ 3 ใน 4 มีไขมันในเลือดสูง นับว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องใส่ใจตั้งแต่ในครอบครัว เริ่มจากพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีและส่งเสริมการกินที่ถูกต้องให้แก่ลูก หันกลับมากินอาหารธรรมชาติอย่าง ข้าวกล้อง ผัก ปลา ส่งเสริมให้กินผลไม้และธัญญาหารแทนขนมกรุบกรอบ งดน้ำหวานให้เด็กดื่มน้ำเปล่า และนมโคที่ไม่หวานหรือไขมันต่ำ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

รศ.พ.ญ.ชุติมา กล่าวเพิ่มเติมว่า การเลือกซื้ออาหารธรรมชาติ ขนมและเครื่องดื่มแปรรูปต่างๆ "ยึด" หลัก 3 ป. ในการเลือกซื้อคือ ป.-ปลอดภัย กินแล้วไม่มีโทษต่อร่างกาย สะอาด ไม่มีสีฉูดฉาด บรรจุภัณฑ์มิดชิด ดูฉลาก และส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์นั้นๆ ไม่มีวัตถุกันเสีย และสารปนเปื้อนต่อสุขภาพ ป.-ประโยชน์ สอนให้เด็กรู้จักเปรียบเทียบคุณค่าอาหารทางโภชนาการ และ ป.-ประหยัด สอนให้เด็กรู้จักคิดก่อนซื้อ ว่าสิ่งใดคุ้มค่าเงินที่จ่ายหรือไม่ โดยเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ที่คล้ายกัน การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพขึ้นกับดุลพินิจ คงต้องพิจารณาถึงความจำเป็นในการใช้ประโยชน์ที่ได้รับและความคุ้มค่า"

˹ѧ
 (http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dNakE0TURJMU13PT0=&sectionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHdNaTB3T0E9PQ)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:26:11
น้ำบลูเบอร์รี่-องุ่นช่วยความจำดีขึ้น

˹ѧ

น้ำบลูเบอร์รี่-องุ่นช่วยความจำดีขึ้น




 
อาการความจำเสื่อมมากับความชรา ในสหรัฐมีผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมราว 5 ล้านคนและคาดว่าเพิ่มขึ้นเป็น 16 ล้านคนภายใน 40 ปีข้างหน้า แต่นักวิจัยพบว่าการบริโภคน้ำบลูเบอร์รี่และน้ำองุ่นทำให้ความจำดีขึ้นได้ด้วยวิธีง่ายๆ

ผศ.โรเบิร์ต คริโคเรียน แห่งศูนย์สุขภาพ มหาวิทยาลัยซินซินเนติในสหรัฐ ทดลองให้ผู้สูงอายุที่เริ่มหลงๆ ลืมๆ รับประทานน้ำบลูเบอร์รี่คั้นสดทุกวัน วันละ 2 แก้วเป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน พบว่าผู้สูงอายุเหล่านั้นมีความทรงจำที่ดีขึ้น จึงเชื่อว่าผลบลูเบอร์รี่ดิบๆ จึงน่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมด้วย

นอกจากนี้ ยังทดลองให้ผู้สูงอายุดื่มน้ำองุ่นคั้นสดด้วยซึ่งได้ผลเช่นเดียวกันเพราะองุ่นและบลูเบอร์รี่มีสารอินทรีย์โพลีฟีนอลส์ (Polyphenols) ในระดับสูงซึ่งพบในผักและผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยเพิ่มสัญญาณหรือกระตุ้นเส้นประสาทในสมอง จึงช่วยพัฒนาความทรงจำและความคิดได้ดี รวมทั้งยังช่วยต่อต้านอาการอักเสบต่างๆ ได้ด้วย
 (http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROMFpXTXdNakE0TURJMU13PT0=&sectionid=TURNeU5nPT0=&day=TWpBeE1DMHdNaTB3T0E9PQ)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:26:53
"มะตูม" ลดกำหนัด
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 กุมภาพันธ์ 2553 14:49 น.
 
 
 
 
ในช่วงนี้อากาศกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ เพราะเริ่มเข้าสู่หน้าร้อนกันแล้ว ช่วงกลางวันที่แดดร้อนจัด "108 เคล็ดกิน" มักจะหาน้ำสมุนไพรเย็นๆ ดื่มดับกระหายและช่วยคลายร้อน อย่างเช่น "น้ำมะตูม" ที่เป็นน้ำสมุนไพรที่ช่วยแก้ร้อนในได้เป็นอย่างดี

"มะตูม" นั้น ถือเป็นผลไม้ไทยที่มีคุณค่าหลายอย่าง เรามักบริโภคมะตูมโดยการนำผลมาทำเป็นน้ำมะตูม หรือกินเป็นผลมะตูมแช่อิ่ม สรรพคุณของมะตูมนั้นก็คือช่วยบำรุงธาตุ ช่วยให้เจริญอาหาร แก้บิด แก้ร้อนใน ขับลม แก้โรคลำไส้ ทำให้ชุ่มคอ รักษาโรคหอบหืดได้ ส่วนใบมะตูมนั้นก็นำมากินได้เช่นกัน และมีสรรพคุณในการช่วยให้เจริญอาหาร บำรุงร่างกาย รักษาอาการท้องเดิน

ใบมะตูมยังถือเป็นของมงคล ถือเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของพระอิศวร เวลาบูชาพระอิศวรก็ต้องใช้ใบมะตูมนี้ด้วย ผลมะตูมยังมีสรรพคุณพิเศษอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือมีฤทธิ์ลดความกำหนัด คลายกังวล และช่วยให้สมาธิดีขึ้น จึงนิยมใช้เป็นน้ำปานะถวายพระสงฆ์นั่นเอง
 
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:27:34
คนกรุงสยอง 115 ตลาดสด ไม่ได้มาตรฐาน

?Œ? ?Œ?ʴ ?ǨҠ115 የ??ѨǡØ?䁨䴩??ðҹ









คนกรุงสยอง 115ตลาดสด ไม่ได้มาตรฐาน (ไทยรัฐ)


สธ.เผยตลาดสดทั่ว กทม.150 แห่ง 35 แห่งยังไม่ผ่านมาตรฐาน จี้ ปรับปรุงด่วน รับผักปนเปื้อนยาฆ่าแมลง-สารกันรา-ฟอร์มาลีน เกลื่อนตลาด "จุรินทร์" สั่งเข้มช่วงตรุษจีน


เมื่อวันที่ 11 ก.พ.นาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) พร้อมด้วย นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย นายกสมาคมตลาดสดไทย และคณะ ออกรณรงค์อาหารปลอดภัยช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ตลาดยิ่งเจริญ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร (กทม.) 1 ใน 35 ตลาด ผ่านเกณฑ์มาตรฐานเป็นตลาดสดน่าซื้อระดับห้าดาวของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และมอบใบประกาศเกียรติคุณพร้อมป้ายรับรองมาตรฐานตลาดสดน่าซื้อ จำนวน 35 แห่ง


นายจุรินทร์ กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ชาวไทยเชื้อสายจีนจำนวนมาก ประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ใช้เป็ด ไก่ เนื้อสัตว์ ขนม และ ผลไม้ เป็นของเซ่นไหว้ แม้ว่าในปีนี้ประเทศไทยจะไม่มีการระบาดของโรคไข้หวัดนก แต่เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค สธ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรุงเทพมหานคร กรมปศุสัตว์ และผู้ประกอบการตลาด ดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยของอาหาร เพื่อให้ประชาชนมั่นใจว่าได้บริโภคอาหารที่ปลอดภัยไม่มีสารปนเปื้อนอันตราย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้รับมอบหมายให้ดูแลในด้านความปลอดภัยอาหารที่ผลิต นำเข้า และบริโภคภายในประเทศ ให้ได้มาตรฐานระดับสากล ผลการดำเนินงาน ขณะนี้ มีสถานที่ผลิตอาหารแปรรูปผ่านมาตรฐานจีเอ็มพี ร้อยละ 96 อาหารสดปลอดภัยจากสารอันตราย 6 ชนิด ได้แก่ สารเร่งเนื้อแดง สารบอแรกซ์ สารฟอกขาว สารฟอร์มาลิน สารกันรา และยาฆ่าแมลง ร้อยละ 96 ปัญหาที่ยังตรวจพบต่อเนื่อง ได้แก่ การพบยาฆ่าแมลงตกค้างในผักสดมากที่สุด รองลงมา คือฟอร์มาลินในอาหารทะเล และสารกันราในผักดอง ได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบกิจการตลาดสด ให้ล้างตลาดและฆ่าเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนตามแผงจำหน่ายอาหาร เขียง และทางเดินในตลาดอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ส่วนผู้จำหน่ายอาหารทั้งอาหารสด อาหารแห้ง ผัก ผลไม้ และอาหารปรุงสุก ต้องเลือกสินค้ามาจำหน่ายจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้ด้านความปลอดภัย โดยเฉพาะร้านค้าที่จำหน่ายเป็ด ไก่ โดยคุมเข้มเป็นพิเศษในการเลือกซื้อจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน มีความสด ใหม่ สีไม่คล้ำ ไม่มีจ้ำเลือด ไม่นำสัตว์ปีกที่ป่วยหรือตายมาชำแหละ เพื่อป้องกันไข้หวัดนก


"ตอนนี้ทั่วประเทศมีตลาดสด 1,536 แห่ง กระทรวงสาธารณสุขกำหนดว่าต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 3 ด้าน เพื่อรับรองมาตรฐานเป็นตลาดสดน่าซื้อ ได้แก่ 1.ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม 2. ความปลอดภัยอาหาร อาหารที่จำหน่ายต้องปราศจากสารปนเปื้อน 6 ชนิด ได้แก่สารกันรา ยาฆ่าแมลง สารเร่งเนื้อแดง ฟอร์มาลิน สารฟอกขาว และสารบอแร็กซ์ 3.เกณฑ์ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น มีราคาสมเหตุผล ตราชั่งได้มาตรฐาน มีจุดตรวจสารปนเปื้อน และ มีตลาดผ่านเกณฑ์แล้วร้อยละ 77 ที่น่าห่วงคือตลาดสดในเขต กทม.ที่มี 150 แห่ง แต่ผ่านเกณฑ์ 35 แห่ง จึงต้องเร่งให้ได้มาตรฐานทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ไทยรัฐ



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:28:02
"เต้าหู้ยี้" อีกหนึ่งประโยชน์จากถั่วเหลือง
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 กุมภาพันธ์ 2553 18:03 น.
 
 
 
 
เรามักจะเห็น "เต้าหู้ยี้" อยู่ในส่วนผสมของอาหารต่างๆ เช่น ในน้ำจิ้มสุกี้หรือผัดผัก บางคนอาจพลิกแพลงนำเต้าหู้ยี้มาประกอบอาหารอย่างยำเต้าหู้ยี้ หรือหลนเต้าหู้ยี้ เป็นต้น เอ...ว่าแต่เจ้าเต้าหู้ยี้นี้คืออะไรกันแน่ ทำจากเต้าหู้หรือเปล่า แล้วสีแดงๆ ที่เรามักเห็นในเต้าหู้ยี้นั้นคืออะไร

"เต้าหู้ยี้" นี้มีที่มาจากเมืองจีน ชาวจีนเรียกเต้าหู้ยี้ว่า "ซูฟู" ซึ่งเต้าหู้ยี้ก็เป็นการถนอมอาหารอย่างหนึ่ง โดยใช้เต้าหู้ไปอบฆ่าเชื้อ แล้วใส่เชื้อราบ่มให้เจริญเติบโตประมาณ 1 อาทิตย์ ก่อนจะนำไปหมักในน้ำเกลืออีกครั้งหนึ่ง ส่วนมากเรามักจะเห็นเต้าหู้ยี้เป็นสีแดงหรือสีเหลือง นั่นก็เพราะสารปรุงแต่งที่ใส่ เช่น เต้าหู้ยี้สีแดงนั้นก็เพราะเติมข้าวแดงลงไป บ้างก็เติมกานพลู ข้าวหมัก ทำให้ได้สีสันต่างกันไปด้วย

เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เต้าหู้ยี้จึงอุดมไปด้วยโปรตีนและแร่ธาตุ เช่น เกลือแร่ เหล็ก และโพแทสเซียม นอกจากนั้นก็ยังให้วิตามินเอ บี1 บี2 ดี อี เค และไนอะซีนอีกด้วย
 
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:28:37
มี“เต้าเจี้ยว” ไม่ขาดโปรตีน
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 กุมภาพันธ์ 2553 15:42 น.
 
 
 
 
เมื่อตอนที่แล้ว "108 เคล็ดกิน" พูดถึงเต้าหู้ยี้ไปแล้ว ก็นึกขึ้นได้ว่ายังมีเครื่องปรุงอีกประเภทที่ทำมาจากถั่วเหลืองเหมือนกัน และเป็นการถนอมอาหารชองชาวจีนเช่นกัน นั่นก็คือ "เต้าเจี้ยว" ที่ได้จากการนำเอาถั่วเหลืองไปต้มหรือนึ่ง จากนำไปบ่มกับเชื้อราแล้วหมักใส่ขวดไว้จนได้เป็นเต้าเจี้ยวที่เรากินกัน

ส่วนมากแล้วเราจะใช้เต้าเจี้ยวในการปรุงรสอาหาร หรือทำเป็นเครื่องจิ้ม เช่น หลนเต้าเจี้ยว หรือผสมกับอาหาร เช่น ราดหน้า ผัดผัก น้ำจิ้มข้าวมันไก่ เป็นต้น เพื่อปรุงให้ได้รสอร่อยยิ่งขึ้น ซึ่งนอกจากจะได้รสชาติดีแล้ว ยังเป็นการเพิ่มโปรตีนในอาหารได้อีกด้วย เพราะเต้าเจี้ยวทำจากถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่ให้โปรตีนสูง อีกทั้งในเต้าเจี้ยวยังไม่มีแป้ง หรือคาร์โบไฮเดรต ทำให้ถั่วเหลืองเป็นอาหาร ที่เหมาะสมสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวาน อีกทั้งยังอุดมไปด้วยเกลือแร่ เหล็ก และโพแทสเซียม ซึ่งช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูก และยังให้วิตามินเอ วิตามินบี 1, บี 2 และไนอะซีน

จึงถือว่าเต้าเจี้ยวเป็นเครื่องปรุงที่ให้ทั้งรสชาติความอร่อยและประโยชน์ที่ไม่น้อยเลยทีเดียว
 
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:29:09
ตะไคร้


ตะไคร้
[url=http://www.chuankin.com/properties_t...roperty_type=2]http://www.chuankin.com/properties_t...roperty_type=2 (http://www.chuankin.com/properties_text.php?property_id=30&property_type=2)

สรรพคุณน่ารู้ : หมวดพืชสวนครัว :
ตะไคร้



ส่วนที่ใช้
ต้น หัว ใบ ราก และต้น

สรรพคุณ
ทั้งต้น : ใช้เป็นยารักษาโรคหืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะและแก้อหิวาตกโรค หรือทำเป็นยาทานวดก็ได้ และยังใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่นรักษาโรคได้ เช่น บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และขับเหงื่อ
หัว : เป็นยารักษาเกลื้อน แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้อาการขัดเบา ถ้าใช้รวมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะเป็นยาแก้อาเจียน แก้ทราง ยานอนหลับลดความดันสูง แก้ลมอัมพาต แก้กษัยเส้น และแก้ลมใบ ใบสด ๆ จะช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้
ราก : ใช้เป็นยาแก้ไข้เหนือ ปวดท้องและท้องเสีย
ต้น : ใช้เป็นยาแก้ขับลม แก้เบื่ออาหาร แก้ผมแตก แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว เป็นยาบำรุงไฟธาตุให้เจริญ แต่ถ้าเอาผสมกับสมุนไพรชนิดอื่น จะแก้โรคหนองใน และนอกจากนี้ยังใช้ดับกลิ่นคาวด้วย Tips
มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด นำเอาตะไคร้ที่มีลำต้นแก่ และสด ๆ มา ประมาณ 1 กำมือ ทุบให้แหลกพอดีแล้วนำไปต้มน้ำดื่ม หรืออีกวิธีหนึ่งเอาตะไคร้ทั้งต้นรากด้วยมาสัก 5 ต้นแล้วสับเป็นท่อนต้นกับเกลือ จากน้ำ 3 ส่วนให้เหลือเพียง 1 ส่วนแล้วทานสัก 3 วัน ๆ ละ 1 ถ้วยแก้วก็จะหาย


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:29:59
เคี้ยวช้าๆ พาสุขภาพดี
เคี้ยวช้าๆ พาสุขภาพดี
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 มีนาคม 2553 16:14 น.
 
