[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ห้องสมุด => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 04 ตุลาคม 2555 11:25:35



หัวข้อ: ลางบอกเหตุ และเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 04 ตุลาคม 2555 11:25:35
(http://www.sookjaipic.com/images/9264975326_DSC01678_1_.JPG)
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงกระทำยุทธหัตถีมีชัยชนะต่อพระมหาอุปราชา
จิตรกรรมฝาผนัง พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร  จังหวัดพิษณุโลก


ลางบอกเหตุ และเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธา

ไทยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งแรกเมื่อวันอาทิตย์ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะเส็ง  ตรงกับวันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๑๑๒ (ค.ศ. ๑๕๖๙)  เวลารุ่งแล้ว ๓.๐๐ นาฬิกา นับได้ ๒๑๙ ปีภายหลังจากที่พระเจ้าอู่ทองได้ทรงตั้งกรุงศรีอยุธยาขึ้น   ในรัชกