|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #21 เมื่อ: 05 กุมภาพันธ์ 2553 20:39:30 » |
|
ภาพที่ ๕๐
บัวสี่เหล่าคนสี่ประเภท ในที่สุด พระผู้มีพระภาคได้อุปมาว่า คนมีสี่จำพวกซึ่งเปรียบได้กับบัวสี่เหล่ากล่าวคือ ๑. บัวประเภทบานแล้ว ได้แก่คนเข้าใจง่าย พูดนิดเดียวก็เข้าใจสว่างไสว ๒. บัวที่กำลังปิ่มน้ำจะบานจะโผล่ขึ้นมา หมายถึงคนที่จะจูงพร่ำสอนกันหลายเที่ยวหลายครั้ง ๓. บัวที่ยังอยู่ลึกไปกว่านั้น หมายถึงคนที่ได้รับฟังหลายครั้งหลายหนแล้วก็ยังจะต้องอาศัย เพื่อนฝูงที่ดีคอยกระตุ้นเตือน และ ๔. บัวที่อยู่ใต้น้ำ หมายถึงคนที่สอนเท่าไรก็ไม่รู้เรื่อง พยายามจะโต้แย้ง จะเถียงจะรั้น จะดันทุรังไปก่อน
ท่านอยู่ประเภทไหน หรืออาจจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นเหล่าที่ห้า หุบๆบานๆพอฟังพอรู้เรื่อง อะไรดีก็สว่างไสวขึ้นแวบหนึ่ง แล้วก็กลับไปมืดมนต่อไปอย่างนั้นหรือ?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #22 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553 06:58:50 » |
|
ภาพที่ ๕๑
นำธรรมะสู่สัตว์ผู้ทุกข์ยาก
เมื่อทรงเปรียบคนได้กับบัวสี่เหล่าแล้ว ในที่สุดพระองค์ก็ได้ทอดพระเนตรได้ตาใน คือธรรมจักษุ มองเห็นบรรดาเหล่าสัตว์โลกทั้งหลายที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก ถูกเพลิงกิเลสเผาผลาญชีวิต พากันระงมร่ำไห้ เจ็บปวดอยู่ด้วยไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ ทำให้พระองค์ทรงเกิดความสงสารขึ้นอย่างจับใจ และคิดจะนำความจริงที่พระองค์ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง เผยแพร่ไปสู่เขาเหล่านั้น เพื่อความดับไปแห่งไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ ให้มอดดับลง เพื่อจะได้อยู่กันอย่างมีความสงบเย็น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #23 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:03:00 » |
|
ภาพที่ ๕๒
พบอาชีวกระหว่างทาง
เมื่อตัดสินพระทัยจะเผยแพร่สิ่งที่ตรัสรู้ จึงเดินทางออกจากที่ตรัสรู้เพื่อไปยังป่าอิสิปตนมฤทายวัน เพื่อโปรดปัญจวัคคีย์ผู้ที่เคยดูแลพระองค์มาอาศัยอยู่ ในระหว่างทางได้พบกับอาชีวกผู้หนึ่งชื่ออุปกะ ได้เข้ามาถามพระองค์ว่า ใครเป็นศาสดา ใครเป็นผู้มอบรมธรรมให้กับท่านมา ท่านจงช่วยแสดงธรรมโปรดเราด้วย พระองค์ได้ตรัสว่า เราเป็นสยัมภู เป็นผู้ตรัสรู้ได้ด้วยตนเอง เท่านั้นเองอาชีวกผู้นี้ถึงกับตะลึง และก็กล่าวคำไม่ศรัทธาออกมาว่า เชิญพ่อรู้ไปคนเดียวเถอะ เป็นไปไม่ได้… คนที่ไม่มีครูบาอาจารย์และในที่สุดถึงกับแสดงอาการสั่นศีรษะและถ่มน้ำลายแลบลิ้น แล้วเดินหลีกพระพุทธองค์ไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #24 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:21:39 » |
|
ภาพที่ ๕๓.