 
 
 
"108 เคล็ดกิน" เองก็ไม่เคยนับหรอก ก็แค่เคี้ยวๆไปให้พอรู้สึกได้ว่าสามารถกลืนลงไปได้โดยไม่ติดคอ แต่รู้ไหมว่า การเคี้ยวนั้นก็สำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมีผลการศึกษาทางการแพทย์ยืนยันแล้วว่า การเคี้ยวให้ละเอียดนั้นจะเป็นการช่วยให้ระบบย่อยทำงานน้อยลง เพราะฟันช่วยผ่อนแรงกระเพาะอาหารไปแล้ว และยังช่วยให้มีสุขภาพดี อายุยืนยาว นอกจากนั้นการเคี้ยวยังมีผลต่อการทำงานของสมอง เพราะการเคี้ยวนั้นจะช่วยกระตุ้นให้ต่อมน้ำลายและต่อมใต้หูให้หลั่งฮอร์โมนออกมา และการที่ฟันบนและฟันล่างได้กระทบกันนั้นก็จะเป็นการออกกำลังกายสมองไปด้วย

แต่มีคำถามว่า แล้วต้องเคี้ยวคำละกี่ครั้งจึงจะพอ? มีคำแนะนำว่า เคี้ยว 30 ที จะช่วยให้เหงือกแข็งแรง เคี้ยว 50 ที จะช่วยลดความวิตกกังวลของอารมณ์และช่วยลดความอ้วน เคี้ยว 60 ที จะดีต่อการกินอาหารที่มีกากไยมาก ลดอาการท้องผูก คราวนี้เริ่มเคี้ยวยากหน่อยเพราะต้องเคี้ยว 80 ที ช่วยให้ประสาทสัมผัสไวขึ้น ความจำดีขึ้น เคี้ยว 100 ที ทำให้ร่างกายดูดซึมอาหารได้มาก ลดการอยากอาหารประเภทเนื้อ เคี้ยว 150 ที ระบบการทำงานของกระเพาะและลำไส้จะดีขึ้น และสำหรับคนเป็นโรคกระเพาะเรื้อรังให้เคี้ยว 200 ที ก็จะหายอย่างรวดเร็ว
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:30:37
ถั่งเช่า สมุนไพรแก้อาการนกเขาไม่ขัน

สมุนไพร ถั่งเช่า แก้นกเขาไม่ขัน




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก skn.ac.th , wikipedia

นับเป็นสมุนไพรที่ได้รับความสนใจจากบรรดาชายหนุ่มมากมาย สำหรับ "ถั่งเช่า" หรือ "หนอนเทวดา" เห็ดมหัศจรรย์ที่มีสรรพคุณในการรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศอย่างดีเยี่ยมพอ ๆ กับยาไวอะกร้า ยิ่งล่าสุด หลังจากได้มีการนำเห็ดชนิดนี้เข้ามาปลูกในประเทศไทยได้สำเร็จแล้ว ก็ดูเหมือนว่า "ถั่งเช่า" จะยิ่งได้รับความสนใจ และเป็นที่นิยมมากขึ้น

แต่เคยสงสัยกันไหมคะว่า "ถั่งเช่า" คืออะไร หน้าตาเป็นยังไง และมีที่ไปที่มาอย่างไร ถ้าหากท่านเป็นอีกคนที่ยังไม่รู้จักเห็ดชนิดนี้แล้วล่ะก็ วันนี้กระปุกจะพาท่านไปรู้จักพร้อม ๆ กันค่ะ

เห็ดถั่งเช่า หรือ ชื่อเต็มว่า ตังถั่งแห่เช่า เป็นราแมลงในกลุ่ม Ascomycetes มีชื่อทางวิทยาศาตร์ว่า Cordyceps Sinensis ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นตัวหนอน ซึ่งเป็นหนอนผีเสื้อชนิดหนึ่ง และส่วนบนของตัวหนอนที่มีเห็ดชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Cordyceps sinensis (Berk.) Saec. มีแหล่งกำเนิดเฉพาะถิ่น คือ ในพื้นที่สูง 4,000-5,000 เมตร จากระดับ น้ำทะเล เช่น ประเทศจีน ภูฏาน และทิเบต เกิดขึ้นโดยสปอร์เชื้อราจะเข้าสู่ตัวอ่อนของ หนอนผีเสื้อค้างคาว ที่ฝังตัวจำศีลอยู่ใต้ดินในฤดูหนาว และเมื่อถึงฤดูร้อน ก้านสปอร์จะเติบโต ขึ้นมาบนพื้นดิน ซึ่งจะมีลักษณะเหมือนต้นหญ้าที่ขึ้นเฉพาะฤดูร้อน และด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่า "ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า" หรือ "หนาวหนอนร้อนหญ้า"

ถั่งเช่า มีสารอาหารมากมาย โดยเฉพาะสารคอร์ไดเซปิน (Cordycepin) มีฤทธิ์บำรุงไต กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ช่วยรักษาสมดุลย์ของคลอเรสเตอรอลในหลอดเลือด และมีฤทธิ์บำรุงกำลังทางเพศ ดังนั้นเมื่อกินเห็ดชนิดนี้เข้าไป ก็จะส่งผลให้มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศเพิ่มขึ้น ซึ่งจากงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่าหากกินถั่งเช่าวันละ 1 กรัม เป็น เวลา 46 วัน จะช่วยให้สมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้นถึง 64% เลยทีเดียว




ถั่งเช่า หรือ ตังถั่งเช่า



และไม่เพียงแค่นั้น ถั่งเช่า ยังมีสรรพคุณอื่นอีกมายมาย ได้แก่ ช่วยในเรื่องระบบทางเดินหายใจ อาการไอ ถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบ ทำให้การทำงานของไตดีขึ้น ทำให้ร่างกายสดชื่น ความจำดีขึ้น ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ลดการอักเสบ ต่อต้านมะเร็ง เพิ่มภูมิต้านทางของร่างกาย ต่อต้านอนุมูลอิสระ และชะลอความชราได้

แต่ด้วยความที่เห็ดชนิดนี้หายาก ทั้งยังมีสรรพคุณดีเยี่ยม จึงทำให้เห็ดถั่งเช่ามีราคาสูงมาก คือ สูงถึงกิโลกรัมละ 2 แสนบาทเลยทีเดียว ซึ่งการรับประทานนั้นสามารถรับประทานได้โดยการรับประทานสด ตากแห้ง หรือ นำมาเป็นส่วนผสมของเครื่องดื่ม ซึ่งในไทยพบในรูปแบบของกาแฟแล้วค่ะ

และนี่ก็คือเรื่องราวของเห็ดถั่งเช่าที่นำมาฝากกัน ก็เรียกว่าเป็นสมุนไพรที่ไม่เพียงแต่รักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเท่านั้น แต่ มีสรรพคุณครอบจักรวาลเลยทีเดียว

ว่าแต่.. ราคากิโลกรัมละ 2 แสนบาทขนาดนี้ จะรับประทานทีก็คงต้องคิดแล้วคิดอีก เลยล่ะค่ะ



ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- vcharkarn.com
- biothai.net
- tpma.or.th



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:31:08
กิน"ถั่วแดง" หัวใจเข้มแข็ง
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มีนาคม 2553 14:58 น.
 
 
 
 
"ถั่ว" เป็นธัญพืชที่ทราบกันดีแล้วว่ามีประโยชน์มากมาย ในทางการแพทย์จีนถือว่าถั่วชนิดต่างๆจะให้ประโยชน์ที่แตกต่างกัน เช่น ถั่วดำมีประโยชน์ต่อไต ถั่วเหลืองมีประโยชน์ต่อม้าม ถั่วเขียวใประโยชน์ต่อตับ ถั่วขาวมีประโยชน์ถ่อปอด

และสำหรับถั่วแดงนั้น แพทย์จีนถือว่าช่วยบำรุงหัวใจ ประเภทอาการใจสั่น ช่วยในการบำรุงระบบประสาท บำรุงลำไส้ ลดอาการบวมน้ำ ช่วยขับปัสสาวะ นอกจากนั้น ถั่วแดงยังมีทั้งสารอาหารโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามีนเอ บี ซี และเป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของเส้นใยอาหารสูงมาก ดังนั้นจึงช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ดี ทั้งยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันการเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองปริแตก นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยกรดโฟลิกที่ช่วยบำรุงโลหิต ป้องกันความผิดปกติของทารกในครรภ์ และยังประกอบด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนต์ polyphenolics ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ดีอีกด้วย

ถั่วแดงมักถูกใช้ประกอบอาหารในรูปของขนมหวานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น ถั่วแดงต้มน้ำตาล ถั่วแดงบดกินกับไอศกรีม ฯลฯ ซึ่งก็ได้ทั้งความอร่อยและประโยชน์เลยทีเดียว
 
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:31:59
“หัวบัวหิมะ” ผลไม้นำเข้าจากจีน
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มีนาคม 2553 17:55 น.
 
 
 http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000044254 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000044254)
 
สาวๆที่รักสวยรักงาม อาจจะพอรู้จัก "บัวหิมะ" หรือ "จง หัว ฟู เป่า" ที่เป็นผลิตภัณฑ์ ครีมทำให้ผิวพรรณ นวลเนียน เปล่งปลั่ง สดใส ดูอ่อนกว่าวัย กันอยู่บ้าง

แต่ตอนนี้ “108เคล็ดกิน” จะพาไปรู้จักกับ “หัวบัวหิมะ” กันบ้าง ซึ่งเป็นพืชคนละชนิดกันแต่ชื่อพ้องตรงกัน ทั้งยังนำเข้าจากจีนเช่นเดียวกัน ซึ่งตอนนี้เริ่มมีการนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ตามแถบชายแดนทางภาคเหนือกันบ้างแล้ว

หัวบัวหิมะ มีชื่อในภาษาจีนว่า “เสวี่ยเหลียนกว่อ” แปลตามตัวอักษรได้ว่า “ผลของบัวหิมะ” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Smallanthus sonchifolius หรือในภาษาอังกฤษรู้จักกันในนามของ Yacon จัดเป็นพืชในตระกูล ทานตะวัน ความสูงของต้นประมาณ 2 - 3 เมตร เมื่อโตเต็มที่จะแทงดอกสีเหลืองเล็กๆ ที่จะลงหัวที่มีลักษณะภายนอกคล้ายหัวมันเทศมาก

หัวบัวหิมะเริ่มปลูกกันมากขึ้นในมณฑลยูอิ๋นหนาน ของประเทศจีน เนื่องจากพบว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยกรดอะมิโน แร่ธาตุหลักและจุลธาตุอีกหลายชนิด โดยเฉพาะ แคลเซี่ยม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี และซีลีเนียมที่มีอยู่ในสัดส่วนสูงเป็นพิเศษ

มีสรรพคุณทางยาสมุนไพร ในการควบคุมปรับปรุงของเหลวในเลือด ลดน้ำตาล ไขมันและคอเลสเตอรอลในเลือด เป็นการป้องกันและเยียวยาอาการของโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน ช่วยการทำงานของระบบขับถ่ายในกระเพาะลำไส้และทางเดินปัสสาวะได้ดี ช่วยย่อยอาหาร ช่วยระบายท้อง ป้องกันท้องเสีย สารก่อมะเร็งร้าย รสชาติของ เสวี่ยเหลียนกว่อ คล้ายคลึงกับผลสาลี่ ที่มีเปลือกบาง กรอบ รสออกหวาน ฉ่ำน้ำ นิยมกินกันสดๆ
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:33:29
ผักพื้นบ้าน จานสุขภาพ

http://www.khaosod.co.th/view_news.p...MHdOQzB3TlE9PQ== (http://www.khaosod.co.th/view_news.p...MHdOQzB3TlE9PQ==)


น้ำพริกกับผักเหนาะ

 
เครือข่ายศูนย์ปฏิบัติการภาคประชาชนตำบลตำนาน อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดทำ "โครงการอาหารสุขภาพจากผักพื้นบ้านชุมชนตำบลตำนาน" เพื่อศึกษารวบรวมและฟื้นฟูองค์ความรู้จากผักพื้นบ้าน พร้อมสนับสนุนให้ชุมชนตระหนักถึงความสำคัญ และประโยชน์ของอาหารพื้นบ้านที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ

นางชุติมา เกื้อเส้ง หัวหน้าโครงการและประธานเครือข่ายศูนย์ปฏิบัติการภาคประชาชนฯ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ในชุมชนพบว่าชาวบ้านป่วยเป็นโรคโดยไม่ทราบสาเหตุ ทุกคนมีแนวคิดอยากปลูกผักกินเองเพื่อป้องกันโรคภัยจากสารเคมีที่แฝงมากับอาหารที่ซื้อจากตลาด แต่ชาวบ้านไม่มีความรู้เกี่ยวกับคุณประโยชน์ของผักพื้นบ้าน รวมถึงไม่รู้วิธีการปรุงอาหารจากผักเหล่านี้ เนื่องจากภูมิปัญญาในการประกอบอาหารท้องถิ่นถูกกลืนหายไปตามสภาวะเศรษฐกิจ ทางเครือข่ายจึงดำเนินงานแก้ปัญหานี้เพื่อให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญ พร้อมกลับมาปลูกพืชและปรุงอาหารจากผักพื้นบ้าน

โครงการนี้เริ่มจากการสร้างชุดองค์ความรู้เพื่อให้ชาวบ้านเห็นความสำคัญของผักพื้นบ้าน โดยร่วมกับแกนนำชุมชนลงสำรวจผักพื้นบ้าน พบว่ามีผักพื้นบ้านมากถึง 126 ชนิด และยังพบด้วยว่าเป็นพืชผักริมรั้ว ซึ่งเป็นทั้งอาหาร สมุนไพร และยาเกือบทั้งหมด บางชนิดเกือบสูญพันธุ์ไปแล้ว เช่น ขี้พร้าไฟ ฟักข้าว หนามชิด ผักพื้นบ้านยังเชื่อมโยงกับสภาพสิ่งแวดล้อมของชุมชนและสภาพสังคม เพราะการเกษตรแผนใหม่ทำให้ผักพื้นบ้านหลายชนิดสูญหายไป
ชุติมา เกื้อเส้ง /สรรค์ อัศโรดร /รมย์ เกื้อเส้ง

 


ด้าน นายสรรค์ อัศโรดร อายุ 66 ปี แพทย์พื้นบ้าน กรรมการพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพ กล่าวว่า ผักพื้นบ้านส่งผลดีต่อสุขภาพ เพราะเป็นผักที่ขึ้นเองตามฤดูกาล ไม่ต้องปลูก ไม่ต้องลงทุนดูแลรักษา รวมทั้งไม่ต้องใช้ปุ๋ยสารเคมี แต่ปัจจุบันยังขาดการอนุรักษ์ และไม่เห็นความสำคัญจึงทำให้ผักพื้นบ้านถูกทำลายไป

"ปัจจุบันคนป่วยด้วยโรคเบาหวาน ความดัน หลอดเลือดหัวใจกันมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากการกินอาหารที่มันและหวานมากเกินไป โรคเหล่านี้ถ้าเข้าใจแล้วหันมากินเปรี้ยวให้มากกว่าอาหารที่มัน และกินอาหารพื้นบ้านจะช่วยรักษาอาการเหล่านี้ได้ เช่น น้ำพริกทุกชนิดจะมีมะนาว หัวหอม กระ เทียม พริกขี้หนู สมุนไพรเหล่านี้ช่วยละลาย ไขมัน เมื่อรวมกับวิตามินและเกลือแร่ที่เราได้จากผักเหนาะนานาชนิด เช่น สะตอ กระโดน ถ้าเรากินสม่ำเสมอจะช่วยได้ เพราะการกินอาหารพื้นบ้านตามที่ครอบครัวได้รับการถ่ายทอดมาแทบจะไม่ต้องศึกษาเรื่องโปรตีน คาร์โบ ไฮเดรตอะไรเลย เพราะภูมิปัญญาโบราณนั้นมีความสมดุลในธาตุต่างๆ ของร่างกายและอาหารอยู่แล้ว" นายสรรค์กล่าว
การหุงข้าวแบบโบราณ

อาหารที่ปรุงจากผักพื้นบ้าน

 


นางรมย์ เกื้อเส้ง อายุ 54 ปี แกนนำกลุ่มวิสาหกิจชุมชน บ้านหมู่ 13 ตำบลตำนาน เล่าว่า ทุกวันนี้ซื้อผักจากตลาดน้อยมาก ส่วนใหญ่จะไปเก็บผักพื้นบ้านจากริมรั้วซึ่งมีอย่างมากมาย ทั้งตำลึง ผักหวาน มะเขือ ซื้อเฉพาะวัตถุดิบที่จำเป็นและหาไม่ได้ในชุมชนเท่านั้น ส่วนมากคนในท้องถิ่นจะไม่ค่อยสนใจผักพื้นบ้านเพราะมันยุ่งยาก บ้างก็ขี้เกียจไปเก็บไปหา ซื้อเอาดีกว่าเพราะติดความสะดวกสบาย แต่การทำกับข้าวโดยใช้ผักพื้นบ้านจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในครอบครัวไปได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 50 บาท เวลาทำเสร็จก็จะอธิบายให้คนในครอบครัว ลูกหลานว่าผักพื้นบ้านที่นำมาทำกับข้าวในแต่ละวันนั้นมีประโยชน์อย่างไร บอกสรรพคุณให้เขาได้รู้เลยว่ากินแล้วมีประโยชน์อะไรบ้าง ปัจจุบันคนในหมู่บ้านเริ่มหันมาสนใจอาหารพื้นบ้านกันมากขึ้น

นางงามจิตต์ จันทรสาธิต ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนโครงการเปิดรับทั่วไป สสส. กล่าวว่า ถ้าชุมชนหันมาสนใจปลูกผักพื้นบ้านแล้วพัฒนาตำรับอาหารหรือเมนูอาหารที่อาจต้องปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัยบ้าง น่าจะจูงใจให้คนหันมาบริโภคผักพื้นบ้านกันได้มากขึ้น เพราะบางครั้งผักพื้นบ้านดีๆ คนรุ่นใหม่ไม่รู้จักแล้วว่ากินอย่างไรถึงจะอร่อย มีประโยชน์อะไร นำไปปรุงอาหารได้อย่างไร โครงการนี้จะส่งผลดีกับชุมชน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างแต่ละชุมชน สิ่งที่ได้นอกเหนือไปจากการที่ชาวบ้านจะได้ฟื้นฟูรักษาตำรับอาหารพื้นบ้านกลับมาแล้ว ยังได้ฟื้นฟูวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ทางสังคมของชุมชนให้กลับคืนมาอีกด้วย


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:33:58
มา "กินเปลี่ยนโลก" กันเถอะ
Travel - Manager Online

 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 เมษายน 2553 15:54 น.
 
 
 
 
มูลนิธิชีววิถี หรือ Biothai เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก ชุมชนคนรักป่า และสถาบันต้นกล้า ได้จัด "โครงการรณรงค์กินเปลี่ยนโลก" (Slow Food Thailand) เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจเรื่องวิกฤตของอาหาร เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินของเรา โดยการมองย้อนกลับไปยังที่มาของอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการปลูก เลี้ยง ขนส่ง แปรรูป ขาย ตลอดจนสิ่งที่เกิดตามมาหลังจากเรากินเข้าไปแล้ว เช่น ปัญหาสุขภาพปัญหาสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

"108 เคล็ดกิน" จึงขอพาไปทำความรู้จักการ "กินเปลี่ยนโลก" ที่กินได้ไม่ยาก เพียงกินอาหารตาม 3 เงื่อนไขหลัก ๆ ดังนี้ คือ อาหารดีมีคุณค่า (Good)วัตถุดิบคุณภาพดี สดใหม่ใส่ใจในทุกขั้นตอนการปรุง เปี่ยมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ สะอาด (Clean)วัตถุดิบมาจากระบบการผลิตที่ปลอดสารเคมี และไม่สร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เป็นธรรม (Fair)ราคาเป็นธรรมต่อผู้ผลิต ผู้ขาย และผู้ซื้อ

สำหรับวิธีรณรงค์ง่ายๆ ที่เปลี่ยนโลกได้ทุกวัน ก็มีหลากหลาย เช่น "ไม่เอาสารเคมี" ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ฟอร์มาลีน บอแรกซ์ ผงชูรส สารกันบูด ป้องกันการกินเพื่อตายผ่อนส่ง

"มาปลูกกิน" เราปลูกกินเองได้ เช่น โหระพา กะเพรา สะระแหน่ พริก ตะไคร้ ใบเตย หรือลองปล่อยให้ถั่วพลู บวบ เลื้อยตามรั้วบ้านดูบ้างก็เข้าท่าไม่หยอก จัดวางตัดแต่งดีๆ เป็นสวนสวยกินได้ ปลอดภัย ลดรายจ่ายไปในตัว

"มาทำกินเอง" เราแน่ใจว่าสด สะอาด มีคุณค่า แน่นอนเพราะเราต้องเลือกวัตถุดิบเองและสามารถปรุงรสให้ถูกปากเราได้ ไม่ต้องอารมณ์เสีย นอกจากนั้น การเข้าครัวยังเป็นการทำกิจกรรมร่วมกันของคนในครอบครัว เพียงเท่านี้เราก็สามารถเปลี่ยนโลกได้ทุกวัน.
 
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:34:25
สับปะรดสารพัดประโยชน์
Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > สับปะรดสารพัดประโยชน์



ทราบหรือไม่ว่าสับปะรดเป็นผลไม้มีประโยชน์หลากหลาย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาบอก...

- ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง รับประทานสับปะรดวันละหนึ่งชิ้น ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับวิตามินซี ที่สำคัญคือวิตามินซีช่วยในการทำงานของเนื้อเยื่อ และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายติดเชื้อ และต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ แต่ในผู้ที่มีเลือดจางไม่ควรกินมากนัก

- ช่วยในการย่อยอาหาร สับปะรดมีกากใยอาหารมาก ซึ่งมีความสำคัญกับการย่อยอาหาร และช่วยลดคอเลสเตอรอล ควบคุมน้ำตาลในเส้นเลือด และช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

- ช่วยให้เลือดลมไหลเวียนดี สับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส ที่จะช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระ ที่จะทำลายโครงสร้างของเซลล์ และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้ สารแอนตี้ออกซิแดนต์ยังมีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีกด้วย

- ป้องกันความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหาร เพราะสับปะรดมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการก่อมะเร็ง และยังช่วยป้องกันการเติบโตของเซลล์ร้ายในปอด ป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งรังไข่

- ช่วยให้เหงือกแข็งแรง สับปะรดช่วยให้สุขภาพในช่องปากแข็งแรง เนื่องจากสับปะรดมีวิตามินซีสูงที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคเหงือกได้

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานสับปะรดกันดีกว่า.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:34:53
ดื่มน้ำคั้น หัวผักกาดแดง กลายเป็นยาเพิ่มความทรหดอดทน
ดื่มน้ำคั้น หัวผักกาดแดง กลายเป็นยาเพิ่มความทรหดอดทน - ข่าวไทยรัฐออนไลน์



สารไนเตรทที่มีอยู่ในน้ำคั้นหัวผักกาดแดง ช่วยให้ร่างกายใช้ออกซิเจนน้อยลงได้ จึงออกกำลังได้เหนื่อยน้อยลง...

ดื่มน้ำคั้นหัวผักกาดแดง จะทำให้มีความทรหดอดทนเพิ่มขึ้น ออกกำลังได้นานขึ้นกว่าเดิมอีกถึงร้อยละ 16

นักวิจัยมหาวิทยาลัยเอกเซอเตอร์ของอังกฤษได้ค้นพบเป็นคนแรกว่า สารไนเตรทที่มีอยู่ในน้ำคั้นหัวผักกาดแดง ช่วยให้ร่างกายใช้ออกซิเจนน้อยลงได้ อย่างที่ไม่เคยพบกันมาก่อน จึงออกกำลังได้เหนื่อยน้อยลง สงสัยว่าเป็นเพราะสารไนเตรท ได้เปลี่ยนเป็นไนเตรทออกไซด์ขึ้นในตัว จึงใช้ออกซิเจนน้อยลง ระหว่างการออกกำลัง

พวกเขาได้พบจากการทดลองกับชายฉกรรจ์ 8 คน วัยระหว่าง 19-38 ปี เมื่อให้ดื่มน้ำหัวผักกาดแดงคั้น จะออกกำลังโดยการขี่จักรยานได้นานกว่าเวลาเฉลี่ยเดิม 11.25 นาที ขึ้นอีก 92 วินาที นอกจากนั้นยังปรากฏว่าความดันโลหิตก็ลดต่ำลงด้วย.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:35:24
คนไทยติดน้ำตาล
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 เมษายน 2553 17:14 น.
 
 
 
 
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผย คนไทยติดน้ำตาล มีการบริโภคน้ำตาลเกินกว่ามาตรฐานกำหนดถึง 3 เท่า คือ เป็นปริมาณสูงถึงคนละ 29.6 กิโลกรัมต่อปี หรือ เฉลี่ยวันละ 20 ช้อนชา ขณะที่ค่ามาตรฐานกำหนดให้บริโภคได้ไม่เกินคนละ 10 กิโลกรัมต่อปี หรือเฉลี่ยวันละ 6 – 8 ช้อนชา

ดร.นายแพทย์ สมยศ ดีรัศมี อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลอย่างฟุ่มเฟือย โดยที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงที่ว่า "น้ำตาล" ไม่มีสารอาหารที่ร่างกายต้องการเลย มีประโยชน์เพียงให้พลังงานสูงเท่านั้น ที่สำคัญร่างกายไม่จำเป็นต้องได้พลังงานจากน้ำตาล เนื่องจากมีอาหารอื่นๆ ที่สามารถให้พลังงานทดแทนได้ เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน

ปริมาณน้ำตาลที่บริโภคเกินความต้องการ เมื่อใช้ไม่หมดจะเป็นพลังงานส่วนเกินและเปลี่ยนรูปเป็นไขมันเก็บสะสมในร่างกายอันเป็นสาเหตุของภาวะ"อ้วนลงพุง" ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ อาทิ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดอุดตัน และโรคเบาหวานที่พบว่าปัจจุบันมีคนไทยป่วยเป็นโรคนี้ถึง 10 ล้านคนเลยทีเดียว
 
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:35:54
มาใช้ “น้ำมัน” ทอดอาหารให้ถูกวิธี
Travel - Manager Online

 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 พฤษภาคม 2553 16:23 น.
 
 
 
 
เดี๋ยวนี้เวลาเลือกซื้ออาหารประเภททอด ๆ ตามร้านค้าต่างๆแล้วเห็นน้ำมันในกระทะดำเมี่ยมมิด “108เคล็ดกิน” ก็ให้นึกผวาพาลกินไม่ลงเสียดื้อๆ ทั้งที่จริงแล้วการเลือกใช้น้ำมันที่ถูกวิธีก็มีอยู่ด้วยกันหลายข้อ

วันนี้จึงยกตัวอย่างวิธีการใช้น้ำมันทอดอาหารที่ถูกต้องมาให้รู้ทั่วกัน ข้อที่หลายคนรู้กันดีแล้ว คือ ในครัวเรือนไม่ควรใช้น้ำมันทอดอาหารซ้ำเกิน 2 ครั้ง และหากจำเป็นต้องใช้น้ำมันซ้ำให้เทน้ำมันเก่าทิ้งหนึ่งในสามและเติมน้ำมันใหม่ก่อนเริ่มการทอดอาหารครั้งต่อไป แต่ถ้าน้ำมันทอดอาหารมีกลิ่นเหม็นหืน เหนียวข้น สีดำ ฟองมาก เป็นควันง่ายและเหม็นไหม้ ควรทิ้งไปอย่าเสียดาย

ไม่ทอดอาหารไฟแรงเกินไป อุณหภูมิที่เหมาะสมของน้ำมันประมาณ 160 – 180 องศาเซลเซียส ซับน้ำส่วนที่เกินบริเวณผิวหน้าอาหารดิบก่อนทอด เพื่อชะลอการเสื่อมสลายตัวของน้ำมัน ต้องหมั่นกรองกากอาหารทิ้งระหว่างและหลังการทอดอาหาร และปิดท้ายด้วยการเก็บน้ำมันที่ผ่านการทอดอาหารไว้ในภาชนะสแตนเลสหรือแก้วปิดฝาสนิท เก็บในที่เย็นและไม่โดนแสงสว่าง เพียงเท่านี้ก็ช่วยเพิ่มคุณภาพที่ดีแก่ชีวิตด้วยการกินได้แล้ว
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:42:27




    (\_(\
*: (=' :')
•.(,('')('')o

   ค่อยกลับมาอ่านต่อค่ะ...
ดีมากมาย
ขอบพระคุณ คุณหนุ่มนะคะ...


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 04 พฤษภาคม 2553 18:51:07




    (\_(\
*: (=' :')
•.(,('')('')o

   ค่อยกลับมาอ่านต่อค่ะ...
ดีมากมาย
ขอบพระคุณ คุณหนุ่มนะคะ...

ยินดีมากครับ

.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 11 พฤษภาคม 2553 22:33:33
"ใบเตย" กลิ่นรัญจวน มากคุณค่า
Travel - Manager Online
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 พฤษภาคม 2553 17:37 น.
 
  http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000064975 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000064975)
 
 
ในบรรดาพืชที่มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ "108เคล็ดกิน" ยกให้พืชจำพวกหญ้าอย่าง "ใบเตย" อยู่ในอับดันต้น ๆ เลยทีเดียว เรื่องความหอมของใบเตยนี้ เชื่อว่าย่อมเป็นที่ประจักษ์กันเป็นอย่างดี เพราะมีการดัดแปลงนำมาใช้ ทั้งในแวดวงดอกไม้ ตลอดจนเป็นส่วนผสมทางอาหารหลากหลายเมนู

ใบเตยจัดเป็นพืชจำพวกหญ้า แตกเป็นกอใหญ่ มีเหง้าและลำต้นอยู่ใต้ดิน มีก้านและใบที่โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นดิน ใบออกจากลำต้น เรียงเวียนรอบลำต้นอย่างหนาแน่น ใบสีเขียวรูปเรียวยาวประมาณ 8-10 นิ้ว ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ เมื่อขยี้ใบสดจะมีกลิ่นหอมเย็น นิยมคั้นจากใบเพื่อแต่งกลิ่นและสีเขียวสวยงามในขนมต่างๆ

ใบเตยมีน้ำมันหอมระเหยอยู่ในตัว คุณค่าทางอาหารและสรรพคุณที่มีรสหวาน กลิ่นหอม มีสารคลอโรฟิลล์ช่วยลดอาการกระหายน้ำ บำรุงหัวใจ และช่วยทำให้สดชื่น อีกทั้งมีเกลือแร่ แคลเซียม และฟอสฟอรัส รากใช้เป็นยาขับปัสสาวะ ใช้รักษาเบาหวาน ใบเตยสดยังสามารถนำมาตำพอกรักษาโรคหัด โรคผิวหนัง ได้ชะงักนัก

นอกจากนี้ ถ้าเอาใบเตยหอม สดๆ จำนวน 4 ใบ พร้อมใบสดรางจืด 8 ใบ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร จนเดือดและเคี่ยว 15 นาที ดื่มขณะอุ่นครั้งละครึ่งแก้ว เช้า กลางวัน เย็น จะช่วยขับหินปูนตามข้อต่อ ให้ออกได้และทำให้ไม่ปวดข้อ เดินได้สะดวกขึ้น และยังเป็นยาช่วยล้างพิษในร่างกายได้อีกด้วย ต้มดื่มติดต่อกัน 3 วัน เว้น 1 อาทิตย์ต้มดื่มต่อ และสามารถต้มดื่มได้เรื่อยๆ ไม่มีอันตรายอะไร
 
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 14 พฤษภาคม 2553 09:10:18
น้ำตะไคร้หอม ดื่มง่าย ช่วยล้างพิษ
Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > กินดี > น้ำตะไคร้หอม ดื่มง่าย ช่วยล้างพิษ

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=962597&d=1273804700)

http://www.dailynews.co.th/newstartp...ontentId=65599 (http://www.dailynews.co.th/newstartp...ontentId=65599)

‘น้ำตะไคร้’ อาจไม่ใช่ตัวเลือกต้น ๆ ของหนุ่มสาวสมัยนี้ เวลากระหายน้ำ บ้างก็ว่าเหม็น บ้างก็ว่าดื่มยาก แต่รู้ไว้เถอะว่า น้ำตะไคร้ให้คุณค่าทางสารอาหารมากทีเดียว เช่น วิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา แคลเซียม-ฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟัน ส่วนคุณค่าทางยา ช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ขับปัสสาวะ ขับเหงื่อได้ดี ช่วยลดพิษของสารแปลกปลอมในร่างกาย ขับลมในลำไส้ทำให้เจริญอาหาร บำรุงสมองช่วยให้สมาธิดี รวมทั้งช่วยลดความดันโลหิต

สำหรับคอเหล้า นำตะไคร้ไปต้มกับน้ำใช้ดื่มแก้อาเจียน ใช้ต้นสดโขลกคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมา ในกรณีที่เมามาก ๆ วิธี้นี้ช่วยให้สร่างเมาเร็วขึ้น

มาถึงเมนูสุขภาพศุกร์นี้ ‘กินดี’ ขอเสนอ ‘น้ำตะไคร้หอม’ เพื่อสุขภาพ ใช้ส่วนผสมเพียง 3 อย่าง ได้แก่
• ตะไคร้ 20 กรัม หรือ 1 ต้น
• น้ำเชื่อม 15 กรัม หรือ 1 ช้อนคาว
• น้ำเปล่า 240 กรัม หรือ 16 ช้อนคาว

วิธีทำ นำตะไคร้มาล้างให้สะอาด หั่นเป็นท่อน ทุบให้แตก ใส่หม้อต้มกับน้ำให้เดือดกระทั่งน้ำตะไคร้ออกมาปนกับน้ำจนเป็นสีเขียว สักครู่จึงยกลง กรองเอาตะไคร้ออก เติมน้ำเชื่อมชิมรสตามชอบ

.

.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: ขม..ค่ะึึ ที่ 15 พฤษภาคม 2553 13:38:30
หวัดดีค่ะ... (:SR:)
แอบเข้าครัว...ชิมโน่น..ชิมนี้..เยอะแยะดีจัง...
ขอบคุณกับสาระดีๆ  (:fall:)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 15 พฤษภาคม 2553 15:43:23
ยินดีครับ..

.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 26 พฤษภาคม 2553 08:19:05
"น้ำลอยดอกมะลิ"หอมเย็น เคล็ดขนมไทย
http://www.manager.co.th/Travel/View...=9530000072114 (http://www.manager.co.th/Travel/View...=9530000072114)
 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 พฤษภาคม 2553 16:03 น.
 
 
 
 
ในการทำขนมไทยแบบไทยๆนั้น สิ่งที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ "น้ำลอยดอกไม้" ที่มีไว้สำหรับใช้คั้นกะทิ หรือใช้ผสมกับน้ำตาลทราย ทำเป็นน้ำเชื่อม ทำน้ำอบน้ำปรุง เพราะน้ำลอยดอกไม้มีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ว่าการทำน้ำลอยดอกไม้เขาทำกันอย่างไร "108เคล็ดกิน" จึงมีวิธีการทำมาบอกเล่าเก้าสิบกัน

ดอกไม้ที่นิยมนำมาลอยน้ำ ก็มีหลากหลายชนิดทั้ง กุหลาบ กระดังงา แต่ที่นิยมกันมากที่สุดก็คือ ดอกมะลิ การทำน้ำลอยดอกไม้ จะต้องทำเตรียมไว้ในตอนเย็น เพื่อทำขนมในวันรุ่งขึ้น เหตุผลที่ต้องทิ้งไว้ค้างคืน ก็เพื่ออบเอากลิ่นหอมของมะลิ เนื่องจากธรรมชาติของดอกมะลิ เป็นดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมในเวลากลางคืน ถ้าจะลอยด้วยดอกอื่น ควรทราบเวลาที่ดอกไม้ชนิดนั้นส่งกลิ่นจึงจะได้ผลดี

การทำก็ไม่ได้ซับซ้อน เพียงแค่เก็บดอกมะลิ ปลิดขั้วต่อกับดอกออก ล้างน้ำอย่างเบามือที่สุด ต้มน้ำให้เดือด แล้วทิ้งไว้ให้เย็น เทใส่ภาชนะเคลือบหรือถังพลาสติกอย่างดีมีฝาปิด หย่อนดอกมะลิ (แนะนำใช้ดอกตูม)ให้ลอยทีละดอก ปิดฝาให้สนิททิ้งไว้ตลอดคืน รุ่งเช้าจึงเก็บดอกมะลิขึ้นก็จะได้น้ำลอยดอกไม้แล้ว

สมัยก่อนน้ำที่นิยมใช้ในการลอยดอกไม้เป็นน้ำฝน แต่ปัจจุบันหากต้องการใช้น้ำประปา ควรรองน้ำทิ้งไว้ให้หมดกลิ่นคลอรีนก่อน การลอยดอกมะลิ ถ้าไม่ได้ใช้ดอกมะลิปลูกเอง ไม่ควรเอาดอกมะลิลอยในน้ำโดยตรง เพราะอาจมียาฆ่าแมลงตกค้าง ให้ใส่ดอกมะลิในภาชนะอื่น เช่น ขันใบเล็ก ๆ ลอยลงในน้ำอีกที
 
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 พฤษภาคม 2553 08:46:35



(:88:) (:88:) (:88:)
ชอบดื่มน้ำลอยดอกมะลิ หอมชื่นใจ
ขอบพระคุณค่ะ


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 28 พฤษภาคม 2553 09:14:19
ประโยชน์ของน้ำสมุนไพร

Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > ประโยชน์ของน้ำสมุนไพร

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=979241&d=1275013776)

สมุนไพรหลายชนิดนิยมนำมาทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีประโยชน์ของน้ำสมุนไพรแต่ละชนิดมาบอก....

- น้ำใบบัวบก : น้ำใบบัวบกมีวิตามินเอสูงมาก เหมาะสำหรับคนที่ต้องใช้สายตาทำงานหนักอยู่เป็นประจำ เพราะจะช่วยบำรุงสายตา และยังมีแคลเซียมและวิตามินบี1 สูงกว่าผักชนิดอื่น ส่วนประโยชน์อื่นๆ ของน้ำใบบัวบก คือ ใช้แก้ช้ำใน แก้ฟกช้ำดำเขียว แก้ร้อนใน บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ ถ้าดื่มทุกวันเป็นเวลา 1 อาทิตย์จะช่วยลดความดันโลหิต แก้แผลอักเสบและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้เลือดแข็งตัวเร็ว ช่วยขับปัสสาวะ

- น้ำว่านหางจระเข้ : ประโยชน์ของว่านห่างจระเข้อยู่ที่วุ้น ถ้ารับประทานจะช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้หายอ่อนเพลีย ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ ว่านหางจระเข้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อใช้สดๆ ดังนั้นเมื่อตัดออกมาแล้วควรใช้ทันที อย่าวางทิ้งไว้ และก่อนใช้ควรล้างยางสีเหลืองๆ ออกให้หมดก่อน เพื่อไม่ให้เกิดอาการคันหรือแพ้ในภายหลัง

- น้ำลูกเดือย : เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยฟอสฟอรัส จึงช่วยบำรุงกระดูกได้ดี เหมาะสำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา ช่วยให้เจริญอาหารและเหมาะที่เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้น ส่วนคนสมัยก่อนใช้น้ำลูกเดือยเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน บำรุงไต บำรุงกระเพาะอาหารและม้าม แก้อาการคลื่นไส้อาเจียน และโรคท้องร่วง

- น้ำขิง : อุดมไปด้วยแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ส่วนสารเบต้าแคโรทีนในน้ำขิงสามารถช่วยต้านมะเร็งได้ และยังเป็นยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับเสมหะ คลื่นไส้อาเจียน เมารถหรือเมาเรือ ลดการจับตัวของลิ่มเลือด ช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำดีและน้ำย่อย ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ดีขึ้น

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาดื่มน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพกันดีกว่า.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 28 พฤษภาคม 2553 09:14:57
‘น้ำใบบัวบก’ ทำตาใสปิ๊ง!

Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > ‘น้ำใบบัวบก’ ทำตาใสปิ๊ง!

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=979236&d=1275013614)

อย่าเข้าใจว่า ‘ใบบัวบก’ มีไว้ ‘แก้ช้ำใน’ อย่างเดียว เพราะสรรพคุณทางยาตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในผักใบเขียว ‘ใบบัวบก’ ยังมีอีกเพียบ อาทิ บำรุงสายตา บำรุงสมอง ควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่ ช่วยป้องกันร่างกายด้วยการกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย แก้ช้ำใน บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ขับปัสสาวะ แก้อาการเริ่มเป็นบิด ท้องร่วง เป็นยาขจัดเลือดเสีย แก้โรคผิวหนัง แก้พิษงูกัด ระดูขาว ดับพิษไข้ แก้อาเจียนเป็นเลือด และดีซ่าน เป็นต้น

บัวบก เป็นพืชปลูกง่าย มีประวัติการใช้ประโยชน์ทางยามานาน มีใช้ทั้งในตำราอายุรเวทของประเทศจีนและแพทย์แผนไทย พบมากในประเทศแถบยุโรป แอฟริกา อินเดีย ปากีสถาน และศรีลังกา พบว่า ส่วนสำคัญที่มีคุณสมบัติพิเศษอยู่ที่ ส่วนของใบและราก

ศุกร์นี้ ‘กินดี’ จึงหยิบเมนูสุขภาพทำได้ไม่ยากมาให้ลอง เมนูที่ว่าคือ น้ำใบบัวบก เตรียมส่วนผสม 3 อย่างคือ ใบบัวบก 10 กรัม, น้ำเปล่าต้มสุก 240 กรัม และน้ำเชื่อม 15 กรัม น้ำเชื่อมจะใส่มากใส่น้อย หรือไม่ใส่ก็ตามชอบ

มาถึงวิธีทำ ล้างใบบัวบกให้สะอาด นำใส่เครื่องปั่นเติมน้ำต้มสุกเล็กน้อย แล้วปั่นจนละเอียด คั้นกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำเชื่อมปรุงรสตามใจชอบ

เมนูอร่อยเพื่อสุขภาพ ท้าให้ลอง
takecaredd@gmail.com

http://www.dailynews.co.th/newstartp...ontentId=68247 (http://www.dailynews.co.th/newstartp...ontentId=68247)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 31 พฤษภาคม 2553 18:42:09
"บัวบก-ตะไคร้"ยับยั้งการเติบโตเซลล์มะเร็ง


http://www.matichon.co.th/news_detai...rpid=&catid=04 (http://www.matichon.co.th/news_detai...rpid=&catid=04)

ศ.ดร.อุษณีย์ วินิจเขตคำนวณ ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ในฐานะนักวิจัยโครงการสมองไหลกลับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ถึงงานวิจัยบัวบกและตะไคร้พืชสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ว่า จากการทดสอบการออกฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดจากบัวบกและตะไคร้ต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ในหนูขาว พบว่าสารสกัดจากบัวบกและตะไคร้มีฤทธิ์ป้องกันและยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อย่างดี โดยกลุ่มหนูขาวที่ถูกกระตุ้นให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หลังจากการได้รับสารก่อมะเร็งปนเปื้อนในอาหารประเภทปิ้งย่าง ตรวจพบจำนวนเซลล์ก่อมะเร็งขนาดใหญ่และมีเซลล์มะเร็งที่มีลักษณะเป็นเซลล์ร้ายและลุกลาม ขณะที่กลุ่มหนูขาวซึ่งได้รับสารสกัดจากใบบัวบกหรือตะไคร้ไม่ว่าก่อนหรือหลังถูกกระตุ้นให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ พบจำนวนเซลล์ก่อมะเร็งลดลงถึงร้อยละ 60 โดยเซลล์มีขนาดเล็กกว่าและไม่เกิดการลุกลาม

ศ.ดร.อุษณีย์ กล่าวว่า ในสารสกัดบัวบกมีกรดอะเซียติก (Asiatic acid) ที่เป็นสารออกฤทธิ์ทำให้เซลล์มะเร็งเกิดการทำลายตัวเอง ส่วนสารสกัดจากตะไคร้นั้นพบสารสำคัญ คือ ซิทรอล (citral) ที่มีฤทธิ์หยุดวงจรการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นการค้นพบครั้งแรกสำหรับคุณสมบัติข้อนี้ของตะไคร้ นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังใช้เทคนิค HPLC fingerprint ในการกำหนดและควบคุมสารที่สกัดจากบัวบกหรือตะไคร้ให้มีปริมาณความเข้มข้นของสารสำคัญที่แน่นอน สม่ำเสมอ ปลอดภัย และได้มาตรฐานจึงเหมาะต่อการนำไปใช้พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ เนื่องจากสมุนไพรส่วนใหญ่โดยธรรมชาติมักจะมีปริมาณสารสำคัญเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล

"เพื่อให้สามารถกำหนดปริมาณในการบริโภคสารสกัดจากบัวบกหรือตะไคร้สำหรับป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิผล ทีมวิจัยยังได้เจาะเลือดหนูขาวมาทำการศึกษา วัดอัตราและขอบเขตการออกฤทธิ์ของสารออกฤทธิ์ภายหลังการป้อนสารสกัดมาตรฐานจากบัวบกหรือตะไคร้ โดยพบว่า หนูขาวสามารถดูดซึมสารสำคัญได้ในเวลา 10 นาที และเพิ่มปริมาณสูงสุดที่เวลา 1 ชั่วโมง จากนั้นสารสกัดจะค่อยๆ ลดลงจนระทั่งหายไปจากซีรั่มภายใน 6 ชั่วโมง ซึ่งข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้คำนวณสำหรับวางแผนวิจัยเชิงคลินิกในอาสาสมัคร สำหรับหาปริมาณการบริโภคที่เหมาะสมในมนุษย์ต่อไป" ศ.ดร.อุษณีย์ กล่าว


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 31 พฤษภาคม 2553 19:00:46

(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=979236&d=1275013614)

 (:88:)   (:88:)   (:88:)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 09 มิถุนายน 2553 08:49:52
ส้มโอมือ ผลไม้เก่าแก่ตระกูลส้ม
Travel - Manager Online

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 มิถุนายน 2553 15:31 น.
 
(http://board.palungjit.com/attachment.php?attachmentid=997573&d=1276049088)

คนไทยสมัยก่อนคุ้นเคยกับส้มมือที่นำมาใช้ทำเป็นยาดม เรียกกันว่า 'ยาดมส้มโอมือ' ที่มีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ใช้สูดดมบรรเทาอาการเป็นลม หน้ามืดตาลาย แต่เชื่อว่าคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย ที่ไม่รู้ว่ายาดมส้มโอมือทำมาจาก "ผลส้มโอมือ" ซึ่งเป็นผลไม้หายากในปัจจุบัน วันนี้"108เคล็ดกิน"จึงขอพาไปทำความรู้จักผลไม้ชนิดนี้กัน

ส้มโอมือ หรือ ส้มมือ เป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในจำพวกส้ม พบได้ทั่วไปในภูมิภาคเขตร้อน ผลรูปร่างแปลกกว่าส้มอื่น มีรูปร่างเรียวยาวห้อยลงมาเป็นแฉก ๆ คล้ายนิ้วมือ บ้างก็ว่าคล้ายลำเทียน ขนาดใกล้เคียงกับนิ้วมือผู้ใหญ่ หรือใหญ่กว่า

ดอกสีขาว มีกลิ่นหอมมาก ผลมีผิวขรุขระ มีร่องแฉกคล้าย นิ้วมือกว่า 10 นิ้ว เมื่อสุกผลมีสีเหลืองสด ภายในผลสีขาว ไม่มีเมล็ด เปลือกหนาคล้ายฟองน้ำอย่างส้มโอ เนื้อแห้งไม่ชุ่มน้ำ ผิวเปลือกมีน้ำมันหอมระเหย กลิ่นหอมคล้ายกลิ่นมะนาว

ส่วนเนื้อแห้ง ไม่ฉ่ำน้ำ มักไม่นิยมนำผลมารับประทานสดเหมือนส้มทั่วไป รสชาติจืดชืดไม่อร่อยแต่จะนำเปลือกไปใช้ประกอบในการปรุงอาหาร และทำยา เพราะมีสรรพคุณในการกระตุ้นหัวใจ บำรุงหัวใจ บำรุงตับ ทำให้เลือดลมดี ไปสกัดทำน้ำมันหอมระเหย แก้อาการวิงเวียนศีรษะ คลายเครียด ในประเทศจีนและญี่ปุ่นนิยมนำไปไว้ในห้องนอนและห้องน้ำเพื่ออบกลิ่น ขณะที่ในประเทศตะวันตกรู้จักสรรพคุณทางการแพทย์ของส้มโอมือมาช้านาน ด้วยเหตุนี้ จึงตั้งชื่อส้มชนิดนี้เป็นภาษาละตินว่า medica
 
 


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 11 มิถุนายน 2553 12:45:06
สารพัดผักแก้ท้องผูก



หากการถ่ายทุกข์หนักหรือขับถ่ายอุจจาระของคุณจะเกิดขึ้นแต่ละครั้งต้องใช้เวลานานราว 2-3 วัน ก็เข้าข่ายท้องผูก ส่งผลให้อุจจาระเป็นก้อนแข็ง ขับถ่ายลำบาก เป็นนาน ๆ อาจลุกลามกลายเป็นริดสีดวง สร้างความทุกข์ทรมานให้ลมมันเย็น!...

‘มุมสุขภาพ-กินดี’ สัปดาห์นี้จึงคัดสรรสารพัดผักที่หารับประทานได้ง่าย ๆ เพื่อให้คุณผู้อ่านที่มีอาการท้องผูกซื้อหามารับประทานเพิ่มกากใยเสริมการทำงานของระบบขับถ่าย

เริ่มจาก ‘มะเขือเทศ’ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำ เพราะผักชนิดนี้ช่วยระบายท้อง แก้เลือดออกตามไรฟัน ลดความดันโลหิต แถมยังรักษาอาการตาพร่ามัว ขณะที่ ‘เกาลัด’ ช่วยบำรุงกระเพาะอาหารให้ทำงานได้ดี แก้ร้อนใน บำรุงม้าม

ส่วน ‘กะหล่ำปลี’ แก้ท้องผูกบำรุงผิว รักษาแผลในลำไส้และกระเพาะอาหาร ‘กุยช่าย’ ช่วยย่อยอาหารและบำรุงกระเพาะอาหาร แถมเสริมกำลังวังชา บำรุงพลังเพศ และที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คงเป็น ‘มะละกอ’ เลือกรับประทานแบบค่อนข้างสุกงอมจัด มีสรรพคุณช่วยระบาย

เช่นเคยกับเมนูสุขภาพ ที่ครั้งนี้ขอแนะนำ ‘เครื่องดื่มจากมะขาม’ พืชอีกชนิดที่โดดเด่นในคุณประโยชน์ช่วยขับถ่าย สูตรนี้เลือกใช้มะขามเปียก ต้มกับน้ำ แล้วใส่น้ำตาลและเกลือลงไปเล็กน้อย กลายเป็นน้ำมะขาม ดื่มครั้งละ 1 แก้ว เพราะถ้าดื่มมากเกินไป จากท้องผูกจะกลายเป็นท้องเสีย จู๊ด...จู๊ด!.

takecareDD@gmail.com
ภาพประกอบจาก www.herbsdetox.com (http://www.herbsdetox.com)
www.lifestyle.com.pk (http://www.lifestyle.com.pk)
www.indo-chine.com (http://www.indo-chine.com)
www.odorunara.wordpress.com (http://www.odorunara.wordpress.com)
www.banana-rite.co.uk (http://www.banana-rite.co.uk)
www.esquire.com (http://www.esquire.com)

.
ที่มา เดลินิวส์
Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > สารพัดผักแก้ท้องผูก
.



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 12 มิถุนายน 2553 09:04:29



(http://www.musliminventionsthailand.com/images/Animation/Chess/animation%20-%20chess%201.gif)
นำมาฝากแชมป์ Chess club.
ขอบพระคุณ คุณหนุ่มสำหรับข้อมูลดีๆ อนุโมทนาสาธุค่ะ


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 15 มิถุนายน 2553 18:19:43
ประโยชน์จากโยเกิร์ต

โยเกิร์ตเป็นอาหารที่อร่อย แถมยังมีประโยชน์มากมาย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาฝาก

- เวลาท้องเสียเป็นเพราะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่ในลำไส้ แต่เชื้อจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดเลวทั้งหลาย การกินโยเกิร์ตจึงทำให้อาการท้องเสียทุเลาอย่างรวดเร็ว ทำให้ถ่ายน้อยลงหรือหยุดถ่าย

- โยเกิร์ตมีไขมันชื่อคอนจูเกตเต็ดไลโนเลอิก ช่วยป้องกันโรคหัวใจ

- โยเกิร์ตไขมันต่ำ 1 ถ้วย เป็นแหล่งรวมของสารอาหารถึง 11 ชนิด และแต่ละชนิดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย อย่างไอโอดีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินบี 2 โปรตีน วิตามินบี 12 ทริปโทฟาน โพแทสเซียม โมลิปเดนัม สังกะสี และวิตามินบี 5

- โยเกิร์ตให้โปรตีนและแคลเซียมสูงกว่านมธรรมดา เพราะลำไส้ย่อยนมไม่ได้ แต่สำหรับโยเกิร์ตสามารถทำได้ เพราะในโยเกิร์ตมีกรดแลกติกที่จะช่วยย่อยแคลเซียมให้เล็กลง ทำให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้

- จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ร่างกายต้องการ เพราะจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ "เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร" ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ

- แคลเซียมสูงที่ได้จากโยเกิร์ตจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ความดันสูง มะเร็งลำไส้ และยังกระตุ้นระบบเผาผลาญทำให้ผอมเองโดยไม่ต้องเหนื่อย

- ทำให้ปากสะอาด กำจัดกลิ่นปากและโรคเหงือก

- เพิ่มภูมิต้านทานให้ร่างกาย เพราะแบคทีเรียในโยเกิร์ตทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินเคและบีในลำไส้ได้ดีขึ้น

รู้อย่างนี้แล้ว หันมารับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำกันดีกว่า เพื่อร่างกายที่แข็งแรง.

Daily News Online > โทรโข่ง > หน้าเกร็ดความรู้ > ประโยชน์จากโยเกิร์ต



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 15 มิถุนายน 2553 18:20:10
ใส่ใจอาหารแต่ละจาน เสริมภูมิต้านทาน...ห่างไกลมะเร็ง
ใส่ใจอาหารแต่ละจาน เสริมภูมิต้านทาน...ห่างไกลมะเร็ง - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

เอ่ยถึงโรคมะเร็งคงไม่มีใครอยากเป็น ด้วยความรู้สึกที่ว่าเป็นโรคที่น่ากลัว รักษาไม่หาย ใครเป็นแล้วจะต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคนี้ไปตลอดชีวิต ความทุกข์ทรมานจากมะเร็งร้ายนี้ ส่วนหนึ่งมาจากขาดการดูแลและเอาใจใส่ในเรื่องอาหารการกิน แต่ถ้าหากรู้จักกินอย่างถูกหลักจะสามารถช่วยป้องกันการเกิดของโรคร้ายนี้ได้ 30-40 เปอร์เซ็นต์

นพ.ศักดิ์พิศิษฎ์ นวสิริ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีรักษาและมะเร็งวิทยา โรงพยาบาลวัฒโนสถ ให้ความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการโภชนาการกับการเกิดของโรคมะเร็งให้ฟังว่า ธรรมชาติที่จะเข้าสู่ร่างกายมีทั้งน้ำ อาหาร อากาศ ทุกอย่างมีทั้งที่เป็นประโยชน์และที่ทำให้เกิดโรคกับร่างกาย ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสมัยก่อนคนเราไม่ค่อยเป็นอะไรกันนัก นานๆ ทีถึงจะเป็นโรคมะเร็งสักคนหนึ่ง นั่นเป็นเพราะว่าอยู่แบบธรรมชาติ กินแบบธรรมชาติ ไม่มีการปรุงแต่งมากนัก วัตถุดิบค่อนข้างปลอดภัย แต่ในสมัยนี้อย่างไก่ทอด เราไม่ค่อยมั่นใจว่าปลอดภัยหรือไม่ ไม่รู้ว่าเขาเลี้ยงด้วยอะไรหรือปรุงด้วยอะไรบ้าง เพราะโดยทั่วไปเนื้อไก่ไม่ได้มีโทษ แต่สิ่งที่ใส่เข้าไปในเนื้อไก่ต่างหากที่อาจเป็นอันตรายหรือก่อเกิดโรคได้

จริงๆ แล้วในแหล่งอาหารธรรมชาติที่เจอกันวันนี้จะมี 2 ส่วนด้วยกันที่ทำให้เกิดโทษ อาหารประเภทแรกที่สามารถก่อมะเร็งได้ คือ อาหารที่ราขึ้นได้ง่าย อย่างเช่น ถั่วลิสง กระเทียม แห้ง พริกป่น พริกแห้ง ซึ่งจะสร้างสารอัลฟาท็อกซิน ทำให้มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งตับได้ ต่อมา คือ พยาธิใบไม้ในตับ มาจากวิถีชีวิตที่ชอบกินปลาดิบ ก้อยดิบ ปลาจ่อม ซึ่งพยาธิใบไม้ตับจะชอบอาศัยอยู่ในอาหารเหล่านี้ แต่ถ้าทำให้สุกจะไม่เป็นอะไร เพราะพยาธิเหล่านี้จะตายเมื่อโดนความร้อน แต่คนที่ชอบกินแบบสุกๆ ดิบๆ จะได้รับไข่พยาธิเข้าไปฝังตัวในท่อน้ำดี เมื่อผ่านมาในระยะหนึ่งจะกลายเป็นมะเร็งในท่อน้ำดี

อาหารอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่อาหารธรรมชาติแต่เป็นอาหารที่ปรุงแต่งขึ้น ซึ่งตามหลักโภชนาการแล้ว อาหารหลัก 5 หมู่ เป็นอาหารที่ดีที่สุด ปลอดภัยต่อสุขภาพที่สุด เริ่มตั้งแต่ คาร์โบไฮเดรตที่ได้จากพวกแหล่งธรรมชาติ เช่น ข้าวสาลี ข้าวเจ้า ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งอาหารที่ปลอดภัย มาที่ไขมันพบว่าไขมันที่ได้จากน้ำมันพืชจะปลอดภัยกว่าน้ำมันสัตว์ ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าทานอาหารนอกบ้านจะหลีกเลี่ยงในส่วนนี้ไม่ค่อยได้
ส่วนโปรตีน อาหารประเภทเนื้อสัตว์พบว่า ในเด็กที่ยังโตไม่เต็มที่สามารถบริโภคโปรตีนได้ในปริมาณมากๆ แต่เมื่ออายุประมาณ 20-25 ปีขึ้นไป ควรหลีกเลี่ยงหรือทานโปรตีนน้อยลง เพราะเมื่อเราโตเต็มที่แล้วถ้ายังทานเหมือนเดิม ในสัดส่วนอาหารที่เท่าเดิม เราจะไม่สูงหรือเจริญเติบโตอีกแล้ว จะมีแต่พอกไว้แล้วออกด้านข้างแทน

