* พระไพศาล วิสาโล
รสนา: รู้สึกว่ายังอยากเคลื่อนที่ อยากทำนู่นทำนี่ และในระยะหลังรู้สึกว่าเราไม่ค่อยได้สนใจเรื่องความสำเร็จ แต่อยู่กับปัจจุบันขณะ มีความสุขในขณะนั้น หลายครั้งที่หมดกำลังใจ เคยนึกถึงบทละครของกามูร์ (Albert Camus) เรื่องตำนานของเทพเจ้าซิไซฟัส (The Myth of Sisyphus) คือซิไซฟัสถูกสาปให้ต้องลงมาเข็นหินขึ้นไปถึงยอดเขา และเมื่อไปถึงยอดเขาแล้วหินก็จะกลิ้งตกลงมาที่ตีนเขาเหมือนเดิม ต้องเข็นขึ้นไปใหม่ และเขาบอกว่านี่คือชะตาชีวิตของมนุษย์ คุณจะต้องเข็นหินขึ้นไปบนภูเขาแล้วตกลงมาเหมือนเดิม แต่วันหนึ่งตอนที่เข็นหินแล้ว ซิไซฟัสเห็นดอกไม้บานอยู่ระหว่างทาง รู้สึกว่าดอกไม้สวยมาก แล้วมีความสุข นั้นเป็นสิ่งสำคัญ
เพราะฉะนั้นจุดที่เราจะเดินไป เราก็ต้องเดินไป แต่ขณะที่เดินไปเราต้องคอยตรวจสอบอยู่ตลอดเวลาว่า เป็นเส้นทางที่ถูกต้องหรือเปล่า เพราะว่ามนุษย์เราพร้อมที่จะตกไปข้างใดข้างหนึ่งตลอด พญามารมีอำนาจมาก ถ้าเราไม่ตรวจสอบตัวเองตลอดเวลา เราอาจจะหลงทิศหลงทางได้ แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเราพบกับความทุกข์ในโลกนี้มากๆ บางทีเราจะมีความทุกข์ ไถ่เขาเคยเขียนถึงช่วงสงครามใกล้จะสงบ แต่มีคนที่หนีจากเวียดนามเข้ามาเมืองไทย เป็นพวกชาวเรืออพยพ แล้วถูกโจรสลัดคนไทยฆ่า ปล้นชิงเขา ไถ่เขามีความทุกข์นะ ตอนนั้นไม่แน่ใจว่าท่านเคยเขียนหรือเราเคยคุยกัน คือท่านมีความทุกข์จากการเห็นผู้ลี้ภัยทางสงครามมาแล้วยังถูกฆ่าตาย ท่านเขียนเรื่อง ”มนุษย์ไม่ใช่ศัตรูของเรา” บางทีท่านต้องหากำลังใจ ปลูกต้นไม้ และท่านมีความรู้สึกรับพลังจากธรรมชาติ หรือจดหมายฉบับหนึ่งที่เคยเขียนถึงท่าน แล้วท่านตอบมาว่า ท่านใช้เวลาไปภาวนา ไปอยู่สงบ แล้วพยายามตัดสิ่งต่างๆ เหล่านี้ออกไปตั้งเกือบสองปีเพื่อฟื้นฟูกำลังใจ
คือเราอาจจะต้องมีโอกาสฟื้นฟูกำลังใจอย่างที่คุณโก๋เขาทำ แต่ว่าขณะเดียวกันชาวพุทธต้องไม่ใช่แบบต้องการแต่ความสงบอย่างเดียว บางครั้งเราต้องออกไปทำอะไรบางอย่าง รู้สึกว่าเราต้องรับผิดชอบ และจริงๆ สิ่งที่ทำ การรับผิดชอบกับตัวเองก็คือการรับผิดชอบกับสังคม การรับผิดชอบกับสังคมก็คือรับผิดชอบกับตัวเราเอง การรับผิดชอบกับสิ่งแวดล้อมก็คือการรับผิดชอบกับตัวเราเอง ถ้าเราสามารถมองเห็นว่าชีวิตของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสรรพสิ่งในจักรวาล และชีวิตเรานั้นแสนสั้น ควรพยายามทำอะไรที่ดีๆ แล้วมีความสุข เพราะเราไม่สามารถหวังว่า ความรุนแรงจะหมดไปจากโลกภายในวันพรุ่งนี้ แต่มันจะหมดได้อย่างที่ไถ่พูดว่า ไฟมันเกิดขึ้นมา มันมาจากที่ไหน มันมาจากเหตุปัจจัยและมันจะดับไปเมื่อมีเหตุปัจจัยเหมือนกัน เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี เหมือนกัน ถ้าตราบเท่าที่ความโกรธความเกลียดในจิตใจของเรายังมี เราก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น และจริงๆ เราแต่ละคนต้องต่อสู้กับความโกรธความเกลียดอยู่ตลอดเวลา เพราะว่าเวลาเราพบสิ่งต่างๆ ที่อยุติธรรม เราคงเหม็นเขียว หมั่นไส้ โกรธ อาจจะผรุสวาสบ้างเป็นบางครั้ง แต่เราต้องกลับมาว่า เอาอีกแล้ว เพราะว่าเรายังไปไม่ถึงไหน แต่ไม่เป็นไร ชีวิตมันคงเป็นอย่างนี้ เราก็เหมือนเทพเจ้าซิไซฟัส เข็นหินขึ้นภูเขาแล้วตกลงมา แล้วเข็นใหม่ได้เรื่อยๆ แล้วเราจะได้เรียนรู้ว่า การหาความสุขในการขณะเข็นได้เป็นเรื่องดี
กนกวรรณ: พอจะยกตัวอย่างของปัญหาสังคมที่ชัดๆ ในปัจจุบันนี้ได้ไหมคะ ตั้งคำถามกับพี่รสนาอย่างหนึ่งว่า ในการจะนำหลักคำสอนของพุทธศาสนาโดยเฉพาะของท่านนัท ฮันห์ มาใช้ในการแก้ปัญหา ยกตัวอย่างกระแสบริโภคนิยม พี่รสนาพยายามบรรเทาภาวะของกระแสบริโภคนิยมที่รุนแรง ณ ปัจจุบันนี้อยู่ โดยจะเน้นเรื่องสุขภาพของคนไทยใช่ไหมคะ ณ วันนี้ เราพูดกันเยอะมากเรื่องชีวิตพอเพียง ความเป็นอยู่แบบพอเพียง เราต้องต่อสู้กับบริโภคนิยมกัน แล้วจริงๆ ถ้าเราเอาเรื่องของพุทธศาสนามาจับ น่าจะเข้ามาช่วยเราแก้ปัญหาเรื่องบริโภคนิยมในบ้านเราได้อย่างชัดๆ เหมือนกันใช่ไหมคะ
รสนา: ต้องบอกว่าสังคมจริงๆ ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นกัลยาณมิตรกับเรานะ สังคมทำให้เรามีความอยากจะบริโภคไปเรื่อยๆ สังคมพยายามทำให้เราหมกมุ่นแล้วหลงลืม คุณโก๋เป็นส่วนหนึ่งด้วยหรือเปล่า โฆษณาเอาเงินล้วงออกจากกระเป๋าเรา
กนกวรรณ: เป็นฝ่ายกระตุ้นค่ะ (หัวเราะ)
รสนา: เพราะฉะนั้น จริงๆ อันหนึ่งในบทกัลยาณธรรมที่ได้เขียนเอาไว้คือ บางทีเราต้องพิจารณาถึงอาชีพที่เราทำด้วยซ้ำ ว่าเป็นสัมมาอาชีวะไหม อาชีพนั้นปิดกั้นคนอื่นไหม อาชีพนั้นเข้าไปเสริมความรุนแรงบางอย่างไหม เพราะฉะนั้นจริงๆ ในพุทธศาสนา สัมมาอาชีวะมีความสำคัญมาก เพราะว่าสัมมาอาชีวะของเราจะมีผลกับคนอื่น แต่ในโลกปัจจุบันของเรา สัมมาอาชีวะมีน้อยลงนะ คือบางทีเราคิดว่า เราหาเงินมา เราไม่ได้ไปปล้นใคร ถือว่าเป็นสัมมาอาชีวะแล้ว อันนั้นก็ถูก แต่ว่าจริงๆ แล้วสังคมส่งเสริมการบริโภคมาก แล้วพอเรามาพูดให้พอเพียง เป็นเรื่องยากเหมือนกันนะ เพราะถ้าพูดไป ต้องบอกว่าทิศทางการพัฒนาของประเทศทั้งหมดเลย เราไม่เคยตั้งคำถามว่าเราพัฒนาไปเพื่ออะไร เพื่อให้ผลผลิตมวลรวมในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ และทำให้เกิดคนสองกลุ่ม คือกลุ่มคนโคตรรวยและกลุ่มคนโคตรจน แบบนี้ไม่มีทางสมานฉันท์ ไม่มีทางเกิดความสุขหรือความสงบขึ้นมาได้