โปรดปัญจวัคคีย์ เมื่อพระองค์ได้เสด็จมาถึงป่าอิสิปตนมฤคทาย วันนั้นพวกปัญจวัคคีย์ซึ่งมีโกณฑัญญะเป็นหัวหน้า กำลังสนทนากันถึงพระพุทธองค์ว่า ป่านนี้ประทับอยู่ที่ไหน จะคิดถึงพวกเราอยู่หรือไม่ ทันใดก็แลเห็นพระพุทธองค์เสด็จและไม่ถวายความเคารพ เนื่องจากไม่เลื่อมใสที่พระองค์เลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา ซึ่งเป็นเหตุให้พวกตนหนีจากมา และเมื่อพระองค์เสด็จมาถึงจริง ทีแรกปัญจวัคคีย์เหล่านั้นทำท่าว่าจะไม่เข้าไปต้อนรับพระองค์ แต่แล้วเมื่อพระองค์เข้าไปใกล้ ต่างก็เข้ามาหยิบบาตรหยิบนั่นหยิบนี่ ล้างเท้า หาน้ำให้ ต้อนรับพระองค์เป็นอย่างดี ลืมข้อตกลงกันเสียสิ้น
ภาพที่ ๕๔.
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร หลังจากต้อนรับทักทายพูดคุยกันแล้ว พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์เหล่านั้น และเมื่อได้ฟังธรรมของพระองค์แล้วก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ แต่เป็นชั้นโสดาบันก่อน แล้วเรื่อยมาจนได้เป็นพระอรหันต์ด้วยธรรมเทศนาที่เรียกกันว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร คือพูดถึงสุดโต่งสองอย่าง หนักหน่วงไปในทางทรมานกายให้ลำบาก และการปล่อยชีวิตไปตามความใคร่ มัวเมาเปียกแฉะ เพลิดเพลินอยู่กับเรื่องกาม อันเป็นทางที่ไม่พ้นทุกข์ทั้งสองฝ่าย
เมื่อปัญจวัคคีย์ฟังพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโปรด ต่างก็มีจิตใจเห็นตามความเป็นจริงนั้น จนกระทั่งได้ขอบวชในพระศาสนาของพระองค์ต่อไป
ภาพที่ ๕๕.
โปรดยสกุลบุตร เมื่อพระองค์ไปจำพรรษาอยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ก็มีลูกเศรษฐีผู้มั่งคั่งชื่อว่ายส ได้เกิดความเบื่อหน่ายความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในบ้าน ทั้งๆที่มีทรัพย์มากมาย จึงออกจากบ้านแล้วเดินบ่นไปตามทางว่า ที่นี่วุ่นวายจริงนะ ที่นี่ขัดข้องจริงหนอ พระองค์ผู้อยู่ในป่าได้ยินเข้าจึงได้สวนคำออกมาว่า มาที่นี่สิ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ยสกุลบุตร รู้สึกเอะอะ เอ๊ะ มีใครที่อยู่ในนี้ ไม่วุ่นวาย ไม่ขัดข้อง จึงได้แวะเข้าไป ไปพบเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์จึงได้แสดงอนุปุพิกถาโปรดยสกุลบุตร จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาไม่กลับบ้าน แล้วจึงขอบวชเป็นพระภิกษุกับพระพุทธเจ้าต่อไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:28:43 » |
