[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
17 พฤษภาคม 2567 11:13:32 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : จักรวาลวิทยากับนรก-สวรรค์-มนุษย์ต่างมิติ  (อ่าน 2193 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0 MS Internet Explorer 7.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 17 มิถุนายน 2553 20:21:11 »


 
 
จักรวาลวิทยากับนรก-สวรรค์-มนุษย์ต่างมิติ
 
บทความวันนี้อาจจะถือว่าใช้คืนผู้อ่านตามที่ได้สัญญาไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน ในขณะเดียวกันก็ขอรับรองว่า เรื่องที่จะพูดคุยกันนี้ทั้งเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ เป็นความงมงายไสยศาสตร์หรือคิดเอาเอง อย่างน้อยเป็นเรื่องที่มีเหตุผลที่เราใช้กัน หรือเป็นทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ โดยเฉพาะนักจักรวาลวิทยาและนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ระดับนักคิดหรือนักเขียน หรือกระทั่งบางส่วนมีหลักฐานทางคณิตศาสตร์สนับสนุนให้เราเอาไปคิดต่อ แม้ว่าทั้งหมดที่ผู้เขียนได้เขียนมา บางส่วนจะยังไม่เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการบ้านเราเป็นเอกฉันท์ แต่ผู้อ่านก็รู้ดีว่าผู้เขียนจะคิดและเขียนตามข้อเท็จจริงเท่าที่รู้มา หรือไม่ก็ให้ที่อ้างอิงไม่ว่าทางวิทยาศาสตร์ หรือศาสนา หรือปรัชญา หรือข้อมูลทางด้านวิชาการสายต่างๆ ดังนั้น เรื่องที่จะเล่าในวันนี้จึงมีความเป็นไปได้
 
โดยกฎของความสัมพัทธภาพทั่วไปกับในทางจักรวาลวิทยา ไอน์สไตน์บอกเราว่า กำเนิดของจักรวาล (อันนี้) มันน่าจะมีการระเบิดที่เรียกว่าบิ๊ก-แบง และจักรวาลนี้อาจเป็นได้หลายๆ อย่าง แต่ไม่ได้บอกว่าแบบไหนจริง คือทั้งสิ้นสุดหรือมีการเกิดและมีจุดจบ กับไม่มีการเกิดและไม่มีจุดสิ้นสุด ดังนั้นจะมีผู้สร้างมันขึ้นมาก็ได้ ไม่มีผู้สร้างก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นในรูปแบบหลังจักรวาลก็จะมีของมันเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะเดียวกันและโดยคณิตศาสตร์เดียวกัน ไอน์สไตน์ก็ได้บอกอีกว่า จักรวาลรูปแบบแรกที่สิ้นสุดนั้น "สิ้นสุดแบบไม่มีขอบเขต" (finite but unbound) พูดง่ายๆ ก็คือจักรวาลมันไม่มีขอบเหมือนกับพื้นผิวของโลก ที่เป็นความรู้สึกที่มนุษย์เราจะสังเกตเห็นได้ว่าจริงๆ แล้วโลกเรามันไม่มีขอบ โดยรูปแบบที่ว่านี้จักรวาลของเราอันนี้จึงอาจจะมีจักรวาลเพียงอันเดียว คือมีบิ๊ก-แบงครั้งเดียว จึงอาจจะมีผู้สร้างขึ้นมา หรือมีพระเจ้าดังศาสนาที่มีพระเจ้าผู้สร้างขึ้นมาก็ได้ แต่ในขณะเดียวกัน จักรวาลนี้มันอาจไม่มีพระเจ้าหรือผู้สร้าง หรือว่าไม่จำเป็นที่เราจะต้องดึงเอาพระเจ้าให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับเราในโลกแห่งโลกียกามนี้ก็ได้ ตามที่เราอาจจะเข้าใจจากศาสนาที่ไม่กล่าวถึงพระเจ้า เช่นในศาสนาพุทธหรือศาสนาเต๋า คือในศาสนาพุทธเราอาจจะเข้าใจได้ว่า จักรวาลอาจไม่มีเพียงจักรวาลนี้ของเรา ที่เราอาศัยอยู่ที่เรารู้เราเห็นว่ามีอันเดียว แต่จริงแล้วมันมีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คือมียุบๆ พองๆ หรือวิวัตตากับสังวิวัตตา ทำนองเดียวกับบิ๊ก-แบง แล้วก็บิ๊ก-ครันช์ (big-bang and big crunch) เรื่อยๆ ไป อย่างที่องค์ทะไล ลามะ บอก จักรวาลนั้นในทางพุทธศาสนาของทิเบต มันไม่มีการสิ้นสุดหรอก มันจะมีก็แต่ บิ๊ก-แบง บิ๊ก-แบง บิ๊ก-แบง ฯลฯ เรื่อยไป แอด อินฟินิตตัม (Dalai Lama: Universe in a Single Atom, 2006) นอกจากนั้น ไอน์สไตน์ยังบอกว่าจากคณิตศาสตร์-ซึ่งจะล้มเหลวล้มพังพาบโดยสิ้นเชิงในสภาพก่อนจะมีบิ๊ก-แบงทันทีทันใด - นั่นคือสภาพที่ไอน์สไตน์เรียก "ซิงกูลาริตี" ซึ่งก็คือจุดที่เขาคิดว่าเป็นจุดตั้งต้นของจักรวาลนี้
 
