กรรมร่วมกัน ของ พระศรีอริยะเมตไตรย กับ พระมหากัสสปะ พระมหากัสสปะพระมหากัสสปะนั้น เป็นบุตรกปิลพราหมณ์ กัสสปโคตร ในบ้านมหาติฏฐะ จังหวัดมคธรัฐชื่อ ปิปผลิ เมื่ออายุ ๒๐ ปี ได้ทำการอาวาหมงคลกับนางภัททกาปิลานี บุตรีพราหมณ์ โกสิยโคตร ณ สาคลนคร จังหวัดมคธรัฐเดียวกัน ผู้มีอายุ ๑๖ ปี ตามประเพณีเมือง หามีบุตรหรือธิดาด้วยกันไม่ สกุลของสามีภรรยาคู่นี้มั่งมีมาก มีการงานที่ทำเป็นบ่อเกิดแห่งทรัพย์เป็นอันมาก มีคนงานและพาหนะสำหรับใช้งานเป็นอันมาก ครั้นบิดามารดาทำกาลกิริยาแล้ว ปิปผลิมาณพได้ครองสมบัติและดูการงานนั้นต่อมา สามีภรรยาทั้งสองนั้นเห็นว่าผู้อยู่ครองเรือน ต้องคอยนั่งรับบาปเพราะการงานที่ผู้อื่นทำไม่ดีมีใจเบื่อหน่าย ชวนกันละสมบัติเสีย ออกบวช พระมหากัสสปะ เมื่อมาอุปสมบทในพระธรรมวินัย ก็ปรากฏว่าค่อนข้างชรา ส่วนในกัสสปสังยุต กล่าวเป็น คำเล่าของท่านเองแก่พระอานนท์ว่า ท่านเห็นว่าฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งกิเลสธุลี จึงถือเพศเป็นบรรพชิต ออกบวชอุทิศพระอรหันต์ในโลก วันหนึ่ง ท่านปิปผลิได้พบพระศาสดาประทับอยู่ที่ใต้ร่มไทร เรียกว่าพหุปุตตกนิโครธ ในระหว่างกรุงราชคฤห์และเมืองนาฬันทาต่อกัน มีความเลื่อมใส รับเอาพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระศาสดาของตน พระองค์ทรงรับเป็นภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ แล้วประทานโอวาทสามข้อว่า
กัสสปะ ท่านพึงศึกษาว่า เราจักไปตั้งความละอายและความเกรงไว้ในภิกษุ ทั้งที่เป็นผู้เฒ่า ทั้งที่เป็นผู้ใหม่ ทั้งที่เป็นปานกลาง เป็นอย่างแรงกล้า ดังนี้ข้อหนึ่ง เราจักฟังธรรมอันใดอันหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยกุศล เราจักเงี่ยหูลงฟังธรรมนั้น พิจารณาเนื้อความ ดังนี้ข้อหนึ่ง เราจักไม่ละสติที่ไปในกาย คือพิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ดังนี้ ข้อหนึ่ง ครั้นพระศาสดาทรงสั่งสอนพระมหากัสสปะอย่างนี้แล้ว เสด็จหลีกไป อาการทรงรับพระมหากัสสปะเข้าในพระธรรมวินัย และโปรดให้รับพระพุทธโอวาทสามข้อ พระอรรถกถาจารย์แยกเป็นวิธีอุปสัมปทาอย่างหนึ่ง ดุจประทานแก่พระนางมหาปชาบดีโคตมี ด้วยให้รับครุธรรมแปดประการ แต่วิธีหลังแลเห็นชัด เพราะเป็นครั้งแรกที่ประทานสัมปทาแก่สตรีให้เป็นภิกษุณี และไม่ได้ประทานเอหิภิกขุนีอุปสัมปทาเลย ส่วนวิธีต้น เห็นไม่พ้นไปจากประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทา
พระมหากัสสปะได้ฟังพุทธโอวาททรงสั่งสอนแล้ว บำเพ็ญเพียรไม่ช้านัก
