ประชาธิปัตย์ สู้ ๆ...
<span class="submitted-by">Submitted on Fri, 2023-12-22 00:42</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ</p>
<p> </p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>“ประชาธิปัตย์” ได้ฉายาว่า “แมลงสาบ” ปัจจุบันมีความหมายเชิงดูหมิ่นดูแคลน (insulting tone) แต่ที่จริงวันที่ 7 เมษายน 2545 การประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำเสนอ คือ ศ.ดร.กนก วงศ์ตระหง่าน ท่านพูดว่า</p>
<p>“การปฏิรูปการเมืองควรใช้ทฤษฎีแมลงสาบ ที่วิเคราะห์จากพฤติกรรมของแมลงสาบ คือ ปรับตัวเองได้ดี มีเรดาห์คือหนวดในการตรวจสอบสิ่งต่างๆ มีสมองและประสาทไว้คอยประสานงานกับส่วนต่างๆ มีขาหกขาไว้บินเวลาคับขัน เวลาวิ่งจะวิ่งเร็ว แต่วิ่งสั้นๆ วิ่งไปแล้วหยุดแล้ววิ่งต่อ นอกจากนี้ยังมีจุดเด่น คือ การแพร่พันธุ์ได้รวดเร็วมาก จึงทำให้แมลงสาบอยู่มาได้เป็นพันล้านปี...”</p>
<p>อาจารย์กนก หมายถึง ความสามารถในการปรับตัวได้ดี จนอยู่มาได้นาน แต่คนเอาไปล้อว่าแมลงสาบเป็นสัตว์ที่น่ารังเกียจ ตอนนี้ประชาธิปัตย์กำลังอยู่ในเวลาคับขัน ใครๆ ก็วิเคราะห์ว่าจะตกต่ำ บางคนบอกได้ ส.ส.เขต 25 คนกับปาร์ตี้ลิสต์ 3 คนนับว่าตกต่ำแล้ว แต่ต่อไปก็จะยิ่งตกต่ำกว่านี้อีก เพราะคนทยอยออก</p>
<p>แต่น่าทึ่งที่ “น้าชวน” ยืนหยัดอยู่กับพรรค และกล่าวว่าจะทำให้ดีที่สุด แล้วก็หวังว่าคนเก่าที่เก่งๆ จะกลับมาพรรคประชาธิปัตย์</p>
<p>กรอบการวิเคราะห์พรรคการเมืองที่ดีที่สุดในปัจจุบัน คือ การวิเคราะห์องค์การ ส่วนใหญ่วิเคราะห์อยู่ 7 ประเด็น ได้แก่ (1) คน (2) โครงสร้าง (3) ความรู้ (4) เทคโนโลยี (5) เป้าหมายหรือจุดยืน (6) สภาพแวดล้อม และ (7) กลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์ แต่ขอพูดรวมๆ กันไป</p>
<p>หลายคนคาดหมายว่า พรรคประชาธิปัตย์จะกลายเป็นพรรคต่ำสิบ เพราะได้กลุ่มผู้บริหารชุดใหม่ที่บารมีน่าจะยังไม่มากพอ ประกอบกับยึดวิธีโบราณ คือ เล่นงานกันเอง กับเน้นระบบอุปถัมภ์ในพื้นที่ บางคนเรียกว่า “ระบบใจถึงพึ่งได้” แต่บางคนฟันธงแล้วว่าไปไม่รอด บางคนบอกทางแก้ปัญหา คือ ช่วยกันลาออกจากประชาธิปัตย์ บางท่านเสนอว่า “รักยาวให้บั่น” ท่านคงหมายถึงหาทาง “ยุติข่าวลบ” โดยเร็วที่สุด!!</p>
<p>ไฮเดกเกอร์ (Heidegger) สอนไว้ทำนองว่า “สัตว์ไม่สงสัยว่าตัวเองเกิดมาได้อย่างไร แต่มนุษย์คิดเกี่ยวกับการมีอยู่ของตัวเองโดยสัมพันธ์กับเวลาที่ตนมี คนเราทุกคนเป็นสิ่งที่มีอยู่ชั่วคราวตามสิ่งแวดล้อมของแต่ละคน เราจึงคิดถึงอนาคตแตกต่างกัน ขอบเขตการคิดของเราไปไกลที่สุดไม่เกิน “ความตาย” ดังนั้น การคิดของมนุษย์ที่ไกลไปจาก “ความตาย” จึงไม่ใช่การคิดถึงการมีอยู่ที่แท้จริงของตัวเอง คนเราใกล้ตายยิ่งไตร่ตรองถึงการกระทำของตัวเอง ตั้งแต่วันที่เราเริ่มคิดได้จนถึงวันเราตาย นั่นแหละ เป็นความจริงที่จริงมากที่สุดสำหรับตัวเรา”</p>
