. กนกนคร . พระนิพนธ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.)๏ เมื่อนั้น | | กมลมิตรติดอกหมกไหม้ |
สูอย่าเยาะเย้ยไยไพ | | เจ้าไซร้ตาบอดสอดรู้ |
หยิ่งแล้วยังแถมแกมโง่ | | พูดโป้พูดปดอดสู |
อันเนตรนงรามงามตรู | | ใครดูย่อมพะวงหลงเพลิน |
อย่าว่าแต่ชายสามานย์ | | แม้มุนีมีฌานหาญเหิร |
บ่มตละน่าเบื่อเหลือเกิน | | จำเริญโยคะละกาม |
เปนที่หวาดหวั่นพรั่นจิตต์ | | วาสพสุรฤทธิ์คิดขามอ ๒๐. |
จึ่งจัดอัจฉราวายามอ ๒๑. | | กวนกามกอบกรรมทำลาย |
ยียวนชวนชื่นรื่นรส | | เพื่อพรตหล่นแหลกแตกหาย |
ไปสมประสงค์จงร้าย | | สิ้นหมายหมดวายามะ |
แม้นให้ภริยาข้ายั่ว | | คงขรัวฌานแตกแหลกหละ |
เหลืออั้นเหลืออดลดละ | | โยคะจักดับฉับพลัน |
ทนเนตรบังอรห่อนได้ | | เราไม่กล่าวแกล้งแสร้งสรร |
โฉมศรีโศภาลาวัณย์ | | ดวงจันทร์คือดวงนัยนา ฯ |
๏ เมื่อนั้น | | เพื่อนพญาคนธรรพ์หรรษา |
ตบหัตถ์ตรัสตอบวาจา | | ไม่ช้าได้เล่นเห็นจริง |
ที่ใกล้ไหล่เขาเราชี้ | | โยคีพรตกล้ามาสิง |
เชี่ยวฌานนานไม่ไหวติง | | ปราศสิ่งยั่วยวนชวนชัก |
ท่านใคร่สำแดงวนิดา | | จงเชิญกัลยาณิ์ทรงศักดิ์ |
สู่ไหล่คีรีที่พัก | | เยื้องยักยั่วเย้าโยคี |
เชิงยวนชวนให้เธอหลง | | นัยนานวลนงทรงศรี |
แม้นนางล้างกิจพิธี | | ของมหามุนีได้จริง |
จึ่งจักประจักษ์หลักอ้าง | | ว่านางงามปลอดยอดหญิง |
เราไซร้ไป่หาญค้านติง | | ทุกสิ่งนอบน้อมยอมตาม ฯ |
๏ เมื่อนั้น | | กมลมิตรเจ็บช้ำคำหยาม |
ฤๅคิดรอบคอบตอบความ | | ในยามหันหุนมุ่นใจ |
ท่านท้าข้าไซร้ไป่พรั่น | | อันนางพางจันทร์แจ่มใส |
อาจล้างพิธีชีไพร | | แน่ได้ดังจิตต์คิดเจียว |
เราปองลองเล่นเช่นท้า | | ใจข้าไป่พรั่นหวั่นเสียว |
ดวงเนตรโฉมยงองค์เดียว | | อาจเหนี่ยวพรตโง่โยคี |
ให้ตบะหล่นแหลกแตกทิ้ง | | ห่อนนิ่งอยู่ได้ในที่ |
จักเกิดเสียวศัลย์ทันที | | ราคีกำหนัดกลัดใจ |
แม้นมิสมหวังดังว่า | | เศียรข้าจักบั่นหั่นให้ |
เปนเครื่องบูชาตราไว้ | | ที่ในแม่น้ำคงคา ฯ |
๏ เมื่อนั้น | | เพื่อนพญาคนธรรพ์พลันว่า |
อย่าชล่ากล้าเล่นเจรจา | | พูดบ้าบุ่มไปไป่ดี |
จักตัดเศียรเส้นเช่นว่า | | เธอใช่พระมหาฤๅษี |
ทรงนามทักษะโยคีอ ๒๒. | | พระประชาบดีเดชิต |
เศียรขาดแล้วมีมาเปลี่ยน | | เศียรท่านใช่เศียรนักสิทธ์ |
หัวขาดจักขาดชีวิต | | จักติดหัวใหม่ได้ฤๅ |
