โพธิสัตวมรรคเราได้สนทนากันถึงสมาธิภาวนาแบหินยานที่เน้น
ความเรียบง่ายและความ เที่ยงตรงไปแล้ว จะเห็นได้ว่า หากเราปล่อยให้มีช่วงว่าง อันสิ่งทั้งหลาย จะเป็นอย่างที่มันเป็นได้แล้ว เราจะเริ่มชื่นชมกับความเรียบง่ายและเที่ยงตรง ในชีวิตของเราได้อย่างแจ่มใส นี้เป็นขั้นต้นของการบำเพ็ญสมาธิภาวนา เราเริ่มแทงตลอด
สกนธ์ทั้งห้าได้ โดยขจัดความคิดฟุ้งซ่านที่ยิ่งเหยิง และ เร่งรีบ ทั้งเสียงซุบซิบที่ฟูฟ่องอยู่ในใจเราออกไป เมื่อทำได้ดังนี้ ขั้นต่อไป เราจะหันมาดูอารมณ์ของเราบ้าง
อาจเปรียบได้ว่า ความฟุ้งซ่านก็เป็นดั่งวงจรหมุนเวียนของโลหิตที่คอย หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อในระบบของเรา อันได้แก่
อารมณ์ความรู้สึก ( ธรรมา รมณ์ ) ความคิดจะคอยเชื่อมโยงและหล่อเลี้ยงอารมณ์เอาไว้เพื่อให้ชีวิต ปะจำวันของเราแล่นลิ่วไปด้วยเสียงซุบซิบภายในใจ อันมีอารมณ์สวยสด และรุนแรงระเบิดออกมาเป็นพัก ๆ ความคิดและอามณ์ทั้งหลายจะสำแดง ให้เห็นถึงทัศนะพื้นฐานที่เรามีต่อโลก ถึงวิธีที่เราสัมพันธ์กับโลก และช่วย สร้างรูปแบบของสภาพแวดล้อมขึ้นมา อันเป็นภูมิแห่งความฝันเฟื่องทั้งหลาย ที่เราดำรงชีวิตอยู่ " สภาพแวดล้อม " เหล่านี้คือ
ภูมิหกนั่นเอง และแม้ภูมิ หนึ่ง ๆ จะกำหนดหมายลักษณะจิตใจของคน ๆ หนึ่ง แต่คน ๆ นั้นก็ยังประ สบกับอารมณ์ความรู้สึกอันเกี่ยวโยงกับภูมิอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน
ในอันที่จะแลเห็นภูมิเหล่าได้ เราต้องอาศัยวิธีมองที่กว้างไกลยิ่งขึ้น อัน เป็น
วิปัศยาน ( วิปัสสนา ) ภาวนา เราไม่เพียงกำหนดรู้รายละอียดอันเที่ยง ตรงคมชัดของกิจกรรมทั้งหลาย หากกำหนดรู้สภาพการณ์ทั้งหมดด้วย วิปัศยานนี้รวมถึงการกำหนดรู้ที่ว่าง และบรรยากาศ อันความเที่ยงตรงนั้น เกิดขึ้น หากเราแลเห็นรายละเอียดอันเที่ยงตรงในกิจทั้งหลายได้ การกำ หนดรู้เช่นนี้จะก่อให้เกิดความว่างอย่างหนึ่งขึ้นมาด้วย การกำหนดรู้สภาพ การณ์โดยละเอียดก็เท่ากับกำหนดรู้ โดยกว้างด้วย การกระทำเป็นเช่นนี้จะ ทำให้การกำหนดรู้โดยกว้างปรากฏขึ้นคือ
มหาวิปัศยาน ( วิปัสสนา ) ภาวนา อันได้แก่ การกำหนดรู้แบบแผนทั้งหมดยิ่งกว่าจะเจาะจงไปที่รายละเอียด เราเริ่มเห็นแบบแผนความฝันเฟื่องของเรา แทนที่จะไปจมอยู่กับมัน เราจะ พบได้ว่า เราไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับภาพฉายแห่งตัวตนของเรา และกำแพงที่ แยกจากเราจากภาพฉายเหล่านั้นก็ล้วนเป็นเพียงสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง ถึงตรง นี้
