[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
17 พฤษภาคม 2567 10:46:42 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : จิตคือฟิสิกส์ใหม่-ต้องรู้ก่อนจะสายเกินไป  (อ่าน 1462 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 13 มิถุนายน 2553 14:29:18 »


 
 
สำหรับผู้เขียนซึ่งได้ติดตาม คาร์ล ซี. จุง มานาน รู้ว่าแม้เขาจะเรียนวิทยาศาสตร์และเป็นคนช่างสังเกตมากๆ แต่ผู้เขียนก็ยังคิดว่าเขาเป็นจิตนิยมอยู่ดี ในที่นี้คำว่าจิตนิยมไม่ได้แปลว่าเขาเชื่อมั่นศรัทธาในพระเจ้าเท่านั้น แต่เขาพยายามจะอธิบายศาสนาให้เป็นวิทยาศาสตร์ด้วย เช่น เรื่องของ "ความสอดคล้องพ้องจองกัน" (synchronicity) หรือความบังเอิญ (ซึ่งจุงไม่เชื่อ) ที่ประสบการณ์ตรงทางจิต (เช่น ความฝัน ภาพหรือการรับรู้ต่างๆ ฯลฯ) เกิดมาพ้องจองกันกับเหตุการณ์จริงๆ ทางโลกแห่งกายอย่างมีความหมาย ทั้งๆ ที่ไม่มีสื่อใดๆ บ่งบอก - ที่ผู้เขียนเชื่อเพราะเคยเกิดขึ้นกับผู้เขียนหลายครั้ง - ซึ่งคาร์ล ซี. จุง อธิบายว่าประสบการณ์ตรงทางจิตกับเหตุการณ์จริงๆ ทางโลกกายภาพเป็นเรื่องของการติดต่อกันอย่างอีนุงตุงนัง (entanglement) - จุงไม่ได้ใช้คำนี้ แต่ผู้เขียนคิดว่าความหมายเป็นอย่างเดียวกัน - ของจิตไร้สำนึกสากลของจักรวาล แต่อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ที่จะคิดว่า การค้นพบควอนตัมเม็คคานิคส์หรือฟิสิกส์ใหม่ ซึ่งค้นพบในขณะที่มนุษยชาติกำลังลำพองใจกับความก้าวหน้า (หรือการเริ่มต้นของการทำร้ายและทำลายโลกธรรมชาติของมนุษยชาติ หรืออีกนัยหนึ่งเป็นการเริ่มต้นของการต่อสู้ระหว่างธรรมชาติ vs มนุษยชาติ) ของวิทยาศาสตร์กายภาพหรือกายวัตถุ การค้นพบของวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าทฤษฎีควอนตัมของตะวันตก ซึ่งสอดคล้องต้องกันหรือสนับสนุนซึ่งกันและกันกับศาสนาที่อุบัติขึ้นทางตะวันออก เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาเต๋า และศาสนาฮินดู ทำให้ผู้เขียนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงความน่าเป็นไปได้ของการติดต่อกันอย่างอีนุงตุงนังของจิตไร้สำนึกสากลของจักรวาล (universal unconscious continuum) อย่าลิมว่าจิตไร้สำนึกที่ว่านี้ ก่อประกอบเป็นทุกๆ สรรพสิ่งและสรรพปรากฏการณ์ที่อยู่ในจักรวาล รวมทั้งสถานที่และเวลา ในมหายานและวัชรญาณพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูถึงได้บอกเหมือนๆ กันว่า อวกาศ (สถานที่ + เวลา หรือ absolute space) คือธาตุที่ 5 ที่ผู้เขียนเข้าใจว่าเป็นที่มาของอวกาศ (spac) และวิญญาณ (unconsciousness as consciousness) ผู้เขียนเข้าใจเอาเองว่า เถรวาทพุทธศาสนาจะ
 