|
ภาพที่ ๕๖
ประกาศพระศาสนา เมื่อพระยสบวชแล้ว เพื่อนของพระยสอีกจำนวนมากได้พากันออกบวชตาม รวมพระที่บวชครั้งนี้เป็นจำนวน ๒๐ รูป แล้วได้บรรลุพระอรหันต์ พระองค์จึงได้บอกกับภิกษุเหล่านี้ว่า บัดนี้พวกเราทั้งหลายเป็นผู้พ้นแล้วจากบ่วงอันเป็นทิพย์ และบ่วงอันเป็นมนุษย์ จงช่วยกันแยกย้ายไปเผยแพร่พรหมจรรย์ให้งามในเบื้องต้น
งามในท่ามกลาง งามในที่สุด แก่คนผู้มีธุลีในดวงตาน้อย จงแยกกันไปทางละองค์ อย่าไปหลายองค์
นี่พระองค์ทรงส่งมิชชันนารีไปสู่ปวงชนเป็นรุ่นแรกของโลกเลยทีเดียว ไม่ได้ทรงแนะนำว่าเธอจงไปสร้างวัด เสกเหรียญ ทำน้ำมนต์ พ่นน้ำหมากแข่งกัน แต่พระองค์ทรงบอกให้ไปประกาศพรหมจรรย์ให้งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:30:38 โดย เงาฝัน »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #26 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:37:16 » |
|
ภาพที่ ๕๗
โปรดภัททวัคคีย์ จากนั้นพระองค์เองก็จะไปยังอุรุเวลาเสนานิคม ขณะที่พักระหว่างทางได้พบกับเหล่าภัททวัคคีย์ที่พากันไปแสวงหาความสุขรื่นเริง ได้พาผู้หญิงจับคู่กันไปคนละคนสองคนปรากฏว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งเกิดฉวยเอาเครื่องแต่งตัวของพวกผู้ชายคนหนึ่งหนีไป
ผู้ชายเหล่านี้ก็ได้วิ่งติดตามหาหญิงเหล่านั้นกันจ้าละหวั่น จนกระทั่งมาพบพระผู้มีพระภาค แล้วก็ได้ถามพระองค์ว่า
" ท่านสมณะ ท่านได้เห็นผู้หญิงเดินผ่านมาทางนี้บ้างหรือไม่ "
แทนที่พระองค์จะตอบว่าเห็นหรือไม่เห็น พระองค์กลับสอนคนเหล่านี้โดยสวนคำออกไปว่า " ท่านทั้งหลาย ท่านจะมัวหาหญิงดีหรือจะหาตนดี "
ปรากฏว่าพวกภัททวัคคีย์เหล่านั้นก็ได้เกิดเอะใจกล่าวไปว่า " เอ๊ะ ก็ตนของฉันก็อยู่นี่ จะต้องไปหาตนอะไรอีกเล่า ก็ผู้หญิงมันลักทรัพย์ข้าวของเงินทองไป กำลังตามหากันอยู่นี่ ท่านเห็นบ้างหรือไม่ "
พระองค์ก็ยังย้ำคำเดิมว่า " ควรจะหาตนก่อนดี หรือจะหาหญิงดี "
เหล่าภัททวัคคีย์เหล่านี้ก็เริ่มเอะใจก็เลยถามว่า ยังไงกันแน่ แสวงหาตนนั้นดีอย่างไร ลองพูดให้เข้าใจซิ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า " เชิญพวกท่านนั่งลงเถิด อาตมาจะแสดงให้ฟัง "
เมื่อเหล่าภัททวัคคีย์เหล่านั้นนั่งลงเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงแสดงไปในลักษณะที่ว่า …
ก็เรานั่นแหละ ที่ว่าหาหญิงก็คือหาตน เพราะว่าผู้หญิงเหล่านั้นเอาของของตนไปใช่ไหมล่ะ ?