ในวันที่แปดแต่อุปสมบท ได้สำเร็จพระอรหัต ท่านได้รับยกย่องจากพระศาสดาโดยอาการเฉพาะพระองค์ คือทรงรับผ้าสังฆาฏิของท่านไปทรง ประทานผ้าสังฆาฏิของพระองค์ให้แก่ท่าน ตรัสว่ามีธรรมเครื่องอยู่เสมอด้วยพระองค์ และทรงสรรเสริญว่าเป็นผู้ปฏิบัติมักน้อย สันโดษ ตรัสสอนภิกษุทั้งหลายให้ถือเอาเป็นตัวอย่างว่า ภิกษุทั้งหลาย กัสสปะผู้นี้ เป็นผู้สันโดษ ยินดีด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ เภสัช ตามมีตามได้ ไม่มักมาก และกล่าวสรรเสริญคุณของความสันโดษด้วยปัจจัยสี่นั้น เธอไม่ถึงความแสวงหาไม่ควร เหตุปัจจัยสี่นั้น แสวงหาไม่ได้ ก็ไม่สุะดุ้งตกใจ แสวงหาได้แล้ว ก็ไม่เป็นคนกำหนดในปัจจัยสี่นั้นบริโภค ท่านทั้งหลายพึงศึกษาตามอย่างนั้น ท่านทั้งหลายอันเราสั่งสอนแล้ว พึงปฏิบัติเพื่อเป็นเช่นนั้นเถิด ภิกษุทั้งหลาย กัสสปะเข้าไปใกล้สกุลชักกายและใจห่าง ประพฤติตนเป็นคนใหม่ ไม่คุ้นเคยเป็นนิตย์ ไม่คะนองกาย วาจา ใจ ในสกุลเป็นนิตย์ จิตไม่ข้องอยู่ในสกุลเหล่านั้นเพิกเฉย ตั้งจิตเป็นกลางว่า ผู้ใคร่ลาภ ก็จงได้ลาภ ผู้ใคร่บุญ ก็จงได้บุญ ตนได้ลาภมีใจฉันใด ผู้อื่นได้ก็มีใจฉันนั้น ภิกษุใดแสดงธรรมแก่ผู้อื่น ด้วยคิดว่า ไฉนหนอ เขาพึงตั้งใจฟังธรรมของเรา ครั้นฟังธรรมแล้วจะพึงเลื่อมใสในธรรม เลื่อมใสแล้วจะพึงทำอาการของผู้เลื่อมใส ธรรมเทศนาของภิกษุนั้นไม่บริสุทธิ์ ส่วนภิกษุใด แสดงธรรมแก่ผู้อื่นด้วยคิดว่า ธรรมอันพระศาสดากล่าวดีแล้ว ไฉนหนอเขาจะพึงฟังธรรมของเรา ครั้นฟังแล้วจะพึงรู้ธรรมนั้น ครั้นรู้แล้วจะพึงปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ภิกษุนั้น อาศัยความที่แห่งธรรมเป็นธรรมอันดี อาศัยกรุณาและเอ็นดูแสดงธรรมแก่ผู้อื่น ธรรมเทศนาของภิกษุนั้นบริสุทธิ์แล้ว กัสสปะก็เหมือนอย่างนั้น เราสอนท่านทั้งหลาย ยกกัสสปะขึ้นเป็นตัวอย่าง ท่านทั้งหลายอันเราสอนแล้ว จงปฏิบัติเพื่อเป็นอย่างนั้น
พระมหากัสสปะนั้น โดยปกติถือธุดงค์สามอย่าง คือ ถือทรงผ้าบังสุกุลจีวรเป็นวัตร ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ถืออยู่ป่าเป็นวัตร พระศาสดาทรงยกย่องว่า เป็นเยี่ยมแห่งภิกษุผู้ทรงธุดงค์ ครั้งหนึ่งท่านเข้าไปเฝ้าพระศาสดาที่เวฬุวัน พระศาสดาตรัสแก่ท่านว่า กัสสปะเดี๋ยวนี้ท่านแก่แล้ว ผ้าป่าบังสุกุลจีวรที่เขาไม่นุ่งห่มของท่านนี้หนักนัก ท่านทรงจีวรที่คฤหบดีถวายเถิด จงฉันโภชนะในที่นิมนต์เถิด และจงอยู่ในที่ใกล้เราเถิด ท่านทูลว่า ข้าพระเจ้าเคยอยู่ในป่า เที่ยวบิณฑบาต ทรงผ้าบังสุกุลจีวร ใช้แต่ผ้าสามผืน มีความปรารถนาน้อย สันโดษ ชอบเงียบสงัด ไม่ชอบระคนด้วยหมู่ ปรารภความเพียรและพูดสรรเสริญคุณเช่นนั้นมานานแล้ว พระศาสดาตรัสถามว่า กัสสปะ ท่านเห็นอำนาจประโยชน์อะไร จึงประพฤติตนเช่นนั้น และสรรเสริญความเป็นเช่นนั้น ท่านทูลว่า ข้าพระเจ้าเห็นอำนาจประโยชน์สองอย่าง คือการอยู่เป็นสุขในบัดนี้ของตนด้วย อนุเคราะห์ประชุมชนในภายหลังด้วย ประชุมชนภายหลังทราบว่า สาวกของพระพุทธเจ้า ท่านประพฤติตนอย่างนั้น จักถึงทิฏฐานุคติ ปฏิบัติตามที่ตนได้เห็นได้ยิน ความปฏิบัตนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และสุขแก่เขาสินกาลนาน พระศาสดาประทานสาธุการว่า ดีละ ดีละ กัสสปะ ท่านปฏิบัติเพื่อประโยชน์และสุขแก่ชนเป็นอันมาก ท่านจงทรงผ้าบังสุกุลจีวรของท่านเถิด ท่านจงเที่ยวบิณฑบาตเถิด ท่านจงอยู่ในป่าเถิด
