*เค้ามูลปรัชญาปรามิตา* เค้ามูลปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร จากวันนี้ย้อนไปกว่า 2500 ปีมาแล้ว ณ. เชิงเขาคิชฌกูฏ กรุงราชคฤห์ ครานั้นองค์พระศากยนีพุทธเจ้ากำลังทรงเข้าสู่สมาธิที่ชื่อว่า " คัมภีราวสมาธิ " ท่ามกลางบรรดาพระโพธิสัตว์และพระอรหันตสาวกจำนวนมากอยู่นั้น เป็นขณะเดียวกันกับที่พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ได้ดำริขึ้นว่า ขันธ์ทั้ง 5 เป็นความว่างอยู่แล้วตามธรรมชาติ ดังนั้น พระอรหันตสาวกองค์หนึ่ง ซึ่งนามว่า " ท่านสารีบุตร " จึงได้ปรารภขอให้องค์พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร จงแสดงธรรมเรื่อง " ความว่าง-สุญญตา " ให้แก่บรรดาพุทธบริษัทที่ชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้นด้วย
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้มีกำเนิดแห่งพระสูตรที่ชื่อว่า " ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร " หรือ " ปอแยปอลอมิกตอซิมเกง " ในภาษาจีนขึ้น ซึ่งหมายความว่า " พระสูตรที่ว่าด้วยปัญญาเป็นส่วนสำคัญที่จะพาไปให้ถึงฝั่ง ( พระนิพพาน ) " พระสูตรนี้ได้รับการถ่ายทอดออกเป็นภาษาจีนราว พ. ศ. 1206 โดยท่านเฮียงจั่ง ( พระถังซำจั๋ง ) โดยอาศัยต้นฉบับจากภาษาสันสกฤต ซึ่งเป็นภาษาหลักที่พุทธศาสนามหายานยึดเป็นหลักอยู่นั่นเอง โดยปกติพระสูตรนี้คนทั่วๆไปมักนิยมเรียกกันว่า " สูตรหัวใจ " หรือ " ซิมเกง " ในภาษาจีน
พระสูตรนี้มีขนาดสั้นมีอักษรเพียง 268 คำ ทั้งๆที่โดยความจริงตามคำบอกเล่าของท่านกุมารชีพแล้วระบุว่าพระสูตรนี้มีความยาวถึง 600 บรรพ เขียนออกเป็นหนังสือได้ถึงจำนวน 24 เล่ม เป็นพระสูตรที่จัดอยู่ในหมวดปรัชญา พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ ( พระแม่กวนอิม ) เมื่อทรงได้บำเพ็ญปัญญาบารมีจนถึงโลกุตรธรรมอันลึกซึ้งแล้ว ก็พิจารณาเห็นว่าที่แท้จริงแล้ว ขันธ์ 5 นั้นเป็นสูญ ( สุญญตาหรืออนัตตาหรือความว่าง )และเมื่อสามารถมองเห็นว่า ขันต์ 5 เป็นสูญแล้ว จักช่วยให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ท่านสารีบุตร !ใจความเป็นภาษาไทย
รูปไม่ต่างไปจากความสูญ ความสูญไม่ต่างไปจากรูป รูปคือความสูญ ความสูญคือรูปนั่นเอง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นความสูญเช่นเดียวกัน ท่านสารีบุตร ! ธรรมทั้งปวงมีความสูญเป็นลักษณะไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มัวหมอง ไม่ผ่องแผ้ว ไม่หย่อน ไม่เต็ม อย่างนี้ เพราะฉะนั้นแหละ ! ในความสูญจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ ไม่มีตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ ( อายตะภายใน 6 อย่าง ) ไม่มีรูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัสและธรรมารมณ์ ( อายตะภายนอก 6 อย่าง ) ไม่มีวิญญาณ ( ความรู้สึกรับรู้ได้ ) ในอายตะภายในทั้ง 6 ด้วย ( จักษุวิญญาณ -โสตวิญญาณ-ฆานวิญญาณ-ชิวหาวิญญาณ-กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ )
ไม่มีวิชชา ไม่มีอวิชชา ไม่มีความสิ้นไปแห่งวิชชาและอวิชชา จนถึงไม่มีความแก่-ความตาย และไม่มีความสิ้นไปแห่งความแก่ความตาย ไม่มีทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค ไม่มีญาณ ( ปัญญา ) ไม่มีการบรรลุถึงซึ่งปัญญา และไม่มีอะไรต้องบรรลุอยู่ต่อไป พระโพธิสัตว์ ! เมื่อได้ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมีแล้ว เป็นผู้ถึงความเป็นผู้มีจิตที่ปราศจากอุปสรรคขวางกั้นทั้งมวล ไม่มีความขลาดกลัว หรือวิตกกังวลใดๆเหลืออยู่ต่อไปแล้ว จึงเป็นผู้มีความเห็นถูกต้องชอบธรรม ( สัมมาทิฐิ ) และกระทำกิจทั้งปวงอย่างถูกต้องโดยเสมอ
ในที่สุดก็บรรลุถึงพระนิพพาน บรรดาปวงพระพุทธเจ้าทุกๆองค์ทั้งอดีตกาล ปัจจุบันกาลและอนาคตกาล ล้วนต่างได้เคยบำเพ็ญปัญญาบารมีมาด้วยกันทุกๆพระองค์ และเมื่อได้บำเพ็ญคุณธรรมนี้แล้วจึงได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนั้นควรได้ทราบว่า ปัญญาบารมีนี้เป็นมนต์ที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นมนต์ที่ไม่อาจมีมนต์บทใดมาเทียบเคียงได้ เป็นมนต์ที่สามารถขจัดทุกข์ภัยทั้งปวง และนำพาไปสู่แดนนิพพานได้แน่นอน จึงไม่ควรจะมีความกังขาใดๆต่อไปเลย ดังนั้นควรหมั่นสวดภาวนามนต์บทนี้ ด้วยเหตุนี้แล.....
จงไป-ไป-ไปยังฟากฝั่งโน้น ไปให้พ้นอย่างสิ้นเชิง ไปสู่ความเป็นผู้ตรัสรู้ ไปสู่ความสงบสันติเบิกบานเกษมศานต์เถิด หมายเหตุ*
คำว่า " กวนจือไจผู่สัก " คือ พระนามอีกพระนามหนึ่งของพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ หรือ พระแม่กวนอิมฯ เป็นชื่อที่ท่านสมณะถังซำจั๋ง ตั้งและเขียนขึ้นไว้เป็นครั้งแรกในคำแปลภาคภาษาจีน ของปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร มีความหมายว่า " ผู้มีกายและใจเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวงทั้งสิ้น "
ณัฐนนท์ ผู้พิมพ์
Credit by :
http://www.buddhayan.com/board.php?subject_id=365Pics by : Google
ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมาย
อนุโมทนา สาธุธรรมค่ะ