ถ้ามันไม่ได้เอาของของตนไป เราก็คงจะไม่ตามหาอะไรทำนองนั้น
เหล่าภัททวัคคีย์เมื่อได้ฟังที่พระองค์กล่าว ก็เริ่มเห็นจริงเห็นจังว่า อ๋อ ที่เราตามหาอะไร ก็คือตามหาของตนบ้าง ตามหาพวกของตนบ้าง ตามหาข้าวของตนบ้าง ตามหาวงศ์วานของตนบ้าง ที่จริงเรามัวแต่ตามหาตนที่เป็นภายนอกนั้นมันไม่ถูก เพราะเกิดความรู้สึกยึดถือว่า ไอ้นั่นของตน ไอ้นี่ของตน จึงตามหาคน ก็คือตามของของตนนั่นเอง
เมื่อเข้าใจและเห็นจริงดังนั้น ทำให้คนเหล่านี้เกิดเลื่อมใสศรัทธาในคำสอนของพระผู้มีพระภาคเป็นอันมาก จึงหยุดแสวงหาหญิงผู้นำเสื้อผ้าของตนไป กลับมามองเพ่งตนหาตน ว่าอะไรหนอที่ทำให้ตนวุ่นวาย ก็ได้คำตอบว่าคือความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวตนนั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:43:10 » |
|
ภาพที่ 58
โปรดชฎิลสามพี่น้อง ต่อมาพระองค์ได้ไปโปรดชฎิลสามพี่น้องซึ่งถือการบูชาไฟกันอย่างยิ่ง และในที่สุดพระองค์ก็ทรงแสดงธรรมว่า สิ่งที่ร้อนกว่าไฟที่น่ากลัว น่าสยดสยองนั้นยังมีอีก อย่ามัวแต่หลงกลัวไฟข้างนอกกันอยู่เลย ไฟที่ร้ายกาจก็คือไฟที่เผาใจให้เกิดใคร่กระสัน เกิดความร่านทุรนทุราย ที่จะต้องเสพสุขสนุกสนานจากเนื้อหนัง หรือสิ่งที่เรียกกันว่า ยั่วให้ใคร่ ให้รักทั้งหลาย ซึ่งเป็นไฟเผาใจ ยั่วให้โกรธ ความโกรธก็คือเป็นไฟ ยั่วให้กลัว ให้หลงก็เป็นไฟ เพราะฉะนั้นไฟทั้งสามนี้เป็นอันตรายมาก ควรจะดับเสีย เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมจบลง เป็นเหตุให้ชฏิลผู้พี่เกิดศรัทธาถึงกับลอยบริขารไป ส่วนชฎิลที่เหลืออีกสองก็ถือบวชในเวลาต่อมาร่วมกับบริวารอีกจำนวนมากมาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #28 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:47:00 » |
|
ภาพที่ 59
โปรดพระโมคคัลลานะ ภาพนี้ คือ พระโมคคัลลานะซึ่งเป็นอัครสาวกฝ่ายซ้ายของพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะมาบวชในพระพุทธศาสนา เคยศึกษาทางพ้นทุกข์อยู่ในสำนักของอาจารย์สญชัยปริพาชก ผู้มีชื่อเสียและมีคนนับถือมาก แต่เมื่อศึกษาจบแล้วเห็นว่ายังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จึงลาอาจารย์ออกแสวงหาความรู้ ต่อมาได้รับการชักชวนจากสหาย คือ พระสารีบุตร ให้มาบวชกับพระพุทธเจ้า วันหนึ่งพระองค์ได้ทรงมาโปรดพระโมคคัลลานะซึ่งมาปฏิบัติธรรมและง่วงหลับ พระองค์แก้วิธีง่วงหลับให้หลายอย่างหลายประการ เช่น มีการเอาน้ำลูบเนื้อลูบตัว เอาไม้ทิ่มหู หรือว่ามีการเดินจงกรม เป็นต้น
เพราะฉะนั้น ท่านผู้อ่านอย่ามัวง่วงหลับไหลอยู่ หาทางแก้เสีย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #29 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:51:46 » |
|
ภาพที่ 60
โปรดปริพาชกทีฆนขะ วันนี้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมที่เรียกกันว่าแบบลักษณะแคนนอน ระบบตีวัวกระทบคราด หรือว่ายังไงก็ได้ ว่าแต่ไม่ใช่เป็นเจตนาเช่นนั้น ความจริงแล้วเป็นเรื่องของความเข้าใจของผู้ทำหน้าที่พัดอยู่ คือพระสารีบุตร อัครสาวกฝ่ายขวา ทำหน้าที่พัดขณะที่พระองค์ทรงแสดงธรรมกับปริพาชกทีฆนขะ ปรากฏว่าขณะที่พระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่นั้น พระสารีบุตรผู้ทำหน้าที่พัดอยู่ข้างหลัง ก็เกิดแวบขึ้นในพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงจนกระทั่งได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ นี่เรียกว่าเทศน์กับองค์ข้างหน้า แต่องค์ข้างหลังบรรลุ นี่เป็นการแสดงธรรมในลักษณะแคนนอน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553 07:55:59 » |
|
ภาพที่ 61
โปรดพระเจ้าพิมพิสาร ภาพนี้ พระองค์ได้มาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ซึ่งแต่เดิมนั้นนับถือเคารพอุรุเวลกัสสปะมาก ก่อนที่พระองค์จะแสดงธรรมนั้นได้ถามอุรุเวลกัสสปะว่า บัดนี้ ท่านได้เลื่อมใสในธรรมของใคร ท่านเคารพธรรมของใคร อุรุเวลกัสสปะก็บอกเคารพธรรมของพระผู้มีพระภาค เลื่อมใสพระผู้มีพระภาค เป็นการเรียกศรัทธาให้เกิดขึ้นก่อน เมื่อพระเจ้าพิมพิสารเห็นว่าอาจารย์ของตนยังเลื่อมใสพระผู้มีพระภาค จึงเกิดเพิ่มศรัทธาในพระผู้มีพระภาคขึ้นมา เมื่อศรัทธาเสียแล้วจะป้อนธรรมะลงไปมันก็ง่าย เหมือนท่านทั้งหลาย ถ้าศรัทธาในพระพุทธประวัติชุดนี้ ก็ทำให้เข้าใจง่ายและอยากจะฟังติดตาม พระเจ้าพิมพิสารก็เช่นกันเมื่อได้ฟังธรรมก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน พร้อมกับบริวารอีกเป็นจำนวนมาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: 06 กุมภาพันธ์ 2553 08:02:45 » |
|
ภาพที่ 62
แสดงโอวาทปาติโมกข์ นี่เป็นภาพเหตุการณ์ในวันมาฆะ ที่เรียกกันว่าวันที่พระสงฆ์ที่เป็นพระอรหันต์จำนวนเป็นพัน ๆ รูปได้มาพร้อมกันโดยมหัศจรรย์ โดยไม่ได้นัดหมาย จำนวนถึง 1,250 องค์ มาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ ที่พระสาวกมีน้ำใจอันหนึ่งอันเดียวกันว่า มุ่งหน้าสู่พระศาสดา
ท่านทั้งหลายเหมือนกัน พวกเราบางทีก็ไม่ได้นัดหมาย ต่างคนต่างมา ต่างอยากจะรู้ ต่างอยากจะดู ต่างอยากจะฟัง เพราะจิตใจของเรานั้นมอบให้พระพุทธเจ้าเข้ามานั่งอยู่ในหัวใจเสียแล้ว อยู่ที่ไหน ๆ ก็สามารถรวมกันได้โดยไม่ต้องเรียกร้องบอกกล่าว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #32 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 05:39:26 » |