<p><strong>ในการพิจารณาคดีของศาล คำพูดของคนใกล้ตายจึงมีน้ำหนักให้รับฟังมากที่สุด ทำนองเดียวกัน หากพรรคประชาธิปัตย์กำลังจะล่มสลายจริงๆ คนในพรรคประชาธิปัตย์จะไม่คิดไตร่ตรองอะไรเชียวหรือ?</strong></p>
<p><strong>ประเด็นแรก จุดยืนพรรค</strong></p>
<p>ปัจจุบันพรรคการเมืองไทยมีจุดยืนตามรูปนี้</p>
<p><strong><span style="text-align: justify;">ซ้าย <---------------------I-------------------------> ขวา</span></strong></p>
<p>พรรคที่อยู่ข้างซ้าย ได้แก่ พรรคก้าวไกล กับพรรคเพื่อไทย</p>
<p>พรรคที่อยู่ข้างขวา ได้แก่ พรรคพระพุทธเจ้า พรรคหมอวรงค์ พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคภูมิใจไทย</p>
<p>นอกนั้นยังมีพรรค Niche คือ พรรคที่มุ่งลูกค้าเฉพาะ แต่มีฐานแคบ ได้แก่ พรรคท้องถิ่นไทย พรรคท้องที่ไทย พรรคครูไทย กับพรรคทวงคืนผืนป่า</p>
<p>ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ อยู่ตรงกลางตลอด ยึดเสรีประชาธิปไตย แต่ไม่ยอมระบุว่าเสรีแบบซ้ายหรือแบบขวา หรือเป็นทางเลือกที่สาม (the third way) ทางปฏิบัติจะเอียงขวามากกว่าซ้าย เคยมีคนเสนอให้ไปทางซ้ายบ้าง คือ สนใจสวัสดิการสังคมบ้าง แต่โดนค้าน --คนเสนอบางคน เช่น น้องไอติม ตอนนี้ออกจากพรรคไปได้ดีที่อื่นแล้ว</p>
<p>ที่ผ่านมา พรรคข้างซ้ายได้เสียงมากที่สุด คือ ก้าวไกลกับเพื่อไทย ตามลำดับ พรรคข้างซ้ายนี้มีข้อเด่นทางจุดยืนอยู่ 2 จุด ได้แก่ (1) เสรีภาพ กับ (2) สวัสดิการสังคม พรรคก้าวไกลมีจุดยืนเรื่องเสรีภาพกับสวัสดิการสังคมเป็นระบบกว่าเพื่อไทยที่เน้นการโฆษณาสร้างความหวือหวาตามแนว ประชานิยม</p>
<p>อันที่จริง การเมืองไทยมองไม่ยาก เพราะหากโฟกัสไปที่การเลือกตั้ง มีปัจจัยหลักๆ เพียง 2 ปัจจัย คือ “กระแส” กับ “กระสุน” เราจะเห็นภาพการเมืองไทยชัดขึ้น ดังนี้</p>
<p>1. ก้าวไกล = กระแสขึ้นสูงปรี๊ด+กระสุนแทบไม่ได้ใช้สำหรับการยิงตรง อาจมีเฉพาะยิงอ้อม คือ การโฆษณากับรถแห่</p>
<p>2. เพื่อไทย = กระแสมีพอประมาณ+กระสุนระดับหมื่นนัด</p>
<p>3. ภูมิใจไทย+พลังประชารัฐ + รวมไทยสร้างชาติ = กระแสเบาบาง+กระสุนระดับหมื่นนัด</p>
<p>4. ประชาธิปัตย์ = กระแสไม่มีเลย+กระสุนจำกัดระดับพันนัด</p>
<p>5. พรรคหมอวรงค์ = กระแสไม่มีเลย+กระสุนก็ไม่มีด้วย—ใช้ “วาทะ” อย่างไร กระแสก็ยังไม่มา</p>
<p>ในประเด็นแรกนี้ ประชาธิปัตย์ไม่คิดจะปรับมาสนใจ “เสรีภาพ” กับ “สวัสดิการสังคม” บ้างเลยหรือ? พี่นิพิฏฐ์ แห่งเมืองลุง คนที่เคยคัดค้านการเพิ่มสวัสดิการสังคม แกก็ออกไปได้ดีที่ใหม่แล้ว</p>
<p style="margin:0in; text-align:justify"> </p>
<p><strong>ประเด็นที่สอง งัดวิชาแมลงสาบมาใช้</strong></p>