เราตื่นตัวไหม เรื่องนี้เรารู้สึกว่าทุกคนล้วนเป็นเหยื่อของสถานการณ์ และเราอาจจะรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้หรอกกับสภาพที่เกิดขึ้น ต้องเป็นไปตามนั้น เราอาจจะหวังว่ารัฐบาลจะคิดถูกต้อง มาทำเรื่องว่าด้วยความสุขมวลรวมประชาชาติ ยากนะ ความสุขมวลรวมประชาชาติจะเกิดขึ้นเมื่อเกิดความสุขในแต่ละคนที่มา
จริงๆ ในพุทธศาสนาบอกว่าความสุขที่อิงกับสิ่งจำเป็น คือปัจจัยสี่ ต้องให้มีความสันโดษ สำรวม แต่กุศลธรรมต้องไม่สำรวม ต้องทำให้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่เวลานี้ สังคมพยายามจะไม่ให้เราสำรวมในเรื่องของการบริโภค เพราะถ้าสำรวมมาก จีดีพีไม่ขึ้น ประเทศชาติไม่รุ่งเรืองใช่ไหม ตอนนี้รัฐบาลต้องไปลงนามในสนธิสัญญาเขตการค้าเสรี : เอฟทีเอ (Free Trade Area : FTA) เพราะกลัวว่าประเทศชาติจะไม่รุ่งเรือง แต่ว่าจริงๆ เมื่อไปเซ็นแล้ว คุณไม่เคยตั้งคำถามเลยว่า เราจะพึ่งตัวเองได้ไหม
จริงๆ เศรษฐกิจพอเพียงคือความเป็นไทในการที่เราจะพึ่งตัวเองในเรื่องปัจจัยพื้นฐาน แต่เวลานี้การลงนามในสนธิสัญญาเอฟทีเอ เขาบอกว่ารถยนต์ขนาด ๓,๐๐๐ ซีซี จะมีการเก็บภาษีลดลง เพราะฉะนั้นพวกเราจะบริโภครถยนต์กันมากขึ้นในราคาถูก และเราจะพ่นควันเสียขึ้นไปสู่อากาศมากขึ้น แต่เราไม่สามารถเชื่อมโยงว่าภาวะโลกร้อนเกิดขึ้นจากอะไร มันไกลน่ะ เพราะว่ามันเป็นทฤษฎีมากเลย
กนกวรรณ: พอโลกร้อนเราจะไปซื้อแอร์ค่ะ
รสนา: คนที่ไม่เคยซื้อแอร์จะบอกว่าไม่ได้แล้ว ปีนี้ต้องซื้อแอร์เพราะว่าอากาศร้อน เพราะฉะนั้นชีวิตของเราแต่ละคนจะหมุนไปอย่างนี้ แต่คนที่จะฉุกใจคิดแล้วบอกว่าเปลี่ยนแปลงเลย โอ้โฮ หายากเหมือนกันนะ จริงๆ แล้วต้องนึกถึงการรวมกลุ่ม แต่ไม่รู้จะหวังมากไปหรือเปล่า สมัยก่อนพวกเราเมื่อสมัย ๓๐ ปีที่แล้ว เป็นพวกที่รวมกลุ่มและพยายามจะทำอะไร แต่ตอนนี้แต่ละคนต่างโตและแยกย้ายกันไป จริงๆ พวกเราส่วนใหญ่ที่เคยอยู่ในคณะเทียบหินแบบไทยๆ ยังอยู่กันอย่างสมถะพอสมควร ยังทำกิจกรรมกัน อิทธิพลเหล่านี้อาจจะยังไม่ถึงกับส่งผล แต่คิดว่าจะเป็นเชื้อที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากขึ้น