|
ภาพที่ 63
ถูกพระบิดาตัดพ้อ เมื่อครั้งพระองค์เสด็จกรุงกบิลพัสดุ์ และได้ออกบิณฑบาตนั้น พระเจ้าสุทโธทนะผู้เป็นพระราชบิดาก็ได้ออกมาแสดงอาการน้อยเนื้อต่ำใจว่า “โถ ลูกพ่อทำไมถึงทำอย่างนั้น เป็นกษัตริย์จะขอข้าวเขากินทำไม จะมาบิณฑบาตขอข้าวเขากินทำไม ต้องการเท่าไรบอกพ่อ พ่อจะหาให้เอง ทำอย่างนี้มันเสียวงศ์ตระกูลแก่พ่อเหลือเกินแล้วลูกเอ๋ย”
พระองค์ก็ทรงได้ตรัสตอบไปว่า “ตระกูลของพระพุทธเจ้านั้น ต้องออกบิณฑบาตทุกพระองค์ เพื่อให้ปวงชนได้มีโอกาสสละความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ ความเบิกบานใจแห่งการให้จะได้เกิดขึ้น ฉะนั้นมหาบพิตรอย่าได้เสียอกเสียใจเลย นี้เป็นพุทธประเพณี เป็นตระกูลของพระพุทธเจ้า” ตรัสตอบไปดังนั้นพระเจ้าสุทโธทนะจึงได้เข้าใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 05:44:51 » |
|
ภาพที่ 64
มอบอริยทรัพย์ให้ราหุล พระเจ้าสุทโธทนะต้องการให้พระราหุลเป็นกษัตริย์แห่งกบิลพัสดุ์ต่อไป เมื่อราหุลเข้าพบพระผู้มีพระภาค พระองค์ได้ถามราหุลว่าอยากได้ทรัพย์สมบัติหรืออริยทรัพย์ ถ้าต้องการอริยทรัพย์ก็ไปกับพ่อเถอะ จะมีมอบให้มากมาย แต่ถ้าอยากได้แค่ทรัพย์สมบัติซึ่งมันวิบัติได้ ก็อยู่รับต่อไป ด้วยความรักพ่อ อยากอยู่ใกล้พ่อ ราหุลจึงไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติ พระเจ้าสุทโธทนะถึงกับผิดหวัง ลูกก็ผิดหวังไปแล้ว นี่ยังมาผิดหวังกับหลานอีก จึงได้มีการขออนุญาตพระพุทธเจ้าว่า ต่อไปนี้จะเอาลูกใครเขาไปบวชก็ขอให้ถามบิดามารดาให้เขาอนุญาตเสียก่อน จึงเป็นคำหนึ่งที่พระอุปัชฌาย์ได้ถามผู้เข้ามาบวชว่า บิดามารดาอนุญาตแล้วหรือ? อย่างนี้เป็นต้น ถ้าไม่อนุญาตก็บวชไม่ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 05:49:17 » |
|
ภาพที่ 65
ตรัสตอบบัญญัตพระวินัย พระสารีบุตรได้มากราบอาราธนาพระผู้มีพระภาคให้ทรงบัญญัติพระวินัย เพราะเมื่อสาวกอยู่กันมากมายย่อมจะมีการเป็นอยู่ที่ไม่งดงาม
พระผู้มีพระภาคจึงได้กล่าวว่า เรื่องนั้นเรารู้และเข้าใจ เรื่องที่สารีบุตรบอกว่าวินัยเป็นเสมือนเชือกเส้นด้ายที่รวบรวมดอกไม้ต่าง ๆ จะเป็นดอกดาวเรือง บานไม่รู้โรย มะลิ อะไรก็ตาม แต่ถ้ามีเส้นเชือกเข็มร้อยไปแล้ว ก็จะอยู่กันอย่างงดงาม พระองค์ก็บอกว่าเราจะมาสร้างวินัยขึ้นก่อนโดยเหตุการณ์ไม่เกิดนั้น ก็เป็นเรื่องที่ยังไม่บังควร เราจะคอยกำหนดตามทีหลัง ซึ่งเป็นเรื่องค่อยว่าค่อยแก้ไขกันไป ไม่ใช่มาสร้างข้อบังคับอะไรไว้ล่วงหน้าก่อนมากมาย มันจะเกิดเรื่องยุ่งยาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #35 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 05:52:54 » |