เรียกอากาศว่าที่ว่างในร่างกาย และเรียกวิญญาณว่าความรู้แจ้งทางอารมณ์
 
ปัจจุบันสังคมสมัยนี้อยู่กันด้วยตรรกะหรือเหตุผล ไม่ว่าสถานที่ใดหรือองค์กรสถาบันไหน วันๆ มีการตั้งกรรมการอนุกรรมการมาประชุมสัมมนากันเพื่อตัดสินปัญหา-หามติกัน โดยยกเหตุผลมาแสดงจนแทบโกรธกันจนตาย ยิ่งถ้าหากเกิดมีผลประโยชน์หรือเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว อาจจะเป็นความเป็นความตายของผู้มีเหตุผลดี หรือตรงไปตรงมาจึงต้องตาย ที่เราๆ ท่านๆ ต่างล้วนได้ยินได้ฟังมาแทบทุกคนก็ว่าได้ โดยเฉพาะในสังคมที่ด้อยพัฒนาที่ยิ่งด้อยพัฒนาแค่ไหน และยิ่งต้องการทำตามประเทศที่พัฒนามากและนานเป็นร้อยปีแล้วแค่ไหนก็ยิ่งมีการตายการแตกแยกขัดแย้งทะเลาะกันมากขึ้นเท่านั้น นั่นคือ ยิ่งทำผิดธรรมชาติ ผิดธรรมะมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นวิกฤติมหาวิกฤติ ที่ทุกวันนี้พูดตามตรง หมดทางแก้ไขไดๆ ทั้งสิ้น รอเพียงอย่างเดียวคือ เรารอสังคมประเทศชาติหรือโลกทั้งโลกฉิบหายสลายไปด้วยกัน เพราะตรรกะและเหตุผลของมนุษยชาติที่เรียกว่าทันสมัยนั่นแหละ
 
ที่พูดมานั้นย่อมมีเหตุผลอันเป็นสากลโดยไม่ใช่ของมนุษยชาติแต่เพียงชีวิตเดียว หรือเฉพาะคนไทยพุทธเถรวาทที่ยังหนุ่มแน่นโดยเฉพาะผู้ชาย ผู้เขียนไม่ได้มีปมเขื่องหรือปมด้อย ทั้งไม่ใช่เป็นคนต่อต้านสังคมที่มองโลกในด้านร้าย และก็ไม่ใช่คนที่แช่งให้โลกฉิบหายไวๆ แต่เป็นตรงกันข้ามกับที่เพิ่งพูดมาในพารากราฟนี้ทั้งหมด ผู้เขียนมีความคิดเห็นโดยอยากดูและปรารถนาที่จะเห็นมนุษยชาติซึ่งพิเศษสุดพิเศษ คือประเสริฐกว่ามวลชีวิตทั้งหลาย คือต้องการเห็นมนุษย์ "ประเสริฐ" และอิสระจริงๆ กันทุกคน ไม่ต้องมีวัตถุ คุกตะราง หรือกระดาษ เช่น รัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือมีพี่เบิ้ม เช่น อเมริกาที่ผิดธรรมชาติ - ทั้งสองระดับ - มาตลอดตั้งแต่ตั้งสังคมประเทศชาติมาคอยควบคุมให้ปฏิบัติตาม ผู้เขียนคิดและเชื่อมั่นว่ามนุษยชาติจะต้องมีวิวัฒนาการ - ทางกายและทางจิตโดยมีพลังงานเป็นเครื่องมือกลไก - ไม่ใช่สัตว์ป่าที่โหดเหี้ยมชั่วร้ายอีกต่อไป และจะวิวัฒนาการทางจิตสู่เทวดาดังที่โพลตินัสกล่าวไว้เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ซึ่งจิตจะต้องมีวิวัฒนาการต่อไปตามสเปกตรัมสู่โลกทัศน์ใหม่กระบวนทัศน์ใหม่ ผ่านรู้ทั้ง 3 รู้ คือ รู้รอด รู้เพื่อรู้ และรู้แจ้ง ซึ่งเราลองผิดลองถูกมานานจนสังคมโลกวิกฤติ (ส่วนใหญ่มากๆ จะเป็นการลองผิดและวิกฤติเกิดจากการลองผิดนั้นๆ) ขณะนี้มนุษยชาติทั้งเผ่าพันธุ์ไม่มีเวลาเหลือที่จะลองและผิดอีกแล้ว นอกจากความหวังต่อไปนี้อย่างเดียวคือ ต้องปฏิบัติเพื่อเป็นเทวดาที่โพลตินัสว่าให้ได้ การเกิดเป็นมนุษย์นั้นสุดวิเศษ เพราะเป็น "สุขคติ" และไปนิพพานได้ ความหวังของผู้เขียนนั้นคือ การปฏิบัติจิตปฏิบัติธรรมจะนำจิตสู่ธรรมชาติระบบบน (spirituality) ได้ ซึ่งจะทำให้มนุษย์เป็นอิสระ เกิดปัญญา สามารถจะมองเห็นโลกกับเห็นจักรวาลคือ "บ้านของเรา" ได้ เราและมวลชีวิตทั้งหลายจึงจะอยู่ได้รอดปลอดภัยเท่านานแสนนาน จึงขอตั้งความหวังที่แท้จริงว่ามนุษย์ทั้งหลายจงอย่าประมาท เราไม่มีเวลาเหลืออีกแล้วจริงๆ แม้แต่ 3-4 ปีข้างหน้านี้ก็จงอย่ารอเลย เพราะจะสายเกินไป
 
การปฏิบัติจิตปฏิบัติธรรมหรือปฏิบัติสมาธิสู่จิตวิญญาณนั้นในระดับบนนี้ ไม่ว่าศาสนาใดก็ไม่มีความแตกต่างกันโดยหลักการแม้แต่น้อย ที่ต่างกันเป็นเรื่องของระดับล่าง ไม่ใช่ที่ระดับบนหรือระดับจิตวิญญาณ (spirituality) ที่แตกต่างกัน ระดับล่างที่แตกต่างกันนั้น แตกต่างกันที่ "ตัวกูของกู" ที่จะต้องดีกว่าถูกต้องกว่า "ตัวมึงของมึง" เพราะตาและใจที่ลำเอียงหรือมองเห็นแต่ข้างเดียว เช่น ขนบธรรมเนียมประเพณีหรือภาษาวัฒนธรรม ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเป็นลักษณะของกระบวนทัศน์เก่าที่ต้องวิวัฒนาการต่อๆ ไป แต่เราส่วนใหญ่ไม่เชื่อจึงไม่คิด ไม่รู้ และไม่เปลี่ยนแปลง
 
ศาสนาทุกศาสนาจะพูดถึงความไม่รู้หรืออวิชชาของมนุษย์โดยใช้ภาษาของตัวเองที่ผิดแผกแตกต่างกันไป เช่น เพราะไปเชื่องู ไม่เชื่อพระเจ้า ทำให้มนุษย์ตกลงมาจากสวนอีเด็นในคริสต์ศาสนา ที่ว่าความไม่รู้นั้นก็คือว่า เราไม่รู้ความจริงที่แท้จริงของโลกของจักรวาล ซึ่งถูกซ่อนไว้ข้างหลังสิ่งที่รับรู้ด้วยประสาทสัมผัส เช่น ตาหรือหูของเรา สิ่งที่เราเรียกว่าความเป็น 2 (dualism) ที่จำเป็นที่สุดของการอยู่รอดของชีวิต รวมทั้งมนุษย์ ให้เชื่อแต่เฉพาะแต่ตาหู และประสาทสัมผัสภายนอกของตัวเองเท่านั้นว่าเป็นความจริงแท้ ย้ำที่คำว่าตัวเองเท่านั้น ทั้งนี้ ก็เพื่อความอยู่รอดของชีวิตของตัวเอง นั่นคือ ความอยู่รอด (existence ของปรัชญา existentialism ของปอล ซาร์ต (Paul Satre) - ที่ชาวตะวันตกเชื่ออย่างผิดๆ เพราะไม่ได้คิดว่าคือเป้าหมายของพุทธศาสนา - แต่ผู้เขียนเชื่อว่าการรู้ของสัตว์โลก รวมทั้งมนุษย์ทั้ง 3 รู้ (รู้รอด รู้เพื่อรู้ รู้แจ้ง) นั้นเป็นประวัติศาสตร์ขององค์ความรู้ - ตามความเห็นของเดวิด โบห์ม คือ ข้อมูลที่คลี่ขยายจากการซ่อนตัวเองอยู่ในจักรวาล องค์กรที่ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ หากแต่จะไหลเลื่อนเคลื่อนที่และเปลี่ยนแปลงโดยเชื่อมโยงกับทั้งหมด ซึ่งก็คือธรรมชาติหรือธรรมะ - ซึ่งรวมธรรมชาติปกติธรรมดาอย่างหนึ่ง และรวมธรรมชาติที่สุดของธรรมชาติตามที่ท่านพุทธทาสกล่าวไว้อีกอย่างหนึ่งด้วย - ทั้ง 2 ระดับอันเป็นอภิปรัชญาทางศาสนา ตอนนี้ผู้เขียนคิดว่า เรา - ในปัจจุบัน มีองค์ความรู้อีกองค์ความรู้หนึ่ง หรือควอนตัมเม็คคานิกส์ที่พิสูจน์สิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาหรือได้ยินด้วยหู นั่นคือ สิ่งที่องค์ทะไล ลามะ บอกว่าได้มาจากบิกแบ็ง "ที่มีบิกแบ็งๆ ของจักรวาลอันไม่มีที่สิ้นสุด" หรือการโผล่ปรากฏของจิตปฐมภูมิ (ญาณะ = primordial consciousness) รูปกายปฐมภูมิ (ธรรมธาตุ) และพลังงานปฐมภูมิ (ปราณะ) 3 ปฐมภูมิ (ปถนมามัง อุปถัมภันโน) ที่แยกออกจากกันไม่ได้ องค์กรที่เดวิด โบห์ม เรียกว่าองค์กรซ่อนเร้นตัวเอง (implicate order) องค์กรที่ซ่อนตัวเองอยู่ข้างหลังความจริงที่ตามองเห็นหูได้ยิน (David Bohm : Wholeness and Implicate Order, 1981) นั่นเป็นทฤษฎีทางฟิสิกส์ใหม่ที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อกัน นั่นคือความจริงใหม่ที่ค่อนไปทางจิต หรือผู้เขียนเชื่อว่า ควอนตัมฟิสิกส์เท่าที่ผู้เขียนรู้ ทำงานคล้ายกับจิต แต่จิตนั้นละเอียดยิ่งกว่ามาก นักฟิสิกส์ใหญ่ๆ ที่ค้นพบฟิสิกส์ใหม่ควอนตัมเม็คคานิกส์ เช่น แมกซ์ แพลงก์ นีลส์ บอร์ ไฮเซนเบิร์ก ชโรดิงเกอร์ ฯลฯ รวมทั้งไอน์สไตน์เองได้ค้นพบทฤษฎีนี้ และชุมชนวิทยาศาสตร์ได้รับรองวินัยใหม่นี้ในปี 1927 ซึ่งแทบจะอธิบายหลักธรรมชาติของความจริงได้ทั้งหมด - ทั้งที่คลาสิคัลฟิสิกส์อธิบายได้กับอธิบายไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แถมยังแม่นยำกว่านิวโตเนียนฟิสิกส์ด้วย - ดังนี้
 
