[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
12 พฤษภาคม 2567 19:42:36 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โลกของกายหยาบ และ โลกของกายละเอียด  (อ่าน 15402 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553 20:14:46 »

เมื่อเดือนก่อน น้องสาวที่สนิทกันมาก และเป็นกำลังสำคัญในสังฆะของเรา ได้ย้ายไปทำงานที่กาญจนบุรี ในช่วงเวลาก่อนที่เราจะจากกันนั้น เธอได้พูดทีเล่นทีจริงว่า ข้าพเจ้าน่าจะเขียน blog. เกี่ยวกับเรื่องราวของสัมภเวสีในโรงพยาบาลเราบ้าง เพราะเดือนที่ผ่านมานั้น พวกเราทั้งหลายมีอาการหลอน.. กันอย่างถ้วนทั่ว เนื่องจากได้พบเจอเรื่องราวเกี่ยวกับ สัมภเวสีในโรงพยาบาล เราทั้งหลายต่างต้องรีบไปทำบุญทำทาน ให้กับสัมภเวสีที่ว่าเป็นการใหญ่ แถมเรื่องราวนี้ก็เกิดต่อเนื่องยาวนานมาหลายสิบปี แต่สัมภเวสีผู้นี้ก็ยังไม่ได้ไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่ในโรงพยาบาลของเรา ไม่ได้ไปเกิดใหม่เสียที จิตของเธอผู้นี้ตกอยู่ในภพภูมิกลางและรอไปเกิดอยู่ (หรืออาจจะเรียกว่าอยู่ในโลกบาร์โด ในภาษาของพุทธวัชรยาน ) ข้าพเจ้าจึงบอกไปว่า การเขียนเรื่องพวกนี้ อาจทำให้ผู้ที่มาอ่าน และไม่เชื่อเรื่อง 31 ภพภูมิ ไม่เชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้า เข้าใจผิดได้ว่า พวกเราทั้งหลายปฎิบัติธรรมจนเพี้ยน แถมเรื่องนี้ ไม่สามารถพูดคุยกันในวงกว้างได้ ทั้งนี้เพราะเรากำลังอยู่ในหมู่คนที่เชื่อมั่นในโลกของวิทยาศาสตร์ การจะมาพูดถึงเรื่องที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้และเกินกำลังที่ตาเนื้อจะมองเห็น ให้หมู่นักวิทยาศาสตร์แและเป็นผู้ที่มีปัญญาสูงทั้งหลายรับฟัง แถมจะให้เขาเชื่อและเข้าใจ ย่อมเป็นไปได้ยากมาก ..



 
มีอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ นักวิทยาศาสตร์ หรือผู้มีปัญญาในบ้านเราบางส่วน กลับเชื่อเรื่องที่หมอดูทำนายทายทัก เชื่อเรื่องของฮวงจุ้ย เชื่อเรื่องของการสะเดาะเคราะห์ แต่ไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้า แต่พอถามว่า เชื่อเรื่องผีหรือเปล่า หลายคนบอกว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ และมีอาการกลัวผีกันไปตามๆกัน พอถามว่าผีมาจากไหน เขาก็ว่า มาจากคนที่ตายไปแล้วไง ตายแล้วไปเป็นผี แต่ยังไม่ได้ไปเกิดใหม่ ??

ข้าพเจ้าเข้าใจว่า คนส่วนใหญ่ที่เกิดในดินแดนเถรวาท ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า ตามตำราอภิธรรมของเถรวาทแล้ว เมื่อคนเราตายไปนั้น จิตผู้ตายจะแปรเปลี่ยนเป็น จุติจิต แล้วกลายเป็น ปฎิสนธิจิต ไปรวมกับเซลต้นกำเนิด (ที่ครึ่งหนึ่งมาจากพ่ออีกครึ่งหนึ่งมาจากแม่) ในครรภ์มารดาทันที ไม่มีเวลามาคั่น ดังนั้นเมื่อตายปุ๊บ ก็เกิดปั๊บทันที ไม่มีเรื่องของสถานที่ ระยะทาง ระยะเวลามาเป็นอุปสรรค ทั้งนี้เพราะความเร็วของจิตนั้นเร็วมาก ประมาณว่าแค่หนึ่งลัดนิ้วมือ จิตก็เกิดดับไปหลายล้านๆๆๆๆ ดวงแล้ว ดังนั้นในทางอภิธรรมของเถรวาท ผีจึงไม่มีจริง ??

แต่เราทั้งหลายก็มักจะได้ยินเรื่องเล่ากันอยู่บ่อยๆ ในทำนองว่า มีคนที่บังเอิญเกิดอุบัติเหตุแล้วเสียชีวิตตอนไปทำงานที่ต่างจังหวัด แต่ญาติของเขากลับเห็นเขากลับมาที่บ้านในวันที่เขาเสียชีวิต บางคนถึงกับได้พูดคุยกับผู้ตายด้วย มาภายหลัง ถึงได้รู้ว่า คนผู้นั้นเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เมื่อหัวค่ำ และส่วนใหญ่จะพบเจอคนตายในเครื่องแต่งกายชุดเดิมๆ ชุดที่เขาใส่ขณะที่ตายนั่นเอง

เรื่องราวเหล่านี้ ดูจะขัดแย้งกันในทีเมื่อกล่าวในทางอภิธรรม อย่างไรก็ดีกลับมีข้ออธิบายถึง เหตุและผลว่า ทำไมบางคนถึงตายปุ๊บ เกิดใหม่ปั๊บ แต่บางคนไปไหนไม่ได้ ตกไปอยู่ในภพภูมิกลาง และถูกเรียกว่า สัมภเวสี แต่กระนั้นในทางอภิธรรม ท่านผู้รู้กล่าวว่า เราทั้งหลายก็คือ สัมภเวสี คือผู้ที่รอไปเกิดใหม่ด้วยกันทังหมดทั้งสิ้น เพราะเราทั้งหลายยังต้องเวียนวนอยู่ใน 31 ภพภูมิ ตายแล้วเกิดอยู่อย่างนี้จนกว่าจะหลุดออกไปจากวัฎสังสาร จึงจะไม่ต้องมาเกิดใหม่ใน 31 ภพภูมิอีก และการจะหลุดออกไปได้ ก็ด้วยการปฎิบัติสมาธิภาวนา ..

