กฎกติกาของผู้ที่จะสู้กับกิเลสตัณหา การทำงานของกิเลสตัณหาโมหะอวิชชามันหลอกให้จิตออกมาข้างนอกตลอดเวลา หลอกให้มาหาความสุขปลอมกัน ได้มาแล้วเดี๋ยวก็หมดไป เวลาสูญเสียสิ่งที่ได้มาก็เสียอกเสียใจร้องห่มร้องไห้กัน แต่ก็ไม่เข็ด พอเสียแล้วพอหายจากความเศร้าโศกเสียใจก็หาใหม่ต่อไป หาไปเรื่อยๆ จนวันตาย ตายแล้วก็กลับมาหาใหม่กลับมาเกิดใหม่ นี่คือวิธีของโมหะอวิชชาของกิเลสตัณหาที่จะหลอกให้จิตนี้ออกไปหาความทุกข์หาการเวียนว่ายตายเกิด เพราะไม่มีความสุขภายในใจ เพราะไม่ต้องหาความสุขภายในใจ ก็เลยต้องหาความสุขภายนอกที่ไม่มีวันที่จะอยู่กับจิตไปได้ตลอด ได้แล้วเดี๋ยวก็ต้องหมดไป หมดไปก็ต้องหาใหม่ ตายแล้วก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ เพราะความอยากยังไม่หมด ความสุขในใจยังไม่เกิด ก็เลยต้องไปหาความสุขภายนอกอยู่เรื่อยๆ
ดังนั้น เวลาบำเพ็ญจึงจำเป็นจะต้องบำเพ็ญอย่างตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นจนหลับถึงจะได้ผล ทุกคนสามารถบำเพ็ญได้ อย่าไปอ้างคนนั้นคนนี้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ถ้าอ้างแล้วก็บำเพ็ญไม่ได้ ต้องดูคนที่เขาบำเพ็ญได้ ดูพระพุทธเจ้าดูพระสาวกทั้งหลาย ท่านก็เป็นเหมือนเรา ท่านก็มีครอบครัวเหมือนเรา มีพี่มีน้อง มีพ่อมีแม่ มีสามี มีภรรยา มีกิจการ มีทรัพย์สมบัติ มีอะไรต่างๆ เหมือนกันหมด แต่ท่านเห็นว่ามันเป็นของปลอม เป็นความสุขปลอม ท่านเชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นองค์แรกที่ทรงเห็นความสุขต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ว่าเป็นความสุขปลอม และทรงค้นพบความสุขจริง ที่เกิดจากการดึงจิตเข้าสู่ข้างใน ให้จิตอยู่กับความว่าง ไม่ให้อยู่กับลาภยศสรรเสริญ ไม่ให้อยู่กับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ไม่ให้อยู่กับคนนั้นคนนี้ ไม่ให้อยู่กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ให้อยู่กับความสงบ ความสงบก็คือความว่าง
การดึงจิตเข้าข้างในได้จึงต้องดึงทั้งวันทั้งคืน เพราะว่ามันเป็นเหมือนการชักเย่อกัน ระหว่างกิเลสกับธรรม กิเลสก็จะดึงจิตออกข้างนอก ธรรมก็จะดึงจิตเข้าข้างใน ถ้าฝ่ายใดมีกำลังมากกว่าฝ่ายนั้นก็จะชนะ ตอนเริ่มต้นใหม่ๆ นี้ฝ่ายกิเลสจะเป็นฝ่ายชนะอยู่เรื่อย กิเลสจะดึงใจให้ไปหาลาภยศสรรเสริญ ให้ไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายอยู่เรื่อยๆ พอเริ่มปฏิบัติสิ่งที่จะดึงใจให้เข้าข้างในได้ก็คือสติ ผู้บำเพ็ญต้องใช้สติ ก่อนจะใช้สติได้ก็ต้องใช้ศีล ๘ ก่อน เพราะถ้าไม่มีศีล ๘ ก็จะไม่มีกติกาที่จะห้ามจิตไม่ให้ไปหาความสุขภายนอก เราต้องตั้งกฎกติกาบังคับจิตไว้ ต่อไปนี้เราจะไม่หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายแล้ว