มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์
Thailand
กระทู้: 5081
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 7.0
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 15 มิถุนายน 2553 20:43:53 » |
|
๕. พุทธเกษตรในความหมายของจิต และการหลุดพ้น การไปอุบัติยังสุขาวดีพุทธเกษตรนั้น คณาจารย์หลายท่านเชื่อว่าเพียงตั้งปณิธานให้มั่นคง รำลึกถึงพระอมิตาภะ หมั่นประกอบกุศลกรรมเพื่อเป็นพลานิสงส์ให้ได้ไปเกิดยังพุทธเกษตรสุขาวดี ครั้นเมื่อคราวต้องจุติจากภพนี้ไป พระอมิตาภพุทธเจ้าแลปวงพระโพธิสัตว์จักเสด็จไปรับผู้นั้นสู่แดนสุขาวดี ซึ่งทำให้ดูราวกับว่า เป็นการพึ่งพาปัจจัยภายนอกเพียงอย่างเดียว ทำให้พุทธศาสนานิกายอื่น ๆ ไม่ยอมรับคำสอนแบบนี้ จนเคยมีกรณีพิพาธกับนิกายเซน ถึงกับมีคณาจารย์เซนได้กล่าวว่า หากใครเอ่ยนามพระอมิตาภะคำเดียว ต้องปรับให้ไปหาบน้ำมาล้างห้องกรรมฐาน หรือต้องบ้วนปาก สามวัน นอกจากนี้คำสอนแบบภักติมรรคนี้ยังเป็นที่ถกเถียงของคณาจารย์ของพุทธศาสนานิกายอื่น ๆ แม้แต่นิกายหลักอย่างเถรวาท เนื่องจาก ทางพ้นทุกข์ในพระพุทธศาสนานั้น ต้องใช้หลักญาณมรรค ไม่ใช่ทางภักติมรรค ดังนั้นคำสอนในนิกายสุขาวดีก็ไม่เป็นที่ยอมรับในพุทธศาสนาบางนิกาย ครั้นต่อมาได้มีผู้ที่อธิบายหลักธรรมของนิกายนี้ในเชิงปรัชญาเช่นกัน [19] ท่านอาจารย์ฮิวโคยได้อธิบายว่า แท้จริงแล้ว สุขาวดีได้มีอยู่ในจิตของสรรพสัตว์ ส่วนพระอมิตาภะคือ พุทธภาวะที่มีอยู่ในจิตของเรา สุขาวดีเป็นเพียง ธรรมาธิษฐาน มิใช่ว่าจะมีพระอมิตาภะหรือ สุขาวดีที่อยู่นอกเหนือจิตของเรา แม้สุขาวดีจะอยู่ห่างจากโลกธาตุนี้ถึง แสนโกฏิพุทธเกษตร ก็อยู่ในขณะจิตหนึ่งของเรานั่นเอง พระอมิตาภะก็เปรียบดุจจิตธาตุของเรา แต่เพราะถูก อวิทยาบทบังเราจึงไม่สามารถหยั่งรู้ภาวะอันบริสุทธิ์นั้นได้ ส่วนการปรากฏรูปกายแห่งพระอมิตาภะ ที่แตกต่างกันเพียงสัมโภคกายและนิรมาณกาย เท่านั้น ส่วนธรรมกายย่อมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งหมด จึงมีคำกล่าวที่ว่า “ไปก็ไม่มีการไป เกิดก็ไม่มีการเกิด” สำหรับคำอธิบายนี้เป็นคำอธิบายตามแนวของสัทธรรมปุณฑริก ซึ่งเป็นสำนักพุทธมหายานที่มีผู้นับเป็นจำนวนมากสำนักหนึ่ง โดยแนวความคิดที่ว่า มูลธาตุอันแท้จริงของสรรพสัตว์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เรียกว่า เอกจิตธรรมธาตุ ซึ่งในเอกจิตธรรมธาตุนั้นแบ่งเป็น ๑๐ ภูมิ ดังนั้นพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็สถิตอยู่ในใจของปวงสัตว์ ฝ่ายปวงสัตว์เล่าก็สถิตอยู่ในหทัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ดังนั้น พระอมิตาภะก็มิใช่อื่นไกล แท้จริงคือจิตที่ปราศจาก อวิทยาครอบงำของเรานั่นเอง พุทธเกษตรก็คือการแสดงออก และความสัมพันธ์ ในขณะที่จิตอันไม่ถูกครอบงำด้วยมลทิล สัมพันธ์กับโลก โลกนั้นย่อมบริสุทธิ์เพราะเหตุที่จิตบริสุทธิ์ สุขาวดีพุทธเกษตรก็คือภาวะที่ผู้ที่ตรัสรู้แล้วมีสัมพันธ์ต่อโลก โดยไม่เข้าไปปรุงแต่งอารมณ์ไปใน โลภะ โทสะ และโมหะอีก และพระอมิตาภะ ก็คือจิตอันปราศจากเครื่องเศร้าหมองนั่นเอง ส่วนท่าน เว่ยหล่าง พระสังฆปรินายกองค์ที่ ๖ แห่งนิกาย ธยานได้กล่าวว่า “คนหลงสวดมนต์ถึงพระอมิตาภะ อ้อนวอนให้ได้ไปเกิดยังสุขาวดี แต่บัณฑิตชำระใจของตนให้บริสุทธิ์” และยังได้กล่าวอีกว่า “สุขาวดีอยู่ห่างจากโลกธาตุนี้ไป หนึ่งแสนแปดพันโลกธาตุ” กล่าวคือ อกุศลกรรมบท ๑๐ คือแสนโลกธาตุ มิจฉัตตะ ๘ คือแปดพันโลกธาตุ เมื่อเราสามารถชำระจิตให้บริสุทธิ์ได้ก็เท่ากับเราได้อุบัติที่แดนสุขาวดีแล้ว ดังคำกล่าวที่ว่า ไปก็ต้องไปอย่างเด็ดขาด เกิดก็ต้องเกิดอย่างแน่นอน ส่วนโยคาจารที่ปกติเป็นปรัชญา มโนภาพนิยมถือว่า สุขาวดีเป็นผลจากพฤติกรรมจิต แห่งพระอมิตาภะ สุขาวดีนั้นเป็นผลแห่งการบำเพ็ญบารมีที่สะท้อนออกมาจากปณิธาณ ๔๘ ประการของพระภิกษุธรรมกร ดังนั้นผู้ที่จะไปอุบัติยังสุขาวดีก็ต้องมีพฤติกรรมเหมาะสม สุขาวดีในทัศนะโยคาจาร คือ จิตของพระอมิตาภะและปวงชนสร้างขึ้นเอง ไม่นอกเหนือไปได หากวิเคราะห์คำสอนของสุขาวดี จะพบว่าในแง่ปรัชญามีการตีความได้ลึกซึ้ง แต่การที่ใช้คำสอนที่เรียบง่ายเพื่อให้เข้าถึงประชาชน ดังที่ได้กล่าวมาบ้างแล้ว ในสมัยที่ปรัชญาเฟื่องฟูมีการถกเถียงปรัชญาที่ยากเกินกว่าชาวบ้านธรรมดาจะเข้าใจได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้พุทธศาสนาห่างเหินจากประชาชนส่วนใหญ่ สุขาวดีจึงหันมาสอนหลักธรรมที่ง่ายเหมาะสมกับประชาชนโดยทั่วไป ถึงแม้จะมีการตีความคำสอนสุขาวดีในแง่ปรัชญา แต่คณาจารย์ในนิกายนี้ ท่านพอใจที่จะสอนหลักธรรมง่าย ๆ และปฏิบัติได้จริง เช่น การสวดภาวนาพระนามพระอมิตาภะเป็นต้น มีความเป็นไปได้ว่าการที่ท่านใช้วิธีการดังกล่าว เพื่อเป็นกุศโลบายเพื่อให้นิกายสุขาวดีเปิดกว้างสำหรับคนทุกกลุ่ม ดังนั้นทุกวันนี้ศาสนิกชนมหายานส่วนใหญ่จะสังกัด นิกายสุขาวดี ด้วยเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ๖. บทส่งท้าย ถึงแม้ว่าคำสอนของนิกายสุขาวดีจะดูเหมือนว่า สอนให้ยึดหลัก “ภักติมรรค” ที่ไม่ต่างจากศาสนา เทวนิยมโดยทั่วไป เป็นสาเหตุให้พุทธศาสนานิกายอื่น ๆ โดยเฉพาะเถรวาทไม่เห็นด้วยในคำสอนแบบนี้ แต่เพราะเป็นคำสอนที่ปฏิบัติง่ายไม่ซับซ้อนอะไร จึงทำให้มีผู้ที่ศรัทธานับถือนิกายนี้เป็นจำนวนมาก และเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่นิกายของมหายานที่มีผู้นับถือมาจนปัจจุบัน ผู้ที่ถือปฏิบัติตามสุขาวดีมรรคไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านปรัชญาศาสนาลึกซึ้งแต่ประการใด จึงทำให้เผยแผ่สู่ประชาชนได้ง่าย อย่างไรก็ดีมีคณาจารย์มหายานหลายท่านได้ อรรถาธิบายสุขาวดีในเชิงพุทธปรัชญา โดยการเปรียบเทียบสภาวะจิตที่พ้นจากอวิทยา หรือการปรุงแต่งอารมณ์ว่า นั่นคือลักษณะของพระอมิตาภะ แท้จริงไม่มีพระอมิตาภะภายนอก หรือที่อื่นใด หากเป็นจิตที่ตรัสรู้ของสรรพสัตว์นั่นเอง พุทธเกษตรสุขาวดีก็มิใช่มีอยู่ในที่อื่นใด แต่เป็นสภาวะที่จิตปราศจากอวิทยานั้นสัมพันธ์ กับโลกแห่งปรากฏการณ์นั่นเอง เมื่อจิตบริสุทธิ์โลกธาตุก็บริสุทธิ์ด้วย เพราะสามารถเห็นสภาพทั้งปวงว่าล้วนเป็นเช่นนั้นเอง (ตถตา) จึงไม่เกิดความคิดปรุงแต่งไปในทางกุศล หรืออกุศล เมื่อสามารถเข้าใจสภาพดังกล่าว ไม่ว่าจะมองเห็นสิ่งใด ได้ยินสิ่งใด จิตก็ไม่ปรุงแต่งไปในทางต่าง ๆ การเข้าถึงสภาวะดังกล่าวนั้น ได้มีการอธิบายไว้ว่า การภาวนาพระนามพระอมิตาะทำให้จิตจดจ่ออยู่กับพระพุทธคุณ ไม่กวัดแกว่งไปในอารมณ์แห่งอกุศลจัดเป็นพุทธานุสติอย่างหนึ่ง เพราะว่าไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ก็ย่อมมีรัศมีไม่สิ้นสุด (อมิตาภะ แปลว่า มีรัศมีไม่มีที่สิ้นสุด) อีกประการหนึ่งแม้มหายานจะกล่าวถึง พระพุทธเจ้าซึ่งมีจำนวนมากมาย แต่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต่างกันเพียง “สัมโภคกาย”และ “นิรมาณกาย” เท่านั้น ส่วนธรรมกายหามีความต่างกันไม่ แม้แต่การภาวนาพระนามของพระมหาโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์ก็มีการตีความไว้เช่นกัน ดังที่กล่าวไว้ใน สัทธรรมปุณฑริก สมันตมุกขปริวรรต (อวโลกิเตศวรวรรค) ว่า แม้นผู้ใดภาวนาพระนามแห่งอวโลกิเตศวร โจรทั้งหลายย่อมไม่อาจทำอันตรายได้ แม้ตกลงสู่มหาสมุทรที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายก็จะไม่เป็นอันตราย ในที่นี้มีการอธิบายว่า แท้จริงพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรนั้น เป็นบุคคลาธิษฐานแทนความกรุณา เมื่อจิตของผู้ที่ภาวนาพระนามของพระองค์เข้าถึงความกรุณาอย่างแท้จริง โจรอันอุปมาด้วย อกุศลที่เกิดจาก การเห็นรูป การได้ยินเสียง เป็นต้นย่อมไม่เกิดในจิตของผู้ที่มีความกรุณา บุคคลนั้นย่อมไม่จมลงสู่มหาสมุทร ที่อุปมาด้วยสังสารวัฏ และไม่ถูกสัตว์ร้ายทำอันตราย สัตว์ร้ายอุปมาด้วยสังสารทุกข์ อันเกิดจากการ พลัดพลากจากสิ่งที่รัก ที่ปรารถนาเป็นต้น และการที่จิตจดจ่ออยู่กับการภาวนา ก็เท่ากับเป็นการเจริญสติ ไปด้วยนั่นเอง ดังนั้น คำสอนของสุขาวดีอาจเปรียบได้กับการเอา เปลือกหุ้มแก่นไว้ เมื่อปฏิบัติตามหลัก สุขาวดีมรรคแม้จะไม่ได้มีความรูแตกฉานในด้านพุทธปรัชญา ก็อาจเข้าถึงสภาวธรรมอันลึกซึ้งได้ ซึ่งจะเป็นไปตามลำดับการจากการหมั่นฝึกอบรมจิตนั่นเอง อีกประการหนึ่งอาจถือได้ว่า แท้จริงพุทธเกษตรก็ดี พระอมิตาภะก็ดี พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็ดี ล้วนเป็นอุบายธรรมเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ และปฏิบัติ จึงได้แสดงสภาพธรรมต่าง ๆ ไว้ในรูปบุคคลาธิษฐาน จึงไม่ควรมองคำสอน หรือตีความ ตามตัวอักษร