ปรัชญา ( ปัญญา ) จะเกิด คือญาณหยั่งรู้ธรรมชาติอันไร้แก่นสารของ อัตตา อันเป็นความรู้ชั้นโลกุตระ แวบหนึ่งที่ปรัชญาเกิดขึ้น เราจะผ่อนคลาย และตระหนักได้ว่าเราไม่ต้องอุ้มชูการดำรงอยู่ของอัตตาอีกต่อไป เราย่อม เปิดออกและมีความกรุณาได้ การแลเห็นวิถีทางที่จะจัดการกับภาพฉายแห่ง อัตตาของเราได้ดังนี้ ก่อให้เกิดสุขอย่างยิ่ง นี้นับเป็นโลกุตระภูมิแรกที่โพธิสัตว์ จะบรรรลุถึง เราเริ่มเข้าสู่โพธิสัตว์มรรคอันเป็นหนทางอย่างมหายาน เป็นทาง เปิด เป็นหนทางแห่งความอบอุ่นและการเปิด
ในการเจริญ
มหาวิปัศยานภาวนาระหว่างตัวเราและสิ่งอื่นย่อมมีเนื้อที่อัน กว้างขวาง เราจะตระหนักรู้ถึงเนื้อที่ระหว่างตัวเรากับสภาพการณ์ต่าง ๆ และทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นได้ในเนื้อที่นี้ จะไม่มีที่นั่นที่ ไม่ใช่เรื่อง ของความสัมพันธ์และไม่ใช่เรื่องของสงคราม กล่าวอีกนัยหนึ่งเราไม่ได้ ตีตราแนวคิดบัญญัติ ชื่อเสียงเรียงนาม หรือจำแนกแยกประเภทต่าง ๆ ให้แก่ประสบการณ์นั้น ๆ หากเราย่อมสัมผัสได้ถึงเนื้อที่อันเปิดออกใน ทุก ๆ สภาพการณ์ โดยนัยนี้ ความสำนึกจะรู้แจ้งเที่ยงตรงและครอบคลุม ยิ่ง
มหาวิปัศยานภาวนา ยังหมายถึง
การปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นอยู่ตามที่มันเป็น เราเริ่มตระหนักได้ว่า เราไม่ต้องออกแรงพยายามอันใด เพราะสิ่งทั้งหลาย ก็เป็นตามที่มันเป็น เราไม่ต้องมองมันว่าเป็นอย่างนั้นเพราะมันเป็นเช่นนั้น อยู่แล้ว เพราะฉะนี้เราจึงเริ่มชื่นชมกับการเปิดและที่ว่าง เรามีที่ว่างที่จะขยับ ตัวได้ เราไม่ต้องพยายามกำหนดรู้ เพราะเราได้กำหนดรู้อยู่แล้ว ฉะนั้น มหาวิปัศยานจึงเป็นทางเปิด เป็นทางกว้างขวาง หนทางนี้อาศัยความพร้อม ที่จะเปิดใจ ปล่อยให้ตนเองตื่นขึ้น ปล่อยให้สัญชาติญาณของตนผุดขึ้น
ในบทก่อน เราพูดถึงการปล่อยให้มีที่ว่างจึงสามารถสื่อสารเชื่อมโยง แต่ การปฏิบัติเช่นนั้น ยังต้องอาศัยความตั้งใจและการควบคุมตนเองอยู่มาก แต่เมื่อเราเจริญ
มหาวิปัศยานภาวนา เราไม่ต้องควบคุมตัวเราให้สื่อสาร ไม่ต้องตั้งใจที่จะทิ้งช่วงว่างหรือตั้งใจที่จะรอคอย แต่อาจกล่าวได้ว่าเรา สามารถสื่อสารและเปิดเนื้อที่ออก โดยไม่ต้องกำหนดความตั้งใจ สามารถ ปล่อยวางอย่างไรกังวล และไม่ต้องไปครอบครองการปล่อยวางว่าเป็น ของเรา ว่าเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้น เพียงแต
่เปิดออกและปล่อยวาง และไม่ เป็นเจ้าเข้าเจ้าของ ครั้นทำได้เช่นนี้แล้ว คุณลักษณ์ที่เป็นไปเองโดยธรรม ชาติ ของสภาวะที่ตื่นอยู่ จะผุดขึ้นมาเอง
ในพระสูตร ที่มีกล่าวถึง
บุคคลผู้พร้อมเต็มที่ที่จะเปิด ( อุคฆฏิตัญญู ) บุคคลผู้กำลังพร้อมที่จะเปิด ( วิปจิตัญญู ) และ
บุคคลที่มีศักยภาพในอัน ที่จะเปิด ( เนยยะ ) บุคคลผู้มีศักยภาพอยู่นี้ คือผู้รู้จักใช้วิจารณญาณ และ สนใจในประเด็นขั้นต้น หากยังไม่ปล่อยให้มีที่ว่างพอที่สัญชาตญาณดัง กล่าวจะผุดขึ้นมาได้ส่วนบุคคลผู้กำลังพร้อมที่จะเปิดใจนั้น เขาเฝ้าระวัง ตัวเองจนเกินกว่าเหตุ ฝ่ายบุคคลที่พร้อมเต็มที่ที่จะเปิด บุคคลเหล่านี้ ย่อมได้เคยสดับคำเร้นลับ คำเล่าลือว่า
" ตถาคต " แล้ว ซึ่งคำนี้ย่อมหมาย ถึงบุคคลผู้กระทำได้แล้ว บุคคลผู้ข้ามได้แล้ว นั่นเป็นทางเปิด หนทางนี้ เป็นไปได้ เป็นหนทางของตถาคต ฉะนั้น
ขอเพียงแต่เปิดออกโดยไม่ ต้องพิจารณาว่า อย่างไร เมื่อไร หรือทำไม มันเป็นสิ่งหมดจดได้เกิดขึ้น แล้วแก่บุคคลผู้หนึ่ง แล้วทำไมจะเกิดกับเธอไม่ได้เล่า ทำไมเธอจึงแบ่ง แยกระหว่าง " ฉัน " กับตถาคตเล่า
" ตถาคต " แปลว่า
" ผู้ถึงแล้วซึ่งตถาตา " ซึ่งก็คือ
" ตามที่มันเป็น " รวม ความว่า
ผู้ถึงแล้วซึ่งสภาวะ " ตามที่มันเป็น " กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตถาคต ในฐานะแนวคิด เป็นแรงบันดาลใจอย่างหนึ่ง เป็นจุดเริ่มต้น ที่บอกให้เรา รู้ว่า มีผู้กระทำได้แล้วมีผู้ประสบได้แล้ว สัญชาตญาณนี้ได้บันดาลใจคน บางคนแล้วคือ
สัญชาตญาณแห่งการตื่น แห่งการเปิด แห่งความสงบเย็น ที่รุ่งเรืองด้วยปัญญา หนทางแห่งโพธิสัตว์ นั้น เป็นไปเพื่อบุคคลผู้แกล้วกล้าและเชื่อมั่นในธรรม ชาติแห่งตถาคต ว่าเป็นจริงและทรงพลังทั้งประดิษฐานอยู่ในตนเองแล้วด้วย บุคคลผู้ตื่นขึ้นด้วยความคิดว่า " ตถาคต " จึงอยู่บน
โพธิสัตว์มรรค อันเป็น
หนทางแห่งนักรบผู้แกล้วกล้า ผู้ไว้ใจในศักยภาพของตน ว่าอาจบรรลุจุด หมายปลายทางได้อย่างหมดจด เป็นผู้ไว้ใจในธรรมชาติแห่งพุทธะ คำว่า
" โพธิสัตว์ " แปลว่า
" บุคคลผู้แกล้วกล้าถึงขนาดที่จะเดินไปบนหนทางแห่ง โพธิ " " โพธิ " แปลว่า
" ตื่น " " ภาวะที่ตื่น " ที่ไม่ได้หมายความว่า โพธิสัตว์ จะต้องเป็นผู้ตื่นอย่างหมดจดแล้ว เป็นแต่เขาพร้อมที่จะดำเนินไปตามมรรคา ของผู้ตื่นแล้ว
มรรคสายนี้ประกอบด้วย
โลกุตรธรรมที่ประชุมกันโดยธรรมชาติ คือ
เมตตา ศีล ขันติ วิริยะ สมาธิ และปัญญา องค์คุณเหล่านี้รวมเรียกว่า " ปารมิตาหก " " ปาราม " นั้นแปลว่า " อีกด้านหนึ่ง " หรือ " อีกฝั่งหนึ่ง " " ริมฝั่งน้ำข้าง หนึ่ง " และ " อิต " แปลว่า " มาถึง " " ปารมิตา " แปลว่า
" ถึงซึ่งฝั่งกระโน้น " ซึ่งชี้ให้เห็นว่ากิจของโพธิสัตว์จะต้องประกอบด้วยทัศนียภาพคือ
ความเข้าใจ ที่พ้นไปจากการยึดตัวตนเป็นศูนย์กลาง โพธิสัตว์หาได้พยายามเป็นคนดีหรือ โอบอ้อมอารีไม่ แต่เขาย่อมทรงไว้ซึ่งความกรุณาอยู่โดยธรรมชาติแล้ว