คำว่า สัมภเวสี อีก ส่วนหนึ่งนั้น ยังหมายถึง สภาวะของคนที่ตายแล้วจิตออกจากร่าง แต่ยังไม่สามารถไปเกิดใหม่ใน 31 ภพภูมิได้ เนื่องด้วยเหตุและปัจจัยบางอย่าง เขาต้องรอเวลา แถมเวียนวนหลงอยู่ในภพภูมิกลางนี้ไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าจะถึงเวลาเปลี่ยนภพภูมิจริงๆ เป็นที่น่าแปลกใจว่า ในโลกของพุทธวัชรยานนั้น มีการอธิบายสภาวะของสัมภเวสี อยู่ในคัมภีร์มรณะศาสตร์ของธิเบต ว่าคือโลกของบาร์โด และบอกเล่าสภาวะอาการของผู้ที่อยู่ในโลกของบาร์โด ได้ค่อนข้างละเอียดทีเดียว



การกล่าวถึงเรื่องราวเหล่านี้ มักจะก่อให้เกิดความสงสัย และซักถามกันมากมาย และกลายเป็นประเด็นที่พูดคุยกันได้ยาวยืด โดยเฉพาะถ้าไปพูดคุยกับหมู่ผู้ที่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์กายภาพที่ไม่ได้สนใจในการปฎิบัติสมาธิภาวนา พวกเขาเหล่านี้มักจะต้องการวัตถุพยานทางกายภาพมาพิสูจน์ถึงเรื่องที่ว่า ซึ่งก็คงจะไม่มีใครสามารถหาวัตถุพยานและภาพถ่ายจากโลกสัมภเวสีมาชี้แจงยืนยันได้ และถึงจะมีก็อาจถูกกล่าวหาได้ว่าเป็นการสร้างภาพด้วยคอมพิวเตอร์ แถมการพูดถึงสิ่งเหล่านี้ กับพวกเขาทั้งหลาย อาจจะไม่ก่อให้เกิดปัญญาใดๆ ทั้งสิ้น ในวงสนทนา และอาจตามมาด้วยการทะเลาะเบาะแว้งแทน

การมีหรือไม่มีสัมภเวสี ก็ไม่ได้ทำให้ปุถุชนคนธรรมดาทั้งหลายเปลี่ยนแปลงไปทางไหน แต่ในผู้บรรลุธรรมระดับสูงบางท่าน การมองเห็นสิ่งเหล่านี้ในสมาธิภาวนา ก็เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ส่วนตนว่า การตายและการเกิดใหม่ซ้ำๆ ซากๆ ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ายินดีสักเท่าไหร่ และจะมองเห็นผลแห่งเวรกรรมต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้นว่ามันเป็นมาอย่างไร ท่านเหล่านี้ส่วนใหญ่ จึงไม่ประสงค์ที่จะเวียนว่ายตายเกิดซ้ำซากใน 31 ภพภูมิอีกต่อไป ..

ข้าพเจ้าเคยสนทนาธรรมกับกัลยาณมิตรผู้ปฎิบัติธรรมด้วยกันหลายคน เราต่างเห็นตรงกันว่า เรื่องบางเรื่อง ไม่ควรพูด เราพูดได้เฉพาะกับคนบางคนเท่านั้น ข้าพเจ้าเห็นด้วยจริงๆ กับ ครูตั้ม- วิจักขณ์ พานิช ที่เคยพูดไว้ว่า เมื่อเราภาวนาไปได้สักระยะหนึ่ง เราจะพบว่า โลกของคนบ้า กับคนไม่บ้าใกล้กันเข้ามาเรื่อยๆ ฟังดูแล้วน่าตกใจไม่น้อย แต่เราผู้ปฎิบัติสมาธิภาวนาไม่ได้ตกใจอะไร ทว่าคนที่อยู่อีกฟากหนึ่ง และมีอคติกับการปฎิบัิติธรรม คงจะตกใจมากกว่าที่ได้ยินดังนั้น แถมอาจจะกลัวการมาปฎิบัติสมาธิภาวนามากขึ้น เพราะกลัวว่าตัวเองจะบ้าหรือเพี้ยนได้ถ้ามาปฎิบัติ และอาจจะทำให้พวกเขาหนีห่างไกลพุทธศาสนากันมากขึ้นไปอีก



มาถึงตรงนี้ ข้าพเจ้านึกถึงคำพูดของท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ที่กล่าวไว้ว่า เรื่องทุกเรื่องที่ปุถุชนคนธรรมดาสงสัยและมองเห็นว่าเป็นเรื่องลี้ลับนั้น สำหรับผู้ปฎิบัติธรรมแล้ว ไม่มีอะไรลี้ ไม่มีอะไรลับ ทุกสิ่งสามารถอธิบายได้ทั้งนั้น .. และข้าพเจ้าก็เห็นจริงตามที่ท่านว่า เพราะในช่วงหลังๆ ข้าพเจ้าพบเจอเรื่องราวหลายอย่างที่เป็นเรื่องนอกเหตุ เหนือผล และได้เปลี่ยนแปลงความเชื่อเดิมๆ ของข้าพเจ้าไปไม่น้อย

โลกของกายภาพ โลกของกายหยาบนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เราได้เรียนรู้แบบหลงๆ มาตลอดชีวิต เราต้องมาเรียนรู้เพิ่มเติมใหม่ว่า ในกายหยาบที่เรามองเห็นและจับต้องได้นั้น ที่แท้มันเป็นเพียงการก่อเกิดขึ้นชั่วคราว จากการรวมตัวของ ดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศธาตุ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน และไม่อาจยึดมั่นถือมั่นได้ สุดท้ายผู้ปฎิบัติสมาธิภาวนา ต้องเข้าสู่วิถีของการเรียนรู้ในโลกของนามธรรม โลกของจิต ที่ไม่อาจจับต้องมองเห็นได้ แต่จะรู้จักและสัมผัสได้ ก็ด้วยการเข้าสู่วิถีแห่งการปฎิบัติสมาธิภาวนาเท่านั้น และมีสิ่งหนึ่งที่ผู้ปฎิบัติจะได้เรียนรู้ก็คือ โลกของกายละเอียด ..