ด้วยความมักน้อยสันโดษ และปฏิบัติเคร่งครัดอย่างนี้ พระมหากัสสปะ ย่อมเป็นที่นับถือของสกุลทั้งหลาย มีคำกล่าวว่า ในกรุงราชคฤห์ สกุลที่ไม่ใช่ญาติก็คงเป็นอุปัฏฐากของท่าน แต่ท่านก็มิได้พัวพันห่วงใยอยู่ในสกุลเหล่านั้น ถึงคราวที่พระศาสดาจะเสด็จจาริกไปโปรดสัตว์ ท่านก็เตรียมตัวตามเสด็จโดยฐานเป็นสาวก แต่พระศาสดาตรัสให้อยู่เพื่อเจริญศรัทธา และปสาทะของชาวกรุงราชคฤห์ก็มี
พระมหากัสสปะนั้น ดีในการปฏิบัติ แต่หาพอใจในการสั่งสอนภิกษุสหธรรมิกไม่ ท่านระอาภิกษุปูนหลังว่าเป็นผู้ว่ายาก ธรรมเทศนาอันเป็นอนุศาสนีของท่านจึงไม่มี คงมีแต่ธรรมภาษิตเนื่องมาจากสากัจฉา กับเพื่อนสาวกบ้าง กล่าวบริหารพระพุทธดำรัสบ้าง อย่างไรก็ดีเรื่องที่เกี่ยวกับท่าน พระธรรมสังคาหกาจารย์ รวมสังคีติไว้หมวดหนึ่งในสังยุตนิกาย เรียกว่า กัสสปสังยุต เป็นการไว้เกียรติคุณแห่งพระเถรเจ้า
พระมหากัสสปะนั้น อยู่มาถึงปูนหลังแต่นิพพานแห่งพระศาสดา ในเวลาพระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่ เป็นแต่พระสาวกผู้ใหญ่รูปหนึ่งเท่านั้น มาปรากฏเป็นพระสาวกสำคัญ เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว ในคราวที่พระศาสดาปรินิพพาน ท่านไปอยู่เสียที่นครปาวา หาได้ตามเสด็จจาริกด้วยไม่ ท่านระลึกถึงพระศาสดา เดินทางมาจากนครปาวากับบริวาร พักอยู่ตามทาง พบอาชีวกผู้หนึ่งเดินสวนทางมา ท่านถามข่าวแห่งพระศาสดา ได้รับบอกว่าปรินิพพานเสียแล้วได้เจ็ดวัน ในพวกภิกษุผู้บริวาร จำพวกที่ยังตัดอาลัยมิได้ ก็ร้องไห้รำพันถึง จำพวกที่ตัดอาลัยได้แล้ว ก็ปลงธรรมสังเวช มีวุฒบรรพชิต คือภิกษุบวชต่อแก่รูปหนึ่ง ชื่อสุภัททะกล่าวห้ามภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเศร้าโศกร้องไห้เลย พระศาสดาปรินิพพานเสียได้เป็นดี พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ย่อมรับสั่งห้ามไม่ให้ทำการบางอย่าง และให้ทำการบางอย่าง ที่ไม่พอใจเรา ตั้งแต่นี้ต่อไป เราพ้นแล้วจากผู้บังคับ ปรารถนาจะทำการใด ก็ทำได้ ไม่ปรารถนาจะทำการใด ไม่ทำก็ได้ พระมหากัสสปะรำพึงว่า เพียงพระศาสดาปรินิพพานแล้วได้เจ็ดวันเท่านั้น ยังมีภิกษุผู้ไม่หนักในพระสัทธรรม กล้ากล่าวจ้วงจาบได้ถึงเพียงนี้ กาลนานล่วงไปไกล จักมีสักเพียงไร ท่านใส่ใจคำของสุภัททวุฒบรรพชิตไว้แล้ว ให้โอวาทแก่ภิกษุสงฆ์สมควรแก่เรื่องแล้ว พาบริวารเดินต่อมา ถึงกุสินารานครตอนบ่ายวันถวายพระเพลิง ท่านได้ถวายบังคมพระพุทธสรีระ