การระเบิดที่เรียกว่าบิ๊ก-แบงนี่ มีหลักฐานของการพบพื้นรังสีคอสมิก (cosmic background radiation) ที่เชื่อว่าเกิดจากการระเบิดของซิงกูลาริตี หรือบิ๊ก-แบงนั้น และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เราในระยะแรกๆ คิดว่าส่งผลให้จักรวาล "พองตัว" อย่างรวดเร็ว (inflation) แต่ตอนนี้มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่า การพองตัวของจักรวาลนั้นเกิดจากแรงต้านความโน้มถ่วงกลับมีความรวดเร็วมากกว่าความเร็วแสงเสียอีกมากนัก (ไม่ได้ขัดแย้งกับกฎของไอน์สไตน์ เพราะว่าการพองตัวของจักรวาลเป็นการพองตัวในที่ว่างจริงๆ) นักจักรวาลวิทยายังคิดว่า การพองตัวอย่างรวดเร็วกะทันหันคือสาเหตุที่ทำให้จักรวาลที่ทีแรกมีแต่ความไม่เป็นระเบียบ กลับเป็นสวยงามและมีระเบียบอย่างไม่น่าเชื่อ จนกระทั่งไม่ว่าส่วนไหนของจักรวาลจะมองเห็นเหมือนกันทั้งหมด (fractal) ที่กล่าวมานั้นจนบัดนี้ก็ไม่ได้ตอบคำถามเรามากไปกว่านั้น นอกจากว่าจักรวาล-เฉพาะจักรวาลอันนี้จักรวาลเดียว-ที่เราก็รู้ในทางกายภาพมากขึ้น แต่ก็ยิ่งสับสนมากขึ้น แต่ในทางฟิสิกส์คณิตศาสตร์ มันก็มีทฤษฎีที่ชี้บ่งความน่าจะเป็นไปได้มากพอดู น่าแปลกใจที่ในทางจักรวาลวิทยานั้น อะไรๆ ที่จะเกิดต้องเกิดภายใน 15 พันล้านปีทั้งนั้น นั่นคือข้อจำกัดของอดีตที่เราต้องรู้ เช่นเมื่อเร็วๆ นี้ มีนักฟิสิกส์ได้คำนวณและบอกว่า จักรวาลของเราอันนี้มีอายุราว 13.7 พันล้านปี
 
จักรวาลนั้นมีแต่เรื่องของมายากลที่ใกล้เคียงกับปาฏิหาริย์มากมายที่เราไม่รู้ และแทบหมดปัญญาคิด ส่วนหนึ่งมาจากที่นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์คิดว่า ความสำเร็จทางเทคโนโลยียังห่างไกลจากความจริงที่เรารับรู้มากนัก ในความเห็นของผู้เขียน มนุษย์เราไม่มีทางและไม่มีวันที่จะยอมรับกันเป็นเอกภาพ แม้แต่รายละเอียดของสุริยจักรวาลเอง เรายังอยู่อีกห่างไกลจากความรู้ที่สมบูรณ์ ทั้งหมดของจักรวาลวิทยาทางวิทยาศาสตร์ในความเห็นของผู้เขียน จึงมีแต่ความคิดหรือความเชื่อยิ่งกว่าทางศาสนาเสียอีก
 
