ประคำเป็นเครื่องมือให้รู้จำนวนที่สวดมนต์ เคยสวดได้ 108 จบ ก็แสดงว่ามีความพยายามมาก สมาธิตั้งได้นาน มีขันติดี ถ้าวันใดสวดไม่ถึง 108 จบ เกิดอาการเบื่อหน่ายก่อน มันก็หมายถึงวันนั้นมีสมาธิน้อย ไม่อยากสวดมนต์แล้ว ขี้เกียจ ถ้ามีความพยายามสวดจนถึง 108 จบ ก็แสดงว่าเอาชนะความเกียจคร้านได้
ขณะที่สวดมนต์ไป จิตรู้ตามคำที่สวดไปเรื่อย ๆ จิตก็ตั้งมั่นรับรู้แต่คำที่สวดอย่างเดียว ไม่ส่งจิตไปที่อื่น นั่นคือ เกิดอารมณ์เดียว สติตั้งมั่นอยู่กับสิ่งเดียว เราเรียกว่า สมาธิ ก็จำไว้ให้ดี อารมณ์อย่างนี้เรียกว่า สมาธิ เมื่อสวดมนต์ทุกวัน สมาธิเกิดได้เร็ว จนแม้ถึงขนาดตั้ง นะโม สมาธิก็เกิดแล้ว นั้นก็คือ เรากำหนดสมาธิได้เร็วขึ้น
จิตที่เป็นสมาธิ อารมณ์เป็นอย่างไร ย่อมรู้ได้ด้วยตัวเอง เมื่อตั้งสมาธิได้ก็หมั่นพิจารณาธรรม หรือแก้ปัญหาต่าง ๆ อบรมจิตใจตัวเอง ให้รู้เท่าทัน " ตัณหา " ที่มันจะมาหลอกล่อให้เป็นทุกข์ในโลก เมื่อเรารู้ทัน มีสติปัญญาพิจารณาก่อนทำ ก่อนคิด ก่อนพูด ไม่หลงไปติดในเรื่องที่จะทำให้เกิดความทุกข์ (กิเลส) เราก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ มีแต่สุข รู้เท่าทันโลก ไม่ถูกครอบงำ พ้นกระแสโลกในที่สุด.
นี่แสดงว่ายังไม่เข้าใจ
ก่อนอื่นคุณนับประคำทำไม
เพื่อให้ใจสงบไม่ใช่เหรอ
เมื่อสงบแล้วก็หยุดนับไปเอง
เหมือนพายเรือ ไปถึงฝั่งแล้วก็หยุดพาย
จิตแลใจนี้....ทุกผู้ทุกคนย่อมจะมีจริต นิสัย อัชยาสัย.....ในการเข้าถึงธรรมที่ต่างกัน
สมาธิ.....ก็ย่อมต้องการความสงบระงับ หยุดแลนิ่งของจิต....ใจ
ไม่ว่าวิธีไหน ถ้าสงบระงับ มีศีลเป็นบาทเบื้องต้น....ละ เลิก รัก โลภ โกรธ หลง ก็ใช้ได้ทั้งนั้น
ส่วนที่ว่า จะเห็นอะไรได้ไหม....ก็ต้องอยู่ที่ว่า ตั้งใจหรือต้องการจะเห็นอะไร !