และเป็นเรื่องที่น่าสนใจนะ โครงการเผชิญความตายอย่างสงบของท่านไพศาล คนหนุ่มๆสาวๆ เขามีการเตรียมตัวตายนะ ใช่ไหม ทำให้เราต้องกลับมาหาวิธีการใช้ชีวิตอย่างมีสติ ซึ่งน่าสนใจนะ ว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นเรื่องของจังหวะเวลาก็ได้ ๓๐ กว่าปีที่แล้ว ไปพูดเรื่องเตรียมตัวตายอย่างมีสติ คนอาจจะไม่สนใจ เหมือนกับที่ดิฉันทำเรื่องโครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งตนเอง สมัยนั้นคนบอกว่าทำไมต้องเขียนอย่างนั้นด้วย ทำไมต้องตั้งชื่อโครงการแปลกๆ ทำไมต้องพึ่งตัวเอง แต่เวลานี้คนเริ่มพูดกันถึงเศรษฐกิจพอเพียง เริ่มพูดกันถึงการพึ่งตนเอง เริ่มพูดกันถึงการเตรียมตัวตาย ดิฉันคิดว่าเป็นสิ่งที่มีความหมาย
กนกวรรณ: ค่ะ ไปที่หลวงพี่นิรามิสาบ้าง หลวงพี่เป็นผู้ร่วมเดินทางกับหลวงปู่ในการไปเผยแพร่ตามที่ต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะเรื่องของหลักการภาวนา อยากให้หลวงพี่เล่าให้ฟังถึงสิ่งที่หลวงพี่ได้พบ โดยเฉพาะเรื่องความเปลี่ยนแปลงของผู้คน ณ ขณะที่เขาได้มารับทราบหลักการภาวนา การเจริญสติ การตามทันลมหายใจ ว่าในประเทศต่างๆ หลวงพี่ได้พบเห็นอะไรบ้างคะ
ภิกษุณีนิรามิสา: เวลาที่เราฝึกปฏิบัติ คงจะเชื่อมโยงไปถึงสิ่งที่เราคุยถึงปัญหาความขัดแย้งของศาสนา หรือความไม่เป็นสันติภาพที่กำลังเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งที่เราประทับใจ และได้ร่วมกันทำที่หมู่บ้านพลัม คือเราจะมีการจัดการภาวนาให้แก่ชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์มาอยู่ร่วมกันทุกปี ในช่วง ๓-๔ ปีที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าจะนำชาวปาเลสไตน์มาที่ฝรั่งเศสได้ก็เป็นเรื่องยากมาก หลวงแม่ต้องวิ่งเต้นน่าดูทั้งกระทรวงต่างประเทศที่ฝรั่งเศส ทั้งทางฝั่งอิสราเอล และปาเลสไตน์ด้วย เพราะเขาไม่สามารถจะขอวีซ่าได้ง่ายนัก ทันทีที่เขามาถึงหมู่บ้านพลัม เราจะฝึกปฏิบัติร่วมกัน เรื่องหนึ่งที่ชาวปาเลสไตน์มักจะพูดคือ ไม่เคยคิดว่าในโลกนี้จะมีดินแดนที่สงบแบบนี้ ไม่เคยคิดว่าจะได้พบกับดินแดนที่มีแต่สันติ เพียงแต่เขาเพิ่งเริ่มเข้ามาอยู่ในศูนย์ปฏิบัติธรรมที่หมู่บ้านพลัม
เวลาที่เขามาถึง เขาจะทำกิจกรรมเหมือนเราค่ะ เข้าร่วมเหมือนเรา ทำกิจกรรมเหมือนเรา หลวงปู่บอกว่า มาถึงห้ามสนทนากัน ยังไม่ให้มีการสนทนาธรรม หรือสนทนากันถึงเรื่องอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ให้ต่างฝ่ายต่างฝึก แต่มีชีวิตอยู่ด้วยกัน ตื่นเช้านั่งสมาธิด้วยกัน สวดมนต์ นั่งรับประทานอาหารเงียบๆ ด้วยกัน ฟังเทศน์จากหลวงปู่ แลกเปลี่ยนกับบรรดาคณะนักบวชที่หมู่บ้านพลัม