http://gotoknow.org/blog/sunmoola/274856

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553 20:15:12 »

พอกล่าวคำว่า กายละเอียด หลายคนต่างคิดเห็นไปว่า เป็นกายทิพย์ หรืออย่างไร ข้าพเจ้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่ามันหมายถึงกายทิพย์หรือไม่ ?? เพราะการกล่าวคำว่า กายทิพย์ ก็อาจจะทำให้ใครต่อใคร นึกไปถึงเรื่องอิทธิฤิทธิ์ปาฎิหาริย์ การถอดรูป แล้วล่องหนหายตัวไปไหนต่อไหน ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่มีประสบการณ์ที่ว่าแต่อย่างใด แต่คิดเห็นในใจว่า ในโลกของผู้ฝึกจิตและได้ฌานขั้นสูง อะไรก็คงเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ การได้ฌาน และการได้ ญาน นั้นดูจะแตกต่างกันไปมากทีเดียว



ในกลุ่มสังฆะของเรานั้น มีอาการหนึ่งที่เหมือนๆกัน คือกลัวติดสมถกรรมฐาน กลัวติดอยู่ในฌาน เวลาปฎิบัติธรรม พอนั่งสมาธิไปนานๆ หลายคนต่างสงสัยในใจว่า เอะ เราติดอยู่ในสมถกรรมฐานรึเปล่า เหตุเพราะส่วนใหญ่แล้ว ครูบาอาจารย์ที่เราพบเจอ ต่างเน้นย้ำเรื่องวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้ได้ ปัญญาญาน มากกว่าที่จะสอนให้เรามุ่งเน้นให้ได้ฌาน แล้วเกิดมีฤิทธิื์์ืื์์์มีเดช รู้วาระจิตคนอื่น รู้ชาติภพแต่หนหลัง ซึ่งข้าพเจ้าก็เคยพบเจอเรื่องราว และได้พูดคุยกับท่านผู้ที่ได้ ฌาน มาบ้าง และเรื่องดังกล่าวนั้น เป็นไปได้จริง หลายคนมีสิ่งนี้ติดตัวมา ติดมาแต่หนหลัง .. นานแสนนานมาแล้ว แต่ถ้าจะถามเชิงลึกว่า มีจริงหรือไม่อย่างไร คงต้องซักถามจากท่านผู้ได้ฌาน โดยตรง เพราะตัวข้าพเจ้าเอง ก็ยังเป็นผู้เริ่มต้นในการภาวนา แถมมีอาการกลัวการได้ฌาน เอามากๆ เพราะถ้านึกปรุงแต่งเล่นๆ ดูก็พบว่า การที่เรารู้วาระจิตใครต่อใครคงจะดีและน่าตื่นเต้นในตอนแรก แต่การรู้นั้นอาจจะไม่ได้ประโยชน์อะไร แถมอาจจะก่อเกิดความทุกข์ได้ในภายหลัง แถมการรู้เรื่องภายในจิตใจของผู้อื่น แต่ไม่รู้เรื่องอะไรภายในจิตใจของตัวเอง เป็นการส่งจิตออกนอกชัดๆ และอาจจะไปสร้างความวุ่นวายปั่นป่วนให้ผู้คนที่เราไปยุ่งเกี่ยวได้ แม้กระทั่งการไปรู้เรื่องราวของอดีตชาติ ก็อาจจะทำให้เราจิตตก เพราะไปรับทราบเรื่องแย่ๆ ของตัวเองในชาติก่อนๆ ที่อาจทำกรรมไว้มากมาย มาในชาตินี้ปัจจุบันนี้ก็อาจจะแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว คงทำได้แต่พยายามผ่อนหนักให้เป็นเบาเท่านั้น สุดท้ายเราต้องกลับมาอยู่ในปัจจุบันขณะ สร้างเหตุที่ดีใหม่ เพราะอดีต เป็นสิ่งที่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ยิ่งเป็นอดีตชาติไหนๆ ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะขนาดสิ่งที่ไม่ดีไม่น่ารักที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อวันวาน จากที่เราไปกล่าววาจาไม่ดีกับใครสักคน เราก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เพราะการกระทำได้เกิดขึ้น และทำให้เขาเสียใจไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย แต่ก็ยังดีที่เป็นเมื่อวานนี้ อาจจะทันอยู่ ที่เราจะกล่าวคำขอโทษและเสียใจเมื่อสำนึกได้ในวันนี้



ข้าพเจ้าเคยได้ฟังธรรมเทศนาของหลวงพ่อชาจากซีดี ที่หยิบยืมมาจากกัลยาณมิตร ท่านกล่าวถึงเรื่องสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐานว่า มันก็เหมือนผลมะม่วงดิบที่เิริ่มต้นเป็นสีเขียวๆ จากนั้นมันก็ห่ามๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองปนเขียว พอสุกมันก็เหลือง แต่อย่ามาถามนะว่าสีเขียวมันหายไปไหน มันก็อยู่ในเหลืองนั่นแหละ ท่านกล่าวว่า สมถกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐาน ก็เป็นเช่นนั้น เป็นดังเช่นการเปลี่ยนแปลงของผลมะม่วงนั่นแหละ การที่เราคิดว่าจะฝึกสมถกรรมฐานก่อน แล้วค่อยทำวิปัสสนากรรมฐาน หรือคิดไปว่าจะเริ่มทำวิปัสสนาอย่างเดียว แล้วค่อยไปฝึกสมถกรรมฐาน หรือบางคนจะเอาวิปัสสนาอย่างเดียว มันดูจะยากอยู่ มาถึงตรงนี้ข้าพเจ้าจึงนึกได้ว่า การที่เราบอกว่า จะเอาแต่มะม่วงที่สุกแล้วอย่างเดียวนั้นอาจจะลำบากจริงๆ เพราะมะม่วงที่สุกแล้วก็มาจากมะม่วงที่ห่ามๆ แถมมะม่วงที่ห่ามๆนั้นก็ มาจากมะม่วงสีเขียวๆ ที่ยังดิบอยู่นั่นเอง เราไม่สามารถเลือกได้อย่างที่ใจต้องการ ในบางครั้งเราจึงไม่สามารถแยกสมถกรรมฐานออกจากวิปัสสนากรรมฐานได้อย่างชัดเจน เพราะทั้งสองสิ่งนั้นมีอยู่คู่กันแบบนั้น และเกิดขึ้นตามสภาวะธรรมของผู้ปฎิบัติแต่ละคน แต่ละช่วงเวลาของการปฎิบัติ

