วัดหนองบัว เมืองน่าน
วัดหนองบัว เป็นวัดที่เก่าแก่ประจำหมู่บ้านหนองบัว ต.ป่าคา อ.ท่าวังผา จ.น่าน วัดแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งผลงานทางสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมชิ้นเอกของเมืองน่าน จากคำบอกเล่ากล่าวว่า วัดนี้สร้างขึ้นในราว พ.ศ.๒๔๐๕(สมัยรัชกาลที่ ๔) โดย ท่านสุนันต๊ะ (ครูบาหลวง) เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงนำชาวบ้าน สร้างขึ้นเป็นวัดประจำ หมู่บ้านหนองบัว สิ่งที่น่าสนใจในวัดหนองบัว คือจิตรกรรมฝาผนัง ที่ได้สะท้อนให้ เห็นสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการแต่งกาย ของผู้หญิงที่นุ่งผ้าซิ่นที่สวยงาม นับว่ามีคุณค่าทางศิลปะและความสมบูรณ์ของ ภาพใกล้เคียงกับภาพจิตรกรรมฝาผนังของวัดภูมินทร์ในเมืองน่าน เชื่อกันว่า ภาพเขียนฝาผนังในวัดหนองบัวแห่งนี้ เขียนขึ้นด้วยช่างสกุลเมืองน่านผู้เดียวกัน กับผู้เขียนภาพฝาผนังในวัดภูมินทร์ |
วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร
พระประธานยิ้มรับฟ้า เป็นพระพุทธรูปเนื้อทองสำริด ปางสมาธิ หน้าตักกว้าง ประมาณ ๔ ศอกเศษ เบื้องพระพักตร์มีรูปพระสาวก ๓ องค์ นั่งประนมมือดุจ รับพระพุทธโอวาท พระประธานองค์นี้ได้รับการยกย่องว่างดงามมาก จนปรากฏ ว่าครั้งหนึ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ได้มีพระราชดำรัสแก่ผู้เข้าเฝ้าฯ ใกล้ชิดว่า ไปวัดไหน ไม่เหมือนมาวัดระฆังพอเข้าประตูโบสถ์พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที ด้วยเหตุนี้ จึงทรงถวายเครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตนราชวราภรณ์ และมหาปรมาภรณ์ ช้างเผือกแด่พระประธานองค์นี้เป็นพิเศษ และพระประธานองค์นี้ก็ได้นามว่า พระประธานยิ้มรับฟ้า ตั้งแต่นั้นมา |
วัดพระธาตุช่อแฮ วัดคู่บ้านคู่เมืองแพร่
วัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง เป็นวัดที่ตั้งอยู่เนินเขาเตี้ยสูงประมาณ ๒๘ เมตร องค์พระธาตุช่อแฮเป็นเจดีย์ศิลปะเชียงแสนแบบแปดเหลี่ยม บุด้วยทองดอกบวบหรือทองจังโก พระธาตุช่อแฮ เป็นพระธาตุ ๑ ใน ๑๒ ราศี คือ เป็นพระธาตุประจำปีเกิดสำหรับคนที่เกิดปีเสือ (ปีขาล)
พระธาตุช่อแฮมีตำนานประวัติความเป็นมากล่าวไว้หลายทางด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น ตำนานพระธาตุช่อแฮในพระราชพงศาวดารว่าด้วยกรุงสุโขทัย ดังนี้
พระราชพงศาวดารว่าด้วยกรุงสุโขทัย หอสมุดแห่งชาติ กล่าวถึงวัดพระธาตุช่อแฮว่า สร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ.๑๘๗๙-๑๘๘๑ ในสมัยที่พระมหาธรรมราชา (ลิไท) ยังเป็นพระมหาอุปราชซึ่งครองเมืองศรีสัชนาลัยอยู่ในครั้งนั้น พระองค์โปรดให้สร้างสถานที่สำคัญทางศาสนาตามที่ปรากฏในพุทธประวัติในที่ต่างๆ รวมทั้งที่เมืองแพร่ซึ่งอยู่ในขอบขัณฑสีมาของกรุงสุโขทัย พระมหาธรรมราชาลิไทพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุแก่ขุนลัวะอ้ายก้อมให้นำมาบรรจุไว้ในฐานเจดีย์ เมื่อขุนลัวะอ้ายก้อมมาถึงบริเวณดอยโกสิยธชัคคะเห็นว่าทำเลดีจึงสร้างเจดีย์ขึ้น และนำผอบพระบรมสารีริกธาตุบรรจุไว้ในสิงห์ทองคำ สร้างแท่นที่ตั้งผอบด้วยเงินและทอง แล้วตั้งสิงห์ทองคำไว้โดยโบกปูนทับอีกชั้นหนึ่ง หลังจากนั้นก็จัดงานบำเพ็ญกุศลเฉลิมฉลอง ๗ วัน ๗ คืน วัดต้นเกว๋น เชียงใหม่
