พระพุทธเจ้า ต้นแบบแห่งกระบวนการยุติธรรมในระบบไต่สวน
ถ้าเราศึกษาในพระไตรปิฎกและนิทานธรรมบท เราจะเห็นว่า ไม่ว่าจะมีใครไปทูลฟ้องพระพุทธเจ้า พระองค์จะทรงสั่งไต่สวนทุกครั้ง แม้แต่การกล่าวหาว่าพระอรหันต์กระทำความผิด ซึ่งพระองค์ก็รู้อยู่แก่พระทัยดีว่า พระอรหันต์ไม่มีวันข่มขืนใคร หรือประทุษร้ายใคร แต่พระองค์ก็ทรงดำรงในความยุติธรรม ไต่สวนทวนความทำความจริงให้ปรากฏในทุกครั้งๆ เช่น
กรณีพระทัพพมัลลบุตรเถระ เอตทัคคะในการจัดเสนาสนะ ถูกกล่าวหาว่าข่มขืนภิกษุณี
พระทัพพมัลลบุตรเถระนี้ ท่านบรรลุธรรมตั้งแต่เจ็ดขวบ ในขณะที่โกนผมเพื่อบรรพชาเป็นสามเณร ต่อมาพระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่าท่านมีอายุยังน้อยนัก แต่มารับภาระอันหนักซึ่งควรจะเป็นหน้าที่ของพระภิกษุมากกว่า ในการจัดเสนาสนะ โดยจัดให้ภิกษุที่มีอุปนิสัยคล้ายกันได้อยู่ร่วมกันเพื่อความไม่ขัดแย้งกัน เป็นต้น
ดังนั้น เพื่อให้ท่านปฏิบัติหน้าที่นี้ได้อย่างสะดวกพระพุทธองค์จึงทรงบวชให้ด้วยการยกท่านจากการเป็นสามเณรขึ้นเป็นพระภิกษุในวันนั้น ด้วยพระดำรัสว่า “อชฺชโต ปฏฺฐาย ภิกฺขุ โหหิ” ซึ่งแปลว่า เธอจงเป็นภิกษุตั้งแต่วันนี้ไป การบวช
ด้วยวิธีนี้เรียกว่า “ทายัชชอุปสัมปทา” แปลว่า การรับเข้าหมู่โดยความเป็นทายาท
สมัยหนึ่ง มีพระบวชใหม่สองรูป ชื่อ “พระเมตติยะ กับพระภุมมชกะ” เป็นผู้มีบุญ
วาสนาน้อย เมื่อได้อาหารหรือเสนาสนะก็มักจะได้แต่ของชั้นเลวเสมอ วันหนึ่ง พระทัพพมัลล
บุตร จัดให้ท่านไปฉันที่บ้านคหบดีผู้มีปกติถวายแต่ของชั้นดีแก่ภิกษุทั้งหลาย แต่วันนั้นคหบดี
ทราบว่าท่านทั้งสองมา จึงสั่งให้สาวใช้จัดอาหารชั้นเลวถวายท่าน คือทำอาหารด้วยปลายข้าว
และน้ำผักดอง เสานาสนะก็จัดให้นั่งที่ซุ้มประตู มิให้เข้ามาในบ้าน ทำให้ท่านทั้งสองขัดเคืองใจ
แล้วคิดว่า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะพระทัพพมัลลบุตร กลั่นแกล้ง
วันหนึ่งมีนางภิกษุณีชื่อเมตติยามาหาท่าน จึงเล่าเรื่องความทุกข์ให้ฟังแล้วขอร้องให้นางกล่าวหาพระทัพพมัลลบุตร ว่าข่มขืนนาง เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนำความกราบทูลพระผู้มีพระภาค ขอให้ลงโทษพระเถระด้วยการให้ลาสิกขาออกไป
พระผู้มีพระภาค รับสั่งให้ประชุมสงฆ์แล้วตรัสถามพระเถระว่า
“ดูก่อนทัพพะ เธอจำได้ไหมว่าได้ทำตามที่ภิกษุณีนี่กล่าวหา ?”
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ตั้งแต่ข้าพระพุทธเจ้าเกิดมายังไม่รู้จักการเสพเมถุน แม้แต่ใน
ความฝันเลย จึงไม่จำต้องกล่าวถึงตอนตื่นอยู่ พระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์สดับแล้ว จึงรับสั่งให้ภิกษุทั้งหลายสึกนางภิกษุณีเมตติยา นั้น แต่
พระเมตติยะกับพระภุมมชกะกราบทูลและสารภาพว่าทั้งหมดเป็นแผนการของตนทั้ง ๒ รูปพระผู้มีพระภาค ทรงปรารภเหตุนั้นจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า “ภิกษุโกรธเคืองภิกษุอื่นแล้วแกล้งโจทก์ด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
จากความทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่า พระพุทธองค์ทรงเป็นต้นแบบแห่งกระบวนการไต่สวนตามระบบไต่สวนในปัจจุบัน ซึ่งมีความสอดคล้องกับระบบกฏหมายแบบ Civil law คือ ถือบทบัญญัติกฏหมายเป็นหลัก เหมือนพระวินัยที่ถือบทบัญญัติเป็นหลักเช่นกัน