[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ห้องสมุด => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 19 กรกฎาคม 2559 16:42:45



หัวข้อ: ประเพณี "จกสาว" สุดแปลก! เรื่องจริงที่ต้องเล่า
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 19 กรกฎาคม 2559 16:42:45

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/52044913752211_1.jpg)
คนลาวในอีสาน และเวียงจันทน์ (ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ ๕)

ประเพณี "จกสาว"
เรื่องจริงที่เหลือเชื่อ

ประเพณี "จกสาว" แปลตรงตัวก็คือ "ประเพณีล้วงสาว"  ประเพณีดังกล่าวนี้มีอยู่ในภาคอิสานและทางฝั่งพี่น้องประเทศลาวในแถบภาคใต้บางแห่ง

ทำไมการล้วงลักควักสาว จึงกลายเป็นประเพณี ทั้งๆ ที่ฟังดูแล้วมันเป็นเรื่องหยาบโลนไม่น่าที่จะมากลายเป็นประเพณีได้เลย

คนที่คิดประเพณีอะไรๆ บัญญัติขึ้นในภาคอิสานนั้น ผู้เขียนเลื่อมใสเทิดทูนว่าช่างเป็นยอดนักปราชญ์, มหาปรัชญาชั้นเยี่ยมจริงๆ เพราะท่านผู้นั้นได้มองโลกและมุมชีวิตของส่ำสัตว์ในโลกนี้ทะลุปรุโปร่งไปหมด แต่กะอีล้วงลักควักพุงสาวก็ยังอุตส่าห์วางกฏเกณฑ์เป็นประเพณีขึ้น....อย่าเพิ่งคิดแบบฉาบฉวย...จะต้องมีอะไรแอบเร้นเป็นกรรมดีอยู่อย่างแน่นอน  ลึกลงไปเบื้องหลังประเพณีนี้จะต้องมีอะไรๆ สักอย่างแน่ๆ

ตามธรรมดา คนอิสานระดับพื้นๆ ที่อยู่ไกลออกไปจากย่านความเจริญ เขาเหล่านั้นอยู่ง่ายกินง่าย แต่มิได้หมายความถึงว่าเขาจะมักง่ายเข้าไปด้วย เขากินง่ายก็เพราะความแห้งแล้งกันดารของธรรมชาติ ทำให้เขากินง่ายๆ กินเพื่ออยู่, ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน

อยู่ง่ายของเขาก็หมายถึงที่พักอาศัย เขาปลูกขึ้นง่ายๆ ด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาตินำมาดัดแปลง สิ่งที่จะบันดาลให้เกิดเป็นที่อยู่อาศัยมีอยู่เยอะแยะทั้งดีและไม่ดี แต่เขาก็เลือกเอาเพียงอุปกรณ์ในการสร้างที่อยู่อาศัยมาสร้างพอสถานประมาณแห่งกำลังตน จึงดูให้เห็นไปว่าอยู่ง่ายๆ

บ้านเรือนในแถบถิ่นที่มีประเพณีนี้ มักจะปลูกด้วยไม้ไผ่ หลังคาและฝาห้องมุงด้วยหญ้าแฝก พื้นก็เป็นไม้ไผ่สับฟาก ในสิบหลังจะมีเรือนฝาและพื้นเป็นไม้กระดานสักหลัง ซึ่งหมายถึงอัครฐานของผู้เป็นเจ้าของนั้นอยู่ในขั้นเศรษฐีของหมู่บ้าน  ถ้าไม่ใช่ผู้มีอันจะกินก็ต้องเป็นบ้านของหัวหน้าบ้านเข้าไปโน่น ตำแหน่งก็เป็นตาแสง หรือกำนันนั่นแหละ

ปรเพณีการล้วงสาวนี้ เท่าที่พบประสบมาด้วยตนเองในเขตไทย ก็มีอยู่แถวบ้านโซง บ้านจิก บ้านเปือย ในเขตอำเภอบุณฑริก จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่ง พล.ต.ต.วิเชียร สีมันตร ได้ไปสร้างเมืองล้อมป่าให้เกิดขึ้นในท้องที่อำเภอนี้แล้ว หมู่บ้านโซงในสมัยโน้นก็กลายเป็นตำบลโซง มีถนนหนทางรถราแล่นไปมาหาสู่กันได้โดยสะดวก ความเจริญและอารยะแผนใหม่ก็ทะลักเข้าไปขับไล่ประเพณีต่างๆ ที่เห็นว่าล้าสมัยเหล่านั้นกระเจิดกระเจิงข้ามแดนไปสู่แคว้นลาวและเขมรไปเลย

ผู้เขียนได้มีโอกาสนำชีวิตของตนเองตะลุยลงไปในดินแดนของลาวต่อกับเขมรนานมาแล้วเมื่อ ๒๐ ปีก่อนโน้น (ประมาณ ๖๕ ปี นับถึงปีปัจจุบัน...ผู้โพสท์) เลียบแดนของเขมรและลาวเรื่อยลงไปจนกระทั่งสุดแดนลาวที่ "หลี่ผี" ข้ามตะลุยลึกไปฝั่งลาวตรงกันข้ามบุกผ่าฝ่าดงขึ้นเขาลงห้วยไปจนกระทั่งถึง "อัตตะปือ" เมืองข่า จึงได้ย้อนกลับ ไปทำไมและเพื่ออะไรจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังหาคำตอบให้ตนเองยังไม่ถูกต้องอยู่ดี นอกจากจะตอบได้คำเดียวเท่านั้นว่า ไปเที่ยว

ปัจจุบันนี้ ผู้เขียนจึงซึมซาบเข้าหัวกะโหลกว่าได้การไปเที่ยวแต่หนกระโน้นนั้น มันคือประสบการณ์ที่หาไม่ได้อีกแล้วในชั่วชีวิตนี้

ตลอดระยะทางที่ไปและกลับ หมู่บ้านที่ผ่านมาเหล่านั้น มีอะไรๆ หลายอย่างที่ประทับใจ บางทีก็แปลกใจ และมหัศจรรย์ใจ ในขนบธรรมเนียมแปลกๆ ของเขา นั่งเขียน นั่งเล่า อีกสามปีก็ไม่มีวันจบ  ในที่นี้ผู้เขียนกำลังนำเอาประสบการณ์ "ประเพณีล้วงสาว" ออกมาตีแผ่ เราก็ควรจะพักเรื่องอื่นไว้ก่อน เรียกว่าเอากันเป็นเรื่องๆ ไป ว่างั้นเถอะ!

