[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
17 พฤษภาคม 2567 16:33:56 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : ครึ่งทางของการเดินทางของอารยธรรม  (อ่าน 2011 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 21 กุมภาพันธ์ 2554 21:57:32 »




คำว่าอารยธรรมในที่นี้หมายถึงวิถีชีวิต ซึ่งก็คือจิตไร้สำนึกของจักรวาลที่เข้ามาอยู่ในทุกที่ว่างในสมองของมนุษย์ส่วนมากทั่วทั้งโลก คือใหญ่กว่าวัฒนธรรมของสังคมหรือชุมชนที่แยกย่อยลงมา ซึ่งหมายถึงวิถีชีวิตหรือจิตของมนุษย์โดยรวมเหมือนกัน ผิดกันที่ขนาดหรือสเกล (scale) หรือท้องถิ่นภูมิภาค หรือชุมชนเท่านั้น หากเรามองเช่นนี้และมองย้อนกลับไปในอดีต โบราณคดีวิทยาศาสตร์  (archeology) กับประวัติศาสตร์ที่ยอมรับกันจะบอกเราว่ามนุษย์ที่มีรูปกายเหมือนกับมนุษย์ในปัจจุบันในด้านมนุษยชีววิทยา และมียีนพันธุกรรมอย่างเดียวกัน คือ ผสมพันธุ์กันได้ มนุษย์เราจริงๆ - ตั้งแต่มีมนุษย์โฮโมซาเปียนส์ ซาเปียนส์คนแรกได้อุบัติขึ้นมาในโลกก็เป็นเวลาประมาณ 150,000 ปี - นักมานุษยวิทยา นักโบราณคดีวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะชาวยุโรปหรือฝรั่งตะวันตก (ที่มองแต่เผ่าพันธุ์ของฝรั่งตะวันตก) มักคิดว่าตนสืบเชื้อสายมาจากมนุษย์โครมายอน  (Cromagon) ที่ฝรั่งเศส เมื่อประมาณ 35,000 ปีมาแล้ว โดยการไล่ล่าสัตว์และการเก็บเมล็ดพันธุ์พืชเป็นอาหารเป็นครั้งแรก (hunter-gatherer) ซึ่งในตอนนั้นนักประวัติศาสตร์บางคนคิดว่าคือเวลาที่มนุษยชาติมีวิวัฒนาการทางจิตผ่านพ้นความเป็นสัตว์เป็นครั้งแรก มีจิตรู้ (conscious) จากการสะท้อน (reflection)  ประสบการณ์เป็นครั้งแรก เพราะมีเวลาที่จะคิด คิดที่จะแยกตัวเองออกจากธรรมชาติสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย รวมทั้งสัตว์ เพราะมนุษย์ไม่มีขน เรามาตั้งหลักแหล่งถิ่นฐานจริงๆ มีอารยธรรมเกษตรขั้นพื้นฐาน  (agrarian period) จริงๆ เช่น ที่ชะทัลยูฮุค หรือที่ยาโม ฯลฯ ก็ประมาณ 12,000 ปีแล้ว ก่อนจะพัฒนามาเป็นระบบเกษตรเต็มขั้นและการทดน้ำมาใช้ (เขื่อน) (agriculture period) มนุษย์เราพยายามที่จะแยกตัวเองออกมาจากธรรมชาติเรื่อยๆ มา จริงๆ แล้วเราเพิ่งมองว่าคนเป็นศัตรูกันและมีกองทัพเพื่อรุกรานกัน  และมีการแย่งดินแดนและประชาชนกันก็เมื่อกษัตริย์ทุสมอสที่ 2 แห่งเปอร์เซีย เมื่อ 6,000 ปีมานี้เอง  เป็นการเริ่มต้นของความชั่วร้ายของมนุษย์ ทั้งๆ ที่โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์ทุกคนได้มีวิวัฒนาการล่วงพ้นความเป็นสัตว์แล้ว นั่นเป็นความหมายของอารยธรรมและวัฒนธรรมของสังคมในบทความนี้

เพราะฉะนั้น แม้จักรวาลของเราจักรวาลนี้จะเกิดมาถึง 13.7 พันล้านปี แต่โลกเราก็จะมีอายุเพียง  4.6 พันล้านปี คือมีอายุเพียง 1 ใน 3 ของอายุจักรวาล และโลกแม้จะมีสิ่งมีชีวิตตั้งแต่ 3.6 พันล้านปีก่อน  ก็อยู่เฉยๆ เพราะไม่มีออกซิเจนในอากาศ เพิ่งมีวิวัฒนาการจริงๆ ก็ย่างเข้า 1 ใน 3 ของอายุของโลก นั่นเท่าๆ กับอายุของผู้หญิงหรือแม่ที่มีประจำเดือนและพร้อมจะมีลูกเมื่อเทียบกับอายุเฉลี่ยของแม่หรือผู้หญิงตอนแก่ตาย นักควอนตัมฟิสิกส์ถึงได้พบหลักการที่บอกว่าจักรวาลนี้มีขึ้นมาเพื่อโลกจะได้มีมนุษย์จริงๆ (cosmological anthropic principle) ซึ่งเป็นที่เชื่อถือของนักฟิสิกส์ใหม่ส่วนใหญ่ เพราะอย่างนี้ผู้เขียนถึงได้ไม่เชื่อเรื่องโลกแตก โลกไม่แตกหรอก แต่ผู้เขียนเชื่อจริงๆ ว่าประชากรของโลกจะหายไปทันทีถึง 80% ไม่ว่าเราจะรู้สึกตัวและช่วยประคับประคองโลกอย่างใดหรือไม่ เพราะมันคือกรรมร่วมโดยรวมของมนุษย์ - ภายใน 2-3 ปีนี้ หรืออย่างดีก็ภายใน 2020 เราจะพบว่าอายุหรือเวลาส่วนใหญ่ของโลกเป็นเวลาของการวิวัฒนาการของวัตถุ (lithosphere) โลกนี้ช่างเป็นโลกแห่งรูปกายวัตถุจริงๆ โดยเฉพาะในตอนแรกๆ

จริงอยู่ว่าวิวัฒนาการของโลก และในที่นี้ของมนุษย์และสังคมของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องทางกายและทางจิตด้วยกัน แต่ว่าความรู้ที่ได้มาจากทางตะวันตก เราจะพูดกันหรือวิจัยกันเฉพาะของกายเป็นหลัก  เช่น วิวัฒนาการของการเจริญเติบโตของเด็กของฌ็อง เปียเจต์ หรือวัฒนธรรมขึ้น-ลงของสังคมโลกของพิตเแรม โซโรกิน เพิ่งมาในระยะหลังๆ นี้เท่านั้นที่มีการพูดถึงจิตกันบ้าง แต่ผู้เขียนเชื่อว่าวิวัฒนาการของจิตคือจุดตั้งต้นและเป็นจุดสุดท้าย ตามที่จอร์จ วอลด์ ว่า “มันอยู่ของมันมาตั้งแต่ต้น” และก็เป็นเรื่องที่พุทธศาสนาบอกเรา ฉะนั้นอะไรๆ ทั่วทั้งจักรวาลนี้เลยจึงตั้งต้นที่จิตไร้สำนึกของจักรวาลที่คาร์ล ซี จุง ว่า  ซึ่งผู้เขียนเชื่ออย่างยิ่งว่าเป็นสมองที่เปลี่ยนจิตไร้สำนึกนั้นให้เป็นจิตสำนึกหรือจิตรู้ (conscious  cognition)

อารยธรรม (และวัฒนธรรม) ของมนุษย์เกิดมีขึ้นมาเพราะจิตสำนึกที่ว่านั้น แต่นั่น-เป็นจิตร่วมโดยรวมที่สร้างสรรค์ขึ้น พฤติกรรมของมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเพราะจิตสำนึกหรือจิตรู้ทั้งสิ้น โดยไม่มีการยกเว้นแม้แต่ประการเดียว และเมื่อไล่เรียงต่อไปแล้วต่างก็ได้มาด้วยจิตไร้สำนึกของจักรวาลของคาร์ล จุง ทั้งสิ้น จึงไม่รู้ว่าโลกเราได้หลักการวัตถุนิยม เนื้อเยื่อนิยม และพฤติกรรมนิยมมาจากไหน?       

จริงๆ แล้วเราเดินมาเกินครึ่งทางเล็กน้อย คือเรามีวิวัฒนาการทางกายที่ผู้เขียนได้พูดมาตลอดว่าแทบจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วมาตั้งแต่เรามีโฮโม ซาเปียนส์ อุบัติขึ้นมาบนโลกแล้ว เค็น วิลเบอร์ บอกว่า มีมาตั้งแต่มนุษย์เริ่มเดินตัวตรง (โฮโมอีเรคตัส) หัวชี้ฟ้าและมองฟ้าได้เกือบ 360 ดีกรี (แต่แปลก? ที่ผู้เขียนคิดถึงความพิเศษที่ประเสริฐสุดๆ ของมนุษย์ที่ตรงนี้ เหมือนพ่อหมอเสม พริ้มพวงแก้ว เปี๊ยบ) แต่สำหรับวิวัฒนาการทางจิตนั้น ผู้เขียนและนักวิจัยบางคนคิดว่าเป็นมาแล้วอย่างน้อยครึ่งหนึ่งก่อนที่เราจะมีวิวัฒนาการทางจิตถึงปัจจุบันที่ระดับตัวตนและเหตุผล (self-rational or self-egoic rational) การเดินทางที่โจเซฟ แคมพ์เบลป์ นักวิชาการที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งที่ไม่มีใครไม่รู้จักบอกว่า เป็นการเดินทางของวีรบุรุษ ซึ่งก็คือการเดินทางทางจิต (ที่ควบคุมพฤติกรรมทั้งหลายทั้งปวง) ของเรา หรือมนุษย์ทุกๆ คนในโลก...ย้ำ...ของมนุษย์ทุกๆ คนที่จะต้องประสบโดยไม่มีการยกเว้น เพราะเป็นเส้นทางของวิวัฒนาการทางจิตไปตามธรรมชาติของสเปกตรัม คือเป็นการมีจิตสำนึกหรือตัวรู้ (ผ่านการบริหารที่สมอง) นั่นคือการเรียนรู้ไปตามกรรมของการเกิดมาของมนุษย์ในภพภูมินี้หรือของโลกนี้ นั่นคือทุกข์ที่พระพุทธองค์บอก และเรา จะต้องเรียนรู้ ความสุขที่เรามีชั่วขณะ ซึ่งฝรั่งตะวันตกบอก และเราในประเทศกำลังพัฒนา เช่นประเทศไทยเชื่อมั่นว่าเป็นความสุขที่แท้จริงนั้น ซึ่งฝรั่งเองก็ไม่รู้ แต่ผู้เขียนคิดว่ารู้และมันเป็นเรื่องของจิตสำนึกหรือจิตรู้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และเกี่ยวข้องกับที่เราเรียกว่าสติปัญญาความฉลาด  (intelligence) ความทุกข์และความสุขที่แท้จริงนั้น โดยเฉพาะความสุขเกี่ยวข้องกันตรงนั้น เพราะว่าความทุกข์นั้นทางพุทธศาสนาได้กล่าวรายละเอียดไว้แล้ว จงอย่ามองเรื่องของ “ทุกขา” ว่าเป็นการมองชีวิตทางด้านลบ (annihilate) แต่จงมองในด้านกลางๆ หรือเป็นธรรมชาติว่าเพราะชีวิตทั้งชีวิตและตลอดชีวิต นอกจากมีความสุขเพียงประเดี๋ยวประด๋าวและจำต้องหาความสุขอื่นๆ อยู่เรื่อยไปไม่เคยพอ ส่วนเวลาที่เหลือนั้นล้วนแล้วแต่เป็นความทุกข์ทั้งสิ้น ยกเว้นเวลาหลับ ทุกข์ของการจำพราก ทุกข์ของการอิจฉาตาร้อน ทุกข์ของการสิ้นหวังไม่ได้ในสิ่งที่ตนพอใจ หรือไม่อาจกำจัดสิ่งหรือคนที่ตนไม่พอใจได้ ฯลฯ  ส่วนความสุขที่ว่าเกี่ยวกับการเรียนรู้และเกี่ยวกับสติปัญญาความฉลาด (intelligence) นั้น ผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องของวิวัฒนาการของกายและของจิตเช่นความทุกข์เหมือนกัน แต่ทางพุทธศาสนาไม่ได้มีการกล่าวโดยเฉพาะไว้ (ที่ในพุทธศาสนาพูดเฉพาะ “ทุกขา” ส่วนความสุขก็เป็น bliss ไม่ใช่ happiness)  ความสุขที่ฝรั่งตะวันตกพูดถึงคือคำหลัง ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นวิวัฒนาการทางกาย หรือทางวิญญาณขันธ์  อันเป็นเรื่องของจิตสำนึกหรือจิตรู้ที่ผ่านการบริหารจากสมองของจิตไร้สำนึกของจักรวาล (ตรงนี้เราจำต้องไม่ลืมว่าความรู้ของฝรั่งตะวันตกที่เราทุกคนเรียนนั้น ตะวันตกจะพูดถึงอวัยวะที่เป็นประสาทสัมผัส  (sense organs) ว่ามีอยู่ 5 อย่างเท่านั้น คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส ส่วนทางเราหรือตะวันออกจะรวมจิตใจหรือใจ หรือวิญญาณขันธ์ที่เป็นภายใน แต่เป็นเรื่องของการรู้หรือตัวรู้ อันเป็นสติอย่างหยาบไว้ด้วย  (conscious mind or secondary awareness) จิตสำนึกรู้จึงอาจจะจัดให้เป็นกายก็ได้หากมองจากความรู้ทางตะวันออก เราชาวโลกในปัจจุบันกำลังอยู่หลังครึ่งทางวิวัฒนาการทางจิตไปแล้วเล็กน้อยดังที่กล่าวแล้วข้างบน และตามที่ได้บอกมาแล้วข้างบนเช่นเดียวกันว่าในปัจจุบันนี้มนุษย์เรา ส่วนใหญ่จะมีวิวัฒนาการทางจิตอยู่ที่ระดับของตัวตนและเหตุผล (self-rational or self - egoic rational) เราในปัจจุบันจึงเคารพเหตุผลมาตั้งแต่ยุคแห่งเหตุผลเมื่อประมาณ 500 ปีก่อน จนกระทั่งวันนี้และเดี๋ยวนี้ แต่เรากำลังเปลี่ยนแปลงตัวเอง (transformation) นั่นคือ เราชาวโลกกำลังจะมีกระบวนทัศน์ใหม่ พาราไดม์ใหม่ - ดูวัด ดูจิต จิตตปัญญาศึกษา จิตอาสา ฯลฯ แต่ผู้เขียนเชื่อในรายงานของสถาบันวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ (Noetic Science Institute 2007 Report on Evidence of World Transformation) ที่กล่าวว่า  คาตาลิสต์หรือตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้น แรงที่สุดและเป็นสาเหตุที่เข้มข้นที่สุดสำหรับมนุษย์คือความเจ็บปวดทรมานถึงขีดสุด และเป็นเช่นนั้นเองประกอบกับเราได้พัฒนาระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรีและการพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีไปเกือบทั่วทั้งโลกแล้วในปัจจุบันนี้ เราจึงได้ติดลบแก่ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมทั้งหลายทั้งปวงถึงกว่า 25%  อย่าลืมว่า ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรี กับเทคโนโลยีนิยมวัตถุหรือหลักการแม็ตทีเรียลลิซึ่ม (materialism) นั้นเป็นคอหอยลูกกระเดือกให้กับการอุตสาหกรรมและระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและการตลาดเสรีอย่างที่แยกออกจากกันไม่ได้ และสิ่งเหล่านี้เองเป็นเหตุผลหนึ่งที่สำคัญของผู้เขียนที่มองปี 2012-2013 และปี 2020 เป็นปีที่ประชากรโลกถึง  80% จะหายไปในทันทีทันใด พร้อมๆ กับมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองของผู้ที่เหลือรอด (สู่สภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) อย่างแรกเพราะการสลับขั้วแม่เหล็กโลกและการย้ายขั้วโลกเหนือไป 30 ดีกรี ตรงตามที่เผ่ามายาและลัทธิพระเวทบอก อย่างหลังเพราะโลกร้อน (ยูเอ็นและอังกฤษ-อเมริกัน) หรือยุคน้ำแข็ง (รัสเซีย) ไมต้องห่วงว่าจะรบพุ่งกัน แม้แต่ที่ปลายสุดด้ามขวานเองก็ยุติ