|
ภาพที่ 66
บัญญัติปฐมปาราชิก ต่อมา ทรงบัญญัติปฐมปาราชิก ด้วยพระสุทินเป็นต้นเหตุ
มีเรื่องเล่าว่า แม่ของพระสุทินต้องการที่จะได้ลูกสืบวงศ์ตระกูลไว้ ก็เลยพยายามชักชวนให้ไปทิ้งพืชพันธุ์ไว้ช่วงหนึ่งเถิด ที่จริงพระสุทินไม่ปรารถนาที่จะไปเสพสมกามารมอะไรกับภรรยาเก่าอีก แต่เนื่องจากแม่ปรารถนาที่จะให้มีลูกไว้สืบสกุล เมื่อถูกขอร้อง พระอสุทินก็ไปทำให้ตามความต้องการ เมื่อมีพระนำเรื่องนี้มาโจษขานกัน พระพุทธองค์ก็ทรงบัญญัติพระวินัยขึ้นเป็นข้อแรกว่า ภิกษุผู้ปรารถนาที่จะพ้นจากบ่วงทั้งปวงแล้ว ไม่ควรไปยินดีในเมถุนอีก เรื่องนี้เป็นครั้งแรก พระสุทินก็ไม่ผิดหรือขาดจากความเป็นบรรพชิต เพราะไม่ได้มีจิตใจยินดี และตอนนั้นพระวินัยยังไม่ได้บัญญัติ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #36 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:04:37 » |
|
ภาพที่ 67
ทรงบัญญัติความฟุ้งเฟ้อ ต่อมา มีลูกของเศรษฐีมาออกบวช ปรากฏว่าได้ประดับตกแต่งจัดทำกุฏิอย่างสวยงาม พระองค์เห็นว่าจะเป็นการหลงใหลมัวเมาที่อยู่อาศัยมากเกินไป จึงได้สั่งให้ภิกษุรูปนั้นรื้อทำลายกุฏิเสีย หมายความว่าเพื่อไม่ให้หลงใหลยินดีในการอยู่ดีกินดี จนติดใจหลงใหล ไม่มุ่งบำเพ็ญความเพียร
ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่สวนทางกับความรู้สึกของคนทั่วไป ซึ่งทะยานใหญ่จนกระทั่งไปดาวน์ไปผ่อนไปส่งเขามากมาย พระองค์นั้นต้องการให้ขูดเกลาให้ อยู่งาม อยู่ง่าย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #37 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:08:41 » |
|
ภาพที่ 68
การฆ่าเป็นบาปอย่างยิ่ง เมื่อพระองค์ทรงสอนให้พิจารณาเห็นร่างกายสังขารเป็นของเปื่อยเน่า พระจำนวนหนึ่งพากันพิจารณาจนเบื่อหน่ายในสังขาร เข้าใจผิดคิดว่าดับกิเลสคือดับชีวิต ถ้าสิ้นชีวิตถึงจะสิ้นกิเลส ให้สิ้นทุกข์ก็ต้องสิ้นชีวิต จนกระทั่งบรรพชิตพากันไปจ้างเขาให้มาฆ่าตัวให้ตายเป็นจำนวนมาก จนระทั่งเหลือน้อยเต็มที
พระองค์จึงได้ทรงบัญญัติว่า การฆ่าตัวตาย หรือ ฆ่าผู้อื่นตาย ก็เป็นความผิดขั้นปาราชิกคือขาดจากความเป็นบรรพชิต พระองค์ก็ทรงแก้ไขเรื่อยมาจนกระทั่งเกิดความพอดิบพอดีในการปฏิบัติธรรมให้ลุล่วงชำระกิเลสได้ไม่ผิดทางว่า ให้ดับกิเลสแล้วปล่อยชีวิตอยู่ต่อไปทำประโยชน์ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #38 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:12:40 » |
|
ภาพที่ 69
