ส่องนโยบายสวัสดิการ-สิทธิแรงงานผู้สมัครฯ ตัวแทนบุคลากร กทม. โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง 30 ส.ค. 66
<span class="submitted-by">Submitted on Mon, 2023-08-28 14:53</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>ภาพปก: เครดิต สหภาพคนทำงาน</p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>สืบเนื่องจากเมื่อ 25 ส.ค. 2566 ที่ห้องนพรัตน์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร จัดการแถลงนโยบายและแสดงนโยบาย ผู้สมัครเลือกตั้งผู้แทนบุคลากรกรุงเทพมหานคร เพื่อเข้ามาเป็นกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานครและบุคลากรกรุงเทพมหานคร (ก.ก.) โดยจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 30 ส.ค. 2566 </p>
<p>ประชาไท สรุปการแถลงนโยบายและแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครฯ ผู้แทนบุคลากรกรุงเทพมหานคร พบผู้สมัครส่วนใหญ่ให้ความสำคัญสวัสดิการการรักษาพยาบาล ค่าเสี่ยงภัยจากการปฏิบัติงาน ปรับการบรรจุงาน สวัสดิการบำเหน็จ การเลื่อนขึ้น/ปรับตำแหน่งงาน ทุนการศึกษาสำหรับลูกจ้าง และอื่นๆ</p>
<p>ทั้งนี้ ผู้สมัครเลือกตั้งผู้แทนบุคลากรกรุงเทพมหานคร มีจำนวนทั้งหมด 9 หมายเลข แต่มีผู้สมัครฯ มาแถลงนโยบาย จำนวน 6 หมายเลข ได้แก่ หมายเลข 1 ขวัญจิต จุลวัฒจะ, หมายเลข 3 โชติกา ยุภิญโญ, หมายเลข 4 ชูศักดิ์ ขันอาสา, หมายเลข 6 สุมาลี วงษ์ครุฑ, หมายเลข 7 สรรพสิทธิ์ เสนาะศัพท์ และหมายเลข 9 ประพันธ์ วงศ์เปี่ยม</p>
<p style="text-align: center;">
<iframe allow="autoplay; clipboard-write; encrypted-media; picture-in-picture; web-share" allowfullscreen="true" frameborder="0" height="314" scrolling="no" src="
https://www.facebook.com/plugins/video.php?height=314&href=https%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2Fbangkok.csc%2Fvideos%2F267689189376544%2F&show_text=false&width=560&t=0" style="border:none;overflow:hidden" width="560"></iframe></p>
<div class="note-box">
<p>ทั้งนี้ กำหนดการเลือกตั้งตัวแทนข้าราชการกรุงเทพมหานครและบุคลากรกรุงเทพมหานคร เพื่อเข้าไปเป็นกรรมการ ก.ก. จะมีใน 30 ส.ค. 2566 ณ หน่วยเลือกตั้งที่สำนักงานเขตในพื้นที่ที่ปฏิบัติงาน ตั้งแต่เวลา 8.00-15.00 น. </p>
<p>โดยผู้ที่ได้รับเลือกตั้งเป็นกรรมการ ก.ก. จะสามารถเข้าไปเสนอนโยบายด้านสิทธิแรงงาน และสวัสดิการในที่ประชุมของ ก.ก. เพื่อให้มีการผลักดันนโยบายต่างๆ </p>
</div>
<h2><span style="color:#2980b9;">หมายเลข 1: เสนอลูกจ้างชั่วคราวสามารถอาศัยแฟลต กทม.-ปรับเกณฑ์เลื่อนขึ้นตำแหน่งงาน</span></h2>