พูดพลางหัวเราะเยาะเย้ย | | ท่านเอยอุตส่าห์อย่าดื้อ |
เราว่าจงฟังยั้งมือ | | ผ่อนปรือคืนคำจำไว้ ฯ |
๏ เมื่อนั้น | | กมลมิตรหันหุนมุ่นไหม้ |
จากชุมนุมพลันทันใด | | รีบไปยังองค์ชายา ฯ |
๏ พบนางกลางสวนยวนจิตต์ | | ยิ่งพิศผูกพันธ์หรรษา |
เสาวภาคโศภิตติดตา | | นัยนาคมขำล้ำลบ |
แจ่มลักษณ์จิ้มลิ้มริมสระ | | ปัทมะคันธินกลิ่นกลบ |
ฤๅษีชีไพรในภพ | | แลสบเนตรน้องต้องรัก ฯ |
๏ พิศนางพลางกล่าววาจา | | ดูราโฉมยงทรงศักดิ์ |
มีชายใจพาลหาญนัก | | ลบหลู่นงลักษ์เลิศฟ้า |
กล่าวว่าถ้าเจ้าเพราพริ้ง | | เลิศยิ่งนางใดในหล้า |
เชิญองค์นงคราญกานดา | | ยังไหล่ภูผาข้างโน้น |
ยวนองค์โยคีมีฌาน | | ให้ร่านรุมในใจโผน |
ร้อนราคราวไฟไหม้โชน | | เอนโอนโยคะละทิ้ง |
แม้นนางทำได้ประจักษ์ | | จักว่านงลักษณ์ยอดหญิง |
น่าแค้นคำเขาเขลาจริง | | ค้านติงความงามทรามวัย |
พี่ท้าว่าองค์นงลักษณ์ | | จักให้ประจักษ์จนได้ |
แม้นไม่ได้ดังหวังใจ | | พี่ไซร้จักตัดเศียรตู |
ทิ้งในแม่น้ำคงคา | | บูชาเพื่อปลดอดสู |
ขอเชิญนางน้องลองดู | | ค้ำชูข้อท้าวาที |
ใช้เนตรโฉมยงทรงฉาย | | ทำลายพรตดื้อฤๅษี |
ให้สมศรัทธาสามี | | ดังที่ได้กล่าวท้าไว้ ฯ |
๏ เมื่อนั้น | | นางอนุศยินีศรีใส |
ยินตรัสขัดอกตกใจ | | หฤทัยหวาดหวั่นพรั่นทรวง |
อ้ำอึ้งตลึงแลแดลาญ | | เยาวมาลย์ทุกข์เท่าเขาหลวง |
อึดอัดขัดเข้มเต็มตวง | | พักตร์เผือดเดือดดวงแดร้อน ฯ |
นางอนุศยินีกล่าวว่า | | |
๏ ข้าแต่พระปิ่นปราเณศอ ๒๓. | | ทรงเดชจงยั้งฟังก่อน |
เกรงผิดจิตต์ข้าอาวรณ์ | | โทษกรณ์ก่อเกิดกองร้าย |
บาปนักจักล่อนักธรรม | | เพื่อดาบสกรรมรส่ำรสาย |
เธอบำเพ็ญบุญหนุนกาย | | มั่นหมายกุศลผลดี |
แม้นเรานอกรีดกีดขวาง | | มุ่งร้ายหมายล้างฤๅษี |
ทางดีที่ได้ไป่มี | | อัคคีลวกเราเร่าร้อน |
บาปกรรมทำทุกข์แม่นมั่น | | โทษทัณฑ์เราเขือเหลือถอน |
กริ่งภัยใจข้าอาวรณ์ | | ช้าก่อนจงฟังยั้งคิด ฯ |
๏ วอนพลางนางเพ่งเล็งพักตร์ | | เหตุรักให้ร้อนถอนจิตต์ |
เพียงเพลิงเริงไล่ใกล้ชิด | | ยิ่งคิดยิ่งคร้ามขามนัก |
วาจาบังอรวอนว่า | | นัยนาดูองค์ทรงศักดิ์ |
พจน์นางแพ้เนตรนงลักษณ์ | | ยิ่งชมยิ่งชักให้ร้าย |
กมลมิตรพิศเนตรนวลนุช | | แสนสุดใจรักฤๅหาย |
ห่อนยินวาทาธิบาย | | ชมเนตรโฉมฉายเพลินไป |
ยิ่งนึกยิ่งแน่ในจิตต์ | | นักสิทธ์ไป่ซงองค์ได้ |
