แต่กระนั้นก็มีเรื่องเล่าลือให้ถึงพระเนตรพระกรรณว่า กรมพระราชวังบวรฯ ได้ออกพระโอษฐ์ตรัสสาปแช่งขณะประชวร
และเสด็จทอดพระเนตรรอบ ๆ วังว่า
“–ของเหล่านี้ กูอุตส่าห์ทำด้วยความคิดและเรี่ยวแรงเป็นหนักหนา หวังจะอยู่ชมนาน ๆ ก็ไม่ได้ชม ของใหญ่ของโตของกูดี ๆ
ของกูสร้าง ใครไม่ได้ช่วยเข้าทุนอุดหนุน กูสร้างขึ้นด้วยกำลังข้าเจ้าบ่าวนายของกูเอง นานไปใครไม่ใช่ลูกกู
เข้ามาเป็นเจ้าของครอบครองขอผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข–“เมื่อสมเด็จพระราชวังบวรฯ เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดตั้งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร
พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคลแทน ครั้งนั้นคุณเสือพระสนมเอกได้กราบทูล
ขอให้เชิญเสด็จกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์ใหม่ไปประทับ ณ พระบวรราชวังแทน แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ไม่ทรงเห็นด้วยเพราะทรงรำลึกถึงคำตรัสสาปแช่ง จึงมีพระราชดำรัสว่า
“–ไปอยู่บ้านช่องของเขาทำไม เขารักแต่ลูกเต้าของเขา ๆ แช่งเขาชักไว้เป็นหนักเป็นหนา–“
โปรดให้กรมพระราชวังบวรฯ ใหม่ประทับอยู่ที่พระราชวังเดิมจนเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ
ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ตั้งสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์
เป็นกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ พระดำรัสสาปแช่งยังเป็นสิ่งที่ทุกคนเกรงกลัว พยายามหาทางเลี่ยงพระดำรัสสาป
โดยทรงอภิเษกสมรสกับพระธิดาในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นลูกเขยเป็นการผ่อนปรน
เลี่ยงพระดำรัสสาปอย่างแยบยล
ครั้งแรกทรงตั้งพระทัยจะอภิเษกกับเจ้าฟ้าหญิงพิกุลทอง พระธิดาซึ่งประสูติแต่เจ้าศิริรดจา พระขนิษฐาของพระเจ้ากาวิละเมืองเชียงใหม่
แต่เจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้สิ้นพระชนม์เสียก่อน จึงทรงอภิเษกกับพระธิดาพระองค์อื่นขององค์เจ้าของวังแทน กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์
ดำรงพระยศเป็นกรมพระราชวังบวรได้เพียง 8 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อพระชนมายุได้เพียง 44 พรรษา และในรัชสมัยนี้ก็มิได้ทรงแต่งตั้งท่านผู้ใด
เป็นกรมพระราชวังบวรฯ แทนจนสิ้นรัชกาล
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดแต่งตั้งกรมหมื่นศักดิพลเสพ (พระองค์เจ้าอรุโณทัย พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1)
ซึ่งเป็นพระปิตุลารุ่นเล็ก มีพระชันษาใกล้เคียงกับพระองค์ให้เป็นกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรฯ
พระองค์นี้ก็ทรงใช้วิธีผ่อนปรนเลี่ยงพระดำรัสสาปด้วยการอภิเษกสมรสกับพระองค์เจ้าดาราวดี พระธิดากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาน้อย ทรงอยู่ในตำแหน่งกรมพระราชวังบวรฯ ได้เพียง 8 ปี ก็เสด็จสวรรคต
เมื่อพระชนมายุได้เพียง 47 พรรษา และมิได้ทรงแต่งตั้งพระราชวงศ์พระองค์ใดเป็นกรมพระราชวังบวรฯ จนสิ้นรัชกาล
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจุธามณีกรมขุนอิศเรศรังสรรค์
ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรฯ แต่โปรดให้เพิ่มพระเกียรติยศเทียบเท่าพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง
เป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีวิธีผ่อนปรนเลี่ยงพระดำรัสสาปด้วยการโปรดให้พราหมณ์ทำพิธีฝังอาถรรพ์ใหม่ทุกป้อมทุกประตู
รวม 80 หลัก ก่อนที่จะโปรดให้สร้างพระราชมณเฑียรพระที่นั่ง และพระตำหนักต่าง ๆ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับ
ณ พระบวรราชวัง 18 ปี จึงเสด็จสวรรคต
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติตั้งแต่พระชนมายุเพียง 15 พรรษา
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมาหาศรีสุริยวงศ์ในฐานผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน รวบรัดแต่งตั้งพระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่
ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ มีเรื่องเชื่อกันว่าเป็นอาถรรพ์ของวังหน้าอีกครั้ง
เมื่อเกิดความขัดแย้งกันระหว่างวังหลวงกับวังหน้า ซึ่งหากเหตุการณ์ยืดเยื้อต่อไปอาจร้ายแรงถึงเสียเอกราชให้แก่จักรวรรดินิยมตะวันตก
กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญอยู่ในตำแหน่ง 15 ปี จึงทิวงคต ทำให้ยิ่งตอกย้ำความเชื่อว่า ตำแหน่งวังหน้านี้มีอาถรรพ์
อันเกิดจากพระดำรัสสาปแช่งของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักพระทัยถึงปัญหายุ่งยากที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงโปรดให้เลิกตำแหน่งนี้
และโปรดสถาปนาตำแหน่งรัชทายาทใหม่คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารขึ้นแทน เรื่องราวของความเชื่อเกี่ยวกับพระดำรัสที่ว่า
“–ของใหญ่ของโตของกูดีๆ ของกูสร้าง–ใครไม่ใช่ลูกกู เข้ามาเป็นเจ้าของครอบครองขอผีสางเทวดาจงบันดาลอย่าให้มีความสุข–“
ก็เสื่อมคลายสูญสิ้นไปตั้งแต่ครั้งนั้นกราบขอบพระคุณที่มา:
เว็บไซท์ศิลปวัฒนธรรมจาก นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับธันวาคม 2554
ผู้เขียน ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย
เผยแพร่ วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ.2564
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 9 มีนาคม พ.ศ. 2562