หลังจากนั้น ๑ อาทิตย์ถึงจะเริ่มมีการสนทนาซึ่งกันและกัน และการสนทนาค่อนข้างจะเครียดนะคะ แต่จะเน้นในเรื่องของการฝึกที่จะฟังกันอย่างลึกซึ้ง อาจจะเริ่มต้นโดยทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพูดก่อน อย่างทางปาเลสไตน์พูด ชาวอิสราเอลก็จะฟังอย่างเดียว และหลังจากที่เขาได้มีความสงบลงไปแล้ว เราจะพยายามคล้ายๆ กับสนับสนุนให้เขาใช้วาจาแห่งสติ พูดจากใจของเขา พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น จากความทุกข์ของเขาเอง จากสิ่งที่เขากำลังเผชิญ โดยไม่ได้ใช้วาจาไปตำหนิอีกฝ่ายหนึ่งว่าทำให้เกิดสงคราม ไปฆ่าญาติพี่น้องของเขา หลังจากฟังแล้ววันต่อไปชาวอิสราเอลจะเป็นคนพูด
เราจะมีช่วงเวลาเหล่านี้อยู่พอสมควร และจะมีบรรดานักบวชเข้าไปช่วยเกื้อกูลพลังแห่งสติด้วย หลังจากวันสุดท้ายแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ขึ้นเวที แล้วรายงานผลให้กับฝ่ายสังฆะทั้งหมดฟัง ทั้งฝ่ายปาเลสไตน์และอิสราเอล และหลายๆ ครั้งที่เราจะประทับใจ สะเทือนใจมากคือ ชาวอิสราเอลจะบอกว่าไม่เคยรู้เลยว่าชาวปาเลสไตน์ทุกข์และพี่น้องถูกฆ่าตายมากมายขนาดนี้ ไม่เคยได้ยินจากครอบครัวที่เขาประสบด้วยตัวเขาเองเลยว่า มีชาวปาเลสไตน์ที่ขาขาด ที่มาถึงหมู่บ้านพลัมแล้วเล่าอย่างละเอียดว่า ในขณะที่เขาอยู่บ้าน เขาถูกรุกรานอย่างไร ถูกทุบตีอย่างไร ถูกยิงอย่างไร แล้วต้องเดินทางอย่างยากลำบากมากเพื่อจะไปโรงพยาบาล สิ่งเหล่านี้พออีกฝ่ายหนึ่งได้ยิน จะรู้สึกเหมือนกับเริ่มเข้าไปอยู่ในเนื้อหนังมังสาของอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วมีความสงสาร มีความเมตตากรุณามากขึ้น
ในขณะเดียวกันชาวปาเลสไตน์ก็บอกว่า ไม่เคยมีเพื่อนเป็นชาวอิสราเอลและไม่เคยคิดว่าชาวอิสราเอลมีความทุกข์เช่นกัน เขาต้องสูญเสียพี่น้องเขาเหมือนกัน พี่น้องของเขาก็ถูกระเบิดเช่นเดียวกัน นี้คือสิ่งที่เรามักจะได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นกับชาวอิสราเอลปาเลสไตน์หรือจะเป็นชาวฝรั่งเศสหรือใครที่มาฝึกด้วย วันแรกมาจะเดินเร็วนะคะ แล้วได้ยินเสียงระฆังไม่หยุด และหน้าตาจะเคร่งเครียด บางคนจะป่วยไปเลย เป็นหวัดเป็นอะไรไปบ้าง แต่หลังจากผ่านไปสัก ๒ วัน ๓ วัน จะเห็นว่าหน้าตาเริ่มสดใสมากขึ้น ผ่อนคลายมากขึ้น และสามารถที่จะเปิดใจและคลายความทุกข์ลงได้ แค่ช่วงเวลาอาทิตย์เดียว เห็นการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขา ในหน้าตา และในคำพูดหรือสิ่งที่เขาแสดงออกและแลกเปลี่ยน