วัดอินทราวาส เดิมชื่อ วัดต้นเกว๋น ซึ่งเป็นชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่งทางเหนือเรียกว่า ต้นป่าเกว๋น สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๙ ตามประวัติวัดแจ้งว่า วัดนี้สร้างขึ้นประมาณ จ.ศ.๑๒๑๘ หรือ พ.ศ.๒๓๙๙ สมัยพระเจ้ากาวิโลรส สุริยวงค์ เป็นเจ้าหลวงปกครองเมืองเชียงใหม่ วัดนี้มีความสำคัญในอดีต คือเป็นที่พักขบวนพระบรมธาตุศรีจอมทอง จากอำเภอจอมทองมาที่เชียงใหม่ ในอดีตเป็นประเพณีที่เจ้าหลวงเมืองเชียงใหม่มีการสรงน้ำพระธาตุ คือจากวัดพระธาตุจอมทองมาก็เดินทางมาด้วยขบวนช้าง ขบวนม้า แล้วแวะมาที่วัดต้นเกว๋นให้ประชาชนบริเวณนี้สรงน้ำพระธาตุศรีจอมทอง ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน
ลักษณะสถาปัตยกรรมของวิหารวัดต้นเกว๋น เป็นศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมล้านนา ที่งดงามและทรงคุณค่า วิหารเป็นวิหารแบบล้านนาโบราณ หน้าบันประดับด้วยกระจกแก้วสีแบบฝาตาผ้าหรือฝาปะกนโก่งคิ้วจำหลักไม้ลายเครือเถาสอดสลับรูปเศียรนาค มีลายปูนปั้นรูปเทพพนมและดอกไม้อยู่ที่หัวเสา ด้านหน้าบัน ปีกนกเกาะสลักเป็นเศียรนาคในลายเครือเถาผสมกนก ตีช่องตารางเพื่อระบายอากาศ ปั้นลมและหางหงส์แกะรูปมกรคายนาค คันทวยหูช้างจำหลักไม้เป็นรูปกินนรีฟ้อนรำ ที่มา : ศูนย์สถาปัตยกรรมล้านนา
พระศรีศาสดา
การสร้างพระพุทธรูปทั้ง ๓ พระองค์ ของเมืองพิษณุโลกนั้น มีตำนานกล่าวไว้ว่า พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกมหาราช แห่งเมืองเชียงแสน เสด็จมาตีเมืองสองแควได้ จึงทรงสร้างเมืองสองแควขึ้นใหม่ พระราชทานนามว่า เมืองพิษณุโลก ทำนองว่าเป็นเมืองอันพระวิษณุกรรมเสด็จลงมาสร้าง ครั้นสร้างพระนครเสร็จแล้ว มีพระราชศรัทธาสร้างวัดวาอาราม มีวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเป็นพระอารามหลวง แล้วทรงหล่อพระพุทธรูปสามองค์ ได้แก่ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา โปรดให้ประดิษฐานพระพุทธชินราช ณ พระวิหารใหญ่ ทิศตะวันตกของพระมหาธาตุประดิษฐานพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ณ พระวิหารใหญ่ทิศตะวันออก ทางทิศเหนือองค์หนึ่ง ทิศใต้องค์หนึ่ง พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดาจนกระทั่งมีการอัญเชิญลงมากรุงเทพฯ ทั้งสององค์ คือพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา
พระศาสดา สร้างคราวเดียวกับพระพุทธชินราช และพระพุทธชินสีห์ ได้ประดิษฐานอยู่ในวิหารด้านทิศใต้ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุมาแต่ต้น ต่อมาพระวิหารชำรุดไม่มีผู้ปฏิสังขรณ์ จึงได้อัญเชิญพระศาสดามาไว้ที่วัดบางอ้อช้าง ทางแม่น้ำอ้อม จังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่ต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติปฏิสังขรณ์วัดประดู่ คลองบางหลวง จึงได้ขออัญเชิญพระศาสดาไปเป็นพระประธาน
ล่วงมาถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง พระราชดำริว่า "พระศาสดา"เป็นพระพุทธรูปอยู่ที่พระอารามหลวงมาแต่โบราณ ไม่สมควรอยู่ที่วัดอื่น จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่มุขหน้าพระอุโบสถวัดสุทัศน์เทพวราราม เมื่อ พ.ศ.๒๓๙๖ ต่อมาได้ทรงพระราชดำริว่า พระศาสดาและพระพุทธชินสีห์ เคยประดิษฐานอยู่ในพระอารามเดียวกันที่เมืองพิษณุโลก จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารขึ้นในวัดบวรนิเวศวิหาร แล้วอัญเชิญพระศาสดาจากวัดสุทัศน์ฯ ไปประดิษฐานไว้ในพระวิหารนั้น เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๖ ที่มา : เวปไซต์วัดบวรฯ
วัดพระธาตุลำปางหลวง
ตามตำนานกล่าวว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระเถระสามองค์ได้เสด็จจาริกไปตามบ้านเมืองต่างๆ จนถึงบ้านลัมภะการีวัน หรือ บ้านลำปางหลวงในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าได้ประทับเหนือดอยม่อนน้อย มีชาวลัวะคนหนึ่งชื่อลัวะอ้ายกอน เกิดความเลื่อมใส ได้นำน้ำผึ้งบรรจุกระบอกไม้ป้างมะพร้าว และมะตูมมาถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ฉันน้ำผึ้งแล้วทิ้งกระบอกไม้ป้างไปทางทิศเหนือ แล้วทรงพยากรณ์ว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปจะมีชื่อว่า ลัมพกัปปะนครแล้วได้ทรงลูบพระเศียรได้พระเกศามาหนึ่งเส้น มอบให้แก่ลัวะอ้ายกอนผู้นั้น ลัวะอ้ายกอนได้นำพระเกศานั้นบรรจุในผอบทองคำ และใส่ลงในอุโมงค์พร้อมกับถวายแก้วแหวนเงินทองเป็นเครื่องบูชา แล้วแต่งยนต์ผัด(ยนต์หมุน) รักษาไว้ และถมดินให้เรียบเสมอกัน แล้วก่อเป็นพระเจดีย์สูงเจ็ดศอกเหนืออุโมงค์นั้น ในสมัยต่อมาก็ได้มีกษัตริย์เจ้าผู้ครองนครลำปางอีกหลายพระองค์มาก่อสร้างและบูรณะซ่อมแซม จนกระทั่งเป็นวัดที่มีความงามอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ในทางประวัติศาสตร์นครลำปาง วัดพระธาตุลำปางหลวงมีประวัติว่า เมื่อปี พ.ศ.๒๒๗๕ นครลำปางว่างจากผู้ครองนคร และเกิดความวุ่นวายขึ้น สมัยนั้นพม่าเรืองอำนาจได้แผ่อิทธิพลปกครองอาณาจักรล้านนาไว้ได้ทั้งหมด พม่าได้ยึดครองนครเชียงใหม่ ลำพูน โดยแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์พม่า ท้าวมหายศเจ้าผู้ครองนครลำพูนได้ยกกำลังมายึดนครลำปาง โดยได้มาตั้งค่ายอยู่ภายในวัดพระธาตุลำปางหลวง ครั้งนั้น หนานทิพย์ช้าง ชาวบ้านปงยางคก (ปัจจุบันอยู่อำเภอห้างฉัตร) วีรบุรุษของชาวลำปาง ได้รวบรวมพลทำการต่อสู้ทัพเจ้ามหายศ โดยลอบเข้ามาในวัด และใช้ปืนยิงท้าวมหายศตาย แล้วตีทัพลำพูนแตกพ่ายไป ปัจจุบันยังปรากฏรอยลูกปืนอยู่บนรั้วทองเหลืองที่ล้อมองค์พระธาตุเจดีย์ ต่อมาหนานทิพย์ช้างได้รับสถาปนาขึ้นเป็น พระยาสุลวะลือไชยสงคราม เจ้าผู้ครองนครลำปาง และเป็นต้นตระกูล ณ ลำปาง เชื้อเจ็ดตน ณ เชียงใหม่ ณ ลำพูน ณ น่าน