<p>ไหนๆ พรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ฉายาว่า “แมลงสาบ” (ปรับตัวเก่ง) แล้ว หากเอาวิชาแมลงสาบของอาจารย์กนกมาใช้ตอนนี้ อาจเกิดผลดีก็ได้</p>
<p>การได้ผู้บริหารพรรคชุดใหม่มีข้อดีข้อใหญ่ คือ การลดอิทธิพลของน้าชวนและคนเก่าแก่ของพรรคลง ผลที่ตามมา ได้แก่</p>
<p>(1) เส้นทางความเจริญก้าวหน้าของคนในพรรคไม่ได้ติดกับระบบอาวุโสแบบเมื่อก่อน ที่ต้องเสียเวลารอคิวกันยาวเหยียดเพราะยึดระบบอาวุโสเข้มข้นเกิน ไม่มีระบบฟาสต์แทร็คให้คนวิ่งขึ้นสู่ตำแหน่งการเมืองเร็วขึ้น</p>
<p>ความจริง พรรคการเมืองก็คือกลุ่มคนที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน จึงไม่ใช่ ผู้อาวุโส “กินรวบ” สมาชิกพรรควัยละอ่อนมีฝีมือก็อยากเป็นผู้บริหารพรรค ผู้บริหารพรรคก็อยากเป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นรัฐมนตรี ตำแหน่งข้างบนลีบและตีบตันเท่าใด ข้างล่างก็ขยับไม่ได้เท่านั้น</p>
<p>สาเหตุหลักที่พรรคการเมืองไทยแตกกันเป็นกลุ่มเป็นก๊วนมาก เพราะต้องอาศัยกลุ่มก๊วนต่อรองเอาตำแหน่ง อันนี้ไม่ได้เป็นเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ เพียงแต่การแตกกันเป็นกลุ่มก๊วนของประชาธิปัตย์สะท้อนให้เห็นว่าที่ผ่านมาระบบพรรคผิดพลาดที่เลือกใช้ “ระบบปิด” ไม่เปิดกว้างเพียงพอ –แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ “สันดานประชาธิปัตย์” อย่างคนใส่ร้าย เพราะพอเขาไปอยู่ที่ใหม่ ระบบเปิดกว้างกว่า เขาก็อยู่ได้ดี มีความสุข เนื่องจากได้รับโอกาสให้แสดงบทบาทตามเหตุผลของเขาเอง</p>
<p>(2) มีอิสระมากขึ้น ใครอยากพูดอะไรก็ได้พูด ไม่ต้องชะเง้อมองว่าน้าชวนแกจะยกไม้เรียวหรือเปล่า? แน่นอนว่า สิ่งที่ตามมา คือ การเกิดความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น</p>
<p>(3) วิธีการของน้าชวนอาจล้าสมัย พรรคไม่จำเป็นต้องอาศัยบารมีของบุคคลเหมือนเมื่อก่อน การปลุกเร้าความรู้สึกของคนทำด้วยวิธีการสมัยใหม่ เช่น ทีมงานโฆษณาผ่านเฟสบุ๊ค หรือสื่อสารออนไลน์</p>
<p>(4) พรรคสามารถระดมทุนได้เป็นเรื่องเป็นราวและสามารถจัดองค์กรพรรคใหม่ได้ คติน้าชวนที่ว่า “ไม่เคยเลี้ยงกาแฟใคร” อาจใช้ไม่ได้ในยุคนี้</p>
<p>ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเอาเงินไปซื้อเสียง ทว่ากิจกรรมพรรคสมัยใหม่ก็ต้องใช้เงิน เช่น การมีผู้อำนวยการพรรคที่มีความรู้ทางการเมือง นักวางแผนการเมือง นักวิเคราะห์นโยบายการเมือง แล้วที่สำคัญ คือ การจัดระบบข้อมูลข่าวสารแบบใหม่ที่ใช้ได้ตรงประเด็นและทันสมัย กับนักเทคโนโลยี อาจต้องมีเงินเดือนเป็นกิจจะลักษณะ เปลี่ยนงานบริหารพรรคการเมืองเป็นมืออาชีพ ไม่ใช่ใช้วิธีทำงานชั่วคราวตามสไตล์ประชาธิปัตย์ ที่คนพูดกันว่า “ตังเม” เรียกพี่!!</p>