<p>หมายเลข 1 ขวัญจิต จุลวัฒจะ พี่เลี้ยง ส.1 โรงเรียนเคหะทุ่งสองห้องวิทยา 2 สำนักงานเขตหลักสี่ เสนอว่า เนื่องจากการลงพื้นที่สำรวจปัญหาของคนทำงาน กทม. เธอพบว่าปัญหาใหญ่คือเรื่องรายได้ต่ำ สวนทางกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยเฉพาะด้านที่อยู่อาศัย เธอจึงอยากเสนอให้ลูกจ้างชั่วคราวสามารถพักอาศัยในแฟลต กทม. ซึ่งตอนนี้ว่างเยอะมาก และไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร อย่างน้อย ถ้าให้ลูกจ้างชั่วคราวเข้ามาพักอาศัย ก็จะช่วยเรื่องการแบ่งเบาภาระด้านค่าครองชีพได้ ส่งผลให้ชีวิตของบุคลากร กทม. ดีขึ้น </p>
<p>ต่อมา ขวัญจิต เสนอนโยบายการปรับระดับชั้นงาน ควรมีการปรับขึ้นหรือเลื่อนตำแหน่งขึ้นตามประสบการณ์ทำงาน และวุฒิการศึกษา เพื่อให้การงานมั่นคง และยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น สุขภาพจิตดี เวลาเกษียณ ก็เกษียณอย่างภาคภูมิ และมีความสุข</p>
<p>นโยบายต่อมา ผู้สมัครฯ หมายเลข 1 เสนอว่า หากกรณีมีการยุบตำแหน่งงาน หรืออัตรากรอบกำลัง กทม. ต้องหาตำแหน่งทดแทน ในเมื่อมีการเลิกจ้างงานของลูกจ้างชั่วคราวก็ต้องมีการเยียวยา </p>
<p>ขวัญจิต ระบุต่อว่า ในเรื่องการดูแลบุคลากร ทุกคนทราบดีว่า การดูแลบุคลากรยังไม่ทั่วถึง และบุคลากรเวลาทำงานมีการประสบอุบัติเหตุทุกวัน เราเสียจำนวนบุคลากรไปไม่ใช่น้อย เลยอยากเสนอให้ดูแลในยามเจ็บป่วย เช่น เจออุบัติเหตุ รักษาตัวในโรงพยาบาล ทางหน่วยงานควรจะมีกระเช้าเยี่ยม เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ หรือกรณีที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ จะมีการส่งพวงหรีด และแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต </p>
<h2><span style="color:#2980b9;">หมายเลข 3: ลูกจ้างชั่วคราวทำงาน 3 ปีขึ้นไป ได้รับพิจารณาการบรรจุงาน-รับสิทธิพยาบาลลูกจ้างเกษียณ-ลูกจ้างหญิงได้รับโอกาสในตำแหน่งงานที่สูงขึ้น</span></h2>
<p>โชติกา ยุภิญโญ พนักงานั่วไปกวาด ลูกจ้างประจำ เขตยานนาวา หมายเลข 3 เสนอนโยบายเร่งด่วน ยกระดับสวัสดิการทุกตำแหน่ง และทุกกลุ่มงาน อย่างเท่าเทียม โดยเบื้องต้น เธอขอให้มีการผลักดันให้พนักงานหญิง กทม. มีโอกาสเข้ามาพัฒนา และทำงานในตำแหน่งที่สูงขึ้น </p>
<p>โชติกา เสนอว่า นโยบายแรก อยากผลักดันเร่งด่วนลูกจ้างประจำ หลังเกษียณ ให้ได้รับสิทธิรักษาโรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร 11 แห่ง</p>
<p>ต่อมา ผลักดันเร่งด่วนลูกจ้างประจำที่มีอายุงาน 10-20 ปี ให้ได้รับการบำเหน็จรายเดือน ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการกรุงเทพมหานครและบุคลากร พ.ศ. 2554 มาตรา 44(11) ให้ไปทิศทางเดียวกับสมาคมลูกจ้างส่วนข้าราชการ แห่งประเทศไทย ที่กำลังผลักดัน </p>
<p>ข้อ 3 ผลักดันเร่งด่วนให้ลูกจ้างประจำทุกกลุ่มงานของ กทม. ให้ปรับระดับชั้นงานให้สูงขึ้นทิศทางเดียวกับพนักงานของทุกทบวง และกรม โดยแบ่งดังนี้ กลุ่มงานพัฒนาบริหารพื้นฐาน บ.1 ถึง บ.2 ให้ปรับขึ้นเป็น บ.2 หัวหน้า กลุ่มงานสนับสนุน ส.1 ถึง ส.2 ปรับให้เป็น ส.3 หัวหน้า กลุ่มงานช่าง ช.1 ถึง ช.4 ปรับให้เป็น ช.4 หัวหน้า ตามหนังสือกรมบัญชีกลางที่ กค.0420/ว370 </p>
<p>ข้อที่ 4 ผลักดันเร่งด่วน ลูกจ้างชั่วคราวที่ปฏิบัติงานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ให้ได้รับการบรรจุลูกจ้างประจำเพิ่มขึ้น โดยต้องมีกหลักเกณฑ์ที่ชัดเจน อาทิ มาสาย ลางาน หรือขาดงาน และมีการสะสมปีที่บรรจุงานนับเป็นคะแนน นอกจากนี้ ลูกจ้างชั่วคราวที่อายุงาน 3 ปี ที่มีวุฒิการศึกษา ป.ตรี ให้มีการสอบเข้าเป็นข้าราชการภายใน เหมือนลูกจ้างที่มีวุฒิ ปวช. และ ปวส.อย่างที่ผ่านมา </p>
<p>ผลักดันเร่งด่วน ลูกจ้าง กทม. ทุกกลุ่มงาน ที่ปฏิบัติงานภาคสนามทุกตำแหน่ง ให้ได้รับค่าตอบแทน หรือเรียกว่าค่าเสี่ยงภัย อันเกิดขึ้นจากทั้งทางบก และทางน้ำ ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดอันตราย และมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานภาคสนาม</p>
<p>ข้อ 5 คนที่พ้นโทษ หรือเสร็จสิ้นคดีความ 3-5 ปี ให้ได้รับเข้ามาเป็นลูกจ้างประจำ และสามารถบรรจุงานได้ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของผู้ว่า กทม. ว่า คนที่พ้นโทษควรได้ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ในสังคมได้ </p>
<p>อย่างไรก็ตาม โชติกา ระบุว่า นี่เป็นเพียงส่วนเดียวที่นำมาเสนอ แต่เธออยากให้มีการปรับค่าเงินเดือนของพนักงาน และลูกจ้าง กทม. ทุกกลุ่มงาน ให้สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นด้วย </p>
<h2><span style="color:#2980b9;">หมายเลข 4: เสนอเพิ่มอัตราบรรจุงานหลายช่องทาง-เพิ่มเงินค่าครองชีพ-เพิ่มหลักสูตรการเลื่อนตำแหน่งงาน/เปลี่ยนสายงาน</span></h2>
<p>ชูศักดิ์ ขันอาสา ฝ่ายเทศกิจ สำนักงานเขตปทุมวัน หมายเลข 4 เสนอนโยบายข้อที่ 1 สำหรับลูกจ้างชั่วคราวให้ได้รับการบรรจุเป็นลูกจ้างประจำ และหลายช่องทางมากขึ้น เพื่อเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการได้ทั่วถึง และครบถ้วน โดยลูกจ้างชั่วคราวจะได้รับบรรจุผ่าน 2 ช่องทาง 1. บรรจุตามเปอร์เซ็นต์ จากการประชุมของคณะผู้บริหาร เมื่อ 28 ก.พ. 2566 มีมติเพิ่มการบรรจุพนักงานประจำอีก 4 เปอร์เซ็นต์ </p>
<p>ช่องทางที่ 2 ชูศักดิ์ เสนอว่า เขาจะออกนโยบายรองรับให้มีบัญชีสำรองของลูกจ้างประจำที่ผ่านคุณสมบัติการประเมิน </p>
<p>ผู้สมัคร หมายเลข 4 ระบุด้วยว่า นโยบายนี้จะป้องกันการขาดแคลนกำลังพลในหน่วยงานนั้นๆ โดยไม่ต้องไปขอ ก.ก. เพื่อรับสมัครลูกจ้างชั่วคราวมาทดแทน ยกตัวอย่าง ช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา มีหลายหน่วยงานขาดแคลนกำลังพล ก็จะได้นำคนจากบัญชีสำรองเข้ามาทดแทน โดยผู้ที่แต่งตั้งคือหัวหน้าหน่วยงานนั้นๆ </p>
<p>ชูศักดิ์ เสนอนโยบายข้อที่ 2 เพิ่มหลักสูตรอบรม หรือตำรา สำหรับบุคลากรที่ปรับชั้นงานเฉพาะหมวดงานของเขา หรือผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสายงาน ยกตัวอย่าง ผู้ที่เลื่อนชั้นจาก บ.2 เป็น บ.3 หรือคนที่ต้องการเปลี่ยนสายงาน จาก บ. ไปเป็น ส. ตำแหน่งพนักงานขับรถ ก็ต้องผ่านหลักสูตรดังกล่าว และหลักสูตรต้องมีการทำงานกับนักวิชาการ เพื่อพัฒนาบุคลากรให้มีมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ของสายงานที่จะเปลี่ยน และสามารถเปลี่ยนสายงานได้</p>
<p>ต่อมา ผู้สมัคร หมายเลข 4 เสนอนโยบายข้อที่ 3 ออกระเบียบ ก.ก. โดยวิธีพิเศษ โดยให้ลูกหลานของพนักงานสามารถเข้ามาทำงานได้ ต่อมา ข้อที่ 4 ยกระดับการทำงานปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน </p>
<p>ชูศักดิ์ เสนอนโยบายข้อที่ 5 ว่าด้วยเรื่องบำเหน็จของผู้ที่ทำงานเกิน 10 ปี ยังไม่มีระบุในบัญญัติกรุงเทพมหานคร แต่เขาอยากให้มีเงินสักก้อนหนึ่งเป็นเสมือนเงินขวัญถุง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ </p>
<p>ชูศักดิ์ เสนอนโยบายที่ 6 ว่า สำหรับลูกจ้างชั่วคราวที่ทำงานหนัก เพื่อมาเป็นหน้าตาให้กับผู้บริหาร กทม. เขาได้เพียงค่าตอบแทน และวันหยุดนักขัตฤกษ์เท่านั้น อยากให้มีการดูแลเรื่องสวัสดิการเพิ่มมากขึ้น โดยผู้สมัครหมายเลข 4 อยากเสนอให้มีการเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว ซึ่งแต่เดิมไม่น่าจะพอ กทม.สามารถปรับขึ้นได้ โดยการแก้ไขข้อบัญญัติเรื่องค่าครองชีพ กทม. เพิ่มเติม เนื่องจากไม่สามารถปรับฐานเงินเดือนให้พวกเขาได้ แต่มันสามารถเพิ่มเงินค่าครองชีพให้น้องๆ ได้ดำรงชีพได้ เนื่องจากทุกคนต้องหาเลี้ยงชีพตัวเอง และครอบครัว </p>
<p>ส่วนสุดท้าย หลายคนถามเขาเยอะว่าทำไมไม่มีนโยบายเบิกค่ารักษาพยาบาลหลังเกษียณ ชูศักดิ์ ชี้แจงว่า เขาเคยผลักดันมาแล้วรวม 8 ครั้ง โดยทุกครั้ง ทาง กทม. ระบุว่า ติดเรื่องข้อระเบียบกติกา</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">หมายเลข 6: เสนอสิทธิรักษาพยาบาลลูกจ้างเทียบเท่าประจำ-อายุงานลูกจ้างชั่วคราว 1 ปี ควรได้พิจารณาบรรจุ</span></h2>
<p>สุมาลี วงษ์ครุฑ ฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ กองงานกวาด ผู้สมัครหมายเลข 6 ระบุว่า นโยบายอันแรกคือสิทธิการรักษาของลูกจ้างชั่วคราว ควรได้รับสิทธิการจ่ายตรงเหมือนลูกจ้างประจำ บางครั้งไปรักษาตัวกรณีการฟอกไต ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ลูกจ้างชั่วคราวต้องสำรองจ่ายเอง </p>
<p>สุมาลี ระบุต่อว่า เพื่อคุณภาพที่ดีของลูกจ้างชั่วคราว ลูกจ้างชั่วคราวอายุงานตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ควรได้รับการพิจารณาบรรจุเป็นพนักงานประจำ เพราะเธอมั่นใจว่า 1 ปีที่ผ่านมาลูกจ้างชั่วคราวสามารถคิดวิเคราะห์แก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี บุคลากรเหล่านี้มีศักยภาพ และคุณภาพตามที่ กทม.ต้องการ </p>
<p>ผู้สมัครหมายเลข 6 เสนอนโยบายเพิ่มเงินค่าเสี่ยงภัยในงานภาคสนามทั้งลูกจ้างชั่วคราวและประจำเป็นรายเดือน โดยเสริมว่าบุคลากรที่อยู่ในงานภาคสนามควรจะได้รับค่าเสี่ยงภัยเพิ่มขึ้น </p>
<p>เธอเสนอให้มีการตั้งงบประมาณว่า งบเสี่ยงภัยมีเท่าใด และจัดสรรปันส่วนให้เท่ากัน ทั้งลูกจ้างชั่วคราว และประจำ เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ลูกจ้าง อย่างในสำนักโยธาฯ สำนักระบายน้ำ กองงานกวาด กองงานเก็บขน หรือบุคลากรท่านอื่นๆ ทำงานมีความเสี่ยงทั้งสิ้น เสี่ยงจากการติดเชื้อในการทำงาน เสี่ยงกับวัตถุระเบิดที่ปะปนมากับขยะ หรือเพื่อการอำพรางจากเหตุการณ์อื่นๆ การเข้าไปทำงานในพื้นที่การก่อจราจล หรือพื้นที่ชุมนุมทางการเมือง ที่ไม่ทราบว่าจะมีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นเมื่อใด </p>
<p>สุมาลี เสนอว่า ค่าล่วงเวลา ที่ลูกจ้างควรจะได้เป็นอัตรากลับโดนหารเฉลี่ย เพราะว่างบฯ ทางการเงินที่เบิกไปไม่เพียงพอต่อค่าล่วงเวลา เธอมองเห็นแล้วว่า ปัญหาตรงนี้ไม่ใช่ปัญหาของลูกจ้างที่ทำงานล่วงเวลา และต้องมาโดนหารเฉลี่ย แต่เป็นปัญหาทางงบฯ การเงิน ดังนั้น การเงินต้องเบิกค่าล่วงเวลามาให้เพียงพอ เพราะทราบอยู่แล้วว่า บุคลากรทำงานล่วงเวลามีจำนวนเท่าไรในแต่ละปี</p>
<p>นอกจากนี้ สุมาลี ขอเสนอนโยบาย ยกเลิกวัฒนธรรมการตกเบิก หรือถ้าไม่ได้จริงๆ ตกเบิกต้องไม่ควรเกิน 14 วันทำการ </p>
<p>ก่อนหน้านี้ เธอพบปัญหาของกลุ่มคนทำงาน บางเขตตกเบิกนานถึง 4 เดือน ซึ่งปัญหานี้สัมพันธ์กับปัญหาปากท้องของคนทำงาน และการวางแผนการใช้ชีวิต คนทำงานต้องจัดสรรปันส่วนในแต่ละเดือนว่าจะใช้เงินเท่าใดบ้าง แต่พอมีการตกเบิก ทำให้เกิดปัญหาติดขัดการใช้จ่ายในแต่ละเดือน และต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ทำให้ส่งผลกระบทต่อสุขภาพด้านจิตใจของคนทำงาน พะว้าพะวงกับการใช้ชีวิต </p>
<p>สุมาลี ระบุต่อว่า นโยบายร้องขอ คือผู้ที่เคยต้องคดี หรือคดีความสิ้นสุดแล้ว ควรได้รับการบรรจุเป็นพนักงานประจำ เนื่องจากสำหรับเธอ มองว่าคนที่เคยต้องโทษมานั้นเขาสามารถใช้ชีวิต และควรได้รับโอกาสกลับคืนสู่สังคม เมื่อเขามีหลักฐานแสดงตนเองว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และนำหลักฐานจากชั้นศาลมาแสดง เพื่อพิจารณาบรรจุประจำ ควรพิจารณาให้เขาโดยไม่ต้องให้คณะกรรมการพิจารณาอีกครั้ง </p>
<p>นโยบายสุดท้าย เพิ่มอัตราลูกจ้างที่ทดแทน เพราะบุคลากรที่ขาดไปมาจากการเสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่การเกษียณงาน แต่ไม่เพียงพอ จึงทำให้บุคลากรที่ทำงานแทนบุคลากรที่ขาดหายไป ทำงานเพิ่มมากขึ้น เกิดความเหนื่อนล้า เกิดสภาวะจิตใจย่ำแย่ ส่งผลต่อศักยภาพ และคุณภาพการทำงานลดลง </p>
<h2><span style="color:#2980b9;">หมายเลข 7: ผลักดันสิทธิรักษาหลังเกษียณ ทุนการศึกษาสำหรับลูกจ้าง เพิ่มค่าเสี่ยงภัย</span></h2>
<p>หมายเลข 7 สรรพสิทธิ์ เสนาะศัพท์ พนักงานขับรถยนต์ ฝ่ายบริหารงานทั่วไป และการประชุมกองบริหารงานทั่วไป สำนักงาน ก.ก. กล่าวว่า เขามีนโยบายหลักสำคัญอันดับหนึ่งคือ ทุกคนอยากได้สิทธิการรักษาพยาบาลหลังเกษียณ เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับบุคลากร ก็จะพยายามทำให้ใกล้เคียงที่สุด และเข้าใจว่ามีการพยายามผลักดันกันมานานแล้ว แต่ไม่สำเร็จเท่าไร</p>
<p>ต่อมา สรรพสิทธิ์ ระบุต่อว่า นโยบายหลักข้อที่ 2 ที่เขาต้องการผลักดัน คือ ให้มีทุนการศึกษาสำหรับบุคลากร เพราะว่าเวลาเขาเดินไปมีป้ายประชาสัมพันธ์ตามที่ต่างๆ จะมีทุนการศึกษาให้ข้าราชการ แต่กลับไม่มีป้ายประชาสัมพันธ์ทุนการศึกษาของบุคลากร ทำให้เขาอยากผลักดันเรื่องนี้ เพราะถ้าเรามีวุฒิการศึกษา เพราะสำหรับตัวเขาเองมีวุฒิการศึกษา ปวช. และกำลังศึกษาปริญญาตรีตอนที่เข้ามาทำงานปีแรกจนถึงปีที่สอง ตอนแรกไม่ได้มองเห็นความสำคัญของวุฒิการศึกษา เพราะว่าเรามีงานแล้ว แต่พอได้ซึมซับหรือมองเห็นการทำงานของตำแหน่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกจ้าง เช่น ช้าราชการ หรือตำแหน่งอื่นๆ เลยทำให้เกิดแรงผลักดัน และมองว่าถ้าเรียนต่อ จะสามารถเพิ่มความมั่นคงของชีวิตมากขึ้น </p>
<p>ท้ายสุด สรรพสิทธิ์ ระบุว่า สำหรับนโยบายอื่นๆ ของเขาจะคล้ายคลึงกับผู้สมัครท่านอื่นๆ อาทิ เพิ่มค่าเสี่ยงภัยของผู้ปฏิบัติงานภาคสนามทุกคน </p>
<h2><span style="color:#2980b9;">หมายเลข 9: ยกระดับสวัสดิการลูกจ้างเทียบเท่า ขรก. เพิ่มค่าเยียวยา-อุบัติเหตุของผู้ปฏิบัติงานภาคสนาม อายุงาน 20 ปี ได้สวัสดิการบำเหน็จ </span></h2>
<p>หมายเลข 9 ประพันธ์ วงศ์เปี่ยม พนักงานสถานที่ บ.2 ฝ่ายบริหารงานทั่วไป กองระบบท่อระบายน้ำ สำนักการระบายน้ำ มาบอกเล่าประสบการณ์การทำงานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ต้องการให้ระบบสวัสดิการของลูกจ้างมีความแตกต่างจากระบบราชการ ทั้งที่เป็นคนทำงานเพื่อเมืองหลวงเหมือนกัน จึงอยากเรียกร้องให้ดูแลอย่างเท่าเทียมกัน </p>
<p>ประพันธ์ ตั้งคำถามว่า ปัญหาสิทธิเรื่องการรักษาหลังปลดเกษียณ สามารถแก้ไขเรื่องข้อกฎหมายได้หรือไม่ เพราะว่าบางคนหลังปลดเกษียณใช้สิทธิรักษา 30 บาท แต่ได้รับการรักษาไม่ดี ได้เพียงยาพาราฯ แล้วให้กลับบ้าน หรือบางคนไม่มีเงินรักษา รักษาแต่ละทีใช้เงิน 2-3 แสนก็มี บางคนไม่มีเงิน</p>
<p>ผู้สมัคร หมายเลข 9 ระบุต่อว่า เขาอยากทำให้เรื่องการได้รับบำเหน็จรายเดือนลดหลั่นลงมาจาก 25 ปี เป็น 20 ปี เนื่องจากลูกจ้างบางรายทำงานมาจนเกษียณ อายุงานไม่ครบ 25 ปี ขาดแค่ 1-2 เดือน หรือไม่กี่วัน ก็ไม่ได้รับสิทธิสวัสดิการตรงนี้</p>
<p>ท้ายสุด ประพันธ์ ระบุว่า เขาอยากดูแลจัดการเรื่องการเยียวยา และอุบัติเหตุ เนื่องจากทำงานเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ และติดเชื้อโรค ยกตัวอย่างสำนักสิ่งแวดล้อม หรือสำนักระบายน้ำ ทำงานลงท่อระบายน้ำ เสี่ยงได้รับบาดเจ็บ มีกรณีที่คนทำงานลงท่อฯ และติดเชื้อโรค จนต้องออกจากงานไปรักษาตัวเองก็มี หากรักษาไม่ทัน ก็เสี่ยงต้องกลายเป็นผู้พิการ หรือกรณีกองกวาด ทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ เสี่ยงอุบัติเหตุจากจราจร คนเมาแล้วขับ</p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2023/08/105658