'ประเพณีจกสาว' หรือ 'ล้วงสาว' นี้ อันที่จริงขณะที่ไปประสบการณ์ สมองไม่ได้คิดประหวัดถึงมูลเหตุแห่งการเกิดขึ้นของประเพณีนี้แม้แต่น้อย ค่าที่ยังตกอยู่ในวัยที่หนุ่มคะนอง จึงสนุกสานในประเพณีพิสดารนี้แต่ถ่ายเดียว ไม่ได้คิดอย่างอื่น ค่ำลงก็ไปดำเนินการตามประเพณีจนแทบจะบักโกรกตาย

ความพิสดารของประเพณีนี้ได้บัญญัติไว้ว่า เรือนหลังใดที่มีลูกสาวเป็นสาวเป็นนางแล้ว จักต้องจัดห้องนอนให้ลูกสาวอยู่ต่างหาก ตรงที่ลูกสาวนอนจะต้องเจาะช่องพอให้มือลอดเข้ามาได้หนึ่งรู และพื้นเรือนก็อย่าให้สูงเกินหน้าอก ถ้าหากปลูกบ้านสูงกว่านั้นก็จักต้องหาครกตำข้าว หรือที่รองเท้ามาทิ้งไว้ใกล้ๆ บริเวณนั้น หากมิปฏิบัติตามนั้น ถูกขว้างปาบ้านจะมาร้องทุกข์เอาเรื่องเอาราวมิได้ มันเป็นบัญญัติหรือปกาศิตที่ได้รับสืบกันมาเป็นทอดๆ เขาก็ปฏิบัติตามนั้นเป็นทอดๆ สืบต่อเนื่องกันเรื่อยมา เหนือช่วงรูที่เจาะให้มือลอดขึ้นไปเป็นหน้าต่างกว้างพอที่คนจะปีนป่ายพาตัวลอดเข้าไปได้ ปกติหน้าต่างจะปิดอยู่ตลอดเวลา เว้นจากเจ้าของห้องเขาจะพอใจเปิดเมื่อไหร่ก็เปิดได้ อันนี้เป็นประเพณีไม่บังคับว่าจะต้องเปิด ที่รูสำหรับช่องล้วงก็เหมือนกันมีฝาปิดฝาเปิดเหมือนกับบานหน้าต่าง

ความจริงประเพณีนี้มิได้หยาบโลนอะไรเลย ในทางตรงกันข้ามหรือลึกลงไปนั้น ประเพณีนี้ให้อิสรภาพ เสรีภาพ ในเรื่องการครองคู่ สมสู่ ตามหลักธรรมชาติไว้อย่างละเมียดละมัยอ่อนโยนมาก หากไม่เข้าใจขนบธรรมเนียมเขาอย่างดีแล้ว มันจะกลายเป็นอีกรูปหนึ่ง นั่นหมายถึงท่านได้ดูถูกเหยียดหยามพวกเขาอย่างร้ายแรงจนอาจจะอภัยให้ไม่ได้ซึ่งจะหมายถึงการเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ

ฟังนะ...อ่านช้าๆ แล้วตรึกตรองดูให้ลึกซึ้ง

ธรรมดาคนเราไม่ใช่พอพระอาทิตย์ตกดินปุ๊บ ก็จะนอนปั๊บ แม้ว่าตามชนบทบ้านนอกทั่วๆ ไป  พอค่ำลงความมืดมิดและความเปล่าเปลี่ยวก็จะครอบคลุมไปทั่วทั้งหมู่บ้านก็ตาม หรือเวลาสามทุ่มจะเท่ากับหกทุ่มในนครหลวงกรุงเทพธนบุรี อะไรก็ตามเถอะ ในหมู่บ้านที่มีประเพณีล้วงสาว มิใช่ว่าพอค่ำลงก็จะไปล้วงลักควักสาวกันได้ทันที และก็มิใช่ว่าขึ้นชื่อว่าเป็นอีสาวในหมู่บ้านนี้แล้วท่านก็จะไปล้วงพุงเขาได้ทุกคนไป

ประเพณี 'จกสาว' จะเริ่มต้นขึ้นด้วย เมื่อสามทุ่มผ่านพ้นไปแล้ว สาวเจ้ากำลังปฏิบัติกิจอันเป็นงานประจำก่อนที่จะง่วงนอน ด้วยการปั่นด้าย เข็นไหม หรือทำธุรกิจอันใดก็ตามแต่อยู่ที่ระเบียงบ้านหรือนอกชานบ้าน ท่ามกลางแสงใต้หรือตะเกียงอันวับแวม ก็เป็นขณะเดียวกันกับเจ้าหนุ่มจะลงจากบ้านพักของตนเตร็ดเตร่ไปคุยสาวยังบ้านที่ตนชอบ พฤติการณ์ของสาวก็ดี ของหนุ่มก็ดี เป็นพฤตินัยที่อยู่ในขอบข่ายของประเพณีว่าด้วยการเปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้คุยกัน โอ้โลม ปฏิโลมกัน อันเป็นธรรมเนียมประเพณีทั่วๆ ไปในภาคอิสานและประเทศลาว

การคุยกัน การโอ้โลมปฏิโลมกันของหนุ่มสาวในช่วงนี้ เรียกว่าเป็นช่วงของการอุ่นเครื่องก่อนที่จะก้าวไปสู่อีกขั้นหนึ่ง ความพึงพอใจซึ่งกันและกันจะเกิดขึ้นในช่วงนี้ โดยฝ่ายชายจะเป็นผู้เอาลิ้นชุบน้ำผึ้งเข้าเจรจาเกลี้ยกล่อมให้ฝ่ายหญิงอ่อนเปลี้ยลงด้วยความหวาน ความรัก ความปรารถนา ฯลฯ สุดแท้แต่จะสรรหามา "แอ่ว"

โอกาสคุยกับสาวสองต่อสองเช่นนี้ มักจะมีน้อยเพราะหนุ่มไม่หนุ่มทั้งหลายในละแวกเดียวกันหรืออาคันตุกะผู้มาเยี่ยมเยียนจากถิ่นอื่น จะถือโอกาสขึ้นไป "แอ่ว" ร่วมอยู่เป็นประจำ และโดยจารีตคุณธรรมที่ปฏิบัติกันมานานก็คือ หนุ่มแรกจะต้องหลีกทางให้ผู้มาใหม่ "แอ่ว" บ้าง และแล้วหากเขาปลงใจกับสาวน้อยนางนี้แน่แล้ว เขาจะย้อนขึ้นไป "แอ่ว" กับสาวคนนั้นเป็นหนสอง ผู้ที่มาแอ่วต่อจากเขาคนแรกก็จะรู้ได้ในเชิงทันที ว่าหนุ่มสาวคู่นั้นเป็นแฟนกันแม่นแล้ว เพราะช่วงเวลาที่หนุ่มแรกให้โอกาสแก่คนที่ ๒ นั้น บางทีก็ ๓๐ นาที บางทีก็ชั่วโมงหนึ่ง เรียกว่าให้โอกาสกันอย่างลูกผู้ชายใจนักเลง แต่เมื่อได้เวลาย้อนกลับไปใหม่ คนที่นั่งคุยอยู่จะต้องรู้และอำลาทันที และอำลาอย่างชนิดไม่ต้องย้อนไปอีกเป็นครั้งที่สอง เรียกว่าเป็นอันรู้ๆ กัน

ธรรมเนียมการคุย การ "แอ่ว" เช่นนี้ เป็นของธรรมดาทั่วไปของหนุ่มสาว เมื่อไม่มีอะไรเกินเลยไปยิ่งกว่านั้นสาวก็เข้านอน ช่องเล็กๆ ที่ห้องนอนก็ไม่เปิด คืนสอง, คืนสามหากความผูกพันทวีคูณขึ้น การจับมือถือแขนก็บังเกิดขึ้นเป็นการชิมลาง แต่ก็ได้เพียงแค่นั้น จะเกินเลยไปกว่านั้นไม่ได้ จนกว่าสาวจะปลงใจด้วยอย่างแน่แท้แล้ว การแลกเปลี่ยนของที่ระลึกซึ่งกันและกันจะเกิดขึ้น ซึ่งหมายความถึงการไต่เต้าเข้าไปสู่อันดับสองเข้าไปแล้ว นั่นคือ ไอ้หนุ่มจะลงไปคุยสาวต่อโดยเปิดช่องล้วงสาวยื่นมือเข้าไปประกอบการคุยให้ออกรสได้

เห็นไม๊ล่ะครับ ประเพณีการล้วงสาวดำเนินการด้วยลีลาดังกล่าวนี้เป็นขั้นๆ ไป มิใช่ว่าจะไปล้วงเขาได้ตะพึดตะพือ มันต้องมีพิธีรีตองเป็นขั้นๆ ไป

การแลกเปลี่ยนของที่ระลึก จากสาวมายังหนุ่ม เป็นการเปิดอกหรือเปิดไต๋กันอย่างโจ่งแจ้ง ว่าสาวเจ้าโอเคแล้วที่จะเปิดโอกาสให้หนุ่มได้ล้วงควักไชในตัวของสาวได้แล้วด้วยความเต็มใจ เรียกว่าหล่อนได้ตกลงใจเลือกเอาเจ้าหนุ่มนั้นเป็นชู้สวาทของนางแล้วตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป

การแลกเปลี่ยนของที่ระลึกให้แก่ไอ้หนุ่ม ก็คือการให้โค้ตลับหรือสัญญาณลับโดยตรงนั่นเอง เช่น แหวน หรือกำไลเพื่อที่เจ้าหนุ่มจะได้นำสิ่งที่มอบให้นั้นมาแสดงต่อเจ้าของ ในเมื่อหมอนั่นเอื้อมมือสอดเข้าไปในช่องที่เจาะไว้สำหรับล้วงสาวนั้น ถ้าหากว่าเป็นมือของยอดชู้ที่นางเลือก มือหรือนิ้วที่ลอดเข้าไปในช่องนั้นก็จักต้องมีสัญญาณลับดังกล่าวนี้ด้วย จึงจะเชื่อว่าเป็นมือหรือนิ้วของชู้สวาทของนาง หากว่ามือลึกลับอันนั้นไม่มีอะไรเป็นสัญญาณ ก็แปลว่าเป็น "มือเถื่อน" ช่องสวรรค์ดังกล่าวนั้นก็จะปิดฉับทันที

วิธีที่จะปิดช่องของสาวง่ายนิดเดียว เมื่อรู้ว่าเป็นมือเถื่อนที่หล่อนไม่เต็มใจ ก็เอาเข็มหรือไม้ขีดไฟ..จุดเฟ่!...แล้วก็จี้หมับไปที่มือนั้น มันก็หดผลุ๊บร้องเสียงโหยหวนไปเลย และช่องนั้นก็ปิดลั่นดานทันที เป็นอันว่ามือเถื่อนไม่ได้แอ้มเสียละ! แต่ก็ไม่แน่นักเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไป

ทีนี้ขอย้อนกล่าวถึงหนุ่มสาวคู่ใดที่ตกล่องปล่องชิ้นกันถึงขั้นเปิดช่องล้วงให้ล้วงลักควักพุงกันแล้ว ไอ้หนุ่มก็ไม่จำเป็นจะต้องขึ้นไป "แอ่วสาว" ในตอนหัวค่ำให้บ่อยนัก เพราะเป็นอันที่รู้ๆ อะไรๆ กันดีอยู่แล้ว เพียงแต่โผล่หน้าขึ้นไปพะยักพะเยิดให้สาวเห็นเป็นนัยแล้วก็ผลุ๊บไปหาเศษหาเลยรายอื่นต่อไป เป็นทั้งการรอเวลาและเป็นทั้งการเปิดโอกาสให้หนุ่มอื่นบ้างตามอัธยาศัย

ครั้นได้เวลาสาวขอตัวหนุ่มอื่นเข้านอนในห้องหับของตนแล้ว ไอ้หนุ่มยอดชู้คู่สวาทของนางก็จะวูบเข้าประชิดรูหรือช่องล้วงสาวดังกล่าวนั้นทันที เมื่อเห็นปลอดคนแล้วเขาก็จะเคาะกระดานที่เปิดรูนั้นเป็นโค๊ตตามสัญญาที่ได้ระบุกันไว้ สาวเจ้าก็เปิดกลอนดังแกร๊ก

ห้องของสาวตามปกติโดยทั่วไปมักจะไม่จุดไฟหรือทำอะไรให้มีแสงสว่าง สาวเจ้าจะอยู่ในความมืด...ความมืดอันแสนรัญจวนนั้น...แต่เพียง...เดียวดาย...พร้อมด้วยมือของชู้สวาทที่ไต่คลำไปบนร่างอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน...ทั้งภาษารักที่กระซิบกระซาบตอบโต้กันเพียงมีฝากั้น ทั้งน้ำคำและน้ำมือที่ไขว่คว้าประกอบสวรรค์อันหวานฉ่ำก็เป็นของเขาทั้งสองแล้ว  โลกทั้งโลกสงัดเงียบมีแต่หรีดหริ่งเรไรระงมร้อง แต่ก็ดูเหมือนจะแว่วแผ่วโผยเสียสิ้นดีในบรรยากาศอย่างนั้น

เชื่อไหมครับ?...ประเพณีล้วงสาวมีจุดไคลแม็กซ์มาถึงเพียงแค่นี้...แค่นี้จริงๆ ไม่มีก้าวเกินไปยิ่งกว่านี้ ถ้าหากจะมีก้าวเกินไปยิ่งกว่านี้ รูปการณ์มันก็กลายไปสู่ประเพณีอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

เล่ามาถึงแค่นี้ ท่านผู้ทรงภูมิปัญญาคงจะเห็นแล้วกระมังว่า ตราบัญญัติของประเพณีนี้ได้วางแนวเซ็กโซโลยี่แอบแฝงมาในเนื้อหานั้นอย่างแนบเนียน โดยยึดเอาหลักธรรมชาติเป็นสโลแกน คนที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวย่อมร้อนแรงไปด้วยสายเลือดแห่งกามตัณหาทุกรูปทุกนาม ก็เมื่อรู้แล้วอย่างนั้น ทำไมเล่าไม่หาทางให้เขาเหล่านั้นได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่เขากระหายจะรู้นั้นบ้าง ประเพณีนี้จึงมีขึ้นเพื่อให้เขาเหล่านั้นได้ผ่อนคลายในสิ่งที่เขาปรารถนา และคลางแคลง ตั้งแต่เขารู้จักหรือมีสัญชาตญาณในเรื่องเพศเกิดขึ้น

การรู้เรื่องเพศด้วยการบอกเล่า กับการรู้ด้วยการสัมผัสโดยตรง ย่อมมีความหมายและคุณค่าแตกต่างกัน และเมื่อหนุ่มสาวได้รู้รสในการสัมผัสเบื้องต้นบ้างแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ก้าวไปจนถึงขั้นสุดท้าย เลือดอันระอุร้อนของเขาก็คงจะคลายลงบ้างไม่มากก็น้อย การยับยั้งชั่งใจก็ย่อมจะมีขึ้น แต่ทั้งนี้เราต้องดูพฤติการณ์ของสองหนุ่มสาวนั้นประกอบด้วย มิใช่ว่าเขาลักลอบเข้าสัมผัสลูบคลำกันโดยที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่เต็มใจ  เหตุเกิด, เกิดจากคนทั้งสองได้ปลงใจที่จะรักกันแล้ว มันถึงเกิด มันจึงเป็นคนละเรื่องกับคำว่า "ร่านราคะ"

หมู่บ้านที่มีประเพณี "ล้วงสาว" ที่ผู้เขียนได้ไปประสบมาด้วยตาตนเอง มีหลายหมู่บ้านทั้งในเขตแดนไทยและแดนลาว หมู่บ้านที่ประทับใจแก่ผู้เขียนมากที่สุดอยู่ในลาวภาคใต้เกือบจะถึง "หลี่ผี" เรียกว่าหมู่บ้าน "ห้วยกะเดียน" ขึ้นอยู่กับตำบลสุขุมาลย์ เมืองมูลปาโมกข์ แขวงนครจำปาศักดิ์ หมู่บ้านนี้เป็นคนลาวกับเขมรอยู่ปนเปกัน และบางทีก็มีสาวลูกผสมเขมร-ญวน, ลาว-เขมร, ฯลฯ อะไรๆ ให้ยุ่งๆ ไปหมด แต่พูดถึงเรื่องหน้าตา ผิวพรรณ และสัดส่วนของสาวๆ ที่นี่แล้ว ไม่เลวเลยจริงๆ ถ้าเป็นลูกผสมไปทางฝ่ายญวน คือมีพ่อเป็นญวนมีแม่เป็นเขมรแล้วละก้อ มีภาษีกว่าสาวใดทั้งหมดในหมู่บ้าน เพราะว่าผิวของสาวเจ้าไปทางพ่อ สัดส่วนไปทางแม่ซึ่งมีความแข็งแรงบึกบึนในลักษณะของคนร่างระหง สะโพกผาย ส่วนใหญ่มีใบหน้าเป็นลูกไข่ ๙๐% ทั้งหมู่บ้าน  ฝ่ายที่พ่อเป็นเขมรแม่เป็นลาวยิ่งเด็ดมากเพราะผิวของเจ้าหล่อนกระเดียดไปทางพ่อครึ่งหนึ่งแม่ครึ่งหนึ่ง แต่สัดส่วนยิ่งร้ายเหลือเข้าไปอีก สรุปแล้วผู้เขียนยังไม่เคยเห็นเปอร์เซนของสาวหมู่บ้านใดจะเหนือไปกว่า เท่าที่ได้ตะเวนทั้งขาไปขากลับที่หมู่บ้านนี้ผู้เขียนได้หยุดพักแรมอยู่นานถึง ๓ อาทิตย์ จึงได้เดินทางกลับแดนไทย...

ประเพณีล้วงสาวทั้งหมดที่ผู้เขียนบรรยายมาได้เกิดขึ้นที่นี่ แม้ว่าจะมีที่หมู่บ้านอื่นนอกเหนือไปจากนี้ ความประทับใจที่มิได้มีเหมือนกับหมู่บ้าน "ห้วยกระเดียน" เนื่องจากผู้เขียนได้อยู่ศึกษาประเพณีของเขา จนหลับตาเห็นภาพแต่หนหลังเหมือนกับมันเกิดขึ้นเมื่อวานนี้แท้ๆ

ความประทับใจของประเพณีนี้ อยู่ที่น้ำใจอันกว้างขวางของหนุ่มเจ้าของถิ่นที่เปิดโอกาสให้อาคันตุกะได้เข้าถึงประเพณีของเขา ผู้เขียนได้ลองสอบถามตาแสง (กำนัน) ว่าในหมู่บ้านนี้มีการฉุดคร่าอนาจารกันบ้างไหม? ได้รับคำตอบว่าตั้งแต่แก (กำนัน) จำความได้จนกระทั่งผมเป็นสีดอกเลาอยู่ขณะนี้ ไม่เคยได้ยินหรือมีเรื่องราวดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเลย แต่ไอ้เรื่องคบชู้สู่ชายที่นี่ถือเป็นเรื่องธรรมดาของพวกเขา เพราะประเพณีได้เปิดประตูให้เสรีภาพในเรื่องความรักใคร่กันอย่างไม่อั้น แต่ก็มิใช่เละเฟะฟอนเหมือนสังคมในฮอลีวูด

ไม่ว่าจะอยู่ในป่าดงพงไพรหรือในย่านนครธรรมที่เต็มไปด้วยแสงสีแห่งอารยะ  ผู้ชายเป็นเพศผู้ที่แสวงหากำไรเอาเปรียบเพศตรงกันข้ามทุกรูปทุกนาม  ในหมู่บ้านที่มีประเพณีล้วงสาวก็เช่นกัน น้อยนักที่ไอ้หนุ่มจะมีรักเดียวใจเดียวในเมื่อประเพณีให้โอกาสอย่างกว้างขวางแก่เขา เขาก็ดำเนินการเป็นพ่อพวงมาลัยกับสาวๆ โดยแอบซ่อนเป็นชู้คู่สวาทกับสาวๆ ในหมู่บ้านสองสามคนขึ้นไปเป็นอย่างต่ำ วิธีการของเขาก็ง่ายนิดเดียวคือพยายามจีบสาวจนให้ได้โค๊ตลับ หรือสัญญาณลับ' จากสาวมาคนละอันแล้วเขาก็จะใช้โค๊ตนั้นๆ กับเจ้าของโค๊ตโดยพยายามอย่าให้มันผิดตัวเท่านั้น เขาก็เป็นชายที่มีความสุขคนหนึ่งในโลก โดยเฉพาะในหมู่บ้านนั้น


หัวข้อ: Re: ประเพณี "จกสาว" สุดแปลก! เรื่องจริงที่ต้องเล่า
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 27 กรกฎาคม 2559 11:20:11

ประเพณี "จกสาว"
เรื่องจริงที่เหลือเชื่อ (จบ)

ปัญหาที่เล่าค้างไว้ ว่าเมื่อการลูบคลำได้บังเกิดอารมณ์ถึงขั้นสุดท้ายจะทำอย่างไร ปัญหานี้อยู่ที่ตัวสาว หากอารมณ์นั้นตรงกันถึงขีดสุด สาวเจ้าก็จะเปิดหน้าต่างซึ่งอยู่เหนือ "ช่องล้วงสาว" นั้นให้ไอ้หนุ่มปีนขึ้นไปหาเท่านั้นก็สิ้นเรื่องราว แต่มิได้หมายความว่าจะให้ไอ้หนุ่มได้กินไข่แดงฟรีๆ  เมื่อนาทีอันสุดยอดนั้นผ่านไปแล้วสาวก็จะเรียกพ่อเฒ่าแม่เฒ่าให้ลุกขึ้นมาดูหน้าลูกเขยแมวขโมยคนนั้นทันที