ตาเพ็ญเช่นนั้นมั่นใจ | | อาจพร่าพรตให้เอนเอียง |
นางวอนห่อนเปนประโยชน์ | | เพราะเนตรนงโพธเธอเถียง |
ไป่ยั้งฟังคำสำเนียง | | บ่ายเบี่ยงว่าวอนอ่อนใจ ฯ |
๏ สามีมิฟังดังว่า | | กัลยาณิ์พรึงพรั่นหวั่นไหว |
ข่อนๆ ร้อนตัวกลัวภัย | | หฤทัยนิ่งนึกตรึกตรอง |
ความจริงในใจใคร่รู้ | | ยั่วดูแต่สองต่อสอง |
นักสิทธ์คงใคร่ในคลอง | | รดิกรรมทำนองทางใน |
เรางามยิ่งสามโลกกว้าง | | อาจล้างดาบสพรตใหญ่ |
จักสิทธิ์สมหวังดังใจ | | ฤๅไม่สำเร็จอยากรู้ |
ใคร่ทราบก็เหลือจะใคร่ | | อายใจก็เหลืออดสู |
กริ่งโทษเทียมไฟใหม้ภู | | โฉมตรูลังเลหฤทัย ฯ |
๏ เธอวอนทรามวัยใจตื้น | | นางขืนคำวอนห่อนไหว |
จูงกรพากันครรไล | | มุ่งหน้ามาในไพรพน |
แลหาดาบสพรตกล้า | | แทบใกล้ไหล่ผาปลายหน |
พบโยคียงซงตน | | อานนนิ่งแน่แลนานอ ๒๔. |
คือหลักปักไว้ไป่เคลื่อน | | แม่นเหมือนต้นไม้ไพศาล |
ฝูงปลวกทำรังยังปราณ | | สำราญอยู่รอบโยคิน |
หนวดเธอทอดไปในพน | | ปลิวไปในหนบนหิน |
ผมขาวยาวเฟื้อยเลื้อยดิน | | มุนินทร์ห่อนไหวใจกาย |
กิ้งก่าเพศหญิงวิ่งหนี | | บนตัวฤๅษีซ่อนหาย |
กิ้งก่าเพศชายไล่กราย | | เร่รายตัวหญิงวิ่งล้อ |
ดาบสอดแดแน่นิ่ง | | มันวิ่งบนกายสอๆ |
ฌานเพ่งฤๅพลั้งรั้งรอ | | เหมือนตอปักไว้ในดิน |
ลืมเนตรแลไปในหาว | | จักษุใสขาวคือหิน |
ไป่เห็นอันใดในดิน | | ไป่ยินอันใดในภพ ฯ |
๏ สององค์ทรงเห็นนักสิทธ์ | | ให้คิดเคลือบแคลงแสยงสยบ |
ไตร่ตรองถ่องถ้วนทวนทบ | | คือคบเพลิงเร้าเผาแรง |
เปี่ยมฌานปานนั้นพรั่นนัก | | ทรงศักดิ์เลิศล้ำคำแหง |
จะยั่วโยคะระแวง | | เรี่ยวแรงบาปกรณ์ร้อนร้าย |
สงสัยใจตรึกนึกพรั่น | | โทษทัณฑ์จักมากหลากหลาย |
กอบก่อกองกรรมทำลาย | | จักสลายสุขสันต์มั่นคง ฯ |
๏ ฝ่ายพญากมลมิตรพิศนาง | | พิศพลางพิสมัยใหลหลง |
บังเกิดกำเริบเอิบองค์ | | นัยนาโฉมยงเช่นนี้ |
มุ่งร้ายหมายมาน่าจะ | | สำเร็จเด็ดตบะฤๅษี |
คิดแค้นคำท้าวาที | | ยิ่งมีจำนงปลงใจ |
ชี้เชิญชายามารศรีอ ๒๕. | | ยุวดีลำยองผ่องใส |
อัญเชิญโฉมเจ้าเข้าไป | | ล่อให้เห็นองค์นงเยาว์ |
เชิงชวนยวนยั่วโยคะ | | ดาบสปลดตบะเพราะเจ้า |
พี่จักแฝงไม้ในเงา | | อยู่เฝ้าใฝ่ยั้งฟังดู ฯ |
๏ สองกรทรงกอดยอดรัก | | จุมพิตชิดพักตร์ในผลู |
เกี่ยวกวัดรัดโลมโฉมตรู | | เหมือนคู่จักร้างห่างนาน ฯ |
๏ เมื่อนั้น | | นางสุโลจนากล้าหาญอ ๒๖. |
ห่อนขัดภัดดาว่าวาน | | เยาวมาลย์มุ่งเย้าเข้าไป |
ยืนตรับยับยั้งสังเกต | | เห็นเนตรลืมอยู่ดูใส |
มุ่งเขม็งเล็งแลแต่ไกล | | ปราศไหวน่าหวั่นพรั่นจริง |
เข้าไปใกล้หน้าดาบส | | ทรงพรตแข็งขืนยืนนิ่ง |
จักยั่วจักยวนชวนอิง | | ห่อนทิ้งโยคะละลด |
เธอบงนงรามทรามวัยอ ๒๗. | | ฤๅไม่ก็ไม่ปรากฎ |
นางเยาะเฉพาะพักตร์นักพรต | | ช้อยชดเชิงชวนยวนยี ฯ |
๏ เมื่อนั้น | | ปาปะนาศน์มหาฤๅษี |
ทรงฌานนานยืนหมื่นปี | | ไป่มีใครกล้ามากราย |
ลืมเนตรห่อนเห็นอันใด | | กรรณ์ไซร้ห่อนฟังทั้งหลาย |
โยคะยิ่งล้ำกำจาย | | กระสับกระส่ายฤๅมี ฯ |
๏ วันเมื่อโฉมยงทรงฉาย | | มุ่งร้ายต่อตบะฤๅษี |
องค์พระปาปะนาศน์มุนี | | สำรวมอินทรีย์นิ่งนาน |
รู้สึกมายามายวน | | ทบทวนทำนองปองผลาญ |
โยคีมีใจรำคาญ | | เหตุการกลใดใคร่แล |
น้อยๆ ค่อยรู้สึกตน | | เห็นนางโศภนเพ็ญแข |
นัยนานิลนวลยวนแด | | ยิ่งแลยิ่งล้ำอำไพ |
ท่วงทีท่าทางอย่างล้อ | | ใครหนอน่าชิดพิสมัย |
นักสิทธ์คิดหลายหฤทัย | | เหตุใดมาเพ่งเล็งพิศ |
แม่นมั่นปัญญาฌานะ | | โยคะเคร่งครัดชัดจิตต์ |
ทราบเหตุเลศกลต้นคิด | | มันกวนชวนชิดทั้งนี้ |
มุ่งร้ายหมายผลาญฌานกู | | สู่รู้จังไรใช่ที่ |
กำเริบมาเล่นเห็นดี | | มุนีเธอขมึงนัยนา ฯ |
๏ อันนางอนุศยินี | | เห็นเนตรโยคีซ้ายขวา |
เขียวเขม็งเล็งดูกานดา | | ประหม่ามุ่นอกตกใจ |
หวาดหวั่นพรั่นทรวงดวงจิตต์ | | สุดคิดจักซงองค์ได้ |
เซซวนซุดสลบซบไป | | ล้มในพนารัญทันที ฯ |
๏ เมื่อนั้น | | กมลมิตรเห็นเมียเสียศรี |
วิ่งไปใกล้องค์มุนี | | โอบอุ้มยุวดีชายา |
กอดทับกับฤทัยไหวหวั่น | | องค์สั่นบนแผ่นภูผา |
ริกรัวกลัวกรรมนำพา | | เกรงเดชพระมหามุนี ฯ |
๏ เมื่อนั้น | | ปาปะนาศน์มหาฤๅษี |
รู้เรื่องเคืองใจโยคี | | จึ่งมีวาจาสาปไป ฯ |
ฤๅษีสาบว่า | | |
๏ ดูราเมียผัวตัวเอิบ | | กำเริบใจบาปหยาบใหญ่ |
อันเนตรนงรามทรามวัย | | จักได้รับผลบัดนี้ |
นางยั่วโยคะละเมิด | | จงเกิดเปนมานุษี อ ๒๘. |
กมลมิตรผู้พญาสามี | | เห็นดีรู้ด้วยช่วยกัน |
จงมีกำเนิดมานุษ | | ผ่องผุดเพ็ญลักษณ์รังสรรค์ |
สองมุ่งใจสมัครรักกัน | | ให้พลันเริศร้างห่างไป |
รันทมกรมกรรมทำงน | | ล้างตนในห้วงทุกข์ใหญ่ |
จนสิ้นบาปกรรมทำไว้ | | จึ่งให้สิ้นสาปหลาบจำ ฯ |
๏ เมื่อนั้น | | กมลมิตรพิศเนตรนางขำ |
เจ็บหนักจักจากตรากตรำ | | เจ็บหนักจักจากตรากตรำ |
ยิ่งพิศภริยาอาดูร | | ยิ่งภูลทุกข์ทนหม่นหมอง |
ก้มวอนกรไหว้ใจตรอง | | พลางสนองวาจาว่าไป ฯ |
กมลมิตรกล่าวแก่ฤๅษีว่า | | |
๏ ข้าแต่พระมหามุนี | | ข้านี้ทำบาปอยาบใหญ่ |
ลวนลามความผิดติดใจ | | หฤทัยหวาดหวั่นรันทด |
ผ่อนโทษโปรดเถิดโยคี | | จงสาปให้มีกำหนด |
รู้เขตคำแช่งแบ่งลด | | เปลื้องปลดทุกข์น้อยถอยไป ฯ |
๏ เมื่อนั้น | | ปาปะนาศน์บรรหารขานไข |
ซึ่งเจ้าเนาเข็ญเห็นภัย | | คิดใคร่คืนสองครองกัน |
จักสมโดยหวังดังใจ | | โดยนัยที่เราสาปสรร |
เมื่อใดได้ทลวงจ้วงฟัน | | จวบจ้ำห้ำหั่นกันลง |
เมื่อนั้นกำหนดปลดบาป | | |
กล่าวพลางดาบสพรตยง | | เธอสำรวมองค์ต่อไป ฯ |
๏ เมื่อนั้น | | กมลมิตรจิตต์สั่นหวั่นไหว |
พิศเนตรนงรามทรามวัย | | อรไทยพิศหน้าสามี |
นางใคร่จำพักตร์ภรรดา | | เธอใคร่จำหน้ามารศรี |
จักพรากจากพลันทันที | | สองมีใจเศร้าเปล่าทรวง ฯ |
๏ ตกจากฟากฟ้ามาดิน | | พลัดถิ่นอาศัยในสรวง |
พึงหลาบบาปเขือเหลือตวง | | ผาหลวงสูงใหญ่ไป่ปาน ฯ |
๏ นางเข้าสู่ครรภ์มหิษี | | พระนราธิบดีใสศานติ์ |
ทรงนามชัยทัตภูบาล | | ตระการเกียรติ์องค์ทรงยศ |
ครองอินทิราลัยไกรเกรียงอ ๒๙. | | สำเนียงฦๅชาปรากฎ |
ปราศปัจจามิตรคิดคด | | ยงยศเยงสิ้นดินดอน ฯ |
กมลมิตรสู่ครรภ์มหิษี | | พระนราธิบดีชาญศร |
ทรงนามธรรมราชภูธรอ ๓๐. | | เธอครองนครอละกา |
ไพรีเข็ดนามขามยศ | | ปรากฎเดชเดื่องเลื่องหล้า |
สำราญบานใจไพร่ฟ้า | | ทั่วหน้าสุขเกษมเปรมปรี ฯ |
๏ เมื่อนั้น | | องค์พระมเหศวรเรืองศรี |
เนาอาสน์ไกลาสคีรี | | เปนที่อิ่มเอมเปรมตา |
พิศเพ่งเล็งดูรู้แจ้ง | | ทุกแหล่งในสวรรค์ชั้นหล้า |
เห็นพญาคนธรรพ์ภรรดา | | ชายายุพยงนงคราญ |
ตกจากฟากฟ้ามาดิน | | ทิ้งถิ่นทิพาศัยไพศาล |
ทราบแจ้งแห่งเหตุเภทพาน | | เกิดทุกข์รุกรานปานนั้น |
นิ่งนึกตรึกตรองคลองธรรม | | โทษกรรมเกิดก่อส่อศัลย์ |
เพราะเหตุเนตรนางพางจันทร์ | | เช่นกันกับสีศอเรา |
โดยเลมิดเกิดกอบกองทุกข์ | | เพลิงลุกร้อนยิ่งผิงเผา |
อันกายโฉมยงนงเยาว์ | | ยังเนาในสวรรค์ชั้นฟ้า |
นางไซร้ไปเกิดในดิน | | กรุงอินทิราลัยใต้หล้า |
เราจักอุปถัมภ์นำพา | | รักษาทรากใส่ใจจำ |
เหตุศรีแห่งศอเราไซร้ | | แบ่งส่วนไปในเนตรขำ |
จักทอดทิ้งทรากตรากตรำ | | ห่างหายหลายฉนำฤๅควร |
อันพญาคนธรรพ์นั้นไซร้ | | หฤทัยซวนเซเหหวน |