ในประเทศอเมริกา หลวงปู่และคณะสังฆะพยายามคุยและขอให้เขาตั้งคณะกรรมการรับฟังอย่างลึกซึ้ง (Listening Deeply Committee) ค่ะ ในฝ่ายของมุสลิมกับฝ่ายของชาวอเมริกันทั่วไป เพื่อให้รู้ว่าจริงๆ คนอิสลามในอเมริกาเขามีความทุกข์มาก แม้กระทั่งทางชาวอเมริกันเองก็มีความทุกข์มาก และท่านคิดว่า มีหลายคนที่เป็นคนอย่างที่เราๆ กำลังคุยกันอยู่ เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม เห็นสิ่งที่เราอยากจะเปลี่ยนแปร แต่ยังเปลี่ยนแปรไม่ได้ หรือว่ากลุ่มที่มีปัญญาความคิดที่ชัดเจน แต่ว่ายังไม่ได้มารวมกันเพื่อพูดในสิ่งเหล่านี้ ถ้าเรามีการจัดการให้คนเหล่านั้นมารวมกันแล้วรับฟังอย่างลึกซึ้งจริงๆ ฟังเพื่อที่จะให้เข้าใจเขาอย่างจริงๆ ไม่ใช่ฟังเพื่อจะวิพากษ์วิจารณ์หรือว่าตำหนิ ในเมื่อสามารถจะฟังกันอย่างลึกซึ้งได้แล้ว จะเกิดความเข้าใจเกิดปัญญาขึ้น ทำให้เราเห็นทางออกว่าจะช่วยกันได้อย่างไร
อย่างเช่นเมื่อสองปีก่อน เมื่อร่วมขบวนกลับไปกับหลวงปู่ที่เวียดนามเช่นเดียวกัน จะเน้นเรื่องของความรักฉันท์พี่น้อง ไม่ว่าเราจะเป็นพุทธ เป็นคริสต์ เป็นมุสลิม หรือว่าเป็นซ้ายเป็นขวาจากตะวันตกตะวันออก แต่อย่างน้อยสิ่งที่เรามีให้กันคือความเป็นมนุษย์ ความเป็นพี่น้องซึ่งกันและกัน ท่านจะเน้นตรงนี้อย่างมาก ทำอย่างไรที่จะฝึกปฏิบัติให้เราสามารถเข้าหากันได้ บางครั้งในชุมชนที่เราอยู่ด้วยกัน จะมีกรณีศึกษาขึ้นมา บางทียากมาก จะต้องมานั่งคุยกันว่าจะช่วยกันแก้ไขปัญหาอย่างไร จะใช้วิธีอย่างนี้ค่ะ ฟังอย่างลึกซึ้งและเปิดใจที่จะเข้าใจ และบางทีต้องใช้หลายช่วงเวลากว่าจะลงตัว และหลวงปู่จะบอกว่าทำอะไรก็ได้ แต่ให้ยังรักกันเหมือนพี่น้อง เพราะฉะนั้นพอเราปฏิบัติไปในทางนั้น มันครอบคลุมทุกอย่าง และทำให้เรารู้สึกว่า เราต้องเห็นความเป็นหนึ่งเดียวกัน แล้วจะช่วยอย่างไรให้เกิดความกลมกลืน ความสมานฉันท์ ความสันติขึ้น
กนกวรรณ: มีหนึ่งคำถามจากท่านที่อยู่ในห้องนี้นะคะ หลวงพี่นิรามิสา ตั้งคำถามว่า อยากทราบว่าการเดินทางมาของหลวงปู่นัท ฮันห์ ที่จะมาถึงในเร็วๆ วันนี้ จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมไทยหรือไม่อย่างไรคะ หลวงพี่คาดหวังอย่างนั้นไหมคะ หรือว่าการเดินทางมาของท่านตั้งเป้าหมายอะไร