เมื่อมาถึงขั้นนี้ ประเพณี "ล้วงสาว" ก็ได้คลายไปอีกเปราะหนึ่งโดยกลายเป็นประเพณีของการได้ผัวได้เมียในแบบฉบับที่เขาเรียกกันว่าประเพณี "ซู"  ความพิสดารของประเพณีนี้ก็มีแยกแตกแขนงออกไปอีก เพราะมันคาบเกี่ยวกับประเพณีแรก   นั้นคือเมื่อเกิดการ "ซู" กันขึ้นซึ่งหมายถึงการลักลอบได้เสียกันเอง ถ้าหากว่าสาวเจ้าไม่ร้องเรียกพ่อแม่ให้รู้ว่าตนถูกไอ้หนุ่มกินไข่แดง หรือเผลอไปโดยกะว่าจะร้องเรียกแม่พ่อในตอนใกล้จะสว่าง ไอ้หนุ่มมันแว๊บหายตัวโดดหน้าต่างไปก็เป็นอันว่าชวด โดนกินไข่แดงฟรีไป แต่ถ้าสาวเจ้าไม่เผลอ หรือไม่ประมาทร้องเรียกพ่อเฒ่าแม่เฒ่าให้รู้เสียแล้วก็เป็นอันว่าเจ้าหนุ่มนั้นจะต้องเสียผี ตบแต่งตามประเพณี ถ้าหากไอ้หนุ่มไม่ยอมแต่งก็จะต้องเสียค่าสินไหมตามคำเรียกร้องของฝ่ายหญิง และไอ้หนุ่มคนนั้นก็อย่าได้มาแหย็มอีกต่อไปตลอดชาตินี้

ความยอกย้อนของประเพณี "ซู" ที่คาบเกี่ยวกับประเพณีล้วงสาวยังมีปลีกย่อยพิสดารออกไปอีกคือ หากไอ้หนุ่มยินยอมตบแต่งตามประเพณี ซู และอยู่กินกับสาวถึง ๓ วัน ต่อไปหมอจะโดดตุ๊บลงเรือนหายป๋อมไปเลยเป็นแรมเดือนยังไงก็แล้วแต่ หากหมอกลับมาสาวคนนั้นก็ยังเป็นสิทธิของหมออยู่ แต่หากหมอนั่นอยู่กับสาวเพียงคืนเดียว แล้วหายป๋อมไม่มาบ้านสาวอีกเลยเป็นระยะเวลาเลยสามวันขึ้น ถือว่าสาวคนนั้นอิสระไม่มีพันธะใดๆ ต่อกันอีก ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลกลใดก็ตาม ฟังดูให้ดีครับสามคืนกับคืนเดียวมีผลแตกต่างกันมหาศาลอย่างนี้  นี่แหละครับประเพณีอันพิสดารที่ให้ความอิสระในเรื่องความรักและกามารมณ์ โดยวางอยู่บนมาตรฐานของศีลธรรมอันดีงาม

ย้อนกล่าวถึงน้ำใจอันกว้างขวางของหนุ่มเจ้าถิ่นต่ออาคันตุกะ หากอาคันตุกะผู้นั้นอยู่ในหมู่บ้านนั้นนานเหมือนผู้เขียน การคบหาสมาคมเป็นบันไดแรกที่จะไต่เต้าเข้าไปถึงประเพณีของเขา หากการคบหาสมาคมเป็นบันไดแรกที่จะไต่เต้าเข้าไปถึงประเพณีของเขา หากการคบหานั้นเป็นที่ถูกอกถูกใจรักใคร่ซึ่งกันและกัน และลงได้ถึงขั้นผูกแขนเป็น "เสี่ยวเหยเพยแพง" กันแล้วก็ยิ่งง่ายเข้า เพื่อนรักซึ่งเป็นเจ้าของถิ่นหากหมอบังเอิญเป็นคนเจ้าชู้มีโค๊ตลับหลายอันกับสาวๆ หมอก็จะแบ่งปันโค๊ตอันนั้นให้ ซึ่งไม่ผิดอะไรกับ "บัตรปันส่วน" หรือหากหมอไม่เจ้าชู้หมอก็จะไปขอจากเพื่อนๆ ที่เจ้าชู้มาเป็นการต้อนรับหรือรับรองแขกเมืองให้เรา ๑ อัน แล้วก็พาเราไปชี้ตัวสาวเจ้าของโค๊ต หรือนำไปแนะนำให้รู้จักกันโดยไม่ให้เกิดพิรุธว่าไอ้หนุ่มต่างถิ่นมันมีใบเบิกทางที่จะย่องมาล้วงตับสาวละ

ตานี้ก็เป็นบทบาทของเราเองที่จะขึ้นไป "แอ่ว" ดังได้กล่าวข้างต้นเป็นการกรุยทางแล้วก็ลองขอสิ่งแลกเปลี่ยน (โค๊ต) หากสาวไม่ให้ก็ บ่เป็นหยังดอก เพราะเรามีอยู่แล้ว กะว่าได้เวลาสาวควรจะหลับนอนแล้วเราก็ลาลงเรือนมาเสีย แล้วก็ย้อนกลับไปเคาะสัญญาณลับที่ช่องล้วงสาว

ในขณะที่ "แอ่ว" สายตาเราก็โลมเลียมหน้าตาส่วนสัดของสาวเจ้าไว้แล้ว (สัปดนวันละนิดจิตแจ่มใส) อดใจไว้อีกสักนิดก็จะได้พิสูจน์ด้วยประสาทสัมผัสอยู่แล้วน่า อะไรทำนองนั้น ปากก็คุยไปตาก็โลมเลียมไป

สาวๆ ในหมู่บ้านที่มีประเพณีอันนี้ ถ้าดูเพียงฉาบฉวยจะเหมือนคนใจง่าย แต่ที่จริงแล้วสาวๆ เหล่านั้นได้ถูกฝึกปรือให้มีความคิดเห็น มีความพอใจ โดยตนของตนเอง โดยเฉพาะเหตุผลของเจ้าหล่อนเหล่านั้น ไม่มีใครจะกล้ายื่นมือเข้าไปสอดแทรก ทั้งนี้ก็เพราะหมู่บ้านได้ตราประเพณีเสรีภาพ อิสรภาพ  ทั้งกายและใจไว้แก่พวกหล่อนอย่างนั้นนี่...  ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เจ้าหล่อนจะอ่อนไหวไปกับคำโลมเลียมของหนุ่มและไม่หนุ่ม หากอารมณ์ของพวกหล่อนเกิดพ้องพานกันขึ้น