"วัยเด็กอาจจะทานโปรตีนประมาณ 50-60 เปอร์เซ็นต์ แต่พออายุมากขึ้นจะลดลงเหลือ ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเปอร์เซ็นต์ที่หายไปนั้นจะต้องเสริมด้วยผัก ผล ไม้ จะช่วยทำให้ร่างกายได้วิตามินโดยที่ไม่ต้องไปซื้ออาหารเสริม วิตามินเสริมทั้งหลายมาบริโภคเลย เพราะอาหารหรือวิตามินเสริมเหล่านั้นก็มาจากอาหาร 5 หมู่นั่นเอง

ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งต้องลดอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ลดลง เพราะร่างกายมีความต้องการน้อยลงแต่ยังต้องการโปรตีนอยู่ เพียงแต่โปรตีนที่ต้องการไม่ใช่โปรตีนจากเนื้อสัตว์อย่างเดียว อาจจะเปลี่ยนเป็นสัตว์เนื้อขาว เช่น เนื้อไก่ เนื้อปลา และสัตว์น้ำ เพื่อให้เซลล์ผิวหนังอยู่ได้นาน เพราะเซลล์จะมีการ ซ่อมแซมตัวเอง ซึ่งโปรตีนจะเป็นวัตถุดิบให้กับร่างกายนำไปสร้างเป็นเซลล์ภูมิต้านทานในการต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย เช่น เชื้อโรคต่างๆ รวมทั้งเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่จะใช้สื่อสารระหว่างเซลล์ในการควบคุมการทำงานของเซลล์ในร่างกาย รวมทั้งระบบต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งโปรตีนจะเข้ามาช่วยในส่วนเหล่านี้"

ในส่วนวิตามินและเกลือแร่จะอยู่ในผักและผลไม้ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ร่างกายมีเซลล์ที่ไม่แก่ มีความสดชื่น เพราะมีสารอนุมูลอิสระอยู่ในแหล่งผักผลไม้ธรรมชาติเหล่านี้ โดยผักที่มีประโยชน์มากจะอยู่ใน ผักใบเขียว รวมทั้งถั่ว แครอท ตระกูลเบอรี่ทั้งหลาย เช่น สตรอเบอรี่ ราสเบอรี่ รวมทั้งแอปเปิ้ล มะละกอสุก ฟักทอง ผลไม้ที่สีจัดๆ เพราะจะมีสารอนุมูลอิสระและมีวิตามินสูง

อาหารที่ทานกันทุกวันนี้ในท้องตลาดจะมีสิ่งหนึ่งที่ใส่เข้ามา คือ สารปรุงแต่งทั้งหลาย ซึ่งของปรุงแต่งจะมีตั้งแต่น้ำมันหมู น้ำมันพืชที่นำมาประกอบอาหาร

สารปรุงแต่งในส่วนที่เรียกว่า หมัก ดองเค็ม ซึ้งเนื้อปลาโดยธรรมชาตินั้นดีมีประโยชน์ แต่เมื่อมีการนำไปปรุงแต่งขึ้น อย่างปลาเค็มในกระบวนการหมักจะมีการใส่สารไนเตรตที่สามารถเปลี่ยนเป็นสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในร่างกายได้ ซึ่งเป็นสารเคมีที่ถูกนำมาใช้เป็นสารกันเสียในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ เช่น ปลาช่อนแห้ง เนื้อเค็ม เนื้อกระป๋อง หมูแฮม เบคอน แหนม จะไปก่อมะเร็งในทางเดินอาหารด้านบนบางส่วนจะมีผลต่อมะเร็งโพรงจมูกได้อีกด้วย

อีกจำพวกหนึ่ง คือ อาหารประเภทปิ้ง ย่าง ที่มีลักษณะเกรียมๆ ดำๆ ซึ่งจะมีสารเฮทเทอโรไซคลิกเอมีนที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก แต่สามารถยับยั้งสารนี้ได้เมื่อนำอาหารไปทอดเสร็จแล้วอย่างกุนเชียง ไส้กรอก ให้ใช้มะนาวบีบลงบนส่วนที่กรอบ ๆ เกรียม ๆ จะช่วยสกัดกั้นกระบวนการที่จะก่อให้เกิดเป็นสารก่อมะเร็งได้

รวมถึงอาหารประเภทรมควันต่างๆ ซึ่งจะมีสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งตับ นอกจากนั้นยังรวมไปถึงอาหารไขมันสูงจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็ง ต่อมลูกหมาก "ซึ่งอาหารที่กล่าวมานั้นนานๆ ทานที่ได้ เพราะร่างกายคนเราเหมือนกับ กทม.ที่มาเก็บขยะได้ทัน แต่ถ้าทานบ่อยครั้งร่างกายก็ขับออกได้ไม่ทัน" นพ.ศักดิ์พิศิษฎ์ แนะนำ

โรคมะเร็งส่วนใหญ่จะเป็นกันเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากมี การสะสมมาเรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งที่ร่างกายรับไม่ได้ ก็จะแสดงอาการออกมา ถ้ายังบริโภคอาหารที่มีสารก่อมะเร็งต่อจะทำให้อาการทรุด ลง คนที่ไม่ได้เป็นก็ยังไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าจะปลอดภัยจากโรคมะเร็ง ทุกคนมีสิทธิเป็นมะเร็งได้ทั้งนั้น เพียงแต่ความต้านทาน ของแต่ละคนไม่เท่ากัน สิ่งหนึ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ คือ จะต้องระวังและหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นตัวก่อมะเร็ง ทั้งหลาย

นพ.ศักดิ์พิศิษฎ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า "อย่ากินเพราะอร่อย ทานให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมกับวัยเพราะความต้องการสารอาหารของแต่ละวัยไม่เท่ากัน โดยกินอาหารให้หลากหลาย อย่ากินอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งมากเป็นประจำ เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ และหลีกเลี่ยงการสะสมสารพิษจากอาหาร อาหารปรุงแต่งทุกชนิดที่เติมเข้าไปให้สีสันน่าทาน รสชาติถูกปากให้ประโยชน์แค่เพียงความอร่อยที่มีแค่บนลิ้นเท่านั้น และถ้ายังสร้างกิเลสไว้บนลิ้นมากๆ เราก็จะไม่ได้คุณค่าอะไรจากอาหารจานนั้น เป็นเพียงความรู้สึกที่อร่อยชั่วครู่เดียว สิ่งที่ปรุงแต่งเหล่านั้นอาจเป็นโทษกับร่างกาย อย่าไปหลงกับรูป รสชาติมากเกินไป"

ถ้าไม่อยากทรมานด้วยโรคมะเร็งร้าย ก่อนทานอะไรคิดสักนิด... แล้วชีวิตจะยืนยาว

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ
HYPERLINK "http://www.bangkokhospital.com
HYPERLINK "http://www.bangkokhealth.com


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 06 กรกฎาคม 2553 18:45:18
กิน"หมูยอ" ระวังสารกันบูด
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กรกฎาคม 2553 15:11 น.
 
 
 
 
เมื่อหลายวันก่อน "108เคล็ดกิน" นั่งดูข่าวทางโทรทัศน์ เรื่องที่ทางสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 5 นครราชสีมา ได้เตือนภัยเกี่ยวกับการกินหมูยอดิบ อาจจะมีอันตรายอาจถึงตาย เพราะเสี่ยงรับสารพิษตกค้างจากหมูยอ

เลยถือโอกาสหาข้อมูลมาฝากกันว่า แท้ที่จริงแล้วใน"หมูยอ" แทบทุกยี่ห้อที่เรา ๆท่านๆ บริโภคกันอยู่นี้ใส่ "สารกันบูด" แทบจะทุกยี่ห้อ เพราะหมูยอมีส่วนผสมหลักคือ "เนื้อหมู"และอากาศบ้านเรามีอุณหภูมิเหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์มาก ดังนั้นจึงเลี่ยงสารกันบูดไม่ได้

สารกันบูดในหมูยอที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายคือ "กรดเบนโซอิค" และ "กรดซอร์บิก" เพื่อถนอมไม่ให้หมูยอเน่าเสียก่อนถึงมือผู้บริโภค การผสมสารกันบูดนี้ผ่านความเห็นชอบจากกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ทำได้ แต่ต้องไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม เพราะถ้าใส่มากกว่านั้น จะเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภค

แต่อย่างไรก็ตามเราอจจะมีโอกาสพบเจอหมูยอที่ไม่ได้มาตราฐานและส่งผลร้ายต่อร่ายกายได้ทุกเมื่อ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงหมูยอที่ห่อด้วยพลาสติก และสังเกตวันที่หมดอายุ เพราะในอาหารเหล่านี้จะมีสปอร์ เมื่ออยู่ในภาวะที่ไร้อากาศ และความเป็นด่าง สปอร์จะงอกและผลิตสารพิษ Clostridium botulinum ออกมา หากรับประทานหมูยอที่มีพิษเข้าไปอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากจะรับประทานให้เลือกหมูยอที่ห่อด้วยใบตองจะปลอดภัยกว่า หรือควรนำหมูยอที่ซื้อมาไปลวกก่อนกินทุกครั้ง เพราะสามารถลดปริมาณสารกันบูดได้
 
 

Travel - Manager Online
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000092853 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000092853)
.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 20 กรกฎาคม 2553 17:33:58
วิธีตัดพิษเมื่อกิน "บอน"
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2553 13:29 น.
 
 
 
 
อันว่าน้ำใจหญิงเหมือนดั่งน้ำกลิ้งบนใบบอน หมายถึงใจโลเลไปมา คำกล่าวนี้จะจริงเท็จอย่างไร "108เคล็ดกิน" ไม่รู้ได้ แต่ที่รู้แน่ๆก็เรื่องของ "บอน"

บอน หรือ ต้นบอน เป็นพืชชนิดหัว อยู่ในตระกูลของเผือก มีทั้งบอนหวานและบอนคัน ขึ้นในที่ลุ่มตามห้วย หนอง คลอง บึง ชาวบ้านนิยมนำมาทำเป็นอาหาร ส่วนบอนคัน มี Calcium oxalate ทำให้คัน ใบแก่มีมากกว่าใบอ่อน ก่อนการปรุงเป็นอาหารจึงต้องต้มเคี่ยวและคั้นน้ำทิ้งก่อน 2-3 ครั้ง หรือใช้วิธีเผาก่อน แล้วจึงต้มน้ำและคั้นน้ำออก

เมื่อนำมาปรุงเป็นอาหาร มักใส่พืชที่มีรสเปรี้ยวลงไปด้วย เพื่อช่วยตัดพิษคันของบอน เช่น ส้มป่อย ยอดมะขาม น้ำมะกรูด เป็นต้น ชาวบ้านทางเหนือมีวิธีสังเกตบอนหวานและบอนคัน คือ ที่ใบและต้นของบอนหวานจะมีสีเขียวสดหรือเขียวคล้ำ ไม่มีนวล ส่วนใบของบอนคันจะมีสีเขียวนวลและมีนวลเกาะอยู่ตามก้านใบ และดอกของบอนหวานจะมีแมลงตอม แต่บอนคันไม่มี

"รากบอน" มีสรรพคุณทางยาโดยให้นำรากบอนมาต้มน้ำดื่ม แก้ท้องเสีย แก้เจ็บคอ ใครไม่เคยลิ้มรสบอนก็ลองหามาปลูกมากินดู
 
 

Travel - Manager Online

.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 28 ธันวาคม 2553 21:29:28
ค้นพบ กะเพราศักดิ์สิทธิ์ พืชชนิดใหม่ของโลก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

คณะสำรวจพรรณไม้ค้นพบ พรรณพืชชนิดใหม่ 4 ชนิด หนึ่งในนั้นคือ กะเพราศักดิ์สิทธิ์

          วันนี้ (30 สิงหาคม) มีการแถลงข่าวการค้นพบพรรณพืชชนิดใหม่ของโลก 4 ชนิด โดนนายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า คณะสำรวจพันธุ์พืช ของกรมอุทยานฯ ที่นำโดย ดร.สมราน สุดดี ผู้เชี่ยวชาญพรรณไม้วงศ์กะเพราของไทย ได้ค้นพบ พรรณไม้สกุลโมก 3 ชนิด คือ โมกการะเกตุ , โมกพะวอ , โมกนเรศวร และ กะเพรา 1 ชนิด ที่บริเวณเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูวัว จ.หนองคาย

          โดย กะเพรา ที่ถูกค้นพบในครั้งนี้ เป็นกะเพรา ชนิด Labiatae ซึ่งจะขึ้นอยู่ตามดินตื้น  ๆ บนภูเขาหินทรายตามป่าเต็งรัง ลักษณะเป็นดังนี้

           มีลำต้นเป็น สี่เหลี่ยม

           สูงประมาณ 50-60 เซ็นติเมตร

           กิ่งมีขนสั้น ๆ นุ่ม ๆ

           ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยวมีขนสาก ๆ ด้านบน เรียงตรงสลับตั้งฉาก ยาว 0.4 – 1 เซ็นติเมตร

           กลิ่นไม่ฉุนเหมือนใบกะเพราทั่วไป

           ออกดอกผล ตอนช่วงเดือนตุลาคม – ธันวาคม

           ยังไม่ทราบว่ารับประทานได้หรือไม่

          ซึ่งในขณะกำลังตีพิมพ์ประกาศเป็นพืชชนิดใหม่ของโลก ในวารสาร Thai Forest Bulletin ( Botany )เล่มที่ 38 ภายในสิ้นปีนี้ ทั้งนี้ผ่านการตรวจค้นข้อมูลแล้ว ไม่พบว่ากะเพราชนิดใหม่ที่พบเจอนี้ ไปซ้ำหรือใกล้กับกะเพราของชาติอื่น จึงสามารถเรียกได้ว่า เป็นกะเพราะชนิดใหม่ของโลก ที่จัดเป็นพืชหายากและใกล้สูญพันธุ์

          ส่วนชื่อเรียกสำหรับกะเพราชนิดใหม่นี้ อธิบดีกรมอุทยานฯ ตั้งให้ว่า กะเพราศักดิ์สิทธิ์ (Platostoma tridechii Suddee ) เพื่อเป็นการระลึกถึง ดร.ศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช อธิบดีกรมอุทยาน ที่เพิ่งเสียชีวิตไปจากการประสบอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่ จ.น่าน ที่ทำหน้าที่ในการปกป้องดูแลสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างเต็มความ สามารถ จนกระทั่งจบชีวิตลงขณะปฏิบัติหน้าที่

          อย่างไรก็ตาม นายจตุพร อธิบดีกรมอุทยานฯ ยังอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า ที่ตั้งชื่อว่า กะเพราศักดิ์สิทธิ์ นั้นเป็นเพราะคุณศักดิ์สิทธิ์ ท่านชอบกินกะเพรามาก อีกทั้งสถานที่ที่ค้นพบกะเพราชนิดนี้ก็คือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่เป็นบ้านเกิดของท่านศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก คมชัดลึก

http://hilight.kapook.com/view/51651 (http://hilight.kapook.com/view/51651)



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 28 ธันวาคม 2553 21:30:12
"พริก" อุดมด้วยประโยชน์






คม ชัดลึก :คน ไทยกับรสแซบนะคู่กันคู่กัน โดยเฉพาะรสเผ้ดของพริกถ้าไม่จัดจ้านถึงใจไม่มีที่จะอร่อยเด็ด(ยกเว้นคนไม่ กินเผ็ด) แต่รู้หรือไม่ว่านอกจากความเผ็ดแล้ว เจ้าพริกเม็ดเล็กๆ ยังอุดมด้วยประโยชน์มากมายที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง!!! และในโอกาสที่เบอร์เกอร์ คิง เปิดตัวเบอร์เกอร์ คิง แองกรี้ วอปเปอร์ ที่นำพริกชี้ฟ้ามาเป็นส่วนสำคัญ พร้อมยังเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้เรื่องพริก



 นาวา อากาศโทแพทย์หญิง อรวรรณ กิจเชวงกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพแบบองค์รวมและความงาม เผยว่า คนไทยคุ้นเคยกับรสชาติเผ็ดร้อนของพริกมานานแล้ว ซึ่งพริกถือเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยเพิ่มรสชาติอาหารไทยให้จัดจ้าน และทำให้เจริญอาหาร นอกจากนี้ในพริกยังมีส่วนประกอบของสารแคปไซซินในปริมาณสูง สารตัวนี้มีฤทธิ์ในการลดความเจ็บปวด ช่วยระบบย่อยอาหารและพริกยังสามารถสร้างสารเคลือบกระเพาะทำให้กรดกัดกระเพาะ ได้น้อยกว่าคนที่ไม่กินพริก รสเผ็ดร้อนในพริกยัง ช่วยบำรุงธาตุไฟ เพิ่มการเผาผลาญ ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย จะสังเกตได้ว่าเมื่อทานเข้าไปร่างกายจะอบอุ่นขึ้น และยังช่วยขับเหงื่อ บรรเทาอาการหวัด ลดน้ำมูก ช่วยให้หลอดลมขยายตัวและช่วยในระบบการไหลเวียนของเลือด

 "ปัจจุบัน พริกไม่ เพียงมีประโยชน์ทางด้านโภชนาการเท่านั้น แต่ในด้านการแพทย์ผิวหนังและด้านความสวยความงามยังสกัดสารแคปไซซินออกมาใน รูปแบบของครีม เจลเพื่อใช้บรรเทาอาการเจ็บปวดที่ผิวหนัง อาทิ ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก งูสวัด ฯลฯ และใช้ในการนวดสลายไขมัน ลดเซลลูไลท์ ทั้งนี้เชื่อว่าจะช่วยขยายเส้นเลือดบริเวณนั้น เมื่อใช้ร่วมกับตัวยาสลายไขมันอื่นๆ ด้วย

 นอกจากนี้ในแพทย์แผนจีน ยังใช้ประโยชน์จากพริกเพื่อบำรุงพลังหยาง ในช่วงที่ผู้ป่วยเป็นหวัดหรือโดนความเย็นมากระทบ โดยให้ทานอาหารรสเผ็ดร้อน อาทิ พริก พริกไทย จะช่วยบรรเทาอาการหวัด  ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อร่างกายแล้ว ยังส่งผลต่อจิตใจทำให้คึกคัก สดชื่น กระฉับกระเฉง เลือดลมสูบฉีด ร่างกายและจิตใจตื่นตัวมากขึ้น แต่สำหรับคนที่ธาตุไฟแกร่งควรทานพริกแต่น้อย เพราะอาจเกิดพลังหยางมากเกินไป ทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นและเป็นแผลร้อนในปากได้” ผู้เชี่ยวชาญ ให้ความรู้

.
http://www.komchadluek.net/detail/20101001/74888/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C.html (http://www.komchadluek.net/detail/20101001/74888/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C.html)

.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 28 ธันวาคม 2553 21:30:52
กิน"ขิง" สู้หนาว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 พฤศจิกายน 2553 17:14 น.