1.ทฤษฎีควอนตัมอธิบายว่าหนึ่งคือทั้งหมด ทั้งหมดคือหนึ่ง
 
2.ในระดับละเอียดจริงๆ (ระดับอะตอมลงมา) ไม่พบสสารวัตถุใดๆ เลย
 
3.ในระดับเช่นนั้นมีแต่ความ "น่าเป็นไปได้" ของสภาวะอนุภาคหรือสภาวะคลื่นอย่างใดอย่างหนี่ง หรือในสภาวะอื่นๆ
 
4.สุดท้ายความเป็นไปได้นั้นจะต้องมีจิตของผู้สังเกต
 
5.ในธรรมชาตินั้นความจริงแท้ไม่รู้ว่าตั้งอยู่ที่ไหน แต่จะติดต่อกันได้เองในทันทีทันใด
 
6. "จง" อย่าหาเหตุผลเพื่ออธิบายควอนตัมเด็ดขาด เพราะมันไม่มี
 
นั่นตรงกันข้ามกับหลักการคลาสิคัลฟิสิกส์ทุกอย่างเลย ทฤษฎีควอนตัมมีแต่ความไม่แน่นอนที่ทำนายล่วงหน้าไม่ได้ (indeterminism) ทั้งไม่ได้เป็นสิ่งที่ "ตั้งอยู่ข้างนอกนั่น" (non-local) แถมยังเกี่ยวกับจิตผู้สังเกตด้วย ส่วนทฤษฎีที่ 3 ทฤษฎีที่มาของจิตสำนึกนั้นอธิบายด้วยพลวัตที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจิตไร้สำนึกของจักรวาลเป็นจิตสำนึกที่สมอง คือความสัมพันธ์ระหว่างจิต-สมอง (mind-brain interaction) ของวอน นิวแมน-วิกเนอร์-แสตปป์ (อ้างแล้ว) ที่มองว่าจิตไร้สำนึกคือข้อมูลพื้นฐานจักรวาล (information) หรือจิตที่แปลข้อมูลเป็นความหมายที่ส่งมาด้วยพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเป็นความถี่คลื่น ให้สมองเปลี่ยนเป็นจิตสำนึกเป็นบิตของข้อมูลผ่าน 2 กรรมวิธี : จิต-สมอง (ที่เป็นไปด้วยกลไกทางควอนตัมกับกลไกของสมองที่เป็นไปด้วยกระแสไฟฟ้าและสารเคมีตามปกติ (process I-II of Von Neuman-Wigner-Stapps)




 
http://www.thaipost.net/sunday/011109/12854

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2489 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2768 กระทู้ล่าสุด 08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2083 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 08:47:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2029 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2077 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.447 วินาที กับ 30 คำสั่ง

Google visited last this page 02 พฤษภาคม 2567 18:51:27