พูดพล่อยเสเพลเรรวน | | ปั่นป่วนเพราะเราเข้าเจือ |
ศรีจันทร์ศรีศอสีศยามอ ๓๑. | | ในเนตรนงรามงามเหลือ |
เธอเห็นสาวน้อยลอยเรือ | | ห่อนเบื่อนัยนาบ้าฟุ้ง |
คิดไปไม่เปนความผิด | | แห่งพญากมลมิตรจิตต์ยุ่ง |
ฤทธิ์อนงค์หลงใหลไคล้คลุ้งอ ๓๒. | | ควรเราเข้าพยุงเธอไว้ ฯ |
๏ ตรึกพลางพระมหาเทวะ | | โดยพระกรุณาธยาศัย |
หยิบดอกอัมพุชอำไพอ ๓๓. | | พลางปักลงไว้ในดิน |
กลายเปนเกาะน้อยลอยอยู่ | | แลดูสำอางกลางสินธุ์ |
มีเมืองเรืองแข่งแหล่งอินทร์ | | โศภินไพจิตรพิศพราย |
ปราสาทราชฐานกาญจน์แก้ว | | เพริศแพร้วจำรัสเรืองฉาย |
ห่อนมีชนใดใกล้กราย | | เมืองหม้ายอยู่ร้างกลางชล ฯ |
๏ จัดเสร็จพระอิศวรทรงเดช | | ปล่อยเหตุให้เกิดเปนผล |
กมลมิตรกับน้องสองตน | | อนุสนธิ์คำสาปมุนี ฯ |
จบภาค ๑ ในนิทานเรื่องกนกนคร อ ๑. “พระวิศเวศวรเรืองศร”. “วิศเวศวร” เปนนามๆ หนึ่งของพระอิศวร พระอิศวรมีนามมาก ที่ใช้ในหนังสือนี้คือ ศุลี ศิว ศศิเคขร คงคาธร ศัมภู มเหศวร มหาเทว อุมาบดี มหากาล ปศุบดี เปนต้น ↩
อ ๒. “ศศีเสียบเผ้าเพราพราย”. “ศศี” แปลว่ามีกระต่าย คือพระจันทร์. เผ้า แปลว่าผม. ศศีเสียบเผ้าหมายความว่าพระอิศวรทรงพระจันทร์เปนปิ่น มีเรื่องว่าครั้งหนึ่งพระจันทร์ทำผิดเพราะเปนชู้กับนางดารา (ชนนีพระพุธ) ผู้เปนชายาของพระพฤหัสบดี เกิดความใหญ่จนพระจันทร์ถูกกำจัดไปอยู่นอกหมู่เทวดา ต่อเมื่อพระอิศวรทรงรับพระจันทร์มาปักไว้บนพระเกศา พระจันทร์จึ่งกลับเข้าหมู่เทวดาได้. ↩
อ ๓. “อ้าพระธำรงคงคา”. คือคงคาธร (ทรงไว้ซึ่งแม่น้ำคงคา) เปนนามพระอิศวร มีเรื่องว่าเมื่อแม่น้ำคงคาจะลงมาจากสวรรค์นั้น แผ่นดินจะแตกเพราะกำลังน้ำซึ่งไหลตกลงมาโดยแรง พระอิศวรต้องเอาพระเศียรรับไว้ แผ่นดินจึงรอดภัยไปได้ แม่น้ำคงคาตกลงบนพระเศียรแล้วหลงอยู่ในพระเกศาช้านานจึงหาทางไหลเลยไปได้. ↩
อ ๔. “เหมาะหมดพจมานบานมน”. “บานมน” คือเปนที่บานใจ. ↩
อ ๕. “ข้าแต่พระศศิเศขร”. “ศศิเศขร” เปนนามพระอิศวร แปลว่าเสียบพระจันทร์ไว้ที่ผม. ↩
อ ๖. “พระหทัยใฝ่ม่งทรงปอง”. “ม่ง” คือมุ่ง. ↩
อ ๗. “เหมือนสีพระศอทรงศักดิ์”. พระอิศวรนั้นพระศอเปนสีนิล เรียกว่า นีลกัณฐะ มีเรื่องว่าเมื่อกวนเกษียรสมุทเพื่อจะเอาอมฤตนั้น มีพิษช่อกาลกูฎลอยขึ้นมามากมาย จะเปนภัยแก่เทวดาแลอสูรซึ่งประชุมกันอยู่ จนพระอิศวรทรงกลืนพิษนั้นเสียสิ้น เทพดาแลอสูรจึงพ้นภัย พิษนั้นไม่ทำร้ายพระอิศวรก็จริง แต่ทำให้พระศอเปนสีนิล. ↩