สำหรับกู่พระเจ้าล้านทอง ตั้งอยู่บริเวณท้ายวิหารหลวง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปคือพระเจ้าล้านทอง ส่วนบนของกู่เป็นแบบผสมระหว่างหลังคาลาดกับหลังคาลดชั้น องค์ประกอบต่างๆ รวมทั้งลวดลายปั้นประดับมีอยู่อย่างมากมาย แสดงให้เห็นถึงแบบแผนของงานประดับในช่วงเวลานั้นด้วยวิหารน้ำแต้ม วัดพระธาตุลำปางหลวง
วิหารน้ำแต้ม หรือวิหารภาพเขียนสี (แต้ม แปลว่า ภาพเขียน) ในวัดพระธาตุลำปางหลวง ตำบลลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๐๔๔ เป็นวิหารที่เก่าแก่แห่งหนึ่งทางภาคเหนือ
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม วิหารน้ำแต้มเป็นวิหารขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือขององค์พระธาตุลำปางหลวง หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เป็นวิหารโถงขนาด ๕ ห้อง มีผนังปิดทึบเฉพาะห้องท้ายวิหารที่ยกเก็จออกไปเท่านั้น แผงผังโดยทั่วไปของวิหารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มียกเก็จออกทางด้านหน้า ๒ ช่วง ด้านหลัง ๑ ช่วง ฐานที่รองรับตัววิหารเป็นพื้นปูนยกสูงขึ้นมา หลังคาเป็นทรงแบบล้านนาเรียกว่า ขื่อม้าตั่งไหม หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินลดหลั่นเป็นชั้นลงมา ชายคาของหลังคาด้านข้างคลุมลงมาต่ำมากจึงทำให้รูปทรงของวิหารดูค่อนข้างเตี้ย เพื่อกันน้ำฝนและแสงแดด
ด้านจุดเด่นของวิหารนั่นก็คือภาพจิตรกรรมศิลปะล้านนาบนแผงไม้คอสองที่กล่าวกันว่าเก่าแก่ที่สุด และเหลือเพียงแห่งเดียวในเมืองไทย ซึ่งหาดูได้ยากมาก ภาพจิตรกรรมนี้อายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา แต่ปัจจุบันภาพเขียนลบเลือนไปมากแล้ว
บนแผ่นไม้แผงคอสองของวิหาร เป็นเรื่องท้าวสักกะเรื่องพระนางสามาวดี ซึ่งเป็นนิทานธรรมบท ทั้งสองเรื่องเป็นนิทานอธิบายพระสูตในพระไตรปิฎกที่พระพุทธโฆษาจารย์ แปลจากภาษาลังกา เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๐ สันนิษฐานว่า แพร่หลายเข้ามาในไทยพร้อมกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ –๒๐
โดยนักวิชาการสันนิษฐานจากรูปแบบศิลปะและตัวอักษรธรรมล้านนาที่อธิบายประกอบภาพ รวมทั้งเอกสารตำนานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่า ภาพเขียนในวิหารน้ำแต้มได้รับอิทธิพลจากศิลปะพุกาม ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๒ – ๒๓
เรียกได้ว่าวิหารแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เมื่อมาถึงลำปางแล้ว ต้องไปดูตัววิหารที่สร้างแบบฉบับโครงสร้างล้านนาที่สวยงามยิ่ง รวมถึงจิตรกรรมฝาผนังบนแผ่นไม้ที่เก่าแก่ ที่ช่างบรรจงวาดออกมาเพื่อเป็นธรรมะสอนใจแก่คนที่ได้พบเห็น เพราะสิ่งเหล่านี้หาดูได้ยากยิ่งนัก และเป็นสิ่งที่เราควรอนุรักษ์ไว้พระวิหารลายคำสุชาดาราม วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม
วิหารลายคำสุชาดาราม สร้างขึ้นในสมัยของเจ้าวรญาณรังษี เจ้าผู้ครองนครลำปางในสมัยนั้น โดยฝีมือของช่างเชียงแสน สร้างขึ้นในระหว่างปี พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๕๒ เมื่อครั้งชาวเชียงแสนถูกกวาดต้อนมาอยู่เป็นชุมชนในเมืองเขลางค์ ตัววิหารมีขนาดว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๒๕ เมตร ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสีหเชียงแสน ซึ่งเป็นพระประธานหน้าตักกว้าง ๕ เมตร
อนึ่งภายในวิหารมีจิตรกรรมฝาผนังภาพทศชาติและพุทธประวัติซึ่งประดับลวดลายทองในส่วนต่างๆ อย่างวิจิตรพิสดาร ต่อมาได้บูรณะเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๕ และบูรณะครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๓ ประกาศขึ้นทะเบียนและกำหนดในราชกิจจานุเษกษา เล่มที่ ๙๗ ตอนที่ ๑๕๙ ลงวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๒๓
พระวิหารลายคำสุชาดา เป็นอาคารชั้นเดียวยกพื้นครึ่งปูนครึ่งไม้ กว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๒๗ เมตร ด้านหน้าหันไปทางทิศตะวันออก โครงสร้างพระวิหารเป็นแบบ “ม้าตั่งไหม” ที่มีการถ่ายทอดน้ำหนักจากหลังคาวิหารลงมาตามส่วนของขื่อต่างๆ ลงสู่เสาและหลังคาปีกนกด้านล่าง ๒ ข้าง ซึ่งเป็นลักษณะอาคารที่จำเพาะกับกษัตริย์หรือเจ้าเมือง ส่วนของหลังคาเป็นการยกซ้อนของไม้เป็นสามชั้นสามระดับ เพื่อประกอบเป็นหลังคาของห้องประธาน ส่วนหน้าซ้อนสามชั้น และส่วนหลังซ้อนกันเป็นสองชั้น มีเสารองรับหลังคาทั้งหมด การประกอบส่วนของหลังคาทั้งหมดใช้ลิ่มไม้เป็นตัวยึด ไม่มีการใช้ตะปู เสาและขื่อเขียนลายทองในเป็นที่มาของชื่อวิหารลาย(ทอง)คำ ขื่อและโครงรับจั่วหลังคาซ้อนกันเหมือนวางซ้อนเก้าอี้ หลังคาไม่มีเพดานทำให้เห็นกระเบื้องดินเผา พื้นที่ภายในพระวิหารแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนประธานเป็นส่วนที่ประดิษฐานพระพุทธสีหะเชียงแสน ระหว่างห้องประธานและส่วนหน้ามีฝาปิด ตามเสาและขื่อลงรักดำ (ฮัก) และชาด (หาง) ปิดทองเป็นลวดลายพรรณพฤกษา ฝาผนังเป็นเรื่องราวในชาดก และเรื่องนรก ส่วนหลังคาลาดต่ำ หน้าต่างด้านขวาแคบเล็ก หน้าต่างด้านซ้ายเป็นลูกกรงลูกมะหวด การทำหน้าต่างแคบในลักษณะเช่นนี้เพื่อรักษาความอบอุ่นของอาคารในหน้าหนาว ด้านหน้าประกอบด้วยราวบันได และสิงห์ปูนปั้นคู่ประดับเหนือบานประตู
พระวิหารลายคำสุชาดา ถือเป็นตัวอย่างสำคัญของการอนุรักษ์ศาสนสถานที่ทรงคุณค่าทางด้านศิลปะที่สะท้อนภาพวิถีชีวิตแบบล้านนา และวัฒนธรรมของภาคเหนือได้เป็นอย่างดี สามารถรักษาองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมของพระวิหารซึ่งมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเอาไว้ได้อย่างน่าชื่นชม ที่มา : สมาคมสถาปนิกสยามฯ
วัดคะตึกเชียงมั่น ลำปาง
วัดคะตึกเชียงมั่น ตั้งอยู่เลขที่ ๖๑ บ้านเชียงมั่น ถนนทิพย์ช้าง ตำบลหัวเวียง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง วัดคะตึกเชียงมั่น สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๒๘๗ โดยเจ้าคำโสม สันนิฐานว่าสร้างเมื่อครั้งมีการย้ายเมืองเขลางค์มายังฝั่งเมืองใหม่ ตรงข้ามกับที่ตั้งเดิม อันเป็นที่ตั้งเมืองลำปางปัจจุบัน แต่เดิมบริเวณนี้มีอยู่ ๒ วัด ได้แก่ วัดคะตึก และวัดเชียงมั่น ต่อมาได้รวมเป็นวัดเดียวกัน ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๕๑๘ การบริหารและการปกครอง มีเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันคือ พระครูสุวิมลธรรมานุสิฐ และพระสมุห์คำมูล มุนิวังโส เป็นรองเจ้าอาวาส