เช่นเราจะไม่ร่วมหลับนอนกับใคร เราจะไม่รับประทานอาหารมากเกินความจำเป็นความต้องการของร่างกาย เราจะไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว เราจะไม่ไปหาความสุขจากมหรสพบันเทิงต่างๆ ไม่ไปหาความสุขจากการเสริมสวยความงามทางร่างกาย เสริมหน้าเสริมตาทำเผ้าทำผม ใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่วิจิตรพิสดารสวยงาม เป็นความสุขปลอมเป็นความสุขชั่วคราว เดี๋ยวเวลานอนก็ต้องล้างหน้าล้างตา เผ้าผมที่ทำไว้ก็หายไปหมด ความสวยความงามทางร่างกายก็หายไปหมด เวลาที่จะต้องหลับนอนเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ใส่ก็ต้องถอดทิ้งไป เวลาแม้แต่การนอนก็ไม่ให้นอนมากเกินไป ให้นอนพอพักผ่อนร่างกายได้ก็พอ วิธีจะนอนไม่มากก็ต้องนอนบนพื้นแข็งๆ อย่าไปนอนบนฟูกหนาๆ เพราะนอนบนฟูกหนาๆ เวลาที่ร่างกายได้พักผ่อนพอแล้ว พอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็จะไม่อยากลุกเพราะมันยังสบาย ก็จะนอนต่อไปอีกสามสี่ชั่วโมง ทำให้เสียเวลาอันมีค่าที่จะเอามาบำเพ็ญเอามาดึงจิตให้เข้าข้างใน
นี่คือกฎกติกาของผู้ที่จะสู้กับกิเลสตัณหา ต้องมีกรอบกติกาไม่เช่นนั้นแล้วกิเลสมันหลอกให้ไปทำอะไรต่างๆ ได้หมด เช่นถ้าถือศีล ๕ นี่มันก็ไม่มีข้อห้ามทางด้านกิจกรรมต่างๆ อยากจะไปนอนกับแฟนก็นอนได้ อยากจะกินอาหารวันละกี่ครั้งก็กินได้ อยากจะไปดูหนังฟังเพลง อยากจะไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ ไปงานเลี้ยงก็ไปได้ อยากจะแต่งเนื้อแต่งตัวทำหน้าเสริมความงามต่างๆ ด้วยวิธีการต่างๆก็สามารถทำได้ จะนอนกี่ชั่วโมงก็นอนได้ แต่มันเป็นความสุขปลอม เป็นความสุขที่ได้มาแล้วเดี๋ยวก็หมดไป และเวลาอยากได้แล้วไม่ได้ เวลานั้นก็จะกลายเป็นความทุกข์ไป เวลาอยากจะไปนอนกับแฟน แฟนไม่อยู่หรือแฟนจากไป ต้องนอนคนเดียว ที่นี้ความสุขที่เคยได้จากการร่วมหลับนอนกันก็หายไป สิ่งที่ได้มาก็คือความเหงา ความว้าเหว่ ความสร้อยเศร้า เศร้าสร้อย ไม่มีความสุข เพราะว่าสิ่งที่เราอาศัยให้ความสุขกับเรามันไม่เที่ยง ท่านเรียกว่าอนิจจา เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป อนัตตาห้ามมันไม่ได้สั่งมันไม่ได้ สั่งให้มันอยู่กับเราไปตลอดจนวันตายไม่ได้ สั่งให้มันไม่ตายไม่ได้ สั่งให้ร่างกายของเราที่ให้ความสุขกับเรา ที่เราใช้กันหาความสุขนี้ ไม่ให้มันแก่ไม่ให้มันเจ็บไม่ให้มันตายไม่ได้ มันต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย นี่คือวิธีการหาความสุขของกิเลส มันจะหลอกให้เราไปหาความสุขปลอมกัน ความสุขชั่วคราวกัน ความสุขที่ไม่มีวันสิ้นสุดวันหมดไปธรรมะบนเขา
วันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๕๖๐
“ความว่างเปล่า”
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน