[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
18 พฤษภาคม 2567 11:51:24 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : จิตวิทยาผ่านพ้นตัวตน กับ วัชรญาณพุทธศาสนา  (อ่าน 1663 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 22 พฤษภาคม 2554 05:40:03 »



วิชาจิตวิทยาผ่านพ้นตัวตนนั้น บางคนเรียกว่าจิตวิทยา จิตวิญญาณเป็นวิชาใหม่ เพราะเพิ่งมีเมื่อไม่นานนัก ราวๆ 30-40 ปีมานี้เอง ในสมัยของอับราฮัม มาสลอฟ ยุคสมัยที่มีกลิ่นอายของการปฏิบัติสมาธิของตะวันออกของนักวิชาการตะวันตก ดังนั้นจึงมีคนศึกษาจริงๆ น้อย แต่อย่าลืมว่าอะไรๆ ที่เป็นตะวันออก (ไม่ทราบว่าญี่ปุ่นจะเกี่ยวข้องหรือไม่?) ผิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาทั้งรัฐสภาอเมริกันยกเลิกไปเมื่อปี 1960 นี้เอง ซึ่งหากคิดว่าการปฏิบัติสมาธิเป็นความรู้ - ที่เป็นกลาง - เป็นของชาวตะวันออก จึงไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง จึงไม่ควรจะห้ามมาตั้งแต่ต้น จิตวิทยาผ่านพ้นตัวตน หรือจิตวิทยาจิตวิญญาณ (transcendental or spiritual psychology) นี้เคยมีมาช้านานแล้ว  แต่ไม่เคยดังเหมือนเดี๋ยวนี้ คือมีมาตั้งแต่สมัยของวิลเลียม เจมส์ บิดาของจิตวิทยา และสมัยปิแอร์ เตยา เดอ ชาดัง ผู้เสนอคำว่า “ระดับหรือจุดโอเมกา”  (omega point) อันเป็นระดับของวิวัฒนาการทางจิตระดับสูงขั้นสุดท้ายเมื่อศตวรรษก่อนหน้านี้

เมื่อวันก่อนได้ย้ำซ้ำอีกครั้งหนึ่งถึงความจริงที่มีว่า มนุษย์เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ หรือที่ศาสนาบอกเราว่าเพื่อเดินทางขึ้นฝั่งไป สุดท้ายแล้วก็เพื่อสั่งสมประสบการณ์ตรงหรือการเรียนรู้นั่นแหละ แต่การเรียนกับการรู้ไม่เหมือนกัน  การเรียนคือ การฟัง การอ่าน การดู ฯลฯ คนอื่นเขา “ทำ” ซึ่งการรู้คือการทำนั้น  แถมยังทำด้วยตนเองหรือการปฏิบัติด้วยตนเอง ซึ่งก็คือประสบการณ์ตรงนั่นเอง เราเรียนแล้วคิดว่าเรารู้ จึงไม่ใช่เรารู้จริงๆ แต่การรู้ที่แท้จริงนั้นจะต้องเป็นประสบการณ์ตรงของตัวเองเท่านั้น ครูอาจารย์ถึงจะดีอย่างไร? ก็เป็นคนอื่นอยู่วันยังค่ำ และประสบการณ์นั้นจะคลี่ขยายอย่างไม่มีวันจะจบสิ้น นอกจากบรรลุนิพพานแล้วเท่านั้น นิพพานจึงเหมือนแสงที่ใสกระจ่างที่ไม่ต้องได้มาจากสิ่งใด  และยิ่งกว่านั้นนิพพานคือความว่างเปล่า ที่แปลก! ตรงกับควอนตัมฟิสิกส์  (quantum vacuum) เป๊ะ ซึ่งได้มาจากการไหวกระเพื่อมทางควอนตัม  (quantum fluctuation) ซึ่งเป็นพลังงานที่หลงเหลือจากพลังงานของจักรวาลเก่าที่มีมาก่อน

พูดกันที่นี่ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน เรา-ท่านจะต้องรู้สึกว่าที่ผู้เขียนได้คิดเขียนด่าว่าทางตะวันตก-ทางกรีซที่ชักนำให้มนุษย์ทั่วทั้งโลกเชื่อมั่นศรัทธาตามๆ กันว่าจักรวาลก่อประกอบขึ้นด้วย “วัตถุและอากาศ” ที่กล่าวมานั้น ที่เราในเวลาต่อมา - คิดและวางเป็นระบบต่างๆ มาใช้นั้น - ผิดทั้งหมดเลย  ดังนั้นที่ผู้เขียน “คิดและเขียนทั้งด่าและว่า-นั้น-จึงไม่มีประโยชน์ใดๆ  เพราะ 1.คนส่วนใหญไม่อ่านไม่ฟัง 2.คนที่อาจฟังก็เปลี่ยนตัวเองไม่ได้ เพราะนิสัยความเคยชินจากการเดินสายไฟ (wiring) ของเซลล์สมองที่สมองไปเรียบร้อยแล้ว 3.กรีซและทางตะวันตกได้ก่อกิเลสและตัณหาให้มนุษยชาติแล้ว

ผู้เขียนในบางส่วนและบางที รู้สึกและคิดเหมือนกับคริสโตเฟอร์ บาคี  (Stephan martin interviewing Christ Bache : Cosmic Con - versation,  2010) - คริสโตเฟอร์ บาคี เป็นศาสตราจารย์สอนปรัชญาของมหาวิทยาลัยยังสทาวน์ สอนจิตวิทยาผ่านพ้นตัวตน และสอนเรื่องจิตที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานฟรานซิสโก ผู้กินยาลึกลับ (secret psychedelic) และวัชรญาณพุทธศาสนามากว่า 20 ปี - เปี๊ยบๆ ที่คิดว่าไม่มีทางที่เรา (ผู้เขียนและหวังว่าผู้อ่านคงเห็นด้วย) ที่จะคิดและเห็นเป็นอย่างอื่นได้เลย ในเรื่อง 2 อย่าง 2 กรณี คือ  1.ความคิด (เก่าๆ) ที่ผิดๆ ที่ทั้งทางกรีซและทางตะวันตกคิดว่าจักรวาลประกอบด้วยวัตถุ (ที่ต่อมาพัฒนาเป็นหลักการแมตทีเรียลลิสต์และเทคโนโลยี  และที่สำคัญที่สุดคือ เป็นหัวหอกให้แก่ระบบต่างๆ ไม่ว่าระบบสังคม ระบบการเมือง ระบบการศึกษา ระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่เร็วๆ นี้ได้ติดปีกให้กับระบบนั้นด้วยระบบการตลาดเสรี เอาม้าแกลบมาวิ่งแข่งกับม้าเทศ 2.จากระบบสังคมต่างๆ ที่กล่าวมานั้นได้ก่อเหตุผลของความไม่เป็น “ธรรม” บนกิเลสราคะความเห็นแก่ตัว ซึ่งได้ก่อให้เกิดความวิกฤติของธรรมชาติขึ้นทั่วทั้งโลก “โดยรวม” (collectively) ด้วยภัยธรรมชาตินานัปการ ดังที่ เรา-มนุษย์กำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่ในขณะนี้ และที่พูดว่า มันไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่นที่จะเป็นไปได้นอกจากการต้องทนทุกข์ทรมานอย่างไม่หยุดหย่อน จนกว่าเรา-มนุษย์ “ทุกคนทั่วทั้งโลก” จะมีวิวัฒนาการผ่านพ้นตัวตนสู่สภาวะจิตวิญญาณและนิพพาน

นั่นคือสุดท้ายเราก็รู้ว่าไฟที่ไหม้เราทั้งข้างนอกข้างในคือความทุกข์ทั้งนั้น  ความทุกข์จากภายนอก - ความเจ็บปวดจากการเฆี่ยนตี หรือจากโรคร้ายจากมะเร็ง - กับความทุกข์จากภายใน - ความเจ็บปวดจากความไม่เป็นธรรมหรือความยากไร้ - ก็คือไฟเช่นกัน ทั้งหมดนั้นจริงๆ แล้วคืออัตตาตัวตน (self) ที่ตามมาด้วยอหังการหรืออีโก้ (ego) ที่ให้การยึดมั่นถือมั่นหรืออุปาทาน ซึ่งทำให้มนุษย์เรา เข้าใจผิด โดยคิดว่าการเอาตัวรอด (existentialism) คือนอร์มหรือความเป็นปกติธรรมดาของมนุษย์ สาธารณชนคนทั่วไปส่วนใหญ่มากๆ และนักวิชาการ โดยเฉพาะนักชีววิทยาส่วนมาก (โดยเมื่อก่อนนี้เป็นชาวตะวันตก แต่ทุกวันนี้เป็นมนุษย์ทั่วไปทั่วทั้งโลก) คิดเช่นนั้น “จริงๆ”  เพราะคิดจริงๆ ว่าความรู้ (knowledge) จะต้องได้มาจากทางตะวันตกเท่านั้นถึงจะเป็นความรู้ที่เป็นความจริงที่แท้จริง เพราะตาของมนุษย์ - ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับตาของสัตว์ที่ต้องมีหน้าที่เฉพาะเกี่ยวกับการมองกับการเห็นเท่านั้น -  ทั้งชาร์ลส์ ดาร์วิน ทั้งชีววิทยาอันเป็นวิทยาศาสตร์ว่าด้วยมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในกาแล็กซีนี้เสียด้วย (นักวิทยาศาสตร์จินตนาการว่ากาแล็กซีทางช้างเผือกของเราเมื่อมันมีดาวหรือดวงอาทิตย์ถึงตั้งกว่าร้อยล้านดวง มันก็น่าจะมีโลกที่เหมือนกับโลกของเรา ไม่ต้องเหมือนกันเป๊ะๆ หรอก ขอเพียงให้มันมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับโลกเรา ก็น่าจะมีเป็นพันล้านโลก แต่เท่าที่รู้ เราพบดวงอาทิตย์ที่มีลักษณะคล้ายๆ กับดวงอาทิตย์ของเราร่วม 400 ดวง และยังพบโลกใหม่ทุกๆ  สัปดาห์ แต่เราไม่พบโลกที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าจะมีชีวิตเลย มันก็เหมือนกับที่มีนักวิทยาศาสตร์ที่กล่าวว่า “จักรวาลของเราไม่เพียงแต่ฉลาดเฉลียวเท่านั้น แต่ทุกๆ วันที่เรารู้จักมันมากขึ้นๆ เราก็ยิ่งพบว่ามันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ (queer) ยิ่งๆ ขึ้นทุกๆ วัน” หรือว่าจะมีความคล้ายคลึงกันระหว่างข้อรำพึงของนักปรัชญาชาวสเปน ไมเคิล เดอ อุมโนนา ที่เขียนว่า “มันมีความลักลั่นชอบกลในความไม่เท่าเทียมกันในจักรวาล คือยิ่งรู้มากเท่าไหร่?  ความจริงยิ่งมีน้อยเท่านั้น”

เพราะฉะนั้น ถ้าหากเราคิดว่าโลกนี้จักรวาลนี้มันมีเฉพาะแต่วัตถุ  (matter) มันมีแต่กายภาพ (physical) วิวัฒนาการของธรรมชาติที่สำคัญที่สุดก็จะมีแต่วิวัฒนาการของชีวิต ของสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิวัฒนาการของมนุษย์ หรือชีววิทยาของชาร์ลส์ ดาร์วิน มนุษย์ก็ เป็นสัตว์ชัดๆ คือ รู้จักแต่การเอาตัวรอด (existentialism) เช่นเดียวกับสัตว์ทั่วๆ ไป เช่น ลิง หมา  นก และแมลง เราที่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา - ด้อยพัฒนาทั้งหลายจึงได้นับถือความรู้ของฝรั่งตะวันตกว่าเป็นความจริงที่แท้จริง จึงมีคนจำนวนไม่น้อยในประเทศเหล่านี้ - รวมประเทศไทยเราด้วย - ที่แก่งแย่งกันไป “ชุบตัว” เป็นทองที่เมืองนอกกันเป็นทิวแถว รวมทั้งผู้เขียนเมื่อก่อนนี้ ความรู้ที่เป็นความจริงในระดับตาที่มองเห็นหรือในระดับกายภาพหรือแมตทีเรียลลิซึ่ม  (physicalism or materialism) ซึ่งด้วยกาลเวลามากกว่า 500 ปี ได้พัฒนาก้าวหน้าทางความรู้ทางวิชาการเป็นอย่างดียิ่งๆ นั่นคือ ความรู้ (knowledge) ที่เป็นความจริงที่ตาเห็นหรือความจริงทางกาย-วัตถุ หรือที่ทางตะวันออกเรียกว่า  ความจริงทางโลก ตะวันออกคิดว่า ความจริงนั้นมี 2 ความจริง (dualism) คือ  ความจริงทางโลกที่ตาสัตว์และมนุษย์เห็น กับความจริงแท้ที่ไม่มีทางเห็น

แต่เราที่เป็นชาวตะวันออกในสมัยก่อนที่มีการล่าอาณานิคมเพียงร่วมร้อยกว่าปี และก่อนสมัยที่ความรู้จะตั้งอยู่บนวัตถุและกายภาพของตะวันตก  เรา-มนุษย์จะถูกสอนด้วยศาสนาทุกๆ ศาสนาตะวันออกให้อยู่กับ 2 ความจริง  (dualism) นั่นคือ ความจริงทางโลกที่เป็นเพียงมายาหรือภาพลวงตา กับความจริงทางธรรมหรือความจริงที่แท้จริง ที่กระทั่งโลกได้มีควอนตัมเม็คคานิกส์ที่พิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะนักฟิสิกส์บางคนไม่เชื่อ โดยเฉพาะไอน์สไตน์ ที่สุดท้ายต้องยอมแพ้ นั่นคือที่คำแปลโคเปนเฮเกนที่เรียกความเป็น 2 โลกของไฮเซนเบิร์ก (duplex world of Heisenberg) อีกอย่างหนึ่งพุทธศาสนาบอกว่า ในโลกในจักรวาลนี้มีอยู่ 2 อย่างเท่านั้น คือ รูปกับนาม หรือกายกับจิต และจักรวาลมีหน้าที่อย่างเดียวคือ จัดให้ทุกสิ่งที่อยู่ในจักรวาลนี้มีวิวัฒนาการ ดังนั้นเมื่อมีวิวัฒนาการทางกายภาพได้ หรือวิวัฒนาการทางชีววิทยาได้ มันก็ต้องมีวิวัฒนาการทางจิตได้ด้วย เพราะว่าวิวัฒนาการเป็นหน้าที่ของจักรวาล ไม่ใช่หน้าที่ของตะวันตก

คริสโตเฟอร์ บาคี นั้นปัจจุบันมีชื่อเสียงมาก เพราะไปกินยาที่ว่านั้น  (secret psychedelic) เช่น โยชิมบิน ซึ่งเป็นเห็ดชนิดหนึ่ง เห็ดนี้และยานี้ทำให้คนกินมีอาการเมาเหมือนกับการมีความรู้เร้นลับ (mysticism) คล้ายๆ กับการทำสมาธิ ซึ่งเมื่อก่อนนี้ทางการสหรัฐอเมริกาห้ามใช้แม้ในงานวิจัย เช่นเดียวกับยาแอลเอสดี (LSD) แต่ปัจจุบันไม่ได้ห้ามอีกต่อไป ดังที่ได้บอกแล้วว่า  คริสโตเฟอร์ บาคี สอนศาสนาปรัชญาที่มหาวิทยาลัยยังสทาวน์ ทั้งเป็นผู้สนใจวัชรญาณพุทธศาสนาที่เชื่อในการระลึกชาติ และเชื่อว่าคนเราไม่ได้ตายจริง  ตายเฉพาะรูปกาย แต่จิตไร้สำนึกไม่ตาย แถมบางคนโดยเฉพาะเมื่อยังเป็นเด็ก  แม้แต่จิตรู้ก็ไม่ตายไป พูดง่ายๆ บาคีเชื่อในวัฏจักรในการเวียนว่ายตาย - เกิดไปเรื่อยๆ บาคีได้เขียนหนังสือเรื่องวัฏจักรของการเวียนว่ายตาย - เกิด และการระลึกชาติ (Chistopher Bache : Lifecycles and the  Reincarnation ;  1990) ซึ่งในหนังสือได้ย้ำข้อเขียนของผู้เขียนที่เขียนลงในที่นี่หลายหนแล้วว่า  ศาสนาคริสต์เองได้เชื่อในเรื่องการระลึกชาติได้ จนกระทั่งคริสต์ศักราชที่ 500  โป๊ปวิสิลิอุส ด้วยเหตุผลทางการเมือง ห้ามไม่ให้กล่าวถึงการระลึกชาติโดยเด็ดขาด อ้างว่าไม่ใช่คริสต์ศาสนา ด้วยคำสั่งที่เคร่งคัดจากโป๊ปเช่นนั้นเอง กับด้วยเวลาถึง 1,500 ปี คริสต์ศาสนาจึงลืมเรื่องนี้ไปโดยสิ้นเชิง

ผู้เขียนคิดเองว่าพุทธศาสนาไม่ว่านิกายอะไร? พระพุทธเจ้าคือผู้สอน ดังนั้นจึงเป็นจริงทั้งหมด ซึ่งการเป็นจริงอยู่ที่ความจริงสูงสุด (supreme reality)  อยู่ที่นิพพาน คริสโตเฟอร์ บาคี จึงศึกษาและค้นคว้าพุทธศาสนา ในที่นี้วัชรญาณพุทธศาสนาถึงกว่า 20 ปี ตราบปัจจุบัน เขาพบ 2 อย่าง คือ 1.ความจริงที่เป็นปรมัตนั้น ไม่ว่าจะได้มาด้วยความฝัน ซีนโครนิซิตี ทำสมาธิ หรือโดยจิตวิญญาณวิธีใด เป็นความจริงที่คลี่ขยายไปตลอดเหมือนกับว่าความจริงคือความฉลาดลึกล้ำที่คลี่ขยายออกมาจากความว่างเปล่าเป็นชั้นๆ จบที่นิพพาน กับ 2. มนุษย์ทุกคนมีหนึ่งเดียวเท่านั้น มีความรัก เมตตา และมีการเปลี่ยนแปลงสู่ภาวะจิตวิญญาณเป็นหัวใจ.

http://www.thaipost.net/sunday/010511/37897

http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5669.0.html

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2492 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2772 กระทู้ล่าสุด 08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2085 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 08:47:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2033 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2081 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.375 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 18 มีนาคม 2567 08:36:55