วัดนี้ถือเป็นวัดวิหารหลวงของจังหวัดลำปางอีกวัดหนึ่ง ซึ่งอยู่คู่ชาวลำปางมาหลายชั่วอายุคน วัดคะตึกเชียงมั่น สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินวัดมีเนื้อที่ ๓ ไร่ ๓ งาน ๔๐ ตารางวา อาณาเขตทิศเหนือ ประมาณ ๕๒ วา จดถนนทิพย์ช้าง ทิศใต้ ประมาณ ๕๒ วา จดสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองหลังเก่า ปัจจุบันเป็นสำนักงานศูนย์พิสูจน์หลักฐาน ๕ ทิศตะวันออกประมาณ ๓๙ วา จดวัดบุญยืน ทิศตะวันตกประมาณ ๓๙ วา จดที่ทำการไปรษณีย์ลำปาง อาคารเสนาสนะประกอบด้วย อุโบสถ ศาลาการเปรียญและกุฏิ จำนวน ๕ หลัง ปูชนียวัตถุมีพระพุทธมงคลนิมิตเป็นพระประธานในพระอุโบสถ ซึ่งเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๒๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงตัดลูกนิมิต ณ อุโบสถวัดคะตึกเชียงมั่นด้วย ซึ่งมี พระอินทวิชยาจารย์ เจ้าอาวาสในสมัยนั้น ถวายการต้อนรับ และวิหารเครื่องไม้ที่ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของกรมศิลปากร ที่มีอายุเก่าแก่มาถึงปัจจุบันถึง ๑๘๑ ปี
วิหารเครื่องไม้สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างขึ้นในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๕ เป็นวิหารล้านนาที่เก่ามาก โครงสร้างเป็นเครื่องไม้ทั้งหมด หลังคาจั่วซ้อนชั้น วิหารโล่ง เป็นลักษณะวิหารล้านนาสกุลช่างลำปาง หลังคาเดิมมุงด้วยดินขอ ได้มาเปลี่ยนเป็นกระเบื้องหน้าวัวในภายหลังวิหารเครื่องไม้ ปรากฏในศิลาจารึกด้านหลังของวิหาร โดยมีข้อความระบุว่าสร้างขึ้นใน พ.ศ.๒๓๗๕ บูรณะครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๒ เป็นวิหารเครื่องไม้ขนาดกว้าง ๓ ห้อง ยาว ๕ ห้อง หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเป็นวิหารกึ่งเปิด ที่เปิดโล่งด้านหน้า และด้านข้าง เฉพาะสองช่วงเสาจากด้านหน้า ส่วนด้านข้างตั้งแต่ห้องที่สามไปจนถึงท้ายวิหารจะเป็นผนังทึบ แผนผังของวิหารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มียกเก็จออกทางด้านหน้า ๒ ช่วง ด้านหลัง ๑ ช่วง ซึ่งสัมพันธ์กับการลดชั้นของหลังคา ที่มีการลดทางด้านหน้า ๓ ชุด ด้านหลัง ๒ ชุด รวมถึงยังมีการซ้อนผืนหลังคา ๒ ชั้น(ตับ) ปัจจุบันกระเบื้องดินเผา (ดินขอ) ได้ถูกซ่อมแซมเปลี่ยนเป็นกระเบื้องซีเมนต์สีขาวรูปขนมเปียกปูนนับ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๒
กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน และกำหนดขอบเขตในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๙๗ ตอนที่ ๑๕๙ ลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๒๓ ประกาศ ณ วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๓ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็ได้เป็นพระอารามหลวงกลางเมืองลำปาง เป็นที่ทำบุญสร้างกุศลให้กับศรัทธาญาติโยมมาตลอดระยะเวลาที่ยาวนานวิหารพระพุทธ วัดพระธาตุลำปางหลวง
วิหารต่างๆในวัดพระธาตุลำปางหลวงมีอายุหลายร้อยปี เป็นแหล่งชุมนุมศิลปกรรมแบบล้านนาหลากรูปแบบ ตั้งแต่พระพุทธรูป ลายทองประดับ ปูนปั้น จนถึงจิตรกรรม
นอกจากวิหารหลวงแล้ว ภายในเขตพุทธาวาสยังมีวิหารอีก ๔ หลัง ได้แก่ วิหารพระพุทธ วิหารพระเจ้าศิลา วิหารต้นแก้ว และวิหารน้ำแต้ม อีกทั้งยังมีอาคารอื่นๆ อาทิ อุโบสถ หอพระพุทธบาท
ทางทิศใต้ของพระธาตุเจดีย์เป็นที่ตั้งของวิหารพระพุทธ หรือวิหารลายคำ โดดเด่นด้วยลายประดับสีทองบนพื้นสีแดง ทั้งบนผนังด้านนอก-ด้านใน และต้นเสา นับเป็นตัวอย่างลวดลายลงรักปิดทองแบบล้านนาที่หาชมได้ไม่มากแห่งนัก สันนิษฐานว่า วิหารพระพุทธสร้างในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ผ่านการบูรณะซ่อมแซมเรื่อยมา ตัวอาคารมีขนาด ๕ ห้อง สร้างครึ่งปูนครึ่งไม้ ปิดล้อมด้วยผนังโดยรอบ ช่วงห้องหน้าเป็นมุขโถง ล้อมด้วยกำแพงเตี้ยๆ หลังคาลดชั้นด้านหน้าและหลัง ด้านละ ๑ ชั้น แต่ละชั้นมีผืนหลังคา ๒ ตับ ประตูทางเข้าหลักมีซุ้มประตูก่ออิฐถือปูน เป็นซุ้มซ้อน ๓ ชั้น ประดับลวดลายปูนปั้นลงรักปิดทอง กรอบซุ้มเป็นวงโค้งกรอบหยัก ปลายกรอบซุ้มเป็นรูปตัวเหงา หน้าบันใต้กรอบซุ้มเป็นลายใบไม้ หน้าบัน คำช่างล้านนาเรียกว่า หน้าแหนบ ประดับด้วยลายแกะไม้ประดับกระจกจีน เป็นลายประเภทพรรณพฤกษา ดอกไม้ใบไม้ ลายประแจจีน
พระประธานประดิษฐานในห้องที่สี่ของวิหาร ช่วงเสาคู่หน้าพระประธานมีการทำหน้าแหนบ หน้าแหนบปีกนก ด้านล่างของหน้าแหนบทั้งสองมีโก่งคิ้ว ทั้งหมดนี้ช่วยขับเน้นความโดดเด่นของพระประธาน
พระประธานมีนามว่า พระเจ้าองค์หลวงเมืองเขลางค์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อพระพุทธ ภายในห้องส่วนนี้ตกแต่งด้วยลายคำ และภาพอดีตพุทธเจ้าวัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร
วัดพระบาทมิ่งเมืองมาจากสองวัดรวมกัน ได้แก่ วัดพระบาท และวัดมิ่งเมือง ตั้งอยู่ห่างกันเพียงมีถนน กั้นเท่านั้น วัดพระบาทเป็นวัดของพระยาอุปราชหรือเจ้าหอหน้า ส่วนวัดมิ่งเมืองเป็นวัดของเจ้าผู้ครองนครแพร่ เมื่อเมืองนครแพร่ถูกล้มเลิกระบบเจ้าผู้ครองนคร วัดทั้งสองก็ถูกทอดทิ้งอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก กระทั่งคณะกรมการจังหวัดเห็นสมควรรวมสองวัดเข้าด้วยกัน ให้ชื่อว่า วัดพระบาทมิ่งเมือง
วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธโกศัยศิริชัยมหาศากยมุนี พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดแพร่ และยังมีพระเจดีย์มิ่งเมือง ซึ่งเป็นเจดีย์เก่าแก่มีรอย พระพุทธบาทจำลองอยู่ภายใน นอกจากนี้วัดนี้ยังเป็นที่ตั้งของอาคารยาขอบอนุสรณ์เพื่อระลึกถึง "ยาขอบ"หรือ นายโชติ แพร่พันธุ์ นักเขียนผู้ล่วงลับไปแล้วซึ่งเป็นทายาทเจ้าหลวงนครเมืองแพร่องค์สุดท้ายขอขอบคุณ
facebook.com/Watwaaa (ที่มาข้อมูล/ภาพ)
ืn.วัดปงยางคก ลำปาง 8/2/96