อ ๘. “ศัมภูผู้เปนเจ้าของ”. “ศัมภู” เปนนาม ๆ หนึ่งของพระอิศวร. ↩
อ ๙. “รังสีเล่ห์แสงศศธร”. “ศศธร” แปลว่าทรงไว้ซึ่งกระต่าย คือพระจันทร์. ↩
อ ๑๐. “เคร่าใคร่ได้เคลียเมียมิ่ง”. “เคร่า” แปลว่า คอย. ↩
อ ๑๑. “เนาเรือเหนือสรัสปัทมี”. “สรัส” แปลว่าสระ “ปัทมี” แปลว่ามีบัว ว่าหนองบัว สระบัว. ↩
อ ๑๒. “ตรณีจันทร์นวลชวนชม”. “ตรณี” แปลว่าเรือ (เครื่องข้าม). ↩
อ ๑๓. “งามฉวีคือชวาน่าใคร่”. “ชวา” คือดอกกุหลาบ. ↩
อ ๑๔. “คิดเจ้าคือจันทน์ครรพิต”. ครรพิต = หยิ่ง. ↩
อ ๑๕. “เอื้อมห่อนถึงองค์นงลักษณ์”. “ห่อน” แปลว่าเคย. เช่น “บ่ห่อนมี” แปลว่าไม่เคยมี. แต่ในกาพย์กลอนของเราใช้ห่อนแปลว่า “ไม่” โดยมาก เช่น โคลงในเตลงพ่ายว่า
“เบื้องนั้นนฤนาถผู้ | | สยามินทร์” |
“เบี่ยงพระมาลาผิน | | ห่อนพ้อง” |
เปนต้น ในกาพย์กลอนที่ข้าพเจ้าแต่ง ใช้ห่อนแปลว่า “ไม่” เกือบเสมอ ที่ใช้ดังนี้นับว่าผิดความเดิม. แต่ก็ขืนใช้ เพราะเลือนกันมานานแล้ว แลคำที่ใช้เลือนอย่างนี้ยังมีอีกหลายคำ.↩
อ ๑๖. “พิศเนตรนวลนางกลางสินธุ์”. “สินธุ์” ศัพท์นี้ใช้มากในหนังสือไทย ในที่หมายความว่าน้ำ อันที่จริงแปลว่าทเล แปลว่าแม่น้ำ แลเปนชื่อแม่น้ำสายหนึ่งในอินเดียด้วย. ↩
อ ๑๗. “ศอนิลปิ่นจันทร์พรรณ์ไร”. “พรรณ์ไร” แปลว่าวรรณเปนทอง (ไร แปลว่าทอง). ↩
อ ๑๘. “นางอนุศยินีศรีใส”. “อนุศยินี” คำนี้ฝรั่งเขาแปลไว้ว่าเมียผู้ภักดีต่อผัว. “
A devoted wife. But the word has another technical philosophical significance : it connotes evil, clinging to the soul by reason of sin in a former birth, and begetting the necessity of expiation in another body”. ↩
อ ๑๙. “ใครฟังหมั่นไส้ทุกหน”. “หมั่นไส้” คำนี้ผู้รู้หนังสือมักเขียนว่า “มันไส้” ดูได้ความดีกว่า แต่เสียงพูดพูด “หมั่นไส้” เสมอ. ↩
อ ๒๐. “วาสพสุรสิทธิ์คิดขาม”. “วาสพ” เปนชื่อเรียกพระอินทร์. ↩
อ ๒๑. “จึงจัดอัจฉราวายาม”. “วายาม” คือพยายาม (อัจฉรา ดู อ. ๖๘). ↩
อ ๒๒. “ทรงนามทักษะโยคี”. พระทักษะเปนพรหมฤษีประชาบดี. ครั้งหนึ่งกระทำพิธีบูชายัญเปนการใหญ่ เชิญเทพดามามาก แต่ไม่ได้เชิญพระอิศวรผู้เปนเขย. พระอิศวรทรงเห็นเปนการหมิ่นประมาท จึงเสด็จมาทำลายพิธี ตัดเศียรพระทักษะขาดแล้วโยนเข้ากองไฟให้ไหม้เสีย ครั้นเลิกการกาหลกันแล้ว จะหาเศียรพระทักษะมาติดเข้าอย่างเก่าก็หาไม่ได้ จึงต้องตัดเอาหัวแพะหรือแกะมาติดแทน. รูปฤษีซึ่งตัวเปนคนหัวเปนเเพะหรือเเกะนั้นคือรูปพระทักษะองค์นี้. ↩