เราในปัจจุบันเชื่อกันว่า ระหว่างความเชื่อที่มักจะเกี่ยวข้องกับศาสนาและกับวิทยาศาสตร์ที่บ้านเราเชื่อ หรือนักฟิสิกส์คลาสสิกที่นิวตันค้นพบเมื่อ 400 ปีก่อนเชื่อมั่นว่าคือความจริงทั้งหมด โดยเฉพาะคนที่เป็นคน "สมัยใหม่" ส่วนหนึ่งคงจะเป็นเพราะว่าวิทยาศาสตร์คลาสสิก หรือกายภาพหรือวิทยาศาสตร์เฉยๆ เป็นรากฐานของเทคโนโลยีส่วนใหญ่มากๆ ที่ให้ประสิทธิภาพจริงๆ สำหรับในโลกแห่งโลกียกามที่มีสามมิติที่มนุษย์อาศัยอยู่ ทำให้พวกเราเชื่อ-ด้วยความผิวเผินและหยาบใหญ่-ถือมั่นว่า วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งเดียวกันกับความจริงที่พิสูจน์ได้จากการรับรู้หรือที่ตาของมนุษย์เห็น และคนส่วนใหญ่ในโลกโดยเฉพาะประเทศที่ด้อยพัฒนาหรือพัฒนาใหม่ๆ มักจะคิดว่า อะไรๆ ที่มนุษย์รับรู้ต้องถูกทั้งหมด เฉพาะบ้านเราที่เรียนมาเช่นนั้นตั้งสามสี่ชั่วคนแล้ว ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผู้เขียนเชื่อมั่นมาตลอดเวลาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ และเข้าโรงเรียนเป็นต้นมา จนมีอายุร่วมๆ 60 ปีถึงได้รู้ว่าที่เรียนมา ที่ตาเรามองเห็น อาจเป็นความจริงทางโลกที่มีแค่สามมิติ (เฉพาะที่ว่างหรือสถานที่โดยไม่รวมเวลา) สำหรับมนุษย์เผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้นอาจจะไม่ใช่ความจริงที่แท้จริง และยิ่งผู้เขียนเรียนรู้มากขึ้นเท่าไร โดยเฉพาะฟิสิกส์ใหม่-ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์และควอนตัมเมกานิกส์-ความจริงที่เรารับรู้ก็ค่อยๆ หายไป หรือไม่เป็นความจริงที่แท้จริงอีกต่อไป แม้ในจักรวาลของเรา จริงๆ แล้วแม้อะไรๆ ที่อยู่นอกเหนือจากระบบสุริยะของเรา ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะเป็นความจริงแท้ทั้งหมด
 
จักรวาลวิทยาใหม่รวมทั้งฟิสิกส์ดาราศาสตร์ที่อยู่นอกเหนือจากระบบสุริยะของเรา คือความไม่รู้ของเราเพราะมองไม่เห็นและไม่มีทางเห็น ดังที่นักดาราศาสตร์ เคน ครอสแมน กล่าว "ในด้านจักรวาลวิทยานั้น เราจะพูดอย่างไรก็ได้เพราะมันไม่ผิดหรอก" กล้องฮับเบิลและดาวเทียมที่มีวัตถุประสงค์ทางวิทยาศาสตร์กายภาพ รวมทั้งเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างยิ่ง แม้ว่าจะก้าวหน้ากว่านี้อีกเท่าไหร่ก็ไม่สามารถช่วยทำให้เราเชื่อมั่นกว่านี้ได้มากนัก เราคงไม่อาจจะที่จะตอบคำถามที่เป็นวิทยาศาสตร์กายภาพล้วนๆ ได้ถึงความเร้นลับ เช่นความรู้เร้นลับ (mysticism) ที่มีนับเป็นร้อยๆ พันๆ "ความพ้องจองกันดุจมายากล" ที่มีมากเกินกว่าความบังเอิญที่ยอมรับกันในทางวิชาการมากนัก อีกอย่างเราคงไม่สามารถอธิบายการ "พองตัว" (inflation) ของจักรวาลที่เกิดแทบทันทีทันใดหลังบิ๊ก-แบ็ง หรืออธิบายทุกสิ่งทุกอย่างคือศูนย์กลางของจักรวาลทั้งนั้นได้ ว่าไปแล้วฟิสิกส์ดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยาใหม่ ในความคิดของผู้เขียนอาจพูดได้ว่า เป็นเสมือนอภิปรัชญาที่ประกอบขึ้นมาจากปาฏิหาริย์-มายากลที่ไม่มีทางพิสูจน์ได้ สุดท้ายมันเป็นเพียงคณิตศาสตร์ที่พยายามอธิบายเรื่องของจิตวิญญาณหรือศาสนา ดังที่ไพธากอราส และตอนหลังพลาโตได้บอกว่า โลกที่สามคือโลกแห่งจิตวิญญาณหรือโลกแห่งคณิตศาสตร์ (Roger Penrose: Emperor New Mind, 1994)
 
นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์และนักจักรวาลวิทยาใหม่-ที่ใหม่จริงๆ เพราะมีอายุไม่ถึงสิบปีนับจากที่โลกมีเทคโนโลยีที่สุดแสนจะก้าวหน้า เช่น ซูเปอร์คอนดักเตอร์ ซูเปอร์คอลไลเดอร์ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 20 กิโลเมตร (LHC ของ CERNS มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 27 กิโลเมตร) เลเซอร์ ไฮ-เทค เครื่องวัดคลื่นแรงโน้มถ่วง หรือดาวเทียม WMAP, GPS ฯลฯ ทำให้นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จำนวนมากหันไปทำวิจัยตอบคำถามเรื่องสสารมืดและพลังงานมืด เรื่องของสิ่งที่ซ่อนตัว ซูเปอร์ซิมเมตรี กระทั่งจักรวาลขนานที่มีมิติต่างๆ ที่ซ้อนอยู่กับจักรวาลของเราอันนี้ นั่นคือจักรวาลที่มีมิติต่างไปจากสามมิติ (บวกหนึ่ง) ของเรา ที่เรามองไม่เห็นเพราะต่างมิติกับเรา ยิงธนูหรือปล่อยโคมไฟไป หรือเครื่องบินที่บินกันอยู่ในท้องฟ้าทุกๆ วันมันก็ไม่หายไปไหน ทั้งๆ ที่จักรวาลขนานที่มีมิติต่างๆ กันเหล่านี้อยู่ห่างจากจักรวาลของเราห่างไปแค่ต่ำกว่าหนึ่งมิลลิเมตรเสียอีก โดยเฉพาะการค้นหามิติที่สิบหรือสิบเอ็ด (หากนับมิติของที่ว่างและเวลาของไอน์สไตน์) และเป็นการหาจักรวาลที่มีมิติที่ต่างกับเราที่อยู่ซ้อนกับจักรวาลสามมิติ (บวกหนึ่ง) ของเรานั่นเองที่เป็นงานวิจัยที่ทำกันเป็นพิเศษ เช่น ที่มหาวิทยาลัยโคโลราโด ที่โบลเดอร์และมหาวิทยาลัยเปอร์ดูร์ เป็นต้น (ด้วยการหาแรงโน้มถ่วงที่จะน้อยลงเป็นสัดส่วน กับระยะทางยกกำลังสองที่เป็นกฎของนิวตัน นั่น-สำหรับระยะทางจากโลกถึงดวงอาทิตย์เท่านั้น แต่หากว่าระยะทางห่างไกลออกไปจากระยะทางที่อยู่ในโลก หรือเป็นระยะทางระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ กฎของนิวตันนี้จะต้องปรับให้เป็นสัดส่วนของระยะทางยกกำลังสี่แทนที่จะเป็นยกกำลังสอง ดังที่ได้เคยเขียนลงในไทยโพสต์หลายครั้งแล้วว่า มิชิโอะ กากุ ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์ดาราศาสตร์-คณิตศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยนิวยอร์กซิตีบอก โดยมีหลักฐานบางอย่าง (M-theory or Superstring theory, WMAP ฯลฯ) เขาเชื่อว่ามิติที่สิบเอ็ด (สิบ) ซึ่งมีการสั่นไหว (vibration) ของพลังงานหรือแรงดึงดูด คือมิติแห่งนิพพานที่สั่นไหวละเอียดอย่างสุดๆ-เช่นเป็นส่วนของหนึ่งในล้านล้านของมิลลิเมตร-แทบจะเหมือนกับคงที่ตลอดกาล ซึ่งตรงกันกับที่กล่าวไว้ในพุทธศาสนาว่า นิพพานคือความแทบจะคงที่สถาพรเป็นนิรันด์
 