สาวที่หมู่บ้าน 'ห้วยกระเดียน' ไม่เห็นเป็นของแปลกหรือเป็นที่เสียหายอะไร ในเมื่อเจ้าหล่อนจะให้ "โค๊ต" ไปกับหนุ่มหลายๆ คน ในเมื่อหนุ่มๆ เหล่านั้นยังรักเผื่อเลือกได้ทำไมพวกเจ้าหล่อนจะทำบ้างไม่ได้ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น

ผู้เขียนผวาร่างไปที่ "ช่องล้วงสาว" เคาะป๊อกๆ ตามโค๊ตที่ได้รับมา ๒ ที  ภายในห้องของสาวยังเงียบกริบอยู่ อีกอึดใจหนึ่งก็เคาะป๊อกๆ อีกสองที คราวนี้ได้ยินเสียงฟากไม้ไผ่ที่รองรับร่างของหล่อนดังกรอบแกรบ  แสดงว่าเจ้าหล่อนรู้แล้วว่าเป็นสัญญาณหรือโค๊ตของใคร  พออีกป๊อกๆ หนสุดท้าย สลักที่ปิดบนช่องล้วงก็ดังแกร๊กแต่หล่อนไม่เปิดเอง ผู้เขียนลองเอานิ้วมือดันเบาๆ มันก็เปิดออก แล้วผู้เขียนก็เสือกลำแขนเข้าไปจนสุดช่วงไหล่ เอามือควานคว้าหาตัวสาวเจ้า ปรากฏว่าควานพบแต่อากาศอันว่างเปล่าท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักชอบใจของเจ้าหล่อน  ควานจนแขนล้าก็ไม่พบเจ้าของห้อง จึงเลยทอดแขนลงด้วยความอ่อนใจ ตอนนี้เองที่สาวเจ้าตะครุบมือของผู้เขียนปั๊บ  หล่อนเอามือหนึ่งกดแขนไว้ให้อยู่นิ่งๆ กับที่ อีกมือหนึ่งของหล่อนก็คลำหา "โค๊ต" ที่นิ้วมือผู้เขียนได้ "โค๊ต" เป็นแหวนถักด้วยหวายสวมไว้ที่นิ้วกลาง หล่อนคลำดูที่แหวนนั้นจนมั่นใจแล้วจึงหยิกมั๊บลงบนหลังมือ แล้วร่างของหล่อนก็ขยับมาจนชิด "ช่องล้วงสาว" ตัดพ้อต่อว่า ว่าทำไมมาถึงดึกนัก เค้าง่วงนอนแล้วไม่ใช่เหรอ  วันหลังมาใหม่ดีกว่า ฯลฯ อะไรทำนองนี้เป็นเชิงเง้างอน ผู้เขียนก็โอ้โลมด้วยคำหวานเบาๆ เพื่อคล้อยตามอารมณ์งอนของเจ้าหล่อน

ตอนที่หล่อนขยับตัวเข้ามาชิด "ช่องล้วงสาว" นั้น แขนของผู้เขียนเป็นอิสระแล้ว ผู้เขียนได้ยกมันขึ้นลูบไล้ตามหลังไหล่และลำแขนของเจ้าหล่อนอย่างแผ่วเบาละมุนละไม ไม่ปรากฏว่าสาวเจ้าขัดขืนแต่ประการใด  แต่พอผู้เขียนทำท่าจะเลยเส้นขนานไปตามสัญชาตญาณของเพศผู้ สาวเจ้ากลับปัดป้องอย่างเหนียวแน่น ผู้เขียนจึงต้องใช้ลิ้นลมเข้าโลมเล้าอีกแรงหนึ่ง สาวเจ้าจึงทอดตัวลงนอนเหยียดอยู่ข้างๆ "ช่องล้วงสาว"

ปล่อยให้ผู้เขียนลูบไล้ไปตามสบาย ท่านลองหลับตานึกภาพเอาเองเถอะว่าการที่ผู้ชายอย่างเราท่าน มีโอกาสได้ลูบไล้ร่างของหญิงสาวด้วยความเต็มใจของเจ้าหล่อน เพียงมีแขนและมือข้างเดียวนั้น มันจะทารุณจิตใจสักเพียงไหน?  ผู้เขียนชักกระตุกดิ้นงอแดยันอยู่เพียงฝ่ายเดียว  สาวเจ้ากลับนอนหัวเราะคิ๊กๆ เหมือนจะยั่วให้ทลายฝาห้องเข้าไปพิชิตเสียสิ้นดี แต่ก็ทำไม่ได้ จนแล้วจนรอดมันก็ไอ้แค่นั้น วอนเสียงสั่นเสียงเครือให้สาวเปิดหน้าต่าง สาวก็เงียบเฉย แม้ว่าบางครั้งร่างของหล่อนจะบิดเบี้ยวไปมา แต่เสียงกระซิบที่ดังโต้ตอบออกมาก็มีอยู่เพียงประโยคเดียวซ้ำซากอยู่อย่างนั้นว่า...ไม่ได้ ไม่ได้ ..ผิดผี...ผิดผี...!!  ไม่มีอะไรดีกว่ากระซิบกระซาบนัดหมายหล่อนอีกในคืนวันรุ่งขึ้น, นัดเวลา, นัดแนะโค๊ตใหม่ที่จะใช้ในวันรุ่งขึ้น ซักซ้อมกันจนเป็นที่ขึ้นใจ  ผู้เขียนก็ลาสาวกลับไปนอนที่พักด้วยอาการอันโผเผเบาเนื้อเบาตัวพอประมาณ...เฮ่อ...เหนื่อย...


