(:LOVE:)วันวิสาขบูชาวันที่ประกอบด้วยคุณพิเศษ คือ..................
1.เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ
2.เป็นวันที่ต้นศรีมหาโพธิ์เกิดขึ้น
3.เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
4.เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับชันธปรินิพพาน
{วันวิสาขะ}เป็นวันพิเศษวันอันประเสริฐที่สุด เพราะเป็นวันที่
พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ได้ตรัสรู้ และย้อนกลับไปเมื่อสี่อสงไขย
แสนกัปป์ในวันวิสาขะท่านสุเมธดาบสได้รับคำพยากรณ์จาก
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกรว่าอนาคตจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
ในวันเพ็ญ 15 ค่ำเดือน 8(อาสาฬหบูชา)พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ปฏิสนธิ
ในพระครรภ์พระนางมหามายาเทวีพร้อม ๆ กับแผ่นดินไหว{ขณะที่ปฏิสนธิในพระครรภ์
มารดา ไม่ใช่ขณะประสูติ}เทวดาต่างอารักขาพระโพธิสัตว์และพระมารดา - พระมารดา
ไม่มีความลำบากในการทรงพระครรภ์ พระมารดาย่อมได้ยศ ได้ลาภอันเลิศ ไม่มีความ
พอใจในบุรุษ
.......................พระโพธิสัตว์ทรงประสูติ.....................
ตามธรรมเนียมของสมัยนั้น สตรีเมื่อจะคลอดย่อมคลอดที่สกุลเดิมหรือบ้านของบิดา
มารดาของตน พระนางมหามายาเทวีจึงมีพระประสงค์จะไปที่กรุงเทวทหะอันเป็นเมือง
ของพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระองค์
เมื่อเสด็จถึงป่าสาลวันชื่อ{ลุมพินีวัน}ขณะนั้นต้นสาละออกดอกบานสะพรั่ง พระเทวีมี
ประสงค์จะเล่นในสวนสาลวัน พระนางมีประสงค์จะจับกิ่งใด กิ่งนั้นก็น้อมมาที่พระหัตถ์
และลมกัมมัชวาตก็เกิดขึ้น มหาชนจึงล้อมม่านแล้วถอยออกไปพระนางได้ยืนจับกิ่ง
สาละนั่นแล..........................ได้ประสูติแล้ว
ในขณะนั้นนั่นเองท้าวมหาพรหมผู้มีจิตบริสุทธิ์ ๔ องค์ ก็มาถึงพร้อมกับถือข่ายทอง
มาด้วยเอาข่ายทองนั้นรับพระโพธิสัตว์ วางไว้ตรงพระพักตร์ของพระราชมารดา
พลางทูลว่า ข้าแต่พระเทวีขอพระองค์จงดีพระทัยเถิดพระราชบุตรของพระองค์
มีศักดาใหญ่อุบัติขึ้นแล้วพระโพธิสัตว์ก็ประทับยืนบนแผ่นดินทอดพระเนตรดู
ทิศตะวันออกจักรวาลนับได้หลายพันได้เป็นที่โล่งเป็นอันเดียวกันพวกเทวดาและ
มนุษย์ในที่นั้นต่างพากัน บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นกราบทูลว่าข้าแต่ท่าน
บุรุษคนอื่นในที่นี้เช่นกับท่านไม่มีคนที่ยิ่งกว่าท่านจักมีแต่ที่ไหน
พระโพธิสัตว์มองตรวจดูตลอดทิศให้ทิศเล็กแม้ทั้ง ๑๐ คือทิศใหญ่ ๔ ทิศเล็ก ๔
เบื้องล่างเบื้องบนก็มิได้ทรงมองเห็นใครที่เช่นกับตนต่อจากนั้นประทับยืนที่
พระบาทที่ ๗ ทรงเปล่งอาสภิวาจา{วาจาแสดงความยิ่งใหญ่}ว่า.......................
เราเป็นผู้เลิศในโลกเราเป็นผู้เจริญที่สุดในโลกเราเป็นผู้ประเสริฐที่สุด
ในโลกการเกิดครั้งนี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้ายบัดนี้ ภพใหม่ไม่มีต่อไป
......................ตรัสรู้....................