กลายเป็นว่า ไม่ว่าจะเป็นสภาวะธรรมใด จะเป็นสมถะหรือวิปัสสนาหรือไม่ ? การมีพลังแห่งสติที่แข็งกล้า ระลึกรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาต่างหากมีความสำคัญ เมื่อรู้ในกายและใจเราตลอดเวลา ก็จะไม่มีอะไรที่ต้องกลัว สุดท้ายก็กลับมาอยู่ที่การเจริญสติ เราต้องฝึกสติ ดูกาย ดูจิต ที่เปลี่ยนแปลง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ให้แจ่มชัด ไม่ว่าจะได้ฌาน หรือได้ ญาน ก็จะเป็นผลดีทั้งคู่ ถ้ามีสติกำกับอยู่



ที่ผ่านมาข้าพเจ้าจึงรู้ตัวว่า ข้าพเจ้าพยายามหลีกเลี่ยงสภาวะธรรมบางอย่าง แถมคิดเห็นจะเอาแต่วิปัสสนาอย่างเดียว นั่นอาจจะเป็นเหตุแห่งการเดินเวียนวนไปมาได้เหมือนกัน เพราะถ้าเส้นทางของเราคือต้องเดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง และ ยังไงเสียเราต้องเดินผ่านเมืองแห่งหนึ่งไปเท่านั้น แต่เมืองนี้อาจจะน่ากลัว และอันตราย เราจึงเดินเลี่ยงๆ ไป แถมพยายามอ้อมไปทางอื่น ทั้งๆที่บางทีเส้นทางนี้จำเป็นต้องผ่าน และไม่มีทางเดินอื่นๆ แล้ว มันอาจจะไม่ถูกต้องนักที่เราจะเลี่ยงไปเรื่อยๆ ดังนั้นการเดินไปตามทางปกติ ยอมเดินผ่านเข้าไปยังเมืองที่ว่านี้ แต่เดินไปด้วยจิตใจที่รู้ตัวทั่วพร้อม และระมัดระวัง อาจจะดีกว่าก็เป็นได้ ..




http://gotoknow.org/blog/sunmoola/275163
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553 20:15:36 »

ในโลกของการเรียนรู้เรื่องจิต เป็นเรื่องที่ยากลำบากมากในการทำความเข้าใจ ในอภิธรรมนั้น มีการกล่าวถึงองค์ประกอบของจิต กล่าวถึงเจตสิก และมีอะไรมากมายเกี่ยวกับเรื่องของจิตที่ลึกซึ้งมาก ข้าพเจ้าผู้อ่อนด้อยในเรื่องนี้ ก็กำลังพยายามเรียนรู้ในทางทฤษฎีอยู่ แต่ก็ถือว่าอยู่ในชั้นอนุบาลเอามากๆ





มีอันหนึ่งที่พอจะช่วยให้เข้าใจเรื่องของจิต ก็คือจากการปฎิบัติธรรมมาสักระยะหนึ่ง มีหลายครั้งที่ข้าพเจ้าเกิดมองเห็นร่างกายของตนเองกำลังทำสิ่งต่างๆอยู่ โดยมีเราเป็นผู้รู้ ผู้ดู ฟังดูอาจจะพิลึก แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ในช่วงหลังๆ ข้าพเจ้ามักจะมองเห็นว่า ร่างกายนี้ กำลังทำโน้นทำนี่อยู่บ่อยๆ มันเหมือนว่าเรามีสองส่วน ส่วนหนึ่งคือกายหยาบที่จับต้องมองเห็นได้ กับอีกส่วนหนึ่งคือตัวรู้ ที่ไม่สามารถบอกได้ว่าอยู่ตรงไหน ข้าพเจ้าพบว่าสิ่งนั้นคือจิต และมันน่าแปลกจริงๆ เพราะความรู้สึกนั้นเหมือนกับว่าจิตมันไม่ได้อยู่ข้างใน แต่มันก็ไม่ได้อยู่ข้างนอก ทว่ามันอยู่คู่กันไปแบบนั้นกับตัวกายหยาบของเรา บางครั้งตัวรู้ หรือผู้รู้นี้ ก็หลงไปกับความคิด หลงไปเป็นผู้แสดง หลงไปตามอารมณ์ บางครั้งก็กลับมาเป็นเพียงผู้รู้ผู้ดู หลังๆ ข้าพเจ้าสังเกตว่า เมื่อมีสิ่งใดมากระทบอารมณ์ ความมีตัวมีตนของข้าพเจ้าจะชัดเจนขึ้น แล้วข้าพเจ้าก็รู้ภายหลังว่า ได้เผลอจากการเป็นผู้ดูเฉยๆ กลายเป็นผู้แสดงไปเรียบร้อยแล้ว