น้ำท่วมยังไม่คลาย ลมหนาวก็ย่างกรายมาเยือน ชนิดที่ทำท่าว่าปีนี้จะหนาวเอาเรื่อง เพราะน้ำเยอะ อากาศโลกเปลี่ยน
       
       เมื่อลมหนาวพัดมา หลายคนมักจะเกิดอาการคั่นเนื้อคั่นตัวเป็นหวัดเอาได้ง่ายๆ นั่นจึงทำให้คนโบราณเขาเลือกการกินอย่าง“ขิง” เป็นหนึ่งในวิธีสู้หนาว เพราะขิงเป็นสมุนไพรไทยที่มีฤทธิ์อุ่น รสร้อน
       
       โดยในขิงจะมีน้ำมันหอมระเหย ประกอบด้วย Gingerol และ Shogaol ที่จะช่วยขับเหงื่อและทำให้ร่างกายอบอุ่น ทั้งยังช่วยบรรเทาพิษไข้ เวลาหนาวๆ หากใครได้น้ำขิงร้อนๆมาจิบสักแก้วก็จะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นได้มาก ทั้งยังช่วยลดอาการไอและระคายคอจากการมีเสมหะได้ด้วย
       
       นอกจากนี้ ขิงยังมีสรรพคุณช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ และช่วยให้เจริญอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ทำให้เลือดไหลเวียนดี ลดความดัน และลดคอเลสเตอรอลได้ และจากนั้นการศึกษาวิจัยยังพบว่า ขิงมีสรรพคุณในการช่วยรักษาและบำบัดโรคข้ออักเสบอีกด้วย เพราะขิงมีฤทธิ์แก้ปวดและต้านการอักเสบได้
       
       และนี่ก็เป็นหนึ่งในวิธีสู้หนาวด้วยการกินสมุนไพรใกล้ตัว ซึ่งสำหรับหนาวนี้ใครจะลองนำไปปฏิบัติก็ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากยากเย็นแต่ อย่างใด ส่วนใครที่หนาวนี้ไม่เพียงแต่หนาวกาย หากแต่มีอาการหนาวใจตามไปด้วย งานนี้ “108 เคล็ดกิน” ขอบอกว่าคงต้องตัวใครตัวมัน เพราะช่วยกันไม่ได้จริงๆ

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000155911 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000155911)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 28 ธันวาคม 2553 21:31:24
มะพร้าว : พฤกษาแห่งชีวิต
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 พฤศจิกายน 2553 12:01 น.



นัก โภชนาการยังได้พบอีกว่า เนื้อมะพร้าวมีคาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไขมัน ไยอาหาร แคลเซียม โปแตสเซียม เหล็ก วิตามิน A. B1, B2 และ C (Robert Wetzlmayr)



สำหรับคนไทยก็เชื่อว่า มะพร้าวเป็นไม้มงคล จึงนิยมปลูกทางทิศตะวันออกของบ้าน เพราะคิดว่าจะทำให้เจ้าของบ้านอยู่เย็นเป็นสุข



คน ไทยเรียกมะพร้าวหลายชื่อเช่น หมากอุ๋น หมากอูน โพล หรือถุง แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์แล้ว มะพร้าวมีชื่อว่า Cocos nucifera ในวงศ์ Palmae เพราะมาจากคำ cocos ซึ่งเป็นคำในภาษาโปรตุเกส
       
       นักประวัติศาสตร์ได้พบหลักฐานที่แสดงว่า มะพร้าวมีถิ่นกำเนิดในอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ นิวซีแลนด์ และ Marianas เมื่อ Marco Polo เดินทางเยือนจีนในคริสต์ศตวรรษที่ 9 เขาได้บันทึกการเห็นมะพร้าวว่ามีลำต้นประหลาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ครั้นเมื่อชาวสเปนได้เห็นมะพร้าวที่ชาวโปรตุเกสนำมาจากเอเชีย จึงได้นำมะพร้าวไปปลูกใน West Africa และอเมริกาใต้ จากนั้นมะพร้าวก็ได้แพร่พันธุ์ไปทั่วโลก
       
       ตามปรกติมะพร้าวชอบขึ้นในแถบร้อน โดยเฉพาะในบริเวณชายทะเลที่มีดินร่วนปนทราย และในที่ ๆ มีฝนตกน้อยกว่า 60 เซนติเมตร/ปี นักชีววิทยาบางคนไม่คิดว่ามะพร้าว คือ ต้นไม้ เพราะลำต้นไม่มีกิ่ง และไม่มีเปลือกเหมือนต้นไม้ทั่วไป แต่เป็นทรงกระบอกที่มีขนาดค่อนข้างสม่ำเสมอ และไม่มีวงปี นอกจากนี้ ลำต้นก็ไม่มีตาสำหรับให้ใบแตกแขนง คือ ใบจะแตกที่ยอด ซึ่งจะเติบโตสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมะพร้าวไม่มีวงปี ดังนั้น เวลานักพฤกษศาสตร์ต้องการรู้อายุของต้นมะพร้าว เขาจะใช้วิธีนับรอยแผลที่เกิดจากการหลุดร่วงของใบ ทั้งนี้เพราะมะพร้าวจะผลัดใบราว 12-14 ใบในแต่ละปี ดังนั้นในปีหนึ่ง ๆ รอยแผลที่ลำต้นจะมีตั้งแต่ 12-14 แผล
       
       ใบมะพร้าวเป็นใบประกอบ แบบขนานโดยแตกเป็นคู่ ๆ ใบมีขนาดใหญ่และยาว ตั้งแต่ 4.5-6.0 เมตร ใบอ่อนเกิดที่ใจกลางของยอดและมีลักษณะเรียวยาวคล้ายดาบ ใบที่ยังอ่อนจะมีกาบใบหุ้ม แต่เมื่อใบมีอายุมากขึ้น ใบอ่อนจะแผ่ขยายกว้าง และเอนออกจากลำต้น ดอกมะพร้าวมีกลีบดอก 6 กลีบ ดอกมีสีครีม หรือเหลืองนวล ดอกมี 3 ประเภทคือ ดอกตัวผู้ ดอกตัวเมีย และดอกกะเทย ซึ่งมักอยู่แยกกัน ถึงจะอยู่บนต้นเดียวกัน ดอกออกเป็นช่อ และเป็นส่วนที่ชาวสวนเรียกว่า จั่น ซึ่งเมื่อโตเต็มที่จั่นจะยาวตั้งแต่ 0.75-2.00 เมตร โดยทั่วไปดอกมะพร้าวจะเริ่มบานจากปลายมาโคนจั่น ดอกตัวเมียมีขนาดตั้งแต่ 1-3 เซนติเมตร ส่วนดอกกะเทยจะใหญ่ประมาณ 10-55% ของดอกตัวเมีย มะพร้าวต้นหนึ่งมีดอกตัวผู้ตั้งแต่ 200-300ดอก
       
       ผลมะพร้าวทุกผลมีเปลือกหุ้ม โดยชั้นนอกเป็นใยเหนียวแข็ง มีสีเขียว แดง เหลือง หรือน้ำตาล ชั้นกลางเป็นเส้นใยที่หนาพอประมาณ ส่วนชั้นในหรือที่เรียกว่า กะลานั้นแข็งมาก สำหรับเมล็ดมะพร้าวนั้นก็คือ เนื้อมะพร้าวรูปแบบหนึ่ง ขณะผลยังอ่อนอยู่ ภายในเมล็ดจะมีน้ำมะพร้าวเต็ม แต่เมื่อผลแก่ น้ำมะพร้าวส่วนหนึ่งจะแห้งไป
       
       ประเทศไทยมีสวนมะพร้าวประมาณ 2.5 ล้านไร่ ในพื้นที่ภาคกลาง และใต้ หรือตามบริเวณชายทะเล เพราะต้นมะพร้าวขึ้นได้ดีในแถบร้อน และตามที่สูงตั้งแต่ที่ระดับน้ำทะเลจนถึง 900 เมตร หรือตามชายฝั่งที่มีการระบายน้ำดี และมีน้ำใต้ดินผ่าน ส่วนบริเวณที่มีฝนตกมากกว่า 100 เซนติเมตร/ปี และมีอุณหภูมิตั้งแต่ 20-34 องศาเซลเซียสนั้นเป็นพื้นที่ ๆ เหมาะสำหรับการปลูก เพราะไม่ร้อนจัดและไม่เย็นจัด นอกจากนี้ ชาวสวนยังพบอีกว่า มะพร้าวต้องการแดดมาก ดังนั้นต้นที่ปลูกในที่ร่มจะเติบโตช้า กว่าต้นที่ถูกแดดตลอดเวลาส่วนลมที่พัดในสวนก็สมควรเป็นลมอ่อน ๆ เพราะถ้าลมพัดแรงต้นมะพร้าวอาจล้ม
       โรคที่มะพร้าวเป็นคือโรคยอดเน่า ส่วนศัตรู คือ ด้วงมะพร้าว ซึ่งชาวสวนสามารถกำจัดได้โดยใช้ยากำจัดแมลง
       
       ในการคัดเลือกพันธุ์มาปลูกตามปรกติชาวสวนจะใช้ผลที่มีหน่อแก่จัดและโคนหน่อมีขนาดใหญ่ และมี
       ลำต้นอวบ ผลมะพร้าวที่มีขนาดเล็ก และมีน้ำน้อยจะไม่ถูกเลือกมาเพาะ อนึ่งเวลาจะเพาะมะพร้าวชาวสวนจะเลือกสถานที่ใกล้น้ำ และดินเป็นดินทราย ในตอนต้นฤดูฝน ชาวสวนจะนำหน่อที่ต้องการปลูกใส่ในหลุม แล้วกลบดินให้เสมอผิว และรดน้ำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง พร้อมกับทำความสะอาดหลุมปลูก ไม่ให้มีหญ้ารกรุงรัง สำหรับแบบแผนปลูกนั้น ชาวสวนนิยมปลูกแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส โดยให้มีระยะห่างระหว่างต้นเท่า ๆ กัน คือห่างตั้งตา 9-12 เมตร
       
       วิถีชีวิตของมะพร้าว มีรูปแบบในทำนองเดียวกับคน คือ จะออกผลเต็มที่เมื่ออายุ 12-13 ปี และให้ผลจนอายุ 60 ปี จากนั้นก็หยุดและตายเมื่ออายุตั้งแต่ 80-90 ปี โดยต้นที่ได้ปุ๋ยดีจะให้ผลตั้งแต่ 70-120 ลูก/ปี อนึ่งเวลาเก็บผลชาวสวนมักคอยจนผลตกจากต้น
       
       ในบทบาทที่เป็นอาหารนั้น ชาวสวนพบว่าเวลาเอามีดตัดปลายจั่นมะพร้าว แล้วนำไปนวดจะมีน้ำหวานไหลออกมา ซึ่งน้ำหวานนี้สามารถนำไปทำน้ำตาล ดื่ม หรือทำเหล้าได้ น้ำมะพร้าวสามารถใช้รับประทานสดได้ส่วนเนื้อมะพร้าวสดใช้ปรุงอาหาร ทำขนม หรือน้ำมัน สำหรับกากมะพร้าวใช้เป็นอาหารสัตว์ และยอดอ่อนใช้เป็นอาหาร
       
       นักโภชนาการยังได้พบอีกว่า เนื้อมะพร้าวมีคาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไขมัน ไยอาหาร แคลเซียม โปแตสเซียม เหล็ก วิตามิน A. B1, B2 และ C สำหรับบทบาทที่เป็นยา แพทย์ชาวบ้านก็ได้พบว่า เปลือกต้นมะพร้าวเมื่อนำมาเคี้ยว สามารถใช้เป็นยาแก้ปวดฟันได้ ส่วนเถ้าที่เกิดจากการเผาลำต้น ก็สามารถนำมาทำยาสีฟันได้ ดอกมะพร้าวใช้เคี้ยวแก้เจ็บปาก เจ็บคอ ท้องเสีย ร้อนใน กระหายน้ำ ขับเสมหะ และบำรุงโลหิต เนื้อมะพร้าวมี glycerine ที่ทำหน้าที่บำรุงกำลัง ขับปัสสาวะ เป็นอาหารคาว หวาน ใช้ทำกะทิ ทำสบู่ น้ำมะพร้าวใช้แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้พิษ น้ำมันมะพร้าวใช้ยาบำรุงกำลัง ทำไขมัน ทำเนยเทียม แก้ปวดกระดูก ถ่านกะลาใช้ดูดควันพิษ รากมีรสฟาก แก้ท้องเสีย ทำน้ำอมปาก แก้เจ็บคอ ใบใช้มุงหลังคา จักสาน ห่อขนม ก้านใบใช้ทำไม้กวาด หมวก กระเป๋าถือ ตะกร้า ไม้จิ้มฟัน ทำไซดักปลา ไม้กลัด ทำของเล่นเด็ก กะลาใช้ทำจาน แก้วน้ำ ซ้อน มีด ที่เขี่ยบุหรี่ ของที่ระลึก ทำกระดุมและหัวเข็มขัด ลำต้นแก่ใช้ประดิษฐ์เป็นเครื่องเรือน เป็นวัสดุก่อสร้าง ที่อาศัย เก้าอี้ เตียง ฟูก เปลือกมะพร้าวใช้สกัดเป็นใย ใชทำเชือก พรม วัสดุยัดเบาะ ในสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 แพทย์ทหารใช้น้ำมัดมะพร้าว ต่างสารละลาย glucose เพื่อฉีดเข้าเส้นเลือดของทหาร
       คุณประโยชน์ที่มหาศาลเช่นนี้ ได้ทำให้ชาวฟิลิปปินส์ชื่นชมและยกว่า มะพร้าวว่าเป็นพฤกษาแห่งชีวิต
       
       สำหรับคนไทยก็เชื่อว่า มะพร้าวเป็นไม้มงคล จึงนิยมปลูกทางทิศตะวันออกของบ้าน เพราะคิดว่าจะทำให้เจ้าของบ้านอยู่เย็นเป็นสุข ในพิธีเทศกาลชาวบ้านมักใช้ใบตกแต่งซุ้ม แห่ขันหมาก คนภาคใต้นิยมให้หญิงมีครรภ์ดื่มน้ำมะพร้าว เพราะเชื่อว่าสามารถทำให้ประจำเดือนหยุดก่อนวัยอันควร แต่คนภาคกลางนิยมให้สตรีมีครรภ์ดื่มเพราะเชื่อว่า จะทำให้ผิวทารกที่คลอดใหม่สดใส และคนที่เป็นแม่จะคลอดลูกได้สะดวก นอกจากนี้ คนบางคนยังเชื่ออีกว่า น้ำมะพร้าวที่สะอาด จะสามารถใช้อาบศพได้ด้วย
       
       ในบทบาทที่เกี่ยวกับความงามโดยทั่วไป ที่หาดเวลาลมพัดเบา ๆ ใบมะพร้าวจะโบกไปมา และส่งเสียงเบา ๆ ลำต้นที่ตั้งตรงทำให้ดูเสมือนต้นมะพร้าวกำลังเต้นบัลเลท์ หรือเวลาพระอาทิตย์ตกดินในบรรดาหาดทรายขาวซึ่งมีน้ำทะเลสีน้ำเงิน คงไม่มีหาดใดที่สวยงามเท่าหาดที่มีทิวมะพร้าวขึ้นเรียงรายตามชายหาดเป็นแน่
       
       ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมานี้ มะพร้าวจึงสมควรที่ได้ชื่อว่า เป็นต้นไม้แห่งชาติฟิลิปปินส์ เพราะในชาติทุกคนผูกพันกับมะพร้าวมาก และใครก็ตามที่นับดาวได้ทั่วฟ้า เขาก็จะรู้ประโยชน์ของมะพร้าวได้มากเท่านั้น
       
       ในวารสาร Current Biology ฉบับที่ 19 หน้า R1069 ปี 2010 Julian Finn แห่ง Museum Victoria ที่ Melbourne ใน Australia ได้รายงานว่า ปลาหมึก Amphioctopus marginatus ที่มีหนวดขนาด 8 เส้น รู้จักใช้กะลามะพร้าวเป็นเกราะกำบังตัว นี่เป็นหลักฐานชิ้นแรกของโลก ที่แสดงว่า สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังก็รู้จักใช้อุปกรณ์ เพราะนักชีววิทยาคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่รู้จักใช้อุปกรณ์เป็นสัตว์ฉลาด เช่น มนุษย์ ลิง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และนก ต่างก็รู้จักใช้อุปกรณ์เช่นกัน ดังนั้นตามคำจำกัดความนี้ ปลาหมึก ที่ใช้กะลามะพร้าวปกป้อง และเป็นที่อยู่โดยการแฝงตัวในกะลาครึ่งซีกจึงเป็นสัตว์ฉลาด เพราะเวลาศัตรูเข้ามาใกล้ ปลาหมึกจะพลิกตัวเข้าไปในกะลาให้หุ้มเพื่อปกป้องตัวมันและเมื่อศัตรูเดินไป ไกลแล้ว มันก็จะทิ้งกะลาไปเพื่อจะได้ใช้ในกะลานั้นให้หุ้มปกป้องมันโอกาสต่อไป
       
       ณ วันนี้ น้ำมะพร้าวกำลังเป็นที่นิยมดื่มในอเมริกามาก หลังจากที่ดาราดังเช่น Madonna, Matthew McConaughey และ Demi Moore ได้ออกมาสนับสนุน ว่า น้ำมะพร้าวที่บรรจุในกล่องกระดาษของบริษัท Vita Coco เป็นน้ำดื่มสุขภาพที่ควรได้รับความนิยม เพราะมีแคลอรีน้อยและมีสารอาหารเช่นโปแตสเซียม มากกว่ากล้วย อีกทั้งมีน้ำตาลน้อยกว่า น้ำอัดลมทั่วไป ดังนั้น จึงสามารถใช้ดื่มสำหรับคนที่เป็นโรคอ้วนได้
       
       สุทัศน์ ยกส้าน เมธีวิจัยอาวุโส สกว.

.


http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9530000156291 (http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9530000156291)

.