ในเวลาเช้าของวันเพ็ญ เดือน 6 วันวิสาขบูชา ขณะนั้นมีพระชนมายุ 35 พระชันษา
ขณะนั้นทรงประทับที่ต้นไทร นางสุชาดานำข้าวมธุปายาสที่ใส่ถาดทองมาถวายพระ-
โพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทรงรับและเสวยข้าวมธุปายาสแล้วได้เสด็จไปที่ท่าน้ำเนรัญชรา
พระองค์ทรงอธิษฐานว่าหากเราได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ขอให้ถาดลอยทวนน้ำไปเมื่อ
พระองค์ทรงปล่อยถาดลงในกระแสน้ำ - ถาดนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำและได้จมลงไปใน
ที่อยู่ของนาคราชเมื่อถึงเวลาเย็น นายโสตถิยะก็ถวายหญ้า 8 กำ กับพระโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์ทรงวางหญ้าที่โพธิบัลลังก์ที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ทรงประทับนั่งแล้ว
อธิษฐานว่าหากเรายังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว แม้เนื้อและเลือดจะเหือดแห้ง
ไปก็จะไม่ลุกไปเด็ดขาด พระองค์ทรงกำจัดมารในเวลาเย็นในเวลาปฐมยามทรง
ระลึกชาติได้แต่ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้าเวลา{มัจฌิมยาม}พระองค์ทรงเห็นสัตว์เกิดสัตว์
ตาย ด้วยพระญาณแต่ไม่เป็นพระพุทธเจ้า เวลาปัจฉิมยามทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท
ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในเวลาใกล้รุ่งของวันวิสาขบูชา
เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ได้เปล่งพระอุทานที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงมิได้ทรงละว่า
เราเมื่อแสวงหานายช่างคือ{ตัณหา}ผู้กระทำ
เรือนเมื่อไม่ประสบได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่
น้อยความเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์ ดูก่อนนายช่างผู้
กระทำเรือนเราเห็นท่านแล้วท่านจักทำเรือนไม่ได้
อีกต่อไปซี่โครงทั้งปวงของท่านเราหักแล้วยอด
เรือนเรากำจัดแล้ว จิต {ของเรา}ถึงวิสังขาร{นิพพาน}
แล้วเราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว
.........................สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คืออะไร..................
ในปัจฉิมยามพระองค์ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทนั่นก็คือพระองค์ทรงตรัสรู้สัจจะ
ความจริงที่เป้นสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ทรงตรัสรู้ ความจริงที่เป็นเพียง จิต เจตสิก
รูป นิพพาน ไม่ใชสัตว์ บุคคล อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เพราะมีความไม่รู้ จึงมีสภาพ
ธรรมอื่น ๆ เกิดวนเวียนเป็นสังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สิ้นสุดแต่เมื่อ{วิชชา} คือ ปัญญาเกิดก็
สามารถดับสังสารวัฏฏ์ได้พระองค์ตรัสรู้ความจริงที่เป็นเพียงสภาพธรรมด้วยปัญญา
ของพระองค์ ตามความเป็นจริงการจะรู้ความจริงจึงรู้ขณะนี้ด้วยการฟังการศึกษาให้
เข้าใจสภาพธรรมทำหน้าที่เองให้ปัญญาเจริญขึ้นจนประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่มี
ในขณะนี้
ในวันมาฆบูชา พระพุทธองค์ทรงปลงมายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ จากนี้ไปอีก 3 เดือน
เราจะปรินิพพาน พระองค์ทรงตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า...................
ชนเหล่าใดทั้งเด็กผู้ใหญ่ ทั้งพาล ทั้งบัณฑิต ทั้งมั่งมีทั้งขัดสน ล้วนมีความตาย
เป็นเบื้องหน้า ภาชนะดิน ที่ช่างหม้อทำ ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งสุกทั้งดิบทุกชนิดมีความ
แตกเป็นที่สุดฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้นดูก่อนภิกษุทั้งหลายพวก
เธอจงไม่ประมาทมี{สติ} มีศีลด้วยดีเถิดจงเป็นผู้มีความดำริตั้งมั่นด้วยดีจงตามรักษา
จิตของตนเถิดผู้ใดจักเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นจักละชาติสงสารแล้ว
จะกระทำที่สุดทุกข์ได้
ในวันวิสาขบูชา พระพุทธองค์เสด็จไปที่เมืองกุสินารา แม้จะลงพระโลหิตอย่างมาก
ใกล้จะปรินิพพานแล้ว แต่พระองค์ก็เสด็จไปเพื่อที่จะโปรดสุภัททะปริพาชกให้บรรลุ
ธรรมและเพื่อที่จะแสดงมหาสุทัสสนสูตรเพื่อให้มหาชนได้ฟังพระธรรมและอีกเหตุผล
หนึงคือหากพระองค์ปรินิพพานที่กุสินาราจะไม่มีการทะเลาะกันในเรื่องของการแบ่งพระ