ถ้าต้องการเห็น จิตแลใจ ก็ต้องเจริญสมาธิ มีสติ...สัมปชัญญะ พิจารณาถูกหลัก จะนั่งนับลูกประคำ
หรือไม่นั่งนับลูกประคำ ก็สามารถเห็นได้ทั้งนั้น....ก็ต้องจับจิตแลใจโดยการเจริญสติ...ผู้รู้กับสิ่งที่ไปรับรู้
โดยสติปัฏฐานสี่ ก็มี กาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณาถึงกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมฯ
เป็นต้น ก็บางทีผู้ที่มีวาสนามาแต่หนหลัง อดีตชาติสะสมบุญบารมีมามาก ก็อาจเกิดเห็นภาพ
นิมิต ต่างๆนาๆ ได้ก็มีเหมือนกัน...บ้างก็ตามอารมณ์ สิ่งที่ไปรู้ ตัวนึก ตัวคิด พอ สมาธิ...สติเผอญไป
ก็ปรุงแต่งเป็นสัญญาฯ ภาพ ปรากฏขึ้น หลอกลวง ยึดถือ ว่าเป็นจริงเป็นจังแล้วไปยึดติด ยึดมั่นถือมั่น
ก็มีอีกเหมือนกัน ......บางทีไม่เห็นภาพก็มี แล้วก็ไปยึดว่าแบบนี้ นั้น ดี ซึ่งก็แล้วแต่อุบายธรรมในการฝึกฝน
ตัวเอง ของใครของมันหรือต้องตามแต่การฝึกจากครูบาอาจารย์ที่รับรู้มา....ตามถนัดชอบพอ
บ้างก็ฝึกตรง....ฝึกเพ่ง นึกถึง นิมิตเป็นอารมณ์หรือกสิณ ก็สามารถนึกเห็นภาพ ที่ต้องการปรากฏได้
ซึ่งก็ต้องฝึกกสิณให้ตรงต่อการเกิดทิพย์จักษุ คือ กสิณแสงสว่าง กสิณไฟ กสิณสีขาว ถึงจะเป็นไป
ตามต้องพึงประสงค์นั้นๆ...นอกเหนือจากนี้แล้ว เกิดขึ้นเองได้ยาก ถ้าไม่มีบุญบารมี วาสนามาแต่
ครั้งเมื่ออดีตชาติ....(ก็ต้องสังเกตุสังการ เอาเอง) ส่วนถ้าไม่ได้ฝึกกสิณโดยตรง โอกาสแห่งการรู้เห็น
ในภาพนิมิตที่ปรากฏมัก ฟุ้ง ปรุงแต่งเสียเป็นส่วนมาก...บางคณาจารย์จึงตัดไม่ให้สนใจในนิมิตนั้น
(ตัดไฟแต่ต้นลม) ซึ่งผู้ที่เห็นจริง ได้จริง ก็มักจะรู้จะเห็นเฉพาะตัวเฉพาะตนไม่ค่อยนิยมบอกใครๆ...!
ส่วนผู้ที่มักพูดหรือโฆษณา...ก็มักจะไม่ค่อยจริงหรือเห็นนั้นเห็นจริง แต่จริงที่เห็นมักไม่จริง เป็นต้น
ถ้าถนัดในการใช้ลูกประคำ จงทำต่อไป ไม่อยากให้เปลี่ยนแนวทาง เพราะทำแล้ว
จิตสงบได้ ขออนุโมทนาครับ
หรือถ้่าอยากเปลี่ยนแนวฝึก แนะนำให้ใช้ลูกประคำ นำไปก่อน นำไปก่อนนะครับ
เช่น นับไปได้ครึ่ีงรอบ แล้วถือลูกประคำไว้ เปลี่ยนจิตแบบลมหายใจ หรือกสิณ
คือถ้าอยากเปลี่ยนแนว ให้เอาสิ่งที่ชำนิชำนาญเดิม ค่อย ๆ ปน ค่อย ๆ แทรก
กรรมฐานทุกอย่าง อย่าไปติดพิธีกรรม
เครื่องมือเป็นเพียงอุปกรณ์ ที่ใช้ในอุบาย
จิตของคุณต่างหาก ที่เป็นคนนำ หรือผู้นำ
จิตนำกรรมฐาน ไม่ใช่ให้กรรมฐานนำจิต board.palungjit.com/f4/ถ้าเราใ ...
นาๆคำตอบ ข้อคิดเห็นเกี่ยวลูกประคำค่ะ นำมาฝาก...