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 28 ธันวาคม 2553 21:31:51
กระเจี๊ยบแดง-พุทราจีน ลดไขมันในเลือด




‘มุม สุขภาพ-กินดี’ ส่งท้ายวันทำงานก่อนไปหยุดพักผ่อน ด้วยเมนูเครื่องดื่มสุขภาพ ‘น้ำกระเจี๊ยบแดงและพุทราจีน’ ที่ช่วยลดไขมันในเลือด หินปูนในหลอดเลือด และบำรุงเยื่อหุ้มหัวใจ เผื่อผู้อ่านรักษ์สุขภาพจะได้นำไปลองปรุงดื่มกันดู

สำหรับ สรรพคุณของกระเจี๊ยบแดงนั้น ช่วยลดไขมันในหลอดเลือด ลดความดันเลือด ลดความข้นในกรณีที่เลือดหนืด ป้องกันเส้นเลือดเสื่อมสภาพ ช่วยให้ตับหลั่งน้ำดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ และลดน้ำหนัก ส่วนพุทราจีน มีประโยชน์ช่วยบำรุงเลือด ลดโอกาสเสี่ยงผนังเส้นเลือดแข็งตัว ป้องกันหลอดเลือดหัวใจและสมองตีบตัน

ขั้น ตอนในการทำง่ายแสนง่าย เพียง เตรียมกระเจี๊ยบแดง พุทราจีน ในสัดส่วนที่เท่ากัน จากนั้นนำไปต้มกับน้ำสะอาดในปริมาณที่พอเหมาะ เติมน้ำตาลทรายแดงลงไปเล็กน้อย เมื่อน้ำตาลทรายแดงละลายก็เป็นอันเสร็จ สามารถเติมน้ำแข็งเพื่อเพิ่มความสดชื่นและดื่มได้ทันที หรือแช่ตู้เย็นเก็บไว้ดื่มได้.

takecareDD@gmail.com

http://www.dailynews.co.th/newstartp...ntentId=106394 (http://www.dailynews.co.th/newstartp...ntentId=106394)

.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 28 ธันวาคม 2553 21:32:19
น้ำมะเขือเทศ ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

         นัก วิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษเผยสรรพคุณสุดมหัศจรรย์ของน้ำมะเขือเทศ ว่าเป็นผลไม้ที่สามารถช่วยเสริมสร้างกระดูก และป้องกันโรคกระดูกพรุนได้

         โดยในมะเขือเทศนั้น มี ไลโคพีน และสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดความเสี่ยงของมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย และป้องกันโรคหัวใจได้อีกด้วย

         ซึ่ง นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตรอนโต แคนาดา ได้ทำการวิจัยและพบว่า ปัจจุบันนี้มีผู้ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนกว่า 3 ล้านคนทั่วประเทศอังกฤษ จึงได้ทำการทดสอบกับผู้หญิงวัยทอง (50-60 ปี) จำนวน 60 คนทั่วประเทศ โดยให้พวกเธองดกินมะเขือเทศเป็นเวลา 1 เดือน และจากการวิจัยดังกล่าว ให้ผลออกมาว่า ผู้หญิงที่ไม่ได้กินมะเขือเทศเลย จะมีระดับ N-telopeptide ในเลือดสูงขึ้น โดย N-telopeptide นี้จะทำให้กระดูกเปราะได้ง่าย

         จากนั้น ทีมวิจัยได้ให้ผู้หญิงกลุ่มเดิมรับประทานมะเขือเทศที่มีปริมาณไลโคพีน 15 มิลลิกรัม ทั้งในรูปแบบแคปซูล และรูปแบบอื่น ๆ ซึ่งผลก็พบว่ามะเขือเทศสามารถลดระดับ N-telopeptide ในเลือดให้ลดลงได้

         จากการวิจัยดังกล่าว นักวิจัยจึงสรุปได้ว่า มะเขือเทศนั้นมีคุณประโยชน์ต่อกระดูกมากมาย ดังนั้น การรับประทานมะเขือเทศสกัดในรูปแคปซูล หรือจะเป็นน้ำมะเขือเทศคั้นสดวันละ 2 แก้ว ก็สามารถเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงขึ้น และยังลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย

http://health.kapook.com/view19008.html (http://health.kapook.com/view19008.html)

.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 28 ธันวาคม 2553 21:32:44
กิน “ผักบุ้ง” บำรุงสายตา
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 2 ธันวาคม 2553 14:28 น.
 

หลายๆ คนคงเคยได้ยินกันมาบ้างว่ากิน “ผักบุ้ง” แล้วทำให้ตาหวาน ตาสวยได้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลย เพราะว่าผักบุ้งมีสารที่สามารถเปลี่ยนไปเป็นวิตามิน A ที่เรียกว่า เบต้า-แคโรทีนเยอะมาก แล้ววิตามิน A นี้เองเป็นสารที่ช่วยบำรุงสายตา ช่วยให้ดวงตามีน้ำหล่อเลี้ยงให้ตาเป็นประกาย ไม่แสบ ไม่แห้ง แล้วยังมีสรรพคุณแก้ตาฟางหรือตาบอดกลางคืนได้ ช่วยให้หายแสบตาจากอาการตาแห้ง และลดอาการปวดกระบอกตาในกรณีที่ใช้สายตาเยอะ ๆ และอยากจะบอกอีกว่าผักบุ้งไมได้มีแต่วิตามิน A เท่านั้น ยังมีวิตามิน C ด้วย แต่ถ้าอยากได้วิตามิน C จากผักบุ้ง ก็ต้องกินผักบุ้งดิบ ทั้งวิตามิน A และวิตามิน C รวมถึงเบต้า-แคโรทีน เป็นวิตามินที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้ด้วย
       
       นอกจากนี้ในผักบุ้งยังมีเกลือแร่ มีธาตุเหล็กที่ช่วยบำรุงเลือด อีกทั้งแคลเซียม และฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงกระดูก รวมถึงมีเส้นใยอาหารช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย และในผักบุ้งมีสารชนิดหนึ่งที่มีโครงสร้างคล้ายอินซูลินที่สามารถลดน้ำตาลใน กระแสเลือดสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน และผักบุ้งเป็นผักที่มีฤทธิ์เย็นจึงช่วยบรรเทาอาการร้อนในได้ และประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของผักบุ้งที่ไม่ค่อยมีใครรู้ก็คือ ผักบุ้งเป็นหนึ่งในตำรายาไทย คือถือเป็นยาเย็นแก้ถอนพิษเมื่อเมาอีกด้วย

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000163231 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9530000163231)


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 28 ธันวาคม 2553 21:33:09
สุขภาพดีไม่มีขาย…มากินตะไคร้ ต้านหวัดกันเถอะ

คมชัดลึก :ใน ช่วงสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย คงจะทำให้หลายคนเกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล เป็นหวัดกันได้ง่ายๆ เราจึงต้องดูแลสุขภาพกันให้มากๆ โดยเริ่มต้นจากอาหารที่เรากิน ซึ่งอาหารและสมุนไพรไทยมีหลายชนิดที่มีสรรพคุณต้านหวัด หรือบรรเทาอาการของโรคหวัดได้ หนึ่งในนั้นก็คือ "ตะไคร้"

สรรพคุณใน การรักษาโรค ต่างๆ ของตะไคร้มาจากน้ำมันหอมระเหยหลายชนิดที่มีอยู่ในใบและลำต้น ตะไคร้เป็นสมุนไพรที่คนไทยและอีกหลายประเทศใช้บรรเทาอาการหวัดมานานแล้ว โดยสามารถช่วยลดไข้ แก้ปวดหัว เพิ่มภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายอบอุ่น และที่สำคัญคือช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดี

 สำหรับบางคนที่อาจจะไม่ ชอบรับประทานตะไคร้สด การนำตะไคร้มาทำเป็นเครื่องดื่มก็จะทำให้รับประทานได้ง่ายขึ้น วิธีการทำก็ไม่ยาก เพียงนำใบตะไคร้และต้นตะไคร้สดทุบพอละเอียดแล้วมาต้มกับน้ำให้เดือดสักครู่ พักไว้ให้พออุ่นๆ แล้วนำมาดื่มหลังอาหารหรือดื่มเป็นระยะๆ ตลอดทั้งวันก็จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย หายใจโล่ง ถ้าใครไม่ชอบดื่มจืดๆ ก็อาจจะเติมน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมลงไปเพิ่มความหวานเล็กน้อย หรือลองนำตะไคร้มาต้มกับใบเตยสดหรือขิงสดก็จะได้รสชาติและกลิ่นหอมไปอีกแบบ แถมยังช่วยต้านหวัดได้อีกด้วย

 หากใครมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ลองนำตะไคร้มาต้มรวมกับหอมแดงและใบมะขามจนเดือดนานพอควร แล้วคอยสูดไอน้ำที่ลอยขึ้นมา ทำวันละหลายๆ ครั้ง จะช่วยลดน้ำมูกและทำให้หายใจโล่งขึ้น ไม่คัดจมูก สูตรนี้ใช้กันมาแต่โบราณทีเดียว

 ตะไคร้ยังมีสรรพคุณเป็นยาขับลม เพราะน้ำมันหอมระเหยมีฤทธิ์กระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว จึงช่วยลดการแน่น จุกเสียด แก้ท้องอืด ช่วยเจริญอาหาร บำรุงสมอง ช่วยให้สมาธิดี ลดความดันโลหิตสูง ขับเหงื่อและช่วยรักษาโรคหืด นอกจากนี้น้ำมันตะไคร้ยังนำมาทาแก้ปวดเมื่อยได้ผลอย่าบอกใคร

 ด้วย กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์และรสชาติเฉพาะตัวของตะไคร้ คนไทยจึงนิยมนำมาช่วยชูรสและเป็นเครื่องปรุงสำคัญของอาหารหลากหลายชนิด รวมถึงการนำมายัดไส้หรือผสมในอาหารประเภทเนื้อสัตว์เพื่อช่วยดับคาวและทำให้ อาหารมีกลิ่นหอม เรียกว่าได้ทั้งความอร่อยและคุณค่าจากตะไคร้ในคราวเดียว

 สำหรับ คนที่ไม่สะดวกจะนำตะไคร้สดมาปรุงอาหารหรือทำเป็นเครื่องดื่มรับ ประทานเอง ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ตะไคร้แปรรูปหลายชนิด ให้ได้เลือกซื้อง่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเครื่องดื่มตะไคร้ผงสำเร็จรูปที่มาในรูปแบบต่างๆ กันไป เช่น ชาตะไคร้ ตะไคร้ผงสำหรับชง หรือเครื่องดื่มตะไคร้ผสมสมุนไพร เป็นต้น ซึ่งเหมาะกับคนที่รักสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง

 อย่างไรก็ตามการซื้อ เครื่องดื่มตะไคร้สำเร็จรูป เราต้องพิจารณาถึงส่วนประกอบของเครื่องดื่มให้ถ้วนถี่ โดยควรสังเกตและเลือกผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากธรรมชาติแท้ๆ เพื่อให้ได้คุณค่าจากตะไคร้อย่างเต็มที่  เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่แต่งสีแต่งกลิ่น ไม่ใส่วัตถุกันเสีย ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาลให้รสหวานมากเกินไป เพื่อสุขภาพอนามัยของผู้รับประทานในครอบครัว เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถรับมือกับสภาพอากาศที่แปรเปลี่ยนได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องกลัวเป็นหวัดอีกต่อไป

ที่มา คมชัดลึก http://www.komchadluek.net/detail/20101203/81514/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E2%80%A6%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%B0.html (http://www.komchadluek.net/detail/20101203/81514/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E2%80%A6%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%96%E0%B8%AD%E0%B8%B0.html)

.



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 28 ธันวาคม 2553 21:34:00
“วาซาบิสด” รสชาติญี่ปุ่น สรรพคุณล้นเหลือ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 ธันวาคม 2553 14:50 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/553000018756501.JPEG)

       “วาซาบิ” เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการกินอาหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะอาหารพวกซูชิ หรือปลาดิบทั้งหลาย และที่ “108 เคล็ดกิน” จะพูดถึงในวันนี้ก็คือ “วาซาบิสด” ที่ทำมาจากโคนลำต้นของต้น Canola แล้วนำมาฝนด้วยแผ่นหนังปลาฉลาม ก็จะได้วาซาบิสดที่กินคู่กับอาหารญี่ปุ่นหลายชนิด
       
       รสเผ็ดของวาซาบิจะแตกต่างกับความเผ็ดของพริก คือจะมีรสเผ็ดขึ้นจมูกอยู่เพียงชั่วครู่ วาซาบิจะระเหยได้ง่ายโดยเฉพาะหากโดนน้ำและความร้อน และแนะนำว่า หากจะกินวาซาบิคู่กับโชยุ อย่านำทั้งสองอย่างลงไปผสมกัน เพราะวาซาบิจะละลายไปกับโชยุได้ง่าย ซึ่งจะทำให้รสชาติที่แท้จริงของวาซาบิผิดเพี้ยนไป
       
       ส่วนสรรพคุณของวาซาบินั้น นอกจากจะช่วยชูรสชาติอาหารให้อร่อยยิ่งขึ้นแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย อาทิ
       
       - ใช้ยับยั้งเชื้อโรคและเชื้อรา วาซาบิมีสรรพคุณลดการแพร่พันธุ์ของเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ
       
       - ใช้ยับยั้งพยาธิ มีผลหยุดการเกิดพยาธิที่อาศัยอยู่ในสัตว์ทะเล
       
       - ใช้ยับยั้งมะเร็งกระเพาะอาหาร หยุดการเจริญเติบโตและการกระจายตัวของเซลล์มะเร็งในกระเพาะอาหาร
       
       - ใช้ป้องกันเส้นเลือดตีบ ป้องกันเลือดแข็งตัวเป็นก้อน
       
       นอกจากนี้ ยังใช้กระตุ้นการดูดซับในระบบย่อยอาหาร ป้องกันการท้องเสีย ทำให้กระดูกแข็งแรง รวมถึงช่วยกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในการกำจัดเซลล์ที่เริ่มผิดปกติ
       
       สรรพคุณยาวเป็นหางว่าวแบบนี้ เห็นที “108 เคล็ดกิน” คงต้องรีบไปเสาะหา “วาซาบิสด” มากินเสียแล้ว

.



.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 31 ธันวาคม 2553 09:49:17
ให้ ‘ลูกแพร์-วอเตอร์เครส’ ขับของเสีย

(http://www.dailynews.co.th/content/images/1012/30/etc/hl311210.jpg)

ส่ง ท้ายปี 2553 ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ เตรียมสูตรเครื่องดื่มเพื่อการล้างของเสีย ช่วยให้ร่างกายสะอาด มาฝากผู้อ่านรักษ์สุขภาพ ได้นำสูตรเครื่องดื่มจากธรรมชาติไปสกัดดื่มให้ร่างกายแข็งแรงรับปีใหม่

สูตร นี้มีส่วนผสมไม่กี่ชนิด เริ่มจาก ลูกแพร์ มีวิตามินซี กรดโฟลิก แคลเซียม โพแทสเซียม แมกนีเซียม และไนอาซิน ช่วยขับปัสสาวะ ทำความสะอาดทั้งไต ไส้ตรง รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ลดคอเรสเตอรอล ต้านอนุมูลอิสระ ขับโลหะหนักและของเสียที่สะสมอยู่ในร่างกาย

และ วอเตอร์เครส อุดมด้วย วิตามินซี คลอโรฟีลล์ เหล็ก กำมะถัน ไบโอติน เบต้าแคโรทีน แคลเซียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และไฟโตเคมิคอล รวมทั้งไอโซไทโอไซยาเนต ที่ช่วยทำลายสารก่อมะเร็ง ดีต่อลำไส้ใหญ่และทางเดินอาหาร ล้างพิษออกจากตับและไต ฟอกเลือด ล้างของเสียออกจากร่างกาย

สำหรับส่วนผสมให้เตรียมตามสัดส่วนต่อไปนี้...

* ลูกแพร์สุกเต็มที่ 1 ถ้วย
* วอเตอร์เครส 1/2 ถ้วย
* น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย


ส่วน ขั้นตอนในการทำง่าย ๆ สั้น ๆ เพียงหั่นลูกแพร์เป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า หั่นวอเตอร์เครสพอหยาบ สกัดเอาแต่น้ำด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสิร์ฟพร้อมน้ำแข็งเย็นชื่นใจ

ปีหน้าขอให้สุขภาพดีกันถ้วนหน้า ด้วยความปรารถนาดีจาก ‘มุมสุขภาพ’

takecareDD@gmail.com

Daily News Online > โทรโข่ง > หน้ามุมสุขภาพ > ให้ ‘ลูกแพร์-วอเตอร์เครส’ ขับของเสีย

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=112859 (http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=457&contentId=112859)

.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 01 มกราคม 2554 08:01:05
“ไซบูทรามีน” ภัยจากกาแฟลดความอ้วน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 ธันวาคม 2553 14:24 น.

จากที่ได้เห็นการโฆษณากาแฟลดความอ้วนจากหลากหลายทาง ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ อินเตอรเน็ต หรือแม้แต่ตามร้านค้าทั่วไป ซึ่งหลายคนก็คงอยากจะลองใช้ดูบ้าง

แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งมีข่าวการเข้าจับกุมแหล่งขายกาแฟลดความ อ้วนที่ผสมสารอันตรายหลายยี่ห้อ ซึ่งเมื่อได้นำมาตรวจสอบแล้วก็พบสารไซบูทรามีน (Sibutramine) ผสมอยู่ในตัวผลิตภัณฑ์

สารไซบูทรามีนจัดเป็นยาควบคุมพิเศษที่ใช้ในคลินิก สำหรับลดความอ้วน ซึ่งตอนนี้องค์การอาหารและยาได้ประกาศยกเลิกตำรับยาแล้ว เพราะมีอันตรายที่อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ โดยอยู่ระหว่างการเรียกคืนจากร้านขายยา คลินิกและโรงพยาบาลทุกแห่ง ยี่ห้อการค้าในท้องตลาดคือรีดัคทิล (Reductil)

วิธีการสังเกตว่ากาแฟที่กินอยู่ผสมสารไซบูทรามีนหรือไม่ ให้ดูจากการอวดอ้างสรรพคุณ ซึ่งกาแฟกลุ่มนี้จะอวดอ้างสรรพคุณเรื่องรูปร่างดี เมื่อกินเข้าไปเริ่มแรกจะมีอาการใจสั่น หวิวๆ รู้สึกไม่สบายคล้ายจะเป็นลม ตามมาด้วยไม่อยากกินอาหาร โดยอาการจะเกิดภายหลังรับประทานเพียง 1-2 แก้ว ซึ่งอาการใจสั่นจะรุนแรงกว่าการกินกาแฟทั่วๆ ไป หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดกินทันที และส่งตัวอย่างกาแฟให้ อย. เพื่อตรวจสอบและดำเนินคดีต่อไป

ส่วนการกินกาแฟเพื่อลดความอ้วนนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความรู้ไว้ว่า ตัวกาแฟไม่สามารถลดความอ้วนได้อยู่แล้ว ฉะนั้น หากมีการอวดอ้างสรรพคุณลดความอ้วนจะต้องมีการผสมสารบางอย่างลงไป และสำหรับการลดความอ้วนที่จำเป็นต้องใช้ยา จะต้องอยู่ภายใต้คำสั่งการดูแลของแพทย์เท่านั้น

หลักในการควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน จะต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง วันละ 30 นาทีสัปดาห์ละ 3 วัน และปรับพฤติกรรมการกินอาหาร ลดอาหารหวาน มัน เค็ม เพิ่มผักผลไม้ที่รสไม่หวาน กินให้ครบ 5 หมู่แต่พอเพียง ซึ่งจะเป็นการลดความอ้วนตามหลักการแพทย์ที่ถูกต้อง

สาวๆ (หรือหนุ่มๆ) คนไหนที่อยากจะลดหุ่นให้ดูดีตามที่ใจต้องการ ก็ไม่ต้องไปพึ่งพากาแฟเหล่านั้น เพียงแต่กินอาหารให้ถูกสัดส่วน และออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ก็เพียงพอแล้ว

http://www.manager.co.th/Travel/View...=9530000183546 (http://www.manager.co.th/Travel/View...=9530000183546)
.