ภิกษุณีนิรามิสา: หลวงพี่คิดว่าขึ้นอยู่กับคนไทยค่ะ และในส่วนตัวแล้ว เท่าที่รู้จักกับหลวงปู่ตั้งแต่ที่ได้ไปบวชแล้ว จะนึกภาพว่าเมื่อหลวงปู่ได้เหยียบผืนแผ่นดินไทย คงจะเป็นความงดงามที่ยิ่งใหญ่มหาศาล เป็นของขวัญที่งดงามให้กับแผ่นดินไทย ให้กับคนไทยนะคะ และเป็นโอกาสที่อาจจะเปิดอะไรบางอย่างที่อุดตันอยู่ในสังคมไทย ซึ่งท่านคงเป็นเหตุปัจจัยหรือเงื่อนไขหนึ่งที่อาจจะช่วยให้อะไรบางอย่างที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจคนไทย หรือไม่ชัดเจนได้คลายออกให้ชัดเจนขึ้นบ้าง แต่เหตุปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดคือคนไทยค่ะ คนไทยที่จะร่วมกันปฏิบัติและเห็นได้ด้วยตัวเราเองที่ชัดเจน
กนกวรรณ: ขอบคุณค่ะ มาที่คุณโก๋นิดหนึ่ง อยากให้คุณโก๋มองในด้านของธุรกิจที่ถูกพาดพิงไปเมื่อสักครู่นี้ เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้เกิดบริโภคนิยมของผู้คน ให้คุณโก๋มองในมุมของนักธุรกิจบ้านเรา ปัญหา ณ ขณะนี้ หลักการทางพุทธศาสนา คำสอนของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ น่าจะเข้ามาเยียวยาส่วนไหนอย่างไรได้บ้างคะ
จิตร์: ที่พี่รสนาบอกไว้ นี่ล่ะของจริงเลย คืออาชีพที่ปรึกษาทางด้านโฆษณา ตลาด สร้างแบรนด์ทั้งหลายนะฮะ อยากจะบอกว่า มักถูกถามอยู่เสมอ น้องที่ทำงานอยู่ในสายงานเดียวกัน มักจะถามว่าพี่ทนทำได้อย่างไร เมื่อพี่รู้ขนาดนี้ เลยบอกว่า รู้ไหม เคยได้ฟังครั้งหนึ่งครับ หลวงปู่ไปแสดงธรรมให้กับตำรวจที่ประเทศอเมริกา และเราเลยคิดได้จากตรงนั้นแหละว่า ถ้ามีปืนอยู่หนึ่งกระบอก ระหว่างยื่นให้คนเมากับคนมีสติ เราจะยื่นให้ใคร เลยบอกกับน้องๆ ว่า สำคัญเชียวที่เราต้องทำธุรกิจนี้ และเราต้องมีสติ ไม่ใช่ว่าเราจะหนีออกไปจากธุรกิจนี้ เพราะว่าบอกว่าเป็นธุรกิจน่าเกลียด ก็ให้คนน่าเกลียดทำ ไม่ถูก เพราะฉะนั้นเราต้องอยู่ตรงนี้แหละ และทำอย่างมีสติ ทำด้วยความซื่อสัตย์ เพราะว่าถ้าเราอยู่ไปปุ๊บนะครับ จะบอกว่าเราอยู่บนโลกนี้โดยไม่สร้างความเสียหายให้กับจักรวาลเลย คงเป็นไปไม่ได้ แต่ทำอย่างไรให้น้อยที่สุด แล้วสร้างเรื่องดีให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ นั่นเอง ในที่สุดแล้วถัวๆ กันหักลบกลบหนี้ ก็ยังพอใช้ เพราะฉะนั้น ผมอยากชวนให้คิดอย่างนี้ว่า อย่างที่พี่รสนาบอก อย่าละโอกาสถ้าเราจะทำประโยชน์ได้ แล้วละโอกาสถ้าเรากำลังจะทำอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์
กนกวรรณ: มีหนึ่งคำถามจากท่านที่อยู่ในห้องนี้นะคะ หลวงพี่นิรามิสา ตั้งคำถามว่า อยากทราบว่าการเดินทางมาของหลวงปู่นัท ฮันห์ ที่จะมาถึงในเร็วๆ วันนี้ จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมไทยหรือไม่อย่างไรคะ หลวงพี่คาดหวังอย่างนั้นไหมคะ หรือว่าการเดินทางมาของท่านตั้งเป้าหมายอะไร