น้องสาวที่สนิทกัน และปฎิบัติธรรมมาด้วยกัน ก็เคยเล่าอาการเช่นนี้ให้ฟัง เธอเล่าให้ฟังว่าในวันหนึ่งขณะที่เธอกำลังนั่งอยู่ และกำลังเอื้อมมือไปแตะที่คีย์บอร์ดของคอมพิวเตอร์ เธอก็มองเห็นมือของตัวเอง เหมือนไม่ใช่มือ ฟังดูแล้วอาจจะแปลกๆ แต่เธอบอกว่า มันก็คือมือธรรมดาๆ นั่นแหละ แต่มันเหมือนเป็นมือของคนอื่น ข้าพเจ้าคิดว่าพอจะเข้าใจถึงเรืองนี้ ดูเหมือนว่าเธอกำลังมองดูร่างกายของตนเองอยู่ จิตผู้รู้ ได้แยกออกมา และกลายเป็นผู้ดู ในขณะนั้น .. ต่อมาภายหลัง ข้าพเจ้าได้ฟังธรรมบรรยายของหลวงพ่อปราโมทย์ และได้อ่านหนังสือของท่านหลายๆเล่ม ข้าพเจ้าถึงได้เข้าใจว่า สภาวะธรรมเช่นนี้คืออะไร


จิต หรือตัวรู้ เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ และอธิบายได้ยากมากว่ามันเป็นเช่นไร การที่จะสัมผัสรู้ได้ ต้องเข้าสู่วิถีแห่งการทำสมาธิภาวนา ต้องเข้าสู่หลักปฎิบัติของพระพุทธองค์ เพียงประการเดียวเท่านั้น สิ่งนี้ไม่ได้มาจากการคิดวิเคราะห์ หรือคาดคะเนเอา แต่ได้มาจากประสบการณ์เชิงประจักษ์ และเป็นการรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่ยากในการที่จะอธิบาย แบบพิสูจน์ให้ได้ในทางวิทยาศาสตร์กายภาพ คงพูดได้แต่เพียงว่า ถ้าอยากรู้ให้ลองมาปฎิบัติเอง มาทดลองทำดูด้วยตัวเองเท่านั้น จึงจะเข้าใจได้





เมื่อจิตเป็นสิ่งจับต้องไม่ได้ เป็นนามธรรม แล้วจะมีอะไรเป็นตัวบอกว่ามีจิตอยู่ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่พูดลำบากมาก และข้าพเจ้าก็ไม่มีภูมิธรรมใดๆ จะมาอธิบายในทางทฤษฎีได้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ หลังจากข้าพเจ้าไปฝึกกับครูตั้ม มีสิ่งหนึ่งที่ครูตั้มกล่าวถึง และ น่าสนใจมาก คือการกล่าวถึงเรื่องลมหายใจหยาบที่เราหายใจเข้าออก กับการเข้าสู่การภาวนาระดับลึกจนไปถึงลมหายใจที่ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ และแผ่วเบาไปเรื่อยๆ ในสภาวะนั้นครูตั้มกล่าวคล้ายๆว่า คือการเชื่อมต่อเข้าสู่โลกของลมหายใจละเอียด และ กายละเอียด ( โชคดีที่ครูตั้มใช้คำว่ากายละเอียด เพราะถ้าใช้คำว่ากายทิพย์ ข้าพเจ้าอาจจะหนีออกจากงานภาวนาได้ ) การเข้าสู่โลกของกายละเอียดนั้น จะเป็นการพ้นออกไปจากขีดจำกัดในทางกายภาพ หรือพ้นจากกายหยาบ เราสามารถหายใจได้ตั้งแต่จากปลายเท้า จากทุกๆส่วนของร่างกาย เรียกว่าสามารถหายใจผ่านทางผิวหนังก็ยังได้ แถมในขณะนั่งสมาธิภาวนานั้น ร่างกายดูเหมือนจะไม่มีขอบเขต มันเหมือนมีการเชื่อมต่อกับสิ่งภายนอก เราหาขอบเขตของร่างกายไม่เจอ


เมื่อมาฝึกในทางเถรวาท มีสิ่งหนึ่งที่คล้ายกันคือ ในการนั่งสมาธิภาวนาที่ลึกไปเรื่อยๆ ลมหายใจจะแผ่วเบาไปเรื่อยๆ อาการที่ว่านั้นจะเหมือนเราหยุดหายใจ ( แต่ที่จริงเรายังหายใจอยู่ ) ท่านว่าเรากำลังเข้าสู่สมาธิระดับลึก จากขณิกสมาธิ สู่อุปจารสมาธิ ถ้านิ่งสนิทไปเลยก็เข้าสู่อัปนาสมาธิ คำว่าอุปจารสมาธินั้น ท่านว่าคือสมาธิระดับเฉียดฌาน จะสามารถนำมาพิจารณาธรรมได้ แต่ถ้าเข้าสู่อัปนาสมาธิแล้วก็คือการเข้าไปนิ่งเงียบ ไม่เกิดปัญญาญานใดๆ ??





ข้าพเจ้าชอบใจการกล่าวเทียบเคียงเรื่องนี้ ของพระอาจารย์มิตซุโอะ คเวสโก ลูกศิษย์หลวงพ่อชา ที่กล่าวไว้ในหนังสือของท่านว่า การทำสมาธิเหมือนการเิดินมุ่งตรงไปยังบ้านหลังหนึ่ง ขณะที่เราเดินมุ่งตรงไปนั้น เริ่มต้นเหมือนขณิกสมาธิ เรายังรับรู้สิ่งภายนอก ที่เราเดินผ่าน เมื่อไปถึงชายคาบ้านและกำลังจะเปิดประตูบ้านเข้าไป เหมือนกับอุปจารสมาธิ เรายังรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกได้อยู่ แต่เมื่อเปิดประตูเดินเข้าไปยังตัวบ้านที่ปิดประตูหน้าต่างสนิท เราจะไม่รับรู้สิ่งภายนอกอีก มันเหมือนการเข้าสู่อัปนาสมาธิ


เทคนิคในแต่ละสายการปฎิบัตินั้น จะมีเป้าหมาย และสภาวะบางอย่างที่คล้ายกัน ในโลกของกายละเอียดนั้น เป็นเรื่องที่น่าแปลกดีทีเดียว และมีอันหนึ่งที่เรามักจะได้ยินกันเสมอก็คือ จิตนั้นมีพลังงานบางอย่าง ( แต่พลังงานไม่ใช่จิต)

ในการภาวนากับวัชรยาน สายคากิว มีสามคำที่ครูตั้มกล่าวถึงคือ


Form - Energy - Space

นั่นคือ รูป (หรือกายหยาบ) - พลังงาน (กายละเอียด ) - ที่ว่าง


ทั้งสามคำนั้นเชื่อมโยงถึง สามสิ่งต่อไปนี้ คือ ...


