สนับสนุนมิคกี้ ฮาร์ท (Myint Hsan Heart)
นักวิชาการอิสระชาวพม่า >> มีหลักฐานชั้นต้นสองชิ้นคือ พระราชพงศาวดารฉบับคองบอง และ สมุดพม่า สนับสนุนว่าบริเวณสุสานลินซินกอนเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิพระเจ้าอุทุมพร
>> ผลการขุดค้นทางโบราณคดีพบหลักฐานจำนวนมากที่บ่งชี้ว่าพื้นที่ขุดค้นน่าจะเป็นสถานที่บรรจุพระบรมอัฐิพระเจ้าอุทุมพร อาทิ พระพุทธรูปแบบอยุธยา ร่องรอยจีวร รัดประคด (เข็มขัดพระสงฆ์) รวมถึงรูปแบบทางศิลปะสถาปัตยกรรมต่างๆ
>> การขุดค้นครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับวงการประวัติศาสตร์โบราณคดีไทยและพม่า ทั้งยังจะส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศต่อไปในอนาคต
คนพม่าเรียกพระเจ้าอุทุมพรว่า “อุทุม” เวลาเรียกพระสงฆ์ คนพม่ามักใส่คำนำหน้าว่า ‘อู’ จาก ‘อุทุม’จึงเป็น ‘อูทุม’ โดยรู้จักในฐานะพระผู้ใหญ่ ส่วนนักประวัติศาสตร์พม่ารู้จักในพระนาม ‘เจ้าฟ้าดอกเดื่อ’ ทุกวันนี้ยังปรากฏ ‘วัดมะเดื่อ’ ที่พระองค์เคยจำพรรษา อยู่ทางด้านทิศใต้ของเมืองอังวะ
“เรื่องสถูปบรรจุพระบรมอัฐิพระเจ้าอุทุมพร เดิมประชาชนที่อยู่รอบสุสานลินซินกอนไม่ทราบตำแหน่งที่แน่นอน จนปี ๒๕๓๘ นักประวัติศาสตร์ไทยคนหนึ่งหลังอ่านบทความ ดร. ทินเมืองจี แล้วไปถามหาสุสานพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา หลังจากนั้นนักประวัติศาสตร์ไทยกับพม่าก็ไปด้วยกันจนไปเห็นสถูปองค์หนึ่งคล้ายพระโกศของไทยจึงคิดว่าต้องใช่ หลังจากนั้นสถูปนี้ก็จะถูกบอกว่าเป็นสถูปพระเจ้าอุทุมพร
“ผมเริ่มทำธุรกิจทัวร์ตั้งแต่ปี ๒๕๓๘ รู้จักสุสานลินซินกอนจากหลวงพ่อที่วัดตองเลซึ่งดูแลพื้นที่บริเวณนั้น หลวงพ่อบอกว่าที่นั่นเป็นสุสานพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา สมัยท่านยังเป็นเณรก็โดนห้ามไม่ให้เล่นในบริเวณนั้น พอทำทัวร์ผมต้องศึกษาเพิ่ม แรกๆ ไม่เชื่อเพราะสถูปอยู่ในพื้นที่รกร้าง ที่ปรากฏน่าจะเป็น ‘เสามณฑล’ แสดงอาณาเขต นอกจากนี้ยังมีการฝังศพทับซ้อนในพื้นที่หลายครั้งซึ่งมีทั้งคนต่างชาติและชาวพม่า ที่ผ่านมาผมพยายามหาคนเข้าไปดายหญ้าบริเวณนั้น อยากทำให้สะอาดเพราะผมมีความเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าต้องมีอะไรที่นั่น
“เมื่อมีโครงการรื้อสุสาน พอมีคนแจ้งมา ผมจึงพยายามประสานขอขุดค้นโดยติดต่อกระทรวงการต่างประเทศไทยและได้รับการสนับสนุนจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประสานนักวิชาการพม่าให้มาร่วมงานกัน อย่างน้อยเป็นการพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ เพราะมีหลักฐานสองชิ้นที่พูดถึงเรื่องนี้คือ พระราชพงศาวดารราชวงศ์คองบอง ที่บันทึกกว้าง ๆ ว่าพระเจ้าอุทุมพรสิ้นพระชนม์ในสมณเพศที่เมืองอมรปุระในรัชกาลพระเจ้าปะดุง อีกชิ้นคือ นั้นเตวั้งรุปซุงประบุท (เอกสารบันทึกราชตำหนัก หรือ สมุดพม่า) เขียนโดยราชเลขาจอว์เทง พระราชนัดดา (หลาน) พระเจ้าปะดุง ปัจจุบันเอกสารชิ้นนี้ถูกเก็บที่
