หัวข้อ: ธรรมอานิสงส์ก่อเจดีย์ทราย เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 13 เมษายน 2558 13:06:35 .
(http://www.sujitwongthes.com/suvarnabhumi/wp-content/uploads/2011/04/รูปภาพ141.jpg) ตุงตัวเปิ้ง หรือ ตุงสิบสองนักษัตร ที่ชาวเชียงใหม่ ปักถวายบนกองเจดีย์ทรายในวัด เนื่องในวันสงกรานต์ เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข เป็นประเพณีที่ผนวกเอา ตุง ที่เชื่อว่ารับมาจากมอญ ปีนักษัตรของจีน แต่ใช้ช้างแทนหมูในปีกุน และสงกรานต์จากพราหมณ์อินเดีย มาผสมเข้าด้วยกัน อานิสงส์ก่อเจดีย์ทราย (http://www.sookjaipic.com/images_upload/39397694915532__3648_3592_3604_3637_3618_3660.gif) อ่านเป็นภาษาล้านนาว่า “ตานเจ๋ดีซาย” คำว่า ตาน แปลว่า ทาน เจ๋ดีย์ คือ เจดีย์ ซาย คือ ทราย รวมความแล้ว ตานเจ๋ดีซาย หมายถึงการถวายทานกองทรายรูปเจดีย์ เทศกาลสงกรานต์ มีประเพณีขนทรายเข้าวัดซึ่งเป็นประเพณีที่มีมาแต่โบราณ อิงตามแนวคิดของ “ข่วงแก้วทั้งสาม” โดยสมมติเอาบริเวณรอบๆ พระวิหารเป็นสีทันดรสมุทรที่ควรขาวสะอาดปูลาดด้วยทรายขาว มีสิเนโรบรรพต ได้แก่พระวิหารหลวงอันเป็นที่ประทับขององค์พระศาสดาคือพระประธาน การขนทรายเข้าวัดมีคติความเชื่อว่า เป็นการสร้างกุศล จึงมีกุศโลบายให้สร้างโดยก่อเป็นพระเจดีย์ซึ่งบางวัดให้สร้างเป็นเจดีย์ขนาดเล็กของใครของมันทั่วบริเวณวัด บางแห่งให้รวมกันสร้างเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่โดยให้ขนทรายมารวมกัน แล้วก่อเป็นเจดีย์องค์ใหญ่ มีการทำกระบะไม้หรือสานไม้ไผ่เป็นสังเวียนซ้อนกันหลายชั้นลดหลั่นกันไป จากฐานขนาดกว้างสุดจนถึงเล็กที่สุดในส่วนยอด เมื่อก่อตามแบบแล้ว จะได้กองทรายที่อยู่ในรูปแบบของ “วาลุกเจดีย์” ที่เรียกว่า “เจดีย์ทราย” เพื่อถวายทานร่วมกัน สำหรับอานิสงส์ของการก่อเจดีย์ทราย มีการผูกเรื่องราวไว้ในคัมภีร์ชื่อ “ธรรมอานิสงส์เจดีย์ทราย” มีใจความโดยสังเขปว่า...ในครั้งที่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นชายเข็ญใจชื่อว่า “ติสสะ” มีอาชีพตัดฟืนขาย วันหนึ่งติสสะได้พบลำธารที่มีหาดทรายสะอาดงดงามนัก จึงได้ทำการก่อทรายเป็นรูปเจดีย์และเพื่อให้เจดีย์นั้นสวยงาม จึงฉีกเสื้อผูกกับเรียวไม้แล้วปักไว้บนยอดกองทรายเป็นรูปธงสัญลักษณ์ แล้วตั้งสัตย์อธิษฐานขอให้ได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เมื่อเวียนว่ายในวัฏสงสารบำเพ็ญบารมีเต็มที่ ก็ได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้าชื่อสมณะโคดมองค์ปัจจุบัน ภาพของธงที่ทำจากเสื้อของติสสะ ทำให้คนล้านนานิยมนำตุงไปปักเจดีย์ทราย ซึ่งตุงที่พบเห็นมักเป็นตุงที่มีลักษณะเป็นพู่ระย้าที่เรียก “ตุงไส้หมู” หรือตุงที่มีรูปนักษัตรที่เรียกว่า “ตุงตั๋วเปิ้ง” ในเช้าของวันพระญาวัน ซึ่งคือวันเถลิงศก คนล้านนาจะนำตุงไปปักที่เจดีย์ทราย ตกสายจะมีการถวายเจดีย์ทรายแด่พระสงฆ์ คนล้านนาจะมาร่วมพิธีกันอย่างพร้อมเพรียง ยังมีคัมภีร์แสดงอานิสงส์โดยตรงที่ชื่อ “ธรรมอานิสงส์ก่อเจดีย์ทราย” อีกฉบับหนึ่ง โดยเนื้อหาจะกล่าวถึงผลบุญมากมาย เช่น จะได้เกิดในตระกูลอันประเสริฐ เลอเลิศด้วยรูปสมบัติ เรืองจรัสในชีวิต ไม่ตกติดในนรก ยกระดับไปเกิดบนสวรรค์ จนถึงขึ้นได้เกิดเป็นพระอินทร์ อีกเหตุผลหนึ่งกล่าวว่าการเข้าไปสู่วัดแล้วออกมา อาจมีเศษทรายติดเท้ามาด้วย คนล้านนาเกรงจะเป็นบาป จึงต้องขนทรายเข้าวัดเป็นการทดแทน ซึ่งก็ถือเป็นกุศโลบายอีกประการหนึ่ง ปัจจุบันยุคสมัยเปลี่ยนไป การขนทรายไม่ค่อยมีให้พบเห็น เพราะบางวัดไม่นิยมให้ลานวัดปูด้วยเม็ดทราย แต่ปูอิฐบล็อกตัวหนอนแทน บางวัดเรี่ยไรเงินจากชาวบ้านไปจ้างรถกระบะขนทรายไปกองที่วัด และบางวัดจัดบริเวณให้ก่อเจดีย์ทรายเพียงเพื่อธำรงไว้ซึ่งอนุสรณ์แห่งประเพณีเท่านั้น ข้อมูล-ภาพ : คอลัมน์ "ล้านนา-คำเมือง" ชมรมฮักตั๋วเมือง สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หนังสือมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ ๑๘๑๘ ประจำวันที่ ๑๐-๑๖ เมษายน ๒๕๕๘ |