ซึ่งอาจทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนจาก สิ่งที่โบราณาจารย์ท่านต้องการสอน และด้วยเหตุที่สุขาวดีมีคำสอนในรูปแบบ เปลือกหุ้มแก่น จึงทำให้มีศาสนิกชนนับถือมากที่สุด ในบรรดาพุทธสาสนาด้วยกัน และยืนยาวมาจนกระทั่งทุกวันนี้ แม้แต่พระพุทธศาสนามหายานที่เข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทยในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ก็เป็นพระอารามในสังกัดนิกายนี้แทบทั้งสิ้น ในยุคปัจจุบันพุทธศาสนามหายานเริ่มเข้ามามีบทบาทอย่างมากในสังคมไทย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาคำสอนของมหายานให้ลึกซึ้งมากขึ้น เพื่อทำความเข้าใจกับปรัชญาในนิกายอื่น ซึ่งอาจมีประโยชน์ในการประยุกต์คำสอนมาใช้ และความเข้าใจอันดีในฐานะพุทธศาสนิกชนด้วยกัน ในขณะที่สถานการณ์ของพระพุทธศาสนาโดยภาพรวมต้องประสบปัญหานานัปประการ ทั้งปัจจัยภายใน และภายนอก จึงมีความจำเป็นที่เราต้องศึกษาพุทธศาสนาให้ถ่องแท้ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความเข้าใจอันถูกต้อง--------------------------------------------------------------------------------ข้อมูลอ้างอิง ๑. อภิชัย โพธิ์ประสิทธ์ศาสตร์, พระพุทธศาสนามหายาน, พิมพ์ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามงกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หน้า ๒๙ ๒. เสถียร โพธินันทะ . ปัญญามหายาน. พิมพ์ครั้งที่ ๔ กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามงกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑, หน้า ๑๐ ๓. กัมพล สิริมุนินท์ . มหายานะศรัทโธตปาทศาสตร์ ในนามอัศวโฑษ. ปัตตานี: คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเตปัตตานี, ๒๕๓๕ หน้า๖๙ ๔. เสถียร โพธินันทะ . ปัญญามหายาน. พิมพ์ครั้งที่ ๔ กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามงกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑, หน้า ๑๓ ๕. เรื่องเดียวกันหน้า ๑๕๖ ๖. สุมาลี มหณรงค์ชัย. พุทธศาสนามหายาน. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ศยาม,๒๕๔๑ หน้า ๑๔ ๗. เรื่องเดียวกัน หน้า ๑๘ ๘. เสถียร โพธินันทะ. ชุมนุมพระสูตรมหายาน. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์บรรณคาร,๒๕๑๖ หน้า ๔๙ ๙. Suzuki Daisetz Teitaro. Outline of Mahayana Buddhism” Fourth Printing” New York: Schocken Book inc,1970, p. 261 ๑๐.