<p>(5) เมื่อระบบพรรคเปิดกว้าง การคิดนวัตกรรมก็ตามมา ไม่เป็นแบบทุกวันนี้ที่มีทั้งสื่อโทรทัศน์และสื่อออนไลน์อื่น แต่ไม่มีคอนเท้นต์ คือ ไม่รู้จะเอาอะไรไปประชาสัมพันธ์</p>
<p>(6) พรรคประชาธิปัตย์ อาจต้องเปลี่ยนแท็คติกการเล่นฟุตบอลแบบอุดประตู เป็นรุกเร็ว-กองหน้าคม มากขึ้น เมื่อก่อนอาศัยวิชา “ตีกิน” หรือ “ตอดกิน” อาศัยการย้อนคำพูดของคนอื่นให้เจ็บๆ แสบๆ เรียกคะแนน แต่ไม่ค่อยครีเอทอะไรใหม่ๆ คงต้องเปลี่ยนวิธีเล่น เพราะมีตัวรุกดีๆ หลายคน เช่น ดร.เอ้ ฝีเท้าไม่เบาเหมือนกัน!!</p>
<p>ประเด็นอยู่ที่กลุ่มผู้บริหารชุดใหม่ (1) ใจใหญ่ใจกว้างหรือเปล่า? (2) มีความรู้พื้นฐานพอที่จะรับฟังความคิดเห็นในเชิงวิชาการ หรือชอบฟังหรือเปล่า? (3) เปิดโอกาสให้ตัวรุกเร็วได้บอลมากขึ้นหรือเปล่า?? แต่ถ้าคิดเหมือน “น้าบรรหาร” ว่า “เป็นพรรคฝ่ายค้านอดอยากปากแห้ง” ก็จบกัน!! นอกจากนั้น อย่าทำตามที่น้าชวนเตือนว่า “ห้ามเอาพรรคประชาธิปัตย์ไปต่อรองเอาตำแหน่งหรือผลประโยชน์” สิ่งที่คนเป็นห่วงมาก ได้แก่ ความซื่อสัตย์และอุดมการณ์</p>
<p>กลุ่มผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่มีอะไรให้น่าห่วง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงจากพรรคอุดมการณ์ซึ่งไม่ค่อยชัดเจนอยู่แล้ว ไปเป็นการประกอบการทางการเมือง (political entrepreneurs) คำนี้เกิดจากนักธุรกิจมาลงทุนให้พรรคการเมือง เสร็จแล้วนักธุรกิจก็ได้ตำแหน่งตอบแทน ตอนแรกได้นิดๆ หน่อยๆ นักธุรกิจก็พอใจ ตอนหลังนักธุรกิจเข้ามายึดพรรค กลายเป็นพรรคผู้ประกอบการ (entrepreneurial parties) ซึ่งโฟกัสไปที่ผลประโยชน์ของกลุ่มทุนอย่างเดียว</p>
<p style="margin:0in; text-align:justify"> </p>
<p style="margin:0in; text-align:justify"><strong>ประเด็นที่สาม ฐานเสียง</strong></p>
<p>ฐานเสียงสมัยนี้ต่างไปจากสมัยก่อน คนสมัยก่อนเคยเลือกประชาธิปัตย์อย่างไร ก็จะเลือกประชาธิปัตย์ไปเรื่อยๆ กลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปัตย์</p>
<p>แต่สมัยนี้วัฒนธรรมดังกล่าวหายไป ฐานเสียงสมัยปัจจุบันมีแค่ 2 ประเภท ประเภทหนึ่ง คือ เครือข่ายระบบอุปถัมภ์สมัยใหม่ ซึ่งผูกพันด้วยผลประโยชน์เฉพาะหน้าและเงินทองที่มัดจำ—มัดใจกัน มากกว่าวัฒนธรรมการเมือง</p>
<p>อีกประเภทหนึ่ง คือ ฐานเสียงคุณภาพ เช่น กรณีพรรคก้าวไกล ใช้อาจารย์กับนักศึกษาเป็น ฐานเสียง ซึ่งเป็นฐานเสียงธรรมชาติ หมายถึงเป็นไปโดยความสมัครใจ เพราะมีความคิดก้าวหน้าเหมือนกัน ทุกวันนี้ขยายออกไปสู่เมืองใหญ่ และเมืองรองไปเรื่อยๆ</p>
<p>ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ของการเมืองไทย เพราะการที่จะพัฒนาฐานเสียงคุณภาพได้นั้น พรรคต้องมีความคิดก้าวหน้าและตามความคิดของคนหนุ่มสาวทัน แต่พรรคการเมืองไทยส่วนใหญ่ยังขาดพื้นฐานความคิดทางด้านสิทธิเสรีภาพ สวัสดิการสังคม และมีความคิดอนุรักษ์นิยมเกินไป คำถามจึงมีว่า “เมื่อได้ผู้บริหารชุดใหม่แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ได้คนก้าวหน้ามาบ้างหรือยัง?”</p>
