ควรพยายามชักใจออกจากกามความเพลิดเพลินหลงใหลเสียด้วย
นางได้ฟังพระพุทธภาษิตนี้แล้ว ให้รู้สึกละอายใจตนเองสุดประมาณ ที่นางเข้ามาบวช
ก็มิได้มุ่งหมายเพื่อกำจัดทุกข์ให้สูญสิ้น หรือเพื่อทำลายกองตัณหาอะไรเลย
แต่เพื่อให้มาอยู่ใกล้คนอันเป็นที่รัก คิดดูแล้วเหมือนนำน้ำมันมาวางไว้ใกล้เพลิง
มันมีแต่จะลุกเป็นไฟกองมหึมาขึ้นสักวันหนึ่ง
เมื่อปรารภดังนี้ นางยิ่งกระวนกระวายใจมากขึ้น พระอานนท์หรือก็ไม่เคย
ทักทายปราศรัยเป็นส่วนตัวเลย การได้เห็นคนอันเป็นที่รักเป็นความสุขก็จริง
แต่มันเล็กน้อยเกินไป เมื่อนำมาเทียบกับความทรมานในขณะที่ต้องจากอยู่
โดดเดี่ยวและว้าเหว่กาสาวพัสตร์เป็นกำแพงเหมือนมหึมาที่คอยกันมิ
ให้ความรักเดินถึงกัน ถึงกระนั้นก็ยังมีภิกษุและภิกษุณีบางท่านกระโดด
ข้ามกำแพงนี้ ล่วงละเมิดสิกขาบทวินัยของพุทธองค์จนได้ นางคิดมาถึงเรื่องนี้
แล้วเสียวสันหลังวาบเหมือนถูกก้อนหิมะอันเยือกเย็นโดยไม่รู้สึกตัวมาก่อน
นางพยายามสะกดใจมิให้คิดถึงพระอานนท์ พยายามท่องบ่นสาธยายพระธรรมวินัย
แต่ทุกขณะจิตที่ว่างลง ดวงใจของนางก็จะคร่ำครวญรำพันถึงพระอานนท์อีก
นางรู้สึกปวดศรีษะและวิงเวียน เพราะความคิดหมกมุ่นสับสน นี่เองกระมังที่
พระอานนท์พูดไว้แต่แรกที่พบกันว่าความรักเป็นความร้าย
วันหนึ่ง นางชวนเพื่อนภิกษุณีรูปหนึ่งไปหาพระอานนท์ พระอานนท์เป็น
ผู้มีอัธยาศัยงามจึงต้อนรับนางด้วยเมตตาธรรม นางรู้สึกชุ่มชื่นขึ้นบ้างเหมือน
ข้าวกล้าที่จวนจะแห้งเกรียมเพราะขาดน้ำชุ่มชื่นขึ้น เพราะฝนผิดฤดูกาลหลั่งลงมา แต่เมื่อนาง
จะลากลับนั่นเอง พระอานนท์พูดว่า.........................................................................มีต่อตอนที่ 2....................