British Commonwealth Library กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และถูกอ้างถึงในบทความที่เขียนในปี ๒๔๓๗ (รัชกาลที่ ๕) โดยมีคำบรรยายบันทึกที่ตั้งสถูปพระเจ้าอุทุมพร แต่บอกว่าคนในรูปคือ ‘พระเจ้าเอกทัศน์’ ซึ่งทำให้ผมไม่แน่ใจ แต่เรื่องทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเรื่องพระเจ้าอุทุมพรแน่ เอกสารนี้ยังบอกว่าพระเจ้าปะดุงจัดงานถวายพระเพลิงพระบรมศพยิ่งใหญ่เท่ากับกษัตริย์องค์หนึ่ง ณ สุสานล้านช้าง
“เมื่อมีการขุดค้นเราพบหลักฐานสนับสนุนจำนวนมาก สถูปที่เราเคยสนใจมี ‘ปูรณฆฏะ’ (ลวดลายรูปหม้อน้ำ มีดอกบัวหลวงโผล่พ้นปากหม้อน้ำ เป็นสัญลักษณ์มงคลทางพุทธศาสนา) นั่นหมายถึงสร้างถวายพระพุทธเจ้า มันจึงไม่ใช่ พอขุดบริเวณใกล้เคียงก็พบเจดีย์องค์ใหญ่มีร่องรอยกำแพงแก้วล้อมรอบ มีเจดีย์รายองค์เล็ก ๆ สี่มุม เจดีย์รายด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือขุดพบภาชนะปิดทองประดับกระจกสี มีฝาไม้ วางบนพาน เปิดออกพบผ้าที่น่าจะเป็นจีวรพระสงฆ์ เพราะปรากฏชิ้นส่วนรัดประคดที่ยังไหม้ไฟไม่หมดหลงเหลืออยู่บางส่วนและพบกระดูกในห่อ นี่น่าจะเป็นพระสงฆ์องค์สำคัญ ภาชนะน่าจะเป็นพระโกศบรรจุพระบรมอัฐิ ของเหล่านี้น่าจะพระราชทานโดยพระมหากษัตริย์ ซึ่งตรงกับที่ เอกสารบันทึกราชตำหนัก ระบุ ตอนนี้ผมพยายามหาจารึกให้เจอซึ่งจะเล่าเรื่องเจดีย์อย่างชัดเจน ที่น่าสงสัยคือเราไม่เจอฟันมนุษย์ทั้งที่สมัยนั้นการฌาปนกิจน่าจะใช้ไฟที่ไม่แรงนักซึ่งจะทำให้เหลือกระดูกที่เป็นชิ้นสำคัญจำนวนมาก ซึ่งน่าแปลกว่าไม่มีฟันเหลือ จึงน่าจะมีการแยกออกไปบูชาที่อื่น
“รูปแบบทางศิลปะของเจดีย์และบริเวณที่ขุดค้นก็น่าสนใจ คือสร้างในรูปแบบเดียวกับอัฐิเจดีย์กษัตริย์พม่าสมัยคองบอง อาทิ อัฐิเจดีย์พระเจ้าปะดุง ตรงกลางทำเป็นเจดีย์ถวายพระพุทธเจ้า มีเจดีย์รายสำหรับบรรจุพระบรมอัฐิ ตอนนี้จากหลักฐานที่พบเหล่านี้น่าจะเป็นพระบรมอัฐิพระเจ้าอุทุมพรถึง ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ถ้าเจอจารึกย่อม ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ด้วยในประเพณีพม่าเมื่อมีการสร้างเจดีย์จะมีการจารึกเรื่องราวไว้ทุกครั้ง ตอนนี้เราพยายามขุดค้นโดยรอบซึ่งคาดว่าอาจเป็นวัดที่พระองค์จำพรรษาเป็นแห่งสุดท้ายก็เป็นได้
“ในช่วงใกล้เคียงกันยังเกิดกรณีเจดีย์องค์หนึ่งถล่มลงในวัดปากป่า (