.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 10 มกราคม 2554 20:00:19
ขอบคุณครับ อ.พี่หนุ่ม

ผมเองก็ชอบกินวาซาบิ

ชอบมาก กินวาซาบิที่ว่าแรงกินทีเป็นก้อน

ละก็มานั่งน้ำตาไหล

แต่ผมชอบกินแบบเพียว ๆ มากกว่า

พฤติกรรมคนไทยส่วนมากที่เห็นเวลากินวาซาบิ

จะเอาวาซาบิไปคนในโชยุ

จนเป็นเนื้อเดียวกัน

เพิ่งรู้ว่าทำให้เสียรสเสียกลิ่น

เพราะปกติผมไม่กินวาซาบิผสมโชยุ เลยไม่รู้ข้อที่ว่าเสียรส

เพราะ้เห็นเพื่อน ๆ ชอบกินกัน

ขอบคุณครับ สำหรับความรู้มากมาย



หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 24 มกราคม 2554 19:42:48
“ไซบูทรามีน” ภัยจากกาแฟลดความอ้วน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 ธันวาคม 2553 14:24 น.

จาก ที่ได้เห็นการโฆษณากาแฟลดความอ้วนจากหลากหลายทาง ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ อินเตอรเน็ต หรือแม้แต่ตามร้านค้าทั่วไป ซึ่งหลายคนก็คงอยากจะลองใช้ดูบ้าง

แต่ เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งมีข่าวการเข้าจับกุมแหล่งขายกาแฟลดความ อ้วนที่ผสมสารอันตรายหลายยี่ห้อ ซึ่งเมื่อได้นำมาตรวจสอบแล้วก็พบสารไซบูทรามีน (Sibutramine) ผสมอยู่ในตัวผลิตภัณฑ์

สารไซบูทรามีนจัดเป็นยาควบคุมพิเศษที่ใช้ใน คลินิก สำหรับลดความอ้วน ซึ่งตอนนี้องค์การอาหารและยาได้ประกาศยกเลิกตำรับยาแล้ว เพราะมีอันตรายที่อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ โดยอยู่ระหว่างการเรียกคืนจากร้านขายยา คลินิกและโรงพยาบาลทุกแห่ง ยี่ห้อการค้าในท้องตลาดคือรีดัคทิล (Reductil)

วิธีการสังเกตว่ากาแฟ ที่กินอยู่ผสมสารไซบูทรามีนหรือไม่ ให้ดูจากการอวดอ้างสรรพคุณ ซึ่งกาแฟกลุ่มนี้จะอวดอ้างสรรพคุณเรื่องรูปร่างดี เมื่อกินเข้าไปเริ่มแรกจะมีอาการใจสั่น หวิวๆ รู้สึกไม่สบายคล้ายจะเป็นลม ตามมาด้วยไม่อยากกินอาหาร โดยอาการจะเกิดภายหลังรับประทานเพียง 1-2 แก้ว ซึ่งอาการใจสั่นจะรุนแรงกว่าการกินกาแฟทั่วๆ ไป หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดกินทันที และส่งตัวอย่างกาแฟให้ อย. เพื่อตรวจสอบและดำเนินคดีต่อไป

ส่วนการกินกาแฟเพื่อลดความอ้วนนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความรู้ไว้ว่า ตัวกาแฟไม่สามารถลดความอ้วนได้อยู่แล้ว ฉะนั้น หากมีการอวดอ้างสรรพคุณลดความอ้วนจะต้องมีการผสมสารบางอย่างลงไป และสำหรับการลดความอ้วนที่จำเป็นต้องใช้ยา จะต้องอยู่ภายใต้คำสั่งการดูแลของแพทย์เท่านั้น

หลักในการควบ คุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน จะต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง วันละ 30 นาทีสัปดาห์ละ 3 วัน และปรับพฤติกรรมการกินอาหาร ลดอาหารหวาน มัน เค็ม เพิ่มผักผลไม้ที่รสไม่หวาน กินให้ครบ 5 หมู่แต่พอเพียง ซึ่งจะเป็นการลดความอ้วนตามหลักการแพทย์ที่ถูกต้อง

สาวๆ (หรือหนุ่มๆ) คนไหนที่อยากจะลดหุ่นให้ดูดีตามที่ใจต้องการ ก็ไม่ต้องไปพึ่งพากาแฟเหล่านั้น เพียงแต่กินอาหารให้ถูกสัดส่วน และออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ก็เพียงพอแล้ว

http://www.manager.co.th/Travel/View...=9530000183546 (http://www.manager.co.th/Travel/View...=9530000183546)
.



.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 24 มกราคม 2554 19:43:40
เคล็ดลับเลือกเนื้อวัว เพื่ออาหารจานอร่อย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 มกราคม 2554 15:44 น.

(http://pics.manager.co.th/Images/554000000512701.JPEG)

 เป็น ที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า การเลือกเนื้อวัวมาทำอาหารสักจานนั้น ต้องเลือกเนื้อที่สด สะอาด ออกสีแดงๆ กดลงไปแล้วเนื้อไม่บุ๋ม ไม่มีน้ำเลือดไหลซึมออกมา ไม่มีสีคล้ำอมเขียว และเมื่อดมแล้วไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า
       
       แต่เนื้อวัวก็มีอยู่หลายส่วนให้เลือกกิน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัน ซี่โครง สะโพก เป็นต้น ซึ่งแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ซึ่งก็จะเหมาะกับการทำอาหารแตกต่างเมนูกัน “108 เคล็ดกิน” จึงอยากแบ่งแยกให้เห็นกัน ดังนี้
       
       เนื้อส่วนคอ (Chuck) เหมาะสำหรับทำอาหารประเภออบ เนื้อบด ทำซุป หรือสตูว์
       
       เนื้อกระพุ้งแก้ม นำไปตุ๋นจนเปื่อยจะได้เนื้อนุ่มอร่อยเป็นส่วนที่มีน้อยและหายาก
       
       ลิ้นวัว เหมาะที่จะนำมาเคี่ยวทำสตูว์
       
       เนื้อไหล่ เหมาะสำหรับทำสุกี้ยากี้ ชาบุชาบุ หรืออาหารที่ใช้เนื้อเป็นก้อน
       
       เนื้อสันใน (Tenderloin) เนื้อส่วนนี้นุ่มและมีไขมันน้อย เหมาะสำหรับน้ำมาผัด หรือย่างทั้งก้อน
       
       เนื้อสันนอก (Sirloin) เนื้อนุ่มเหมาะสำหรับทำสต็กที่สุด
       
       เนื้อติดซี่โครง (Rib) เนื้อนุ่ม ลายไขมันเป็นลายหินอ่อน เหมาะกับการอบ ทอด และย่าง
       
       เนื้อสะโพก (Rump) เหมาะกับการอบ ย่าง ทำเนื้อบด หรือสเต็ก
       
       เนื้อส่วนท้อง (Plate&Flank) มีไขมันเยอะ รสชาติเข้มข้น จึงเหมาะกับการทำสตูว์ น้ำสต๊อก ทำเนื้อเปื่อย หรือ เนื้อตุ๋น
       
       เนื้อท่อนขา (FORE SHANK ) เป็นส่วนที่เหนียว เหมาะที่จะสตูว์ น้ำซุป ย่าง หรือตุ๋น
       
       หางวัว เป็นเนื้อส่วนที่มีคอลลาเจนมาก เหมาะสำหรับนำไปตุ๋น นิยมทำเป็นซุปหางวัว
       
       กระดูกวัว เหมาะที่จะนำมาต้มทำน้ำซุป
       
       คราวนี้ก็ได้รู้แล้วว่า เนื้อวัวส่วนไหน เหมาะกับอาหารจานใด ต่อไปนี้ถ้าหากจะเข้าครัวปรุงอาหาร จะได้เลือกให้ถูกส่วน เพื่อเพิ่มความเอร็ดอร่อยให้กับอาหารจานนั้นๆ


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 24 มกราคม 2554 19:44:24
กินบาร์บีคิวอย่างไร ให้ปลอดภัย

(http://hilightad.kapook.com/img_cms2/Flood%20-%20Disaster/bar1.jpg)

กินบาร์บีคิวให้ปลอดภัย (แม่บ้าน)

          อาหารประเภทบาร์บีคิว ถึงจะมีชื่อเป็นภาษาต่างชาติ แต่วิธีการปรุงและการกินใกล้เคียงกับอาหารปิ้งย่างของไทย จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าเหตุใดอาหารประเภทนี้จึงเป็นที่นิยมของเรา โดยมีบาร์บีคิวตั้งแต่ระดับภัตตาคารสุดหรู โรงแรมสารพัดดาว ร้านอาหารทั่วไป จนถึงแผงลอย รถเข็น และตลาดนัด แถมยังมีหลากหลายสัญชาติให้เลือก นอกจากรสชาติแล้ว บาร์บีคิวยังเป็นอาหารที่ปรุงง่าย กินง่าย สะดวกรวดเร็ว และยังเป็นอาหารเชื่อมสัมพันธ์ในหมู่เพื่อนฝูง ครอบครัว ในแบบทำเองกินเองทั้งที่ร้านหรือที่บ้าน ช่วงนี้เริ่มปลอดฝนแล้ว คุณผู้อ่านอาจจะสนใจล้อมวงทำบาร์บีคิวกินกัน ดังนั้นเรามาลองดูกันดีกว่าว่าจะเลือกปรุง เลือกกินอย่างไรให้ปลอดจากพิษภัย

           ต้นตำรับบาร์บีคิว

          ไม่ว่าจะเป็นบาร์บีคิวสัญชาติใด การปรุงอาหารด้วยวิธีนี้ หมายถึงการทำให้อาหารสุกโดยใช้ความร้อนจากเตาถ่าน เตาก๊าซ หรือเตาไฟฟ้าในลักษณะการปิ้งหรือย่าง เตาบาร์บีคิวที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ก็มี ซึ่งน่าจะเอามาใช้ในเมืองไทยเพราะแดดแรงเหลือทนคำนี้ใช้เรียกอุปกรณ์ (เตา) และตัวอาหารที่เตรียมโดยใช้วิธีนี้ด้วย มีรากศัพท์มาจากคำที่มีความหมายว่า “หลุมไฟศักดิ์สิทธิ์” แม้ต้นกำเนิดของบาร์บีคิวจะไม่ชัดเจน แต่คาดว่ามีกำเนิดมานานไม่น้อยกว่าสองศตวรรษ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังพบวิธีการทำบาร์บีคิวหลากหลายรูปแบบ บางแห่งเป็นการปิ้งหรือย่างบนไฟแรงให้อาหารสุกอย่างรวดเร็ว ในขณะที่บางแห่งการทำบาร์บีคิวหมายถึงการให้ความร้อนแบบทางอ้อม (ความร้อนไม่สูงมาก) เช่น การอบหรือรมควัน เป็นต้น เพื่อให้อาหารสุกอย่างช้า ๆ อาหารที่จะนำมาทำบาร์บีคิวอาจหมักหรือทาเครื่องเทศหรือซอสด้วยก็ได้

           มีอะไรที่ควรระวัง

          หากจะพิจารณาในเชิงสุขภาพ มีประเด็นที่ควรระวังเกี่ยวกับการเตรียมและบริโภคอาหารประเภทบาร์บีคิวอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน ได้แก่ อาหารเป็นพิษ สารก่อมะเร็ง และมลภาวะ

          โอกาสที่จะเกิดอาหารเป็นพิษ ส่วนมากเกิดในกรณีที่ใช้เนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ รวมถึงสัตว์น้ำเป็นวัตถุดิบ เนื้อสัตว์เหล่านี้มีจุลินทรีย์ปนเปื้อนอยู่ตามธรรมชาติ ปัญหาอาจเกิดขึ้นเมื่อการปิ้งย่างทำให้อาหารสุกไม่ทั่วถึงหรือสุกไม่พอ จุลินทรีย์ที่ก่อโรคไม่ได้ถูกทำลายให้หมดไป บางครั้งเนื้อสัตว์ที่เตรียมไว้ถูกวางทิ้งรอปิ้งอยู่เป็นเวลานาน ทำให้จุลินทรีย์เพิ่มจำนวนมากขึ้นกว่าปกติ

          นอกจากนี้อาจเป็นการปนเปื้อนระหว่างอาหารสุกกับอาหารดิบ เนื่องจากใช้ภาชนะ อุปกรณ์ (มีด ส้อม เขียง จาน ฯลฯ) ปะปนกันถึงแม้จะไม่ใช่เนื้อสัตว์ คืออาจเป็นผักต่างๆ มันฝรั่ง มันเทศ ผลไม้ เป็นต้น การปนเปื้อนก็เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะจุลินทรีย์ที่มาจากดิน และฝุ่นละอองที่ติดมากับอาหารเหล่านั้น แต่ก็อย่างที่เรารู้กันว่าพืชผักมักจะบูดเสียยากกว่าเนื้อสัตว์

          การเกิดสารก่อมะเร็งจากการปิ้งย่าง เป็นเรื่องที่นักวิชาการออกมาเตือนให้ระวังกันอยู่เสมอ บาร์บีคิวและอาหารปิ้งย่างอื่นๆ ที่ทำจากเนื้อสัตว์ที่มีไขมันติด อาจเป็นต้นตอของสารก่อมะเร็งได้ เพราะในระหว่างการปิ้ง ความร้อนจากเตาจะทำให้ไขมันจากอาหารหลอมตัว และหยดลงบนเตาที่ร้อน ส่วนหนึ่งกลายเป็นสารกลุ่มโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic aromatic hydrocarbons) ซึ่งชื่อยาวจนยากที่จะจำ จึงเรียกกันย่อๆ ว่าสารกลุ่มพีเอเอช (PAH) สารพีเอเอชจะลอยขึ้นไปกับควันและจับบนอาหารที่ปิ้งอยู่ เมื่อเรากินเข้าไป อาหารที่ไหม้เกรียมและมีควันดำจับนั้น จะพาสารก่อมะเร็งเข้าไปในร่างกายด้วย สารก่อมะเร็งอีกชนิดหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้คือ สารกลุ่มเฮเทอโรไซคลิก เอมีน (Heterocyclic amines) หรือเอชซีเอ (HCA) จะเกิดจากการเผาไหม้ของโปรตีนในเนื้อสัตว์

         การเกิดมลภาวะเป็นพิษทางอากาศ การเผาไหม้ของถ่านในเวลาปิ้งย่างอาหารทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนมอนอกไซด์ เหมือนอย่างที่ออกมาจากท่อไอเสียรถยนต์ รวมทั้งเกิดสารพิษอื่น เช่น เบนซีน โทลูอีน เมทิลีนคลอไรด์ และคลอโรฟอร์ม เป็นต้น ยิ่งเป็นการปิ้งย่างในอาคาร (โดยเฉพาะที่ติดเครื่องปรับอากาศ) ยิ่งเกิดการสะสมของสารพิษเหล่านี้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นปัญหากับผู้ที่ทำงานในร้านอาหารประเภทดังกล่าวมากกว่าลูกค้า ที่ไปนั่งกินเป็นครั้งคราว

           กินให้ปลอดภัย

          ที่เขียนมาทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเลิกกินบาร์บีคิวหรืออาหารปิ้งย่าง แต่ควรกินอย่างมีสติ (ว่าเข้าไปนั่น) เริ่มตั้งแต่การดูแลรักษาความสะอาดในระหว่างการเตรียมและปรุง เรื่องของสุขลักษณะเราต้องใส่ใจเสมอไม่ว่าจะเป็นการประกอบอาหารด้วยวิธีใด อย่าหวังพึ่งความร้อนในการฆ่าเชื้อโรคที่ปลายทางเพียงอย่างเดียว และควรปิ้งให้สุกทั่วทั้งชิ้น

          อาหารสดที่เตรียมไว้รอการปิ้ง ไม่ควรทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องนาน ๆ ถ้าจะทำในปริมาณมากน่าจะใส่ตู้เย็นไว้ แล้วทยอยแบ่งออกมาปิ้ง เวลาปิ้งอย่าปล่อยให้อาหารไหม้เกรียมหรือเกิดควันมาก เนื้อสัตว์ควรเลาะเอาส่วนที่ติดมันออก ลองเปลี่ยนมาทำบาร์บีคิวผักบ้างเพื่อลดส่วนที่มีไขมัน ใช้ไฟอ่อนและลดเวลาที่ใช้ในการปิ้งโดยทำให้อาหารสุกระดับหนึ่งก่อน เช่น อบในเตาอบ หรือเตาไมโครเวฟ เป็นต้น อาหารจะได้ไม่ไหม้ หากมีส่วนที่ไหม้เกรียมก็ควรตัดออก

          บาร์บีคิวเป็นอาหารที่ทำง่าย อร่อยและสนุก สามารถทำกิน (หรือพากันไปกิน) ในครอบครัว ระหว่างเพื่อนฝูง เพียงแต่มีข้อที่ควรระวังอยู่บ้าง หากใส่ใจจะสามารถอิ่มอร่อย ได้อย่างมีประโยชน์ และไม่เกิดโทษต่อสุขภาพ หน้าหนาวนี้ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการทำ (หรือกิน) บาร์บีคิวก็แล้วกัน พบกันใหม่ฉบับหน้า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก  http://www.maeban.co.th/ (http://www.maeban.co.th/)

.

http://health.kapook.com/view20681.html (http://health.kapook.com/view20681.html)

.


หัวข้อ: Re: 108 เคล็ดกิน
เริ่มหัวข้อโดย: sithiphong ที่ 24 มกราคม 2554 19:45:01
"สะเดา" ประโยชน์จากความขม
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   
18 สิงหาคม 2552 16:20 น.

(http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=1310683)

 โบราณ เขาว่า "หวานเป็นลมขมเป็นยา" ของขมๆ แม้จะไม่อร่อยแต่ก็มีประโยชน์ไม่น้อย อย่างเช่น "สะเดา" ผักสมุนไพรที่แม้จะมีรสขมขนาดไหน แต่ก็ยังเป็นของโปรดของหลายๆ คน โดยเฉพาะเมนูสะเดาน้ำปลาหวานกินกับปลาดุกย่าง หรือกุ้งเผา ที่เมื่อกินพร้อมกันแล้วจะลดความขมของสะเดาลงเหลือแต่ความอร่อย หรือบางบ้านอาจนำสะเดาไปลวกเพื่อลดความขมจิ้มกินกับน้ำพริกอีกด้วย
       
       เรานิยมนำดอกและยอดของสะเดามาประกอบอาหาร ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการเช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน ส่วนสรรพคุณด้านยาสมุนไพรนั้น สะเดามีสรรพคุณบำรุงธาตุไฟ สร้างภูมิต้านทานให้ร่างกาย และแก้ไข้ อีกทั้งรสขมของสะเดายังช่วยเรียกน้ำย่อย และช่วยให้ขับน้ำดีตกลงสู่ลำไส้มากขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้อุจจาระละเอียดขับถ่ายคล่อง และช่วยให้นอนหลับสบายอีกด้วย
       
       สะเดายังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น เป็นสารธรรมชาติที่ใช้กำจัดแมลงศัตรูพืชอย่างได้ผล และคนโบราณยังเชื่อว่าสะเดาเป็นไม้มงคล นิยมปลูกไว้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้โดยเชื่อกันว่าจะป้องกันโรคร้ายต่างๆ และภูติผีปีศาจได้

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000093948 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9520000093948)