ธาตุจะเห็นได้ถึงพระมหากรุณาคุณของพระองค์แม้พระองค์จะปรินิพานแล้วก็ยังช่วย
สัตว์โลกแม้จะทรงประชวรอย่างหนักก็ตาม
พระพุทธเจ้าเสด็จถึงป่าสาลวัน รับสั่งให้พระอานนท์จัดเตียงหันพระเศียรไปทาง
ทิศเหนืออันอยู่ระหว่างต้นสาละคู่ ครั้งนั้นเทวดาและมนุษย์ต่างบูชาด้วยดอกไม้ของ
หอมมากมาย พระพุทธองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์การบูชาด้วยสักการะเหล่านี้
(อามิสบูชา)ยังไม่ชื่อว่าสักการะ เคารพพระองค์จริง แต่ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ชื่อว่าบูชาพระองค์ นั่นคือการให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรมเจริญกุศลทุกประการจนถึง
การดับกิเลสได้เป็นการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องสังเวชนียสถานว่าเป็นที่ที่ควรระลึกถึง ควรเห็นของผู้มี
ศรัทธาเมื่อพระศาสดาล่วงไปแล้ว
พระอานนท์ร้องไห้ที่ประตูวิหาร พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรียกพระอานนท์และเตือนว่า
ทุกสิ่งมีความแตกสลายไปธรรมดา เธออย่าประมาทจงทำที่สุดทุกข์และตรัสสรรเสริญ
พระอานนท์มากมาย
พระพุทธเจ้าทรงโปรดสุภัททะปริพพาชกจนสุดท้ายได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เธออย่าสำคัญว่าศาสดาล่วงไปแล้วจะหาพระศาสดาไม่ได้
พระธรรมของเราจะเป็นศาสดาของพวกเธอเมื่อพระภิกษุสงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้ว พระองค์ได้ตรัสพระปัจฉิมโอวาทว่า...................
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายบัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า............................
สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดาพวกเธอจงยังความ
ไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิดนี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต
พระพุทธเจ้าทรงเข้าฌานและออกจากฌานและทรงออกจากจตุตถฌานแล้ว
พระพุทธเจ้าก็{ปรินิพพาน}ดับรอบซึ่งสังขารธรรมและขันธ์ทั้งหลายในคืนวันวิสาขบูชา
......................พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วไปไหน ?.......................
นิพพานไม่ใช่สถานที่ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เมื่อจุติจิตของพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์
เกิดขึ้นก็ไม่มีเหตุปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดจึงไม่เป็นเหตุให้มีขันธ์ 5 เกิดขึ้นอีกจึงไม่
สามารถกล่าวได้ว่าไปที่ไหนเหมือนเปลวเทียนเมื่อดับไป เปลวเทียนไปไหนช่างตี
เหล็กใช้ฆ้อนเหล็ก เมื่อตีเหล็กติดไฟ แล้วไฟก็ดับไป ไฟไปไหนพระอรัหันต์ผู้ดับ
กิเลสแล้วเมื่อปรินิพพานจึงหาคติที่ไปไมได้อีก ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนา คุณ วรรณี ที่ทำให้ให้ได้รับความรู้ ใหม่ว่าวันวิสาขบูชายังเป็นวันที่
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงตรัสรู้และเป็นวันที่สุเมธดาบสได้รับคำพยากรณ์จากพระ
พุทธเจ้าว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตคขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน
.........................THE END.........................
นั่นคือธัมมะพระธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นเป็นธรรมที่ลึกซึ้งรู้ตาม
เห็นตามได้ยาก สงบ ประณีต ไม่อาจรู้ได้ด้วยการตรึก
ละเอียด เป็นธรรมอันบัณฑิตจะรู้ได้.............................ข้อความจากการสนทนาธรรมที่มูลนิธิบ้านธรรมะ บุคโล ฝั่งธนบุรี
ขอเชิญร่วมการสนทนาธรรม
เนื่องในวันวิสาขบูชา วันอังคารที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศรักราชล่วงไปแล้ว ๒๕๕๔
โดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร
ณ.มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
โดยมีรายการดังนี้.........................
๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐ น. สนทนาพระธรรมวินัย
๑๒:๐๐ - ๑๔:๐๐ น. เชิญร่วมรับประทานอาหารกลางวัน
๑๔:๐๐ - ๑๖:๐๐ น. สนทนาเรื่องปฏิบัติธรรม.....................สอบถามรายละเอียดโทรศัพท์ 02 - 4680239...................
http://www.facebook.com/itsariyathanakornhttp://twitter.com/kiss_99