อวดอุตริมนุษยธรรม ต่อมาเมื่อบรรพชิตมากเข้าก็ต้องมีคนไม่ดีหลงเข้ามาเป็นธรรมดา ถ้ามีมากขึ้นก็ต้องเสียหายไปเป็นธรรมดา แต่การแก้ไขนั้นก็ต้องมีตามมา พระองค์ก็ได้พยายามแก้ไขบัญญัติ ข้อห้ามไม่ให้กระทำสิ่งที่เสียหาย เรื่องมีว่า พระไปจำพรรษา เกิดข้าวยากหมากแพง ก็ได้ออกอุบายหลอกญาติโยมว่าให้ทำบุญกับองค์นั้นสิเป็นพระอรหันต์ ญาติโยมก็นำอาหารมาถวายจนอ้วนพี ปรากฏว่าเมื่อพระอีกส่วนหนึ่งไปอยู่ในที่อดอยากก็ผอม แต่ว่าพระเหล่านี้ไม่หลอกลวงโยม ไม่ยอมทำความผิด ต่อมาพระองค์จึงได้ทรงบัญญัติว่า ภิกษุที่ไปอวดอ้างว่าได้ บรรลุฌาน ได้บรรลุพระอรหันต์ ก็ต้องผิด ถ้าไม่มีคุณธรรมวิเศษนั้นเอง ก็ขาดจากความเป็นบรรพชิต ถ้ามีก็ยังถือว่าผิด เป็นการอวดอ้างตนที่ไม่เหมาะสม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #39 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:18:07 » |
|
ภาพที่ 70
อบรมธรรมแก่สาวก พระองค์ได้พยายามอบรมพระสาวกของพระองค์ให้ทำตนเหมือนสะใภ้ใหม่ คือให้เหมือนภาพแรก สะใภ้ใหม่นั้นต้องเคารพกราบนอบนบพ่อผัวแม่ผัว สะใภ้เก่านั้นบางทีชี้หน้าด่าแม่ผัวพ่อผัว ถ้าเปรียบเทียบกับพระภิกษุ ก็หมายถึงจะต้องทำตัวนอบน้อม เชื่อฟังพระเถระ หรือว่าทำตัวให้รู้จักอาย เข้าสู่วงศ์ตระกูลพ่อผัวแม่ผัวแล้วต้องเป็นคนอายชั่ว กลัวบาป ไม่ใช่เป็นคนหน้าด้าน อายลำบาก อะไรดังที่เขาเป็นกันทั่วไป
นี่ก็เป็นเรื่องที่พระองค์พยายามตะล่อมสาวกของพระองค์ให้ดีงาม ให้เป็นที่เคารพเลื่อมใสศรัทธา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เงาฝัน
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 15
คะแนนความดี: +58/-0
ออฟไลน์
เพศ:
Thailand
กระทู้: 7493
ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 8.0
|
|
« ตอบ #40 เมื่อ: 07 กุมภาพันธ์ 2553 06:22:28 » |
|
ภาพที่ 71
จงเป็นธรรมทายาท พระองค์ได้พยายามเน้นพระสาวกของพระองค์ให้เป็นธรรมทายาท อย่าเป็นอามิสทายาท ทรงเล่าย่อๆว่า ถ้าหากมีภิกษุสององค์ องค์หนึ่งตั้งใจเป็นธรรมทายาท จะไม่รับอาหารบิณฑบาตรลาภสักการะของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ทรงเหลือมาให้ ถึงจะอดอย่างไรก็ไม่รับ แต่องค์หนึ่งพยายามจะรับของฉันที่เหลือจากพระพุทธเจ้า หมายความว่าคอยรับลาภสักการะจากคนที่เลื่อมใสศรัทธานำสักการะมาให้พระองค์ เรียกว่ามีแต่รับไม่มีจ่าย หรือที่เรียกกันว่ามีแต่เทค ไม่มีกิ๊ฟ ก็กลายเป็นพระประเภทที่เรียกว่า เป็นญาติข้างกากเดน หรือพวกเศษอาหาร มานอนกอดกากที่ชาวบ้านเขาถวายอยู่ ไม่มุ่งสละละปล่อยวางบำเพ็ญประโยชน์ตนให้มากขี้น ประโยชน์ส่วนรวมให้มากขึ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
กำลังโหลด...