นิรมาณกาย - สัมโภคกาย และ ธรรมกาย


นี่คือ เรื่อง ตรีกาย ของ มหายานนั่นเอง .
 

 

http://gotoknow.org/blog/sunmoola/275305
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553 20:16:02 »

ข้าพเจ้าเป็นชาวพุทธเถรวาท ตามใบทะเบียนบ้านมาแต่กำเนิด  แต่ไม่ค่อยได้รู้เรื่องลึกซึ้งอะไรเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าสักเท่าไหร่  จนผ่านไปเกือบครึ่งชีวิต  ถึงได้เข้่าสู่วิถีแห่งการเรียนรู้ในคำสอนของพระพุทธองค์ และพบว่า  พุทธศาสนานั้น  มีคำตอบสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ข้าพเจ้าสงสัย และอธิบายได้

เบื้องแรก ข้าพเจ้าต้องกลับมาสนใจเรื่องราวของพระพุทธองค์  อ่านเรื่องราวพุทธประวัติ  ศึกษาเรียนรู้สิ่งที่พระพุทธองค์ค้นพบ  หลักใหญ่ใจความก็คือ  ทุกสิ่งที่ปรากฏนี้  ความจริงอันยิ่งใหญ่นี้  มีมาแต่เดิมแล้ว  พระองค์กล่าวว่า  พระองค์ทรงเป็นเพียงผู้ค้นพบ  และเป็นผู้บอกทาง  แต่เราจะก้าวเดินไปตามนี้หรือไม่  ขึ้นกับการตัดสินใจของเรา 



พระศากยมุนีพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 ในภัทรกัปนี้   ในอนาคตจะมีพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5  คือพระศรีอริยเมตไตย์  มาเกิดยังโลกมนุษย์ และจะค้นพบหลักความจริงอันยิ่งใหญ่นี้อีกครั้ง

 

ในทางเถรวาทเชื่อว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่หลายพระองค์ก่อนหน้านี้  แต่ในภัทรกัปนี้มีอยู่ 5 พระองค์   ความเชื่ออันนี้เป็นที่ทราบกันดี 

ในเรื่องเล่า หรือตำนานของพระพุทธบาทสี่รอย ก็กล่าวไว้เช่นนั้น  ว่ากันว่า  เมื่อพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือพระศรีอริยเมตไตย์ มาเกิด  พระองค์ก็จะมาประทับรอยพระบาทที่นี่ เพื่อให้ทั้งสี่รอยนั้น กลายเป็นรอยพระบาทรอยเดียว  เรื่องเล่าเกี่ยวกับพระพุทธบาทสี่รอยนี้  น่าสนใจไม่น้อย ข้าพเจ้าว่าเรื่องเล่านี้  สะท้อนความเชื่อของการมีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ได้เป็นอย่างดี   



พอมาเรียนรู้เข้าสู่หนทางภาวนาของมหายาน และวัชรยาน ก็มีเรื่องราวของพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ อีก  มีเรื่องราวของพระโพธิสัตว์  เรื่องราวของ  พระพุทธเจ้า 5 สกุล  ตามหลักวัชรธาตุมนฑล  โดยทางมหายานและวัชรยานกล่าวว่า มีพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ อีกมากมาย  ที่อยู่ในโลกของสัมโภคกาย   พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันที่เรารู้จัก  คือพระศากยมุนีพุทธเจ้า เป็นเพียงตัวแทนของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ  ที่มาให้เราได้รับรู้  ได้รู้จัก ในโลกของนิรมาณกาย  แต่ยังมีอีกหลายๆ พระองค์  สถิตอยู่ในโลกของสัมโภคกาย




ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไหร่  ว่าจะมีกี่พระองค์ แถมไม่เคยอ่านพระสูตรอะไรในทางมหายานเลย  เพียงแต่ได้รับรู้จากการอ่านหนังสือของหลวงปู่ติช  ที่ชื่อว่า ปลูกรัก โดยคร่าวๆ  ในหนังสือเล่มนั้นมีเรื่องราวกล่าวถึง  นิรมาณกาย  สัมโภคกาย และธรรมกายด้วย  แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เข้าใจอะไรนักในตอนนั้น



ในทางเถรวาท มีคำกล่าวหนึ่งที่สะดุดใจข้าพเจ้า   คือเมื่อตอนที่ข้าพเจ้าได้พบหลวงปู่อูเตชนียะ และ ได้รับหนังสือของท่านมาด้วยเล่มหนึ่ง  ในหนังสือเล่มนั้นท่านกล่าวว่า  พระพุทธเจ้านั้นมีมากมาย  มากเสียยิ่งกว่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคารวมกัน   ฟังดูน่าแปลกใจมากทีเดียว   ข้าพเจ้าเข้าใจว่าผู้ทรงความรู้ในเรื่องราวของเถรวาทส่วนใหญ่  จะกล่าวว่าพระพุทธเจ้าที่ผ่านมามีประมา๊ณยี่สิบกว่าพระองค์ เท่านั้น ?

และเมื่อได้ฟังธรรมเทศนาของหลวงพ่อชา  มีตอนหนึ่งหลวงพ่อกล่าวว่า พระพุทธเจ้านั้นยังไม่ตาย  พระองค์ยังอยู่   ใครๆก็กล่าวว่าท่านนิพพานไปแล้ว  แต่พระองค์ยังอยู่นะ 



ถ้าใครได้อ่านประวัติเรื่องราวของหลวงปู่มั่น  มีเรื่องเล่าตอนหนึ่งว่า  พระศากยมุนีพุทธเจ้าเสด็จมาพบท่านพร้อมพระสาวก ??  ข้าพเจ้าผู้ชอบสงสัยก็นึกแปลกใจว่า ไหนพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วยังไงล่ะ พระองค์จะมาอีกได้อย่างไร    สิ่งที่บอกเล่านี้จะอธิบายแบบไหนดี   

มีอีกครั้งเมื่อไม่นานมานี้ที่ข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องราวของฆารวาสที่บรรลุธรรม  ท่านก็กล่าวว่า มีหลวงปู่หลายรูปที่เป็นอริยสงฆ์และละสังขารไปแล้ว  กลับมาสอนธรรมให้ท่านในขณะทำสมาธิภาวนา   เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอีกเช่นกัน   เพราะสำหรับพระอริยสงฆ์นั้น คือผู้ถึงซึ่งนิพพาน  ผู้ที่ถึงซึ่งพระนิพพานแล้วจะกลับมาได้อย่างไร  ??   