<p style="margin:0in; text-align:justify"> </p>
<p><strong>ประเด็นที่สี่ การคัดคนเข้าพรรค</strong></p>
<p>กระบวนการคัดคนเข้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าผิดพลาด ปัญหาส่วนหนึ่งที่พรรคต้องแก้ไข มีสาเหตุมาจากการได้คนไม่ได้มาตรฐานในระดับที่ควรจะเป็น ขณะเดียวกันพรรค ขาดมาตรฐานการคัดคน กระบวนการคัดคนยังใช้ความใกล้ชิดสนิทสนมเป็นหลัก</p>
<p>กลุ่มผู้บริหารชุดใหม่ ยิ่งน่าเป็นห่วง มีภาพพจน์ทำนอง “เขาใช้ระบบพวกพ้อง เราก็ใช้” หรือ “เขาผูกขาดอำนาจ เราก็ใช้”--อันนี้อันตราย “คุณภาพ” ความเป็นประชาธิปัตย์ไม่ดีขึ้น ปัญหาที่กำลังเกิดกับประชาธิปัตย์ นอกจาก “สมองไหล” แล้ว ยังไม่มีคนมีโปรไฟล์ดีๆ เข้ามา ส่วนคนมาแทนเป็น “ท่านผู้กว้างขวาง” เสียส่วนมาก พรรคประชาธิปัตย์กำลังวางน้ำหนักไปทางบทบาท “ใจใหญ่ใจนักเลง”</p>
<p style="margin:0in; text-align:justify"> </p>
<p><strong>ประการที่ห้า ความเข้าผิดเรื่องความเป็นสถาบัน</strong></p>
<p>ความตกต่ำของพรรคประชาธิปัตย์ อาจทำให้คนหูตาสว่าง!! ประชาธิปัตย์เข้าใจผิดมาตลอดว่าพรรคตัวเองเก่าแก่ที่สุด จึงเป็นสถาบันการเมืองมากที่สุด แต่ที่ถูก “เวลาที่อยู่มานาน” แม้เป็นดัชนีชี้วัดความเป็นสถาบันการเมืองตัวหนึ่งก็จริง แต่ตัวชี้วัดที่สำคัญกว่า คือ การยอมรับของสังคม</p>
<p>นักรัฐศาสตร์ชอบยกตัวอย่างศาลสูงสหรัฐอเมริกา คนอเมริกันยอมรับนับถือศาลสูงว่าซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม พิพากษาอะไรออกมามีเหตุมีผล ตรงใจประชาชน ฉะนั้น จึงชอบเปรียบเปรยว่า หากศาลสูงสหรัฐอเมริกาไปตั้งเต้นท์ตัดสินคดี คนอเมริกันก็ยอมรับอยู่ดี ความเป็นสถาบันของเขาจึงสูงมาก เพราะความเป็นสถาบันนอกจากตึกหรือออฟฟิชแล้ว ยังหมายถึงแบบแผนของการกระทำที่คนยอมรับกัน ซึ่งสำคัญกว่าตัวโครงสร้างทางกายภาพ</p>
<p style="margin:0in; text-align:justify">ในอดีตความเป็นสถาบันของพรรคประชาธิปัตย์อยู่ที่คนใต้ยอมรับว่าพรรคเป็นเสาหลักของสังคม ครั้งหนึ่งเคยเปรียบว่า <strong>“พรรคประชาธิปัตย์ส่งเสาไฟฟ้ามาลง คนใต้ก็เลือก” </strong>ในทางกลับกัน การที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ผู้แทนภาคใต้ลดลง สะท้อนว่าคนใต้ยอมรับลดลง เท่ากับความเป็นสถาบันของพรรคประชาธิปัตย์ลดลง</p>