Pak Pa) ที่ พงศาวดารราชวงศ์คองบอง ระบุว่าพระเจ้าอุทุมพรเคยจำพรรษาสมัยที่ย้ายเมืองหลวงไปกรุงอมระปุระ มีการค้นพบพระพุทธรูปทองคำ เงิน มรกต ๖๗ องค์ มีรูปแบบทางพุทธศิลป์ไม่ใช่พม่า น่าจะเป็นของไทย พบผอบบรรจุฟันมนุษย์และพระมรกตองค์เล็กไว้ด้วยกัน ที่สำคัญคือที่ฐานพระพุทธรูปองค์หนึ่ง มีสิ่งคล้ายพระราชลัญจกรเป็นตราราชสีห์ไม่มีหัว เมื่อลองถอดลายเส้นพบว่าน่าจะเขียนเป็นภาษาไทยว่า ‘เจ้าฟ้าอุทุมพร’ น่าสนใจว่าตราลักษณะนี้กษัตริย์พม่ามีใช้มาตั้งแต่โบราณแล้ว
“เชื่อว่าการค้นพบครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับวงการประวัติศาสตร์โบราณคดี ส่วนคำถามที่ว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพม่าหรือไม่ ก็น่าคิดว่าถ้าพม่าเองอยากทำอยู่แล้ว เขาจะมีโครงการรื้อถอนสถูปบริเวณนี้เพื่ออะไร ลงมือพัฒนาพื้นที่เองเลยน่าจะดีกว่า ผมอยากเสนอให้ผู้ที่ยังมีข้อสงสัยเข้าไปดูและอธิบายหลักฐานที่ค้นพบ เพียงแต่ตอนนี้ขอโอกาสในการอธิบายถึงสิ่งที่เรากำลังทำ ในระยะยาวเรามีโครงการบูรณะเจดีย์ ทำพื้นที่บริเวณขุดค้น ๑๐ ไร่เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ ในอนาคตจะทำพิพิธภัณฑ์รวบรวมของที่เกี่ยวข้องกับประเพณีอยุธยา-พม่า ตั้งมูลนิธิเพื่อศึกษาชุมชนโยเดียรอบสุสาน ตอนนี้มีผู้ศรัทธาทั้งคนไทยและพม่า บริจาคงบประมาณดำเนินการแล้วราว ๑๐๐ ล้านบาท โครงการนี้จะเป็นประโยชน์กับความสัมพันธ์ไทย-พม่าในระยะยาวอย่างแน่นอน”
คัดค้าน พิเศษ เจียจันทร์พงษ์
ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กรมศิลปากร>> หลักฐานที่บ่งชี้ว่าสถูปในสุสานลินซินกอนเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิพระเจ้าอุทุมพรไม่มีความน่าเชื่อถือและขัดแย้งกันเองกับหลักฐานพม่าอื่นๆ
>> แนวคิดเรื่องการตามหาสถูปพระบรมอัฐิน่าจะมาจากพระนิพนธ์ เที่ยวเมืองพม่า ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ แต่ไม่ได้นำมาทั้งหมด และยังถูกเบี่ยงเบนไปในทิศทางอื่น ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าเป็นการ รับใช้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่กำลังเฟื่องฟูในพม่า
>> หลักฐานที่ค้นพบใหม่ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะยืนยันได้ว่าเป็นพระบรมอัฐิพระเจ้าอุทุมพร เรื่องนี้ควรยุติตั้งแต่ค้นพบว่าสถูปที่สงสัยกันมานานมิใช่ที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ แต่ทีมขุดค้นยังไปขุดเจดีย์องค์อื่นแทนแล้วพยายามยืนยันว่าใช่