แต่ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้ากลับไม่นึกสงสัยอีกแล้ว  เพราะหลังจากได้รับรู้เรื่องราวของกายทั้งสาม หรือตรีกาย   ข้าพเจ้าพบว่า  มีคำอธิบายและช่วยตอบข้อสงสัยนี้ได้เกือบทุกอย่าง    อธิบายด้วยเรื่องราวของ นิรมาณกาย  สัมโภคกาย และธรรมกาย 

นิรมาณกาย  คือกายเนื้อ  หรือ กายหยาบที่เราจับต้องมองเห็น  พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ทรงมาเกิดเป็นมนุษย์  พระองค์คือพระพุทธเจ้าที่เกิดในดินแดนแถบเทือกเขาหิมาลัย  และปัจจุบันก็มีหลักฐาน ทางโบราณคดี ถึงสถานที่ประสูติ  ตรัสรู้  และปรินิพานของพระองค์ อย่างชัดแจ้ง  พระองค์คือมนุษย์ธรรมดาๆ  แบบเราทั้งหลาย  มี เกิด -แก่ - เจ็บ และตายได้

สัมโภคกาย คือโลกของกายละเอียด ซึ่งบางคนกล่าวว่าเป็นกายทิพย์  นี่เป็นโลกที่พ้นไปจาก 31 ภพภูมิแล้ว  ไม่ใช่โลกของเทวดา ไม่ใช่โลกของพรหม  แต่เป็นโลกของกายละเอียด   ไม่มีรูปร่างที่จับต้องได้  เป็นโลกของพลังงาน  กล่าวกันว่าดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนของผู้บรรลุธรรมระดับสูงสุด    และเป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์     เป็นที่อยู่ของพระพุทธเจ้า 5 สกุล ของวัชรยาน   แถม  เป็นที่อยู่ของพระพุทธเจ้ามากมายหลายพระองค์ ตามที่ทางมหายานกล่าวไว้ 



ข้าพเจ้าเพิ่งได้อ่าน  เรื่องราวถาม- ตอบ ในหนังสือ secret ฉบับเดือนพฤษภาคม ปีนี้ เกี่ยวกับคำถามเรื่องของนิพพาน และ ปรินิพพาน  ผู้ตอบคำถามคือท่านอาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร   ท่านได้บอกเล่าเรื่องนี้ได้น่าสนใจทีเดียว   ท่านกล่าวว่า จิตเป็นพลังงาน  ถ้าเป็นจิตปุถุชน พลังงานนั้นจะเจือด้วยกิเลส   จะทำงานโดยอาศัยกิเลสเป็นตัวบงการ   แต่เมื่อนิพพานแล้ว จิตจะเข้าสู่สภาวะของการเป็นพระอรหันต์  กลายเป็นพลังงานบริสุทธิ์   

ส่วนเรื่องปรินิพพานนั้น  พระอรหันต์ท่านบอกว่า  เมื่อปรินิพพานไปแล้วจิตจะยังอยู่ ไม่ดับสิ้นไปไหน  เพียงแต่จะไม่มาอาศัยในร่างของสัตว์ให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎอีก  ( คือพ้นไปจาก 31 ภพภูมิ แล้ว )

นอกจากนี้ ท่านอาจารย์ ดร.สนองยังเล่าอีกว่า   ท่านได้พูดคุยกับพระป่าที่บรรลุธรรมขั้นสูงรูปหนึ่ง   พระท่านกล่าวว่า ได้ไปพบเห็นพระพุทธเจ้าในแดนนิพพาน  ซึ่งไม่อยู่ใน  31 ภพภูมิ   แต่เป็นอีกแดนหนึ่ง อีกโลกหนึ่ง ......

บางทีแดนนิพพานที่ว่า อาจจะคล้ายๆ กับ โลกของสัมโภคกาย ในทางมหายาน และวัชรยานก็เป็นได้





ส่วนเรื่องของ ธรรมกาย ในความหมายของมหายาน และวัชรยานนั้น ข้าพเจ้าได้เข้าใจโดยบังเอิญ....
วันหนึ่ง ขณะที่เรานั่งสนทนาธรรมกันในงานภาวนาคือชีวิต 2  กับครูตั้ม    วันนั้นเรานำประเด็นเรื่องของนิพพานมาพูดถึงกัน   จำไม่ได้ว่ามันเริ่มต้นจากการพูดถึงเรื่องอะไรก่อน   แต่สุดท้ายก็มาลงที่สภาวะของนิพพาน ว่าเป็นอย่างไร  ซึ่งข้าพเจ้าผู้อ่อนด้อยทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฎิบัติก็ไม่รู้เหมือนกัน  เหตุเพราะคำว่า "นิพพาน" นั้นดูจะสูงส่งเกินไปที่ข้าพเจ้าจะรู้และเข้าใจได้    แต่อย่างไรไม่รู้  ข้าพเจ้าก็ได้ออกความเห็นไปตามความรู้สึกว่า  ในความคิดเห็นส่วนตนนั้น   นิพพาน  น่าจะหมายถึง  การสิ้นไปแห่งเรา แล้วไม่กลับมาอีก  และจิต เราได้ดับสลายออกไปหลอมรวมกับสรรพสิ่ง   เราไปอยู่ในทุกๆ สรรพสิ่ง  และกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งทั้งมวล  ครูตั้มจึงกล่าวว่า นั่นล่ะคือ  ธรรมกาย .