อ ๒๓. “ข้าแต่พระปิ่นปราเณศ”. “ปราเณศ” แปลว่าเจ้าแห่งลมหายใจเปนคำเมียใช้เรียกผัว แลผัวใช้เรียกเมียก็ได้ ↩
อ ๒๔. “อานนนิงแน่แลนาน”. “อานน” แปลว่าหน้า ↩
อ ๒๕. “ชี้เชิญชายามารศรี”. “มารศรี” ศัพท์นี้ใช้เรียกนาง แต่ไม่ทราบว่าแปลว่ากระไรแน่ ข้าพเจ้าเคยกล่าวในตอนอธิบายศัพท์ในพระนลคำฉันท์ว่าจะแปลว่านางเปนสิริแห่งกามเทพหรือสิริแห่งความรักจะได้ทางหนึ่งกระมัง (เพราะมารเปนชื่อกามเทพ แลเเปลว่าความรักก็ได้) แต่ได้พบในหนังสือสมุดดำตัวดินสอแห่งหนึ่งเขียนว่ามาณศรี แปลว่ามีสิริ. ↩
อ ๒๖. “นางสุโลจนากล้าหาญ”. “สุโลจนา” แปลว่านางเนตรงาม. ↩
อ ๒๗. “เธอบงนงรามทรามวัย”. “บง” แปลว่าดู. ↩
อ ๒๘. “จงเกิดเปนมานุษี”. “มานุษี” แปลว่านางมนุษย์. ↩
อ ๒๙. “ครองอินทิราลัยไกรเกรียง”. “อินทิราลัย” แปลว่าที่อยู่แห่งนางอินทิรา คือพระลักษมีผู้เปนเจ้าแห่งความงาม. ศัพท์nอินทิราลัยนี้เปนชื่อนีโลตบล คือบัวสีน้ำเงิน เพราะเมื่อพระลักษมีแรกเสด็จลอยขึ้นจากท้องเกษียรสมุทนั้นทรงนั่งในบัวชนิดนี้. ↩
อ ๓๐. “ทรงนามธรรมราชภูธร”. “ภูธร” คำนี้อันที่จริงแปลว่าทรงไว้ซึ่งแผ่นดินหรือรองรับแผ่นดินไว้ หมายความว่าภูเขา หรือเปนนามพระนารายน์ในตำแหน่งที่ทรงยกแผ่นดินชูไว้ตามเรื่องในกฤษณาวตารเปนต้น ในหนังสือไทยเราใช้ภูธรแปลว่าพระเจ้าแผ่นดิน น่าจะเห็นว่าเปนเพราะยกย่องพระเจ้าแผ่นดินว่าเปนอวตารแห่งพระนารายน์ ไม่ใช่เพราะศัพท์ภูธรแปลว่าพระเจ้าแผ่นดินเปนแน่. ↩
อ ๓๑. “ศรีจันทร์ศรีศอสีศยาม”. แปลว่าสิริแห่งพระจันทร์ แลสิริแห่งพระศอสีครามแก่ (ศยามแปลว่าสีคล้ำ) ↩
อ ๓๒. “ฤทธิ์อนงค์หลงใหลไคล้คลุ้ง”. “อนงค์” แปลว่าไม่มีองค์หรือไม่มีตัวเปนนามพระกามเทพ ซึ่งถูกเผาเปนจุณไปครั้งหนึ่งเพราะตาไฟของพระอิศวร. ความรักนั้นกล่าวว่าพระกามเทพทำให้เกิดจึงใช้ศัพท์ “อนงค์” อย่างที่ใช้ในที่นี้ อนึ่งควรกล่าวเสียทีเดียวว่า ในสมุดเล่มนี้ใช้อนงค์แปลว่ากามเทพหรือความรักเสมอ ไม่มีที่แปลว่านางเลย ถึงในที่ซึ่งใช้ว่า “ขวัญอนงค์” ก็แปลว่าขวัญของกามเทพ. ↩
อ ๓๓. “อยิบดอกอัมพุชอำไพ”. “อัมพุช” แปลว่าดอกบัว (เกิดในน้ำ). ↩
โปรดติดตามตอนต่อไป