คืนวันรุ่งขึ้น เมื่อถึงเวลานัดผู้เขียนก็ตรงไปเลย โดยไม่ต้องขึ้นไปแอ่วอย่างเมื่อวานนี้ เมื่อได้โค๊ตที่ได้นัดหมายกันไว้ถูกต้องแล้ว “ช่องล้วงสาว” ก็เปิดออกมาดังแกร๊ก แต่คราวนี้สาวเจ้าเป็นคนเปิดเอง

มีการตรวจสอบเครื่องหมายที่นิ้วมืออีกเช่นเคย แต่คราวนี้สาวเจ้ายอมทอดตัวให้ลูบไล้เร็วกว่าคืนที่แล้ว กระบิดกระบวนต่างๆ ก็ไม่มี เสียงพูดคุยจากเจ้าหล่อนก็ชักจะหายไป มีแต่เสียงลมหายใจฟืดฟาดดังลอดฝาออกมาแทน  ผู้เขียนได้รับทราบเคล็ดลับมาจากไอ้หนุ่มเจ้าของโค๊ตแล้วว่าจักต้องดำเนินการอย่างไรกับสาวนางผู้นี้  หลักใหญ่หรือเคล็ดที่ว่านี้ก็ไม่มีอะไรนอกจากไอ้หนุ่มผู้ใจกว้างมันสอนไว้ว่า ให้ใจเย็น, ข่มอารมณ์,  ดำเนินการอย่างละมุนละไม,  อย่าตะกรุมตะกราม  หากดำเนินการอย่างนี้ได้แล้วโดยไม่ด่วนวิ่งล่วงหน้าหล่อนไปถึงหลักชัยก่อนแล้ว ไม่นานนักดอกสาวเจ้าก็จะลุกพรวดพราดขึ้นมาเปิดหน้าต่างรับอย่างแน่นอน นั่นแหละคือชัยชนะของคำว่า ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวาน’

และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เวลาผ่านไปไม่ถึง ๓๐ นาที เสียงครางของสาวกลายเป็นเสียงสะอื้นถี่ๆ อยู่พักหนึ่ง หน้าต่างเหนือ ‘ช่องล้วงสาว’ ก็เปิดผลั๊วะออกมา ก็ไม่มีปัญหาอะไรต่อไปอีกแล้วใช่ไหม? ครับ!

ความจริงประเพณีการล้วงสาว มันสิ้นสุดสมบูรณ์แบบตั้งแต่คืนแรกโน่นแล้วขอยืนยันอีกครั้งว่า ประเพณีการล้วงสาวมีเพียงแค่นั้นจริงๆ ผู้เขียนยอมรับว่าไอ้เพียงแค่นั้นของประเพณีนี้ ทำให้อารมณ์หนุ่มของผู้เขียนผ่อนคลาย หรือที่เรียกว่า “แก้ขัด” ไปได้อย่างสบายมาก แต่ก็อย่างว่าคำว่าพอของโลกมนุษย์มีซะเมื่อไหร่ ได้เท่านี้แล้วก็อยากจะได้ให้มันมากไปยิ่งกว่านั้น เป็นสันดานของมนุษย์

ส่วนเหตุเกิดในคืนที่สองนั้น มันได้กลายเป็นประเพณี “ซู” ดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นๆ ไปเสียแล้ว ไม่ใช่ประเพณีล้วงสาว

ผู้เขียนอาจเป็นคนโชคดีในการคบมิตร ไอ้หนุ่มเพื่อนเกลอผู้เสียสละหมอยังอุตส่าห์แนะทีเด็ดเกี่ยวกับทางหนีทีไล่ไว้เสร็จ เมื่อก้าวล้ำเข้าไปถึงขั้น “ซู” แล้วจะแก้ไขอย่างไร ไอ้เพื่อนรักมันบอกให้ผู้เขียนต่อยให้หนัก อย่าให้คู่ต่อสู้โงหัวขึ้นมาได้ ยิ่งใกล้จะสว่างเท่าไหร่ มีหมัดน็อคเท่าไหร่ น็อคให้สลบเหมือดไปเลย อย่าได้ปรานี  

ดังนั้น พอไก่ขันครั้งที่ ๓ ผู้เขียนก็กล่อมสาวน้อยบ้านห้วยกะเดียนเสียสลบไสลไปเลย แล้วผู้เขียนก็ปาฏิหาริย์ตุ๊บลงทางหน้าต่าง หายลับไปกับความสลัวๆ ของเวลารุ่งอรุณ  หวานไปรายหนึ่งละ

สามอาทิตย์ที่อยู่ ณ หมู่บ้านวิมานทิพย์แห่งนั้น ผู้เขียนได้ล้วงสาวโดยการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของบรรดาเสี่ยวๆ รุ่นราวคราวเดียวกันไม่เว้นแต่ละคืน และแทบทุกคืนมักจะถึงขั้น “ซู” ทั้งนั้น ทั้งนี้เพราะได้ลับเคล็ดหรือทริกจากเพื่อนๆ นั่นเอง  

เพียงอาทิตย์ที่ ๓ ผู้เขียนก็เดินโต๋เต๋ จำต้องอำลาหมู่บ้านพิสวาสแห่งนั้นกลับมาด้วยความอาลัย

จากวันนี้ไปจนถึงวันหน้า ประเพณีอันนี้ก็คงจักได้เป็นเพียงอดีตที่ฝังใจของผู้ได้ผ่านพบประสบมาเท่านั้น โลกได้วิวัฒนาการก้าวไกลไปจนมนุษย์ถึงโลกพระจันทร์แล้ว ประเพณีดังกล่าวนี้ก็คงสูญหายไปทีละนิดๆ จนกระทั่งมลายไปตามความเจริญของโลกยุคใหม่  ประเพณีอันพิสดารนี้วางมาตรการอยู่ได้ด้วยจิตใจของคนในสมัยนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องเสียจริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะถูกประคับประคองมาจนถึงปัจจุบันนี้ มันก็คงจะดำเนินไปบนหลักการดังกล่าวนั้นไม่ได้ เพราะคนในยุคนี้ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจ ไปจนไม่มีสิ่งใดที่จะกระชากฉุดหยุดรั้งไว้ได้เสียแล้ว...น่าเสียดาย...[/size]

...เฮ๊อ...น่าเสียดาย...น่าเสียดายจริงๆ...