http://gotoknow.org/blog/sunmoola/276182
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« ตอบ #4 เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553 20:16:34 »

สองปีที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้เรียนรู้เรื่องราวหลายอย่างทางธรรมจากกัลยาณมิตร จากครูบาอาจารย์สายต่างๆ จากหนังสือ จากการพูดคุย จากการภาวนา แน่นอนว่า ข้าพเจ้าก็ยังคงเป็นผู้เริ่มต้น ไม่ได้มีภูมิธรรมใดๆมากมายนัก ความคิดเห็น และความรู้สึกต่างๆ ที่กล่าวมาหลายๆเรื่องนั้น ก็ยังคงเป็นความคิดเห็นจากมุมมองของตนเอง จากการรับรู้ จากประสบการณ์ของตนเอง ที่อาจจะมีความคลาดเคลื่อนจากความจริงแท้ไปมากมายหลายอย่าง

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าแน่ใจในตอนนี้ก็คือ " จิตเดิมแท้ของเราทั้งหลายคือพุทธะ"

ในการภาวนาตามแนวทางหมู่บ้านพลัมนั้น เราทั้งหลายมักจะยกมือไหว้กันและกันบ่อยครั้ง หลวงพี่หมู่บ้านพลัมกล่าวว่า เรามอบดอกบัวให้กันและกัน ในทางเซนมหายานนั้น เชื่อในความเป็นพุทธะ ที่มีอยู่ในเราทุกคน ดังนั้นเราจึงมอบดอกบัวให้กันเสมอไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่ จะอาวุโสน้อยหรือมากก็ตาม นี่เป็นวิถีที่งดงามทีเดียว

ตอนที่หลวงพี่พิทยามานำภาวนาให้กับกลุ่มสังฆะเรานั้น ในวันสุดท้ายพวกเราเหล่าแกนนำจัดงานภาวนามือสมัครเล่น ต้องช่วยกันทำการงานอันหนึ่ง คือการเขียนชื่อทางธรรมให้กับผู้รับศีล 5 ในใบรับศีล หลวงพี่เป็นผู้ตั้งชื่อ แล้วส่งต่อมาให้พวกเราเขียน มันเป็นงานการที่เร่งรีบพอควร เพราะเรามีเวลาจำกัด เราต่างแบ่งหน้าที่กันทำ บางส่วนเขียนชื่อ บางส่วนเก็บเรียงใบรับศีล บางส่วนเช็คดูความเรียบร้อย เราเลยพูดเล่นๆ กันว่า พวกเราทำงานยังกะโรงงานอุตสาหกรรมเลยนะเนี่ย หลวงพี่ได้ยินดังนั้นก็เลยเตือนสติว่า อย่าพูดแบบนั้นสิ ให้คิดเสียว่าเราทั้งหมดนี้คือกายเดียวกัน และกำลังทำงานด้วยกันอยู่ คำพูดของหลวงพี่ทำให้ข้าพเจ้าคิดได้ว่า การทำงานแบบร่วมแรงร่วมใจกันจริงๆ คือการทำงานแบบไหน ไม่ไช่การทำงานแบบโรงงานอุตสาหกรรมแน่ๆ เพราะถ้าเราแยกส่วนกันทำงานมันดูแห้งแล้งและขาดความเชื่อมโยงกันพิกล แต่การทำงานร่วมกันโดยต่างคนต่างทำหน้าที่ เหมือนอวัยวะทุกส่วนในร่างกายเราทำงานร่วมกัน ทุกอย่างก็จะประสานลงตัวและไม่มีความขัดแย้งใดๆ เป็นแน่

หลักแห่งความเชื่อมโยง และเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากการภาวนากับสายเซนมหายานของหลวงปู่ติช และความเชื่อมโยงนี้มีความลึกซึ้งมากมายกว่าที่คิด

ความเชื่อมโยงอันลึกซึ้งนี้ มาจากการรับรู้เพิ่มเติมของข้าพเจ้า จากเรื่องราวของวัชรยาน เรื่องราวของ พระพุทธเจ้า 5 สกุลตามหลักวัชรธาตุ



กล่าวกันว่าจุดเริ่มต้นของสรรพสิ่งอยู่ที่พระพุทธเจ้าองค์เริ่มต้น องค์ที่อยู่ตรงกลาง คือพระไวโรจนะ คำว่า "ไวโรจนะ" แปลว่า ส่องสว่างเจิดจ้าไปทั่วทุกทิศทาง ทุกสรรพสิ่งมาจากตรงนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจลึกซึ้งถึงบัญญัติต่างๆ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ แต่อย่างไรไม่รู้ข้าพเจ้ากลับนึกถึงเรื่องของ Bigbang ... การก่อกำเนิดของจักรวาล ก็เริ่มต้นจากตรงกลาง จากสิ่งที่กล่าวว่า เริ่มต้นไม่มีอะไร แล้วเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ กลายเป็นแสงเจิดจ้า กลายเป็นดวงดาว กลายเป็นกาแล็กซี่ กลายเป็นพระอาทิตย์ กลายเป็นโลก ที่เราอาศัยอยู่ เราทั้งหมดก็มาจาก Bigbang ในครั้งนั้น แต่เป็นการเกิดขึ้นในทางโลกของกายภาพ

แต่ในโลกของจิตเดิมแท้นั้น คือจิตเดียว จิตที่เริ่มต้นจากตรงกลางเช่นกัน จิตเดิมแท้แห่งพุทธะ จึงมีในตัวเราทุกคน

จริงอย่างหลวงพ่อชาว่าไว้ พระพุทธเจ้าไม่ได้จากไปไหน ......

พระศากยมุนีพุทธเจ้า ได้ปรินิพพานไปแล้วก็จริง แต่พระองค์นั้นกลับไปหลอมรวมอยู่ในสรรพสิ่ง พระพุทธองค์จึงไม่ได้จากไปไหน พระองค์มีอยู่ในตัวเราทุกคน .




http://gotoknow.org/blog/sunmoola/276260
บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.923 วินาที กับ 31 คำสั่ง

Google visited last this page 28 เมษายน 2567 21:19:39