<p style="margin: 0in;">เวลานี้จึงต้องมาใคร่ครวญ เมื่อก่อนประชาธิปัตย์มีอะไรดี คนถึงยอมรับ ทำไมวัฒนธรรมทางการเมือง เช่น การอภิปรายมันๆ หรือความรักในพื้นที่ หรือท้องถิ่นนิยม หรือว่า “ผลงานที่เคยเข้าตา”—มันหายไปไหน?? ปัจจุบันมีการตัดสินใจเป็นชนวนเหตุหรือไม่ เช่น การที่คนประชาธิปัตย์แยกไปตั้งกลุ่ม กปปส. ล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และไม่ให้จัดการเลือกตั้ง --หรือการตัดสินใจเข้าข้างรัฐบาลน้าตู่ที่มาจากการรัฐประหาร –หรือการตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลน้าตู่—หรือประชาธิปัตย์ไม่มีผลงานที่ชัดและวัดได้ –หรือประชาธิปัตย์เองก็คิดไม่ต่างจากพรรคที่ตัวเองเคยด่า เช่น ถ้าเป็นแล้วก็อย่าเสียเที่ยว ต้องรู้จักเก็บออม!! หรือว่าประชาธิปัตย์ชอบเล่นเกมหลายหน้า --คนนี้แบ่งเข้าร่วมรัฐบาลน้าตู่ คนโน้นแบ่งออกไปไม่ต้องเข้าร่วม หรือแม้แต่ปัจจุบันพรรคบอกเป็นฝ่ายค้าน แต่บางคนโหวตให้ “เศรษฐา” ลักษณะความเอาแน่เอานอนไม่ได้ หรือการกระทำที่ไม่ต่างจากคนที่ประชาธิปัตย์เคยด่าเขาไว้ น่าจะเป็นเหตุให้คนใต้ลังเลใจ ส่วนคนกรุงเทพฯ พูดเป็นเสียงเดียวว่า “ประชาธิปัตย์—เปี๊ยนไป๋!!”</p>
<p style="margin:0in; text-align:justify"> </p>
<p><strong>ประการที่หก ภูมิทัศน์การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงจากการเกิดความแตกแยกทางสังคม การสิ้นสุดอุดมการณ์และการเกิดการเมืองยุคหลังความจริง</strong></p>
<p>ประเด็นนี้ใหญ่มาก ระยะสิบกว่าปีที่ผ่านมาการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงอย่างสลับซับซ้อนจากปัจจัยสามประการ ได้แก่ (1) ความแตกแยกทางสังคม (social cleavages) (2) การสิ้นสุดอุดมการณ์ (the end of ideology) และ (3) การเมืองยุคหลังความจริง (the post-truth politics)</p>
<p>ทั้งหมดมีปัจจัยกระตุ้น (the triggering factor) จากนโยบายประชานิยม (populist policy) ที่ทักษิณนำมาใช้ครองใจคนจนได้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย จนทำท่าว่าจะครองอำนาจนำอย่างเบ็ดเสร็จ ต่อมา ทักษิณขัดแย้งกับสนธิ ลิ้มทองกุล จึงเกิดขบวนการเสื้อเหลืองต่อต้านทักษิณ จนเกิดรัฐประหารนำโดยน้าสนธิ บุญยรัตกลิน ข้ามไปสมัยอภิสิทธิ์เกิดขบวน “เสื้อแดง” ต่อต้าน ข้ามมาอีกถึงยุคยิ่งลักษณ์ เกิดการปะทะกันระหว่างรัฐบาลยิ่งลักษณ์กับ “ขบวนการ กปปส.” จน “น้าตู่” เข้ามายึดอำนาจโดยการรัฐประหารเป็นคำรบสองในรอบสิบปี</p>
<p>ความแตกแยกนี้สลับซับซ้อนมาก คำว่า “ประชาธิปัตย์” ตรงแปลว่า “ผู้สนับสนุนประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นการปกครองโดยประชาชน กลับต่อต้านการเลือกตั้งสมัยยิ่งลักษณ์ แถมยังไปเข้ากับน้าตู่ที่มาจากการรัฐประหาร ทุกวันนี้เป็นยุคสืบทอดทักษิณ แต่พลังประชารัฐกับรวมไทยสร้างชาติ ซึ่งสืบทอดมาจากน้าตู่และน้าปุ้มปุ้ย กลับเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ข้างเพื่อไทยอ้างว่าเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” แต่ไม่ยืนหยัดกับ “ก้าวไกล” ที่ได้เสียงข้างมากที่สุด และหันไปรวมกับพรรคสืบทอดเผด็จการที่ตนเคยด่าไว้ เพื่อเอาทักษิณ “ปิ๊กบ้าน” สรุปแล้วไม่มีใครมีอุดมการณ์มั่นคง ล้วนเน้นยุทธวิธีซึ่งแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์</p>