เสฐียร พันธรังษี. พุทธศาสนามหายาน. พิมพ์ครั้งที่๔. กรุงเทพฯ : สุภาพใจ,๒๕๔๓ หน้า ๗๔ -------------------------------------------------------------------------------- เชิงอรรถ [1] อภิชัย โพธิ์ประสิทธ์ศาสตร์, พระพุทธศาสนามหายาน, พิมพ์ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามงกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หน้า ๒๙[2] เสถียร โพธินันทะ,. ปัญญามหายาน, พิมพ์ครั้งที่ ๔ กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามงกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑, หน้า ๑๐[3] กัมพล สิริมุนินท์ . มหายานะศรัทโธตปาทศาสตร์ ในนามอัศวโฑษ. ปัตตานี: คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเตปัตตานี, ๒๕๓๕ หน้า๖๙[4] เสถียร โพธินันทะ . ปัญญามหายาน. พิมพ์ครั้งที่ ๔ กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามงกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑, หน้า ๑๓[5] เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๕๖[6] สุมาลี มหณรงค์ชัย. พุทธศาสนามหายาน. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ศยาม,๒๕๔๑ หน้า ๑๔[7] เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๘[8] เสถียร โพธินันทะ. ชุมนุมพระสูตรมหายาน. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์บรรณคาร,๒๕๑๖ หน้า ๔๙[9] Suzuki Daisetz Teitaro. Outline of Mahayana Buddhism” Fourth Printing” New York: Schocken Book inc,1970, p. 261 [10] เสฐียร พันธรังษี. พุทธศาสนามหายาน. พิมพ์ครั้งที่๔. กรุงเทพฯ : สุภาพใจ,๒๕๔๓ หน้า ๗๔ [11] เสถียร โพธินันทะ, ปรัชญามหายาน, พิมพ์ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพ : โรงพิมพ์มหามงกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หน้า ๑๒ [12] เสถียร โพธินันทะ, วิมลเกียรตินิทเทสสูตร, พิมพ์ครั้งที่ ๘ (กรุงเทพ : โรงพิมพ์มหามงกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๔๔), หน้า ๕-๖ [13] เสถียร โพธินันทะ, ปรัชญามหายาน, พิมพ์ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพ : โรงพิมพ์มหามงกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๔๔) หน้า ๑๖๑-๑๖๒ [14] เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๖๒-๑๖๖ [15] สุมาลี มหณรงค์ชัย, พุทธศาสนามหายาน,(กรุงเทพ : สำนักพิมพ์ศยาม, ๒๕๔๑), หน้า ๒๒๕ [16] สุภาพ ทัดภู่, มหาสุขาวดีวยุหสูตร อมิตายุรธยานสูตร จุลสุขาวดีวยุหสูตร, (กรุงเทพ : นบท., นบป.) หน้า ๑๙-๓๗ [17] อ้างถึงใน ประพจน์ อัศววิรุฬหการ, โพธิสัตวจรรยา : มรรคาเพื่อมหาชน (กรุงเทพฯ : คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), ๒๕๒๖ หน้า ๑๔๓ [18] A.F. Prince and Wong Mou-Lam, The Diamond Sutra and The Sutra of Hui Neng (Boston : Shambhala), 1969 p.26 [19] เสถียร โพธินันทะ, ปรัชญามหายาน, พิมพ์ครั้งที่ ๔(กรุงเทพ : โรงพิมพ์มหามงกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หน้า๑๖๘ [20] เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๖๙-๑๗๐ http://www.oknation.net/blog/print.php?id=323794
|