หากว่ามิติสิบเอ็ดคือนิพพานแล้ว มิติที่สิบ เก้า แปด เจ็ด หก ห้าล่ะ คืออะไร? นั่นยังไม่พอ แล้วมิติที่ต่ำกว่าจักรวาลและโลกสี่มิติของเรา เช่นจักรวาลที่มีสามมิติ และสองมิติ และหนึ่งมิติ คืออะไร? ก็ขอฟันธงไว้ ณ ที่นี้ว่า ความน่าจะเป็นไปได้ของจักรวาลที่ซ้อนกับจักรวาลของเรา หรือจักรวาลขนานที่แต่ละจักรวาลมีมิติแตกต่างกัน ดังยกมาในต้นพารากราฟนี้นั้น ก็คือสวรรค์ (เทวดา) รูปพรหมกับอรูปพรหม (สำหรับจักรวาลที่มีมิติมากกว่าจักรวาลเรา ซึ่งตรงกับมนุษย์ต่างดาวที่เราเรียกๆ กัน ซึ่งผู้เขียนเสนอว่าน่าจะเรียกว่ามนุษย์ต่างมิติน่าจะถูกต้องกว่า) และเปตรภูมิ อสุรกายภูมิ นรกภูมิ (สำหรับมิติที่มีต่ำกว่าหรือน้อยกว่าเรา) และทั้งหมดนี้มีหลักฐานและประสบการณ์ส่วนตัว กับมีนักวิชาการคิด-เขียนมามากทีเดียว (สำหรับผู้สนใจที่จะอ่านเพิ่มเติมคือ Erich Von Daniken 2 เล่ม ซึ่งตีพิมพ์กว่า 40 ครั้ง จำนวนทั้งสิ้นที่ขายได้กว่า 30 ล้านเล่ม คือ Chariofs of the Gods กับ Gods from Outer Space, 1970; Bud Hopkins: Alien Discussion, Proceeding of Alien Ab- duction, 1995; John E. Mack: Abduction, 1996; Brian Green,: Fabric of Universe, 2004; Michio Kaku: Parallel Worlds, 2005) ส่วนประสบการณ์ส่วนตัวนั้น ผู้เขียนประสบด้วยตนเองที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2551 เมื่ออาจารย์ ดร.เทพพนม เมืองแมน และพวก ได้ติดต่อทางจิตขอให้มนุษย์ต่างดาว (ต่างมิติ) ขับขี่ยานยูเอฟโอมาปรากฏที่มหาวิทยาลัยในเวลาห้าโมงเย็นสักสามลำ เมื่อถึงเวลาห้าโมงเย็นสามลำที่ว่านั้นก็มาจริงๆ.


 หัวเราะลั่น
http://www.thaipost.net/sunday/260709/8295

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
นิทานของชาวเดนมาร์ก ข้อแตกต่างของ สวรรค์ และ นรก
สุขใจ จิบกาแฟ
【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪ 0 1498 กระทู้ล่าสุด 09 กันยายน 2554 00:58:24
โดย 【ツ】ต้นไม้ความสุข ♪
นรก-สวรรค์ ในพระไตรปิฎก
กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
Kimleng 1 3197 กระทู้ล่าสุด 04 มีนาคม 2559 16:32:31
โดย Kimleng
นรก สวรรค์ ท่านเลือกได้ ( รายการ แสงเทียน เสียงธรรม )
กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
มดเอ๊ก 0 1616 กระทู้ล่าสุด 03 กันยายน 2559 03:04:48
โดย มดเอ๊ก
สวรรค์ 6 ชั้น นรก 8 ขุม (ธรรมบรรยายโดย พระมหาธีรนาถ อคฺคธีโร)
กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ
มดเอ๊ก 0 1669 กระทู้ล่าสุด 03 กันยายน 2559 05:09:24
โดย มดเอ๊ก
[โพสทูเดย์] - เอลซัลวาดอร์ สวรรค์ Bitcoin ล่ม หวั่นวิกฤตการเงินยิ่งเลวร้าย
สุขใจ ร้านน้ำชา
สุขใจ ข่าวสด 0 178 กระทู้ล่าสุด 26 พฤษภาคม 2565 16:03:14
โดย สุขใจ ข่าวสด
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.432 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 30 เมษายน 2567 02:36:37