<p> ฝรั่งวิเคราะห์ว่า “น้าตู่” มีสองภาค ภาคแรกเป็น hard power ใช้อำนาจ คสช. ภาคที่สอง เป็น soft power ใช้อำนาจการเลือกตั้ง</p>
<p>ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา สังคมไทยเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารที่สับสน ไม่มีใครสนใจว่าความจริง ภววิสัย (objective truth) จะเป็นอย่างไร แต่มุ่งเอาความจริงไปรับใช้เป้าหมายของการปลุกกระแสเร้าอารมณ์คน บางทีก็จริงทั้งหมด บางทีก็ไม่จริงเลย หรือบางทีก็จริงบางส่วน การเมืองทุกค่ายต่างฝ่ายต่าง “ปั่นกระแส” มุ่งสร้างความนิยมให้ตัวเอง สาเหตุที่ปั่นกันมาก เป็นเพราะความเจริญเติบโตทางเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสาร ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ และสื่อออนไลน์สารพัดชนิด</p>
<p>การปลุกเร้าอารมณ์ทางการเมืองของไทย เกิดก่อนสมัยทรัมป์ในสหรัฐอเมริกาเสียอีก ตามตำราทรัมป์ได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของการนำความจริงครึ่งเดียวมาพูดปลุกเร้าทางการเมืองตอนเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่อปี 2016 หรือ พ.ศ. 2559 ต่อมา คนอเมริกันพบว่าทรัมป์ชอบใช้การโกหกคำโต แต่ของไทยการปลุกเร้ากลุ่มทางการเมืองและใช้ความจริงบ้างไม่จริงบ้างมีมาตั้งแต่สมัย พ.ศ. 2544-2549 เป็นต้นมา อันเป็นช่วงที่วอยซ์ทีวี เอเอสทีวี และบลูสกายทีวี แข่งกันสื่อสารครอบงำสังคม ต่อมายุคหลัง พ.ศ. 2561-2563 พรรคอนาคตใหม่ของธนาธรกลับเหนือชั้นกว่าอีก ใช้สื่อออนไลน์สมัยใหม่สร้างกระแสความนิยม กับทั้งประสานกับวอยซ์ทีวีและครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ปัจจุบัน พ.ศ. 2566 เศรษฐากับอุ๊งอิ๊งก็ย้อนรอยใช้วิธีสร้างกระแสความนิยมผ่านสื่อออนไลน์เหมือนธนาธร แต่เน้นคอนเท้นต์ตลาดล่าง!!</p>
<p>ขณะที่ค่ายอื่นใช้สื่อออนไลน์แข็งแกร่งและได้ผล แต่ประชาธิปัตย์กลับอ่อนกำลัง ปัญหาที่เกิดกับประชาธิปัตย์ คือ มีสื่อในมือครบครัน แต่ไม่มีคอนเท้นต์!! สะท้อนว่าไม่มีคนดูแลจริงจังหรือไม่ก็คนดูแลไม่เอาอ่าว!!</p>
<p style="margin:0in; text-align:justify"> </p>
<p><strong>ประการที่เจ็ด การเมืองของการใช้เงิน (Money Politics)</strong></p>
<p>การเมืองของการใช้เงิน (Money Politics) เป็นภูมิทัศน์ทางการเมืองใหม่ที่มีสเกลใหญ่กว่าสมัยที่ผ่านมามากนัก ยุคก่อนๆ ยังใช้กันเฉพาะบางพรรค บางพรรคยืนหยัดกับการไม่ใช้เงิน เช่น ประชาธิปัตย์ แต่ยุคปัจจุบันใช้กันหมด ยกเว้นก้าวไกล</p>