ปี ๒๕๓๘ มีอาจารย์มหาวิทยาลัยรามคำแหงท่านหนึ่งไปเที่ยวพม่า บอกว่าพบเจดีย์พระบรมอัฐิพระเจ้าอุทุมพร เรื่องนี้เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ มีการทำหนังสือถึงคุณชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เรื่องก็มาที่กรมศิลปากร ขณะนั้นผมรักษาการตำแหน่งอธิบดีกรมศิลปากร จึงให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลและเอกสาร อาจารย์ท่านนั้นเปิดเผยว่าได้เค้าเรื่องจากบทความ ดร. ทินเมืองจี ในนิตยสารเพื่อธุรกิจและการท่องเที่ยวชื่อ ทูเดย์ มาทราบภายหลังว่าดอกเตอร์ท่านนี้เป็นนายแพทย์เกษียณจากมหาวิทยาลัยแพทย์เมืองมัณฑะเลย์ ไม่ใช่ดอกเตอร์ทางประวัติศาสตร์
“ในบทความ ดร. ทินเมืองจี มีข้อน่าสงสัยถึงที่มาของหลักฐานที่จะชี้ว่าสถูปหรือบริเวณดังกล่าวเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิพระเจ้าอุทุมพรหรือไม่ มีการอ้างเอกสารโบราณ โดยชิ้นที่เป็นปัญหาคือ สมุดพม่า (
Parabike, folded pages) ที่เล่าว่าก่อนสวรรคตพระเจ้าอุทุมพรทรงบรรยายความเศร้าโศก ช่วงเสียกรุงบันทึกลงใน สมุดพม่า เล่มนี้เป็นภาษามอญ ต่อมามีเชื้อพระวงศ์ไทยแปลเป็นภาษาอังกฤษ พิมพ์ใน วารสารสยามสมาคม ช่วงทศวรรษ ๑๙๗๐ หลักฐานนี้คือหนังสือ คำให้การขุนหลวงหาวัด ซึ่งทราบกันดีว่าเป็นประวัติศาสตร์อยุธยาจากปากคำของเชลยศึกอยุธยาหลายคนที่ราชสำนักพม่าบันทึกไว้ ความตอนนี้แสดงว่า ดร. ทินเมืองจี มิใช่นักวิชาการที่แท้จริง เพราะความตอนนี้เท่ากับเป็นการเพิ่มบทโศกให้แก่พระเจ้าอุทุมพร ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการกล่าวถึงแม้แต่น้อยในหนังสือเล่มนี้
“หลักฐานอีกชิ้นที่ยังตรวจสอบไม่ได้คือ ‘ภาพเขียนในสมุดพม่าโบราณ’ เท่าที่อ่านบทความของ ดร. ทินเมืองจี คำบรรยายใต้ภาพไม่ได้ยาวอย่างที่มีการอ้างในปัจจุบัน จากหนังสืออ้างอิงท้ายบทความทำให้ทราบว่าเขาเอามาจากบทความที่เขียนในปี ๒๔๓๗ (สมัยรัชกาลที่ ๕) วิเคราะห์ภาพบุคคลในฉลองพระองค์กษัตริย์ที่มีคำบรรยายว่า ‘พระเจ้าเอกทัศน์’ ว่าควรเป็นภาพพระเจ้าอุทุมพรมากกว่า ผมพอวินิจฉัยได้ว่าสมัยนั้นนักประวัติศาสตร์พม่าทราบดีจากพงศาวดารพม่าเองว่าพระเจ้าเอกทัศน์เสด็จสวรรคตที่กรุงศรีอยุธยา คำบรรยายใต้ภาพนั้นจึงขัดแย้งกับสิ่งที่บันทึกในพงศาวดารพม่า เพราะมีการระบุชัดเจนว่าพระเจ้าอุทุมพรทรงอยู่ในสมณเพศขณะเสด็จสวรรคตที่อังวะ ถ้าใช่ ทำไมยังทรงเครื่องกษัตริย์อยู่ น่าสงสัยว่าภาพนี้ไม่น่าเกี่ยวข้องกับพื้นที่สถูปที่มีการขุดค้นแม้แต่น้อย
“ส่วนหลักฐานที่เป็นคำบอกเล่าของคนในพื้นที่รอบสุสานว่าที่นั่นมีสถูปองค์หนึ่งเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิ ‘พระเจ้าแผ่นดินนอกราชบัลลังก์’ องค์หนึ่ง ซึ่ง ดร. ทินเมืองจี มีความเห็นว่าหมายถึงพระเจ้าอุทุมพร เพราะสถูปองค์นั้นไม่เหมือนกับสถูปทั่วไปของพม่า น่าจะเป็นศิลปะไทยมากกว่า ผมได้เคยทำบันทึกชี้แจงว่าเป็นสถูปฝีมือช่างพม่าอย่างชัดเจนไปแล้ว โดยการชี้ให้เห็นรายละเอียดของลวดลายบนสถูปว่าเป็นศิลปะพม่า
“เรื่องนี้ถ้าเราลองไปดูหนังสือ เที่ยวเมืองพม่า ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษในปี ๒๕๓๔ เล่าเรื่องพระองค์เสด็จพม่าเมื่อปี ๒๔๗๙ เพื่อค้นหาสถูปศิลปะไทย อันจะแสดงหลักฐานว่าเป็นสถูปพระบรมอัฐิของพระเจ้าอุทุมพร แต่ก็ไม่พบ ซ้ำทรงชี้ว่าต้องไปตามหาที่เมืองสะกาย ฝั่งตรงข้ามเมืองอังวะตามที่มีบันทึกใน พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา แต่น่าแปลกใจที่หนังสือเล่มนี้กลับไม่ถูกอ้างโดย ดร. ทินเมืองจี แต่อย่างใด การที่เขาไม่ได้อ้างถึง เที่ยวเมืองพม่า ที่น่าจะเป็นต้นความคิดการตามหาสถูปบรรจุพระบรมอัฐิพระเจ้าอุทุมพร ทั้งที่ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับ ไทยรบพม่า ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ที่เขาอ้างนั้น น่าจะต้องการแสดงว่าตนเป็นผู้ริเริ่มเรื่องนี้
“ปี ๒๕๕๕ เรื่องนี้ดังอีกหลังจากทางการของเมืองมัณฑะเลย์มีโครงการจะรื้อสุสาน ที่เขาจะรื้อเพราะไม่เห็นความสำคัญ คนไทยกลุ่มหนึ่งก็โวยวาย เป็นหัวหน้าสถาปนิก ยกประเด็นจากปี ๒๕๓๘ ขึ้นมาอีกในปี ๒๕๕๖ ผมไม่ทราบว่ามีอะไรเบื้องหลังหรือไม่ แต่เรื่องก็ถูกส่งมากระทรวงวัฒนธรรมและกรมศิลปากรอีก มีการประชุมกันเรื่องนี้ ผมก็เล่าให้ผู้เกี่ยวข้องฟัง แต่ไม่รู้ว่าเขาจะทำอย่างไร ต่อมาก็ปรากฏว่ามีการส่งอาสาสมัครไปขุดค้น มีรายงานออกมา ได้อ่านแล้วก็มีการประชุมอีกครั้ง
“กรณีหลักฐานใหม่ เรื่องนี้ไปไกลมาก จากรายงานการขุดค้นสถูปที่ผมได้อ่าน สถูปที่เชื่อว่าใช่ก็ไม่พบอะไรเลย ซึ่งตามที่ควรเป็นก็คือเรื่องจบได้แล้ว แต่กลับไปขุดเจดีย์รายรอบเจดีย์ประธานใกล้กัน พอพบวัตถุที่หน้าตาคล้ายบาตรพระสงฆ์แต่เปิดฝาไม่ได้ ก็อ้างว่าน่าจะใช่เจดีย์องค์นี้แหละ จะขอให้กรมศิลปากรตรวจสอบ ผมก็บอกว่าผู้ขุดค้นไปตกลงกับพม่าเองแล้วจะให้กรมศิลปากรไปได้อย่างไร การขุดค้นทางโบราณคดีเราต้องรู้ขอบเขตเครื่องมือที่มีอยู่ การขุดค้นมิใช่เครื่องมือที่จะเอาไปพิสูจน์ว่าเป็นกระดูกของใคร อย่าทำเลย…อายเขา ไม่ใช่เอะอะขุดค้นๆ ในรายงานยังบอกว่าเจอกระดูกนอกภาชนะชิ้นนี้ด้วย ก่อนจะบอกว่าเจอในภาชนะ ผมยังมองว่าถ้าเป็นพระบรมอัฐิจริงก็ต้องอยู่ในเจดีย์องค์ประธาน จะอ้างว่าสร้างแบบกษัตริย์พม่าก็ไม่ได้ เพราะท่านไม่ใช่กษัตริย์พม่า
“ส่วนหลักฐานที่พบในวัดปากป่า คือพระพุทธรูป ๖๗ องค์ที่อ้างว่าเป็นศิลปะอยุธยานั้น ก็มีข้อคัดค้านคือ จำนวนมากเป็นปางขัดสมาธิเพชรที่อยุธยาไม่นิยมทำ แต่พม่านิยม ฝีมือที่เห็นก็ไม่ใช่ช่างชั้นครู อาจเป็นศิลปะล้านนา ล้านช้างก็ได้ ส่วนการพบฟันซี่หนึ่งในผอบพร้อมพระพุทธรูปหยกก็ยังยากที่จะบอกว่าเป็นของพระเจ้าอุทุมพร ส่วนเรื่องฟันที่ว่าไม่เจอในพื้นที่ขุดค้น ในรายงานนั้นก็ระบุว่าพบในพื้นที่ขุดค้น แต่ภายหลังก็บอกว่าพบที่วัดปากป่า ก็น่าแปลก
ส่วนที่มีการถอดลายเส้นจากสิ่งที่เชื่อว่าเป็นตราพระราชลัญจกรบนฐานพระพุทธรูปองค์หนึ่ง เป็นชื่อ ‘เจ้าฟ้าอุทุมพร’ ผมก็มองว่าไปไกลมาก ถ้าคิดจะโกหกกันจริงๆ ก็ควรจะรู้ด้วยว่าตัวหนังสือแบบที่อ้างว่าเป็นหลักฐานนั้น สมัยอยุธยามิได้มีลักษณะอย่างที่นำมาแสดง ในอดีตกษัตริย์อยุธยาไม่ใช้ของแบบนี้ ชื่อกษัตริย์อยุธยาจำนวนมากก็เป็นชื่อที่คนรุ่นเราเรียกโดยได้จากหลักฐานประเภทตำนาน พงศาวดาร ฯลฯ เราไม่รู้ว่าในยุคนั้นพระนามที่แท้จริงเป็นอย่างไร ชื่ออุทุมพรนี่ก็ได้มาจากหลักฐานประเภทตำนาน
“เป็นไปได้ว่าตำนานเรื่องสถูปพระเจ้าอุทุมพรในตำแหน่งปัจจุบันนั้น ต้นเรื่องคือบทความ ดร. ทินเมืองจี ในปี ๒๕๓๘ นิตยสารที่ตีพิมพ์บทความก็เป็นนิตยสารเพื่อการท่องเที่ยว ปีต่อมาคือ ๒๕๓๙ เป็นปีท่องเที่ยวพม่า เรื่องนี้จึงอาจเป็นไปเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว อัฐิที่เจอล่าสุดจึงอาจเป็นพระบรมอัฐิกษัตริย์ล้านช้าง ล้านนาก็ได้ หรือจะเป็นของคนพื้นเมืองพม่ารุ่นหลังก็ได้ เพราะไม่ได้มีแต่ชาวโยเดียเท่านั้นที่อาศัยอยู่แถบนั้น ถ้าอ่านหลักฐานทางประวัติศาสตร์จะพบว่ามีการขอตัวเชื้อพระวงศ์จากอาณาจักรต่างๆ มาไว้ที่ราชสำนักพม่าตั้งแต่สมัยพระเจ้าบุเรงนอง แล้วส่งกลับไปครองราชย์ที่เมืองเดิมเมื่อมีคำขอมา คำบอกเล่าที่ว่าเป็นสุสานอดีตกษัตริย์จึงยากมาก ที่จะระบุตัวว่าคือใคร
“ตอนนี้คำบอกเล่าได้เปลี่ยนจาก ‘อดีตกษัตริย์พระองค์หนึ่ง’ กลายเป็น ‘พระเจ้าอุทุมพร’ ไปแล้ว ยิ่งมีปัจจัยของการท่องเที่ยวเข้ามา เรื่องนี้เราจะหาหลักฐานคำบอกเล่าที่บริสุทธิ์ยากแล้ว ไปขอเขาขุด ถ้าผมเป็นผู้ว่าฯ มัณฑะเลย์ ผมก็ให้ขุด แต่เป็นการติดต่อกับทางการท้องถิ่น ไม่ใช่รัฐบาลกลางที่มีผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ ขอนักวิชาการ เขาก็ส่งใครมาไม่รู้สองคนมาดูๆ แล้วก็ไป เสนอโครงการเข้าไปเขาก็พิจารณา ผมให้คะแนนความเป็นไปได้เรื่องนี้น้อยมาก เต็ม ๑ ให้ ๐.๐๐๐๑ ตอนนี้เป็นเรื่องทางธุรกิจแล้ว ไม่ใช่เรื่องทางวิชาการ เราต้องอ่านข่าวอย่างมีวิจารณญาณ ถ้าอยากไปเที่ยวผมไม่ค้าน ถ้ามีเงินที่จะไปได้ ผมเสนอให้ไปดูของดีที่เมืองพุกามหรือที่เที่ยวที่น่าพักผ่อนจริงๆ ดีกว่าไปดูของจริงกันเถอะ หรือถ้าจะศึกษาจริงๆ ทำเรื่องชุมชนโยเดียแถบนั้นจะดีกว่าหรือไม่”