การเปลี่ยนแปลงตัวเองของมนุษยชาติสู่พาราไดม์ใหม่ กระบวนทัศน์ใหม่นี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงทางจิตสู่จิตสำนึกใหม่หรือตัวรู้ใหม่ตามสเปกตรัมของจิต หรือสภาวะจิตวิญญาณ (spirituality) นั้นดังได้บอกมาแล้ว เป็นสิ่งที่ชาวโลกทั้งหลาย โดยเฉพาะนักฟิสิกส์ระดับโลกทั้งมวล รวมทั้งคนไทยที่ไปวัดหรือเข้าคอร์สจิตปัญญาศึกษา คือการแสวงหาความหลุดพ้น (enlightenment) ผู้เขียนคิดว่าการมองอย่าง  Duain Elgin (The living universe 2010) อาจจะไม่ถูกทีเดียว เพราะผู้เขียนเชื่อในพุทธศาสนาว่าทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนที่เป็นวัฏจักร (วงกลม) หรือคล้ายๆ กับอย่างนั้น เพราะฉะนั้นมันจึงไม่มีผนังกั้นระหว่างการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการทางจิตของมนุษยชาติที่อยู่ในระดับตัวตนและเหตุผลอย่างในปัจจุบัน แต่หากจะเป็นผนังที่เป็นพลวัต (Dynamicity) เคลื่อนไหวเป็นวงกลมไล่ต่อไป เส้นทางของการเรียนรู้ของมนุษยชาติผ่านสติปัญญาความฉลาด วิวัฒนาการของมนุษยชาติทั้งหมดตั้งแต่ต้นมาจนถึงระดับตัวตนและเหตุผลเป็นการผิดครรลองของธรรมชาติ ซึ่งเป็นการแยกจากธรรมชาติที่เป็นวิวัฒนาการทางจิตมนุษยชาติ ระดับจิตวิญญาณต่างหากเป็นระดับที่มนุษยชาติแสวงหา เรามาถึงวิวัฒนาการทางจิตได้ครึ่งทางแล้วที่ตัวตนและเหตุผล ต่อไปนี้เรากำลังจะเข้าไปสู่สภาวะจิตวิญญาณ การเข้าสู่สภาวะจิตวิญญาณนั้นมันไม่ใช่การเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประเทศชาติ เห็นแก่สังคม เพราะทุกคนเคารพเหตุผลว่าสังคมสำคัญที่สุด ใหญ่ที่สุด ประเทศชาติมีความยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะฉะนั้นเราจึงเคารพเหตุผล แต่สภาวะจิตวิญญาณหรือการวิวัฒนาการสู่ระดับต่อไปตามสเปกตรัมนั้นไม่ได้เป็นการแยกจากธรรมชาติ หากแต่เป็นการร่วมกับธรรมชาติ (Reunion).

http://www.thaipost.net/sunday/200211/34627

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
wondermay
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 22 กุมภาพันธ์ 2554 09:06:45 »

กรี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดด งอแง

เด๋วกลับบ้านมาอ่านนะคะ
บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2491 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2769 กระทู้ล่าสุด 08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2084 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 08:47:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2030 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2080 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.422 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 21 กันยายน 2566 14:40:30