ภิกษุณีนิรามิสา: หลวงพี่คิดว่าขึ้นอยู่กับคนไทยค่ะ และในส่วนตัวแล้ว เท่าที่รู้จักกับหลวงปู่ตั้งแต่ที่ได้ไปบวชแล้ว จะนึกภาพว่าเมื่อหลวงปู่ได้เหยียบผืนแผ่นดินไทย คงจะเป็นความงดงามที่ยิ่งใหญ่มหาศาล เป็นของขวัญที่งดงามให้กับแผ่นดินไทย ให้กับคนไทยนะคะ และเป็นโอกาสที่อาจจะเปิดอะไรบางอย่างที่อุดตันอยู่ในสังคมไทย ซึ่งท่านคงเป็นเหตุปัจจัยหรือเงื่อนไขหนึ่งที่อาจจะช่วยให้อะไรบางอย่างที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจคนไทย หรือไม่ชัดเจนได้คลายออกให้ชัดเจนขึ้นบ้าง แต่เหตุปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดคือคนไทยค่ะ คนไทยที่จะร่วมกันปฏิบัติและเห็นได้ด้วยตัวเราเองที่ชัดเจน
กนกวรรณ: ขอบคุณค่ะ มาที่คุณโก๋นิดหนึ่ง อยากให้คุณโก๋มองในด้านของธุรกิจที่ถูกพาดพิงไปเมื่อสักครู่นี้ เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้เกิดบริโภคนิยมของผู้คน ให้คุณโก๋มองในมุมของนักธุรกิจบ้านเรา ปัญหา ณ ขณะนี้ หลักการทางพุทธศาสนา คำสอนของหลวงปู่ติช นัท ฮันห์ น่าจะเข้ามาเยียวยาส่วนไหนอย่างไรได้บ้างคะ
จิตร์: ที่พี่รสนาบอกไว้ นี่ล่ะของจริงเลย คืออาชีพที่ปรึกษาทางด้านโฆษณา ตลาด สร้างแบรนด์ทั้งหลายนะฮะ อยากจะบอกว่า มักถูกถามอยู่เสมอ น้องที่ทำงานอยู่ในสายงานเดียวกัน มักจะถามว่าพี่ทนทำได้อย่างไร เมื่อพี่รู้ขนาดนี้ เลยบอกว่า รู้ไหม เคยได้ฟังครั้งหนึ่งครับ หลวงปู่ไปแสดงธรรมให้กับตำรวจที่ประเทศอเมริกา และเราเลยคิดได้จากตรงนั้นแหละว่า ถ้ามีปืนอยู่หนึ่งกระบอก ระหว่างยื่นให้คนเมากับคนมีสติ เราจะยื่นให้ใคร เลยบอกกับน้องๆ ว่า สำคัญเชียวที่เราต้องทำธุรกิจนี้ และเราต้องมีสติ ไม่ใช่ว่าเราจะหนีออกไปจากธุรกิจนี้ เพราะว่าบอกว่าเป็นธุรกิจน่าเกลียด ก็ให้คนน่าเกลียดทำ ไม่ถูก เพราะฉะนั้นเราต้องอยู่ตรงนี้แหละ และทำอย่างมีสติ ทำด้วยความซื่อสัตย์ เพราะว่าถ้าเราอยู่ไปปุ๊บนะครับ จะบอกว่าเราอยู่บนโลกนี้โดยไม่สร้างความเสียหายให้กับจักรวาลเลย คงเป็นไปไม่ได้ แต่ทำอย่างไรให้น้อยที่สุด แล้วสร้างเรื่องดีให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ นั่นเอง ในที่สุดแล้วถัวๆ กันหักลบกลบหนี้ ก็ยังพอใช้ เพราะฉะนั้น ผมอยากชวนให้คิดอย่างนี้ว่า อย่างที่พี่รสนาบอก อย่าละโอกาสถ้าเราจะทำประโยชน์ได้ แล้วละโอกาสถ้าเรากำลังจะทำอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์