<p>ยุคน้าตู่ก๊อกสอง จำเป็นต้องเปิดให้เลือกตั้งทั่วไป เพราะต้องการเปลี่ยน hard power เป็น soft power แต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าหากน้าตู่ไม่ชนะก็ไม่สามารถกลับไปใช้ hard power ได้ จึงเป็นไฟท์บังคับที่น้าตู่กับพรรคพวกต้องช่วยกันทุกวิถีทาง อีกทั้งได้เตรียมกลไก สว. กับองค์กรอิสระไว้ล่วงหน้าแล้ว</p>
<p>การเลือกตั้งยุค soft power ของน้าตู่ ปี 2562 จึงเป็นยุคเริ่มต้น “Big Money in Politics” ในประเทศไทย โดยที่องค์กรอิสระไม่ฟังก์ชั่นเท่าใดนัก มันไม่ใช่ “ม่านสีม่วง” อย่างที่น้าชวนเคยเผชิญ แต่คราวนี้เป็น “สีเทาทึมๆ” กองเท่าภูเขาเลากา ว่าด้วยกระสุนเป็นหมื่นๆ นัด</p>
<p> </p>
<p>ยิ่งน้าตู่กับน้าปุ้มปุ้ยแตกกันเอง ต่างหาแหล่งทุน คนใกล้ชิดน้าตู่กับน้าปุ้มปุ้ยก็แข่งกันเสนอตัวเป็น “ผู้จัดการกองทุนหลักทรัพย์” เพราะอาจได้ “สิทธิพิเศษ” จากการเข้าถึงกองทุน แต่ “นายทุน” ปวดตับรุนแรง ไม่รู้จะลงหุ้นเท่าใดและแบ่งลงให้แต่ละฝ่ายเท่าใด??</p>
<p> </p>
<p>ข้างประชาธิปัตย์ เมื่อพรรคอื่นเขาว่ากันด้วยกระสุนหมื่นนัด แต่ประชาธิปัตย์มีจำกัดจำเขี่ยระดับพัน แค่เจือจานลูกพรรคก็ได้ไม่ครบคน ทุกคนรู้แก่ใจว่าไม่อาจเข้าสู่สนาม Big Money กับเขาได้เต็มกำลัง</p>
<p> </p>
<p>เงินจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาธิปัตย์เปลี่ยนแปลง เพราะใครๆ เขาก็ใช้กัน-- “ผู้จัดการกองทุนหลักทรัพย์” กลายเป็นคนใหม่ที่ใครๆ ก็เห็นความสำคัญ ดังที่น้าชวนโอดครวญ!!</p>
<p style="margin:0in; text-align:justify"> </p>
<p><strong>ประการที่แปด ประการสุดท้าย ประชาธิปัตย์ยุคใหม่จะเอาอะไรไปขาย?</strong></p>
<p>ปัญหาใหญ่ที่สุดของประชาธิปัตย์ยุคใหม่ คือ ประชาธิปัตย์จะเอาอะไรไปขาย สมัยน้าควง เอาการต่อสู้กับเผด็จการไปขาย สมัยน้าชวนเอาการยึดหลักการกฎหมายและวาทศิลป์ไปขาย สมัยอภิสิทธิ์เอาความรูปหล่อ การเป็นนักเรียนนอกและการมีวิสัยทัศน์ ปฏิภาณไหวพริบไปขาย</p>
<p style="margin:0in; text-align:justify"><strong>ประชาธิปัตย์ชุดใหม่จะขายอะไรดี? ความเป็นพรรคพวก ใจถึงพึ่งได้ หรือพูดคำไหนเป็นคำนั้น?</strong>
</p>
<p>ถามต่อว่าจะสู้ด้วย “กระสุน” อย่างเดียวหรือจะเอา “กระแส” ด้วย จะขยายตลาดการเมืองออกไปให้กว้างกว่าที่ผ่านมาไหม? เตรียมทีมไว้แล้วหรือยัง? หรือมีทีเด็ดแล้ว แต่ยังไม่เปิดเผย—กะเซอร์ไพร้ส์ทีเดียว!!</p>
<p><strong>สุดท้าย หากขายกระแสไม่ได้ แถมยิงจนกระสุนหมดคลัง แล้วถากรักแร้ศัตรู แฉลบออกข้างหมด จะทำยังไง --ปิดบริษัทดีไหม? แล้วใครจะชำระหนี้คงค้าง -–ยังไงก็อย่าให้ถึงมือน้าชวน...เสียงนุ่มๆ ของแกมันบาดใจเหลือเกิ๊น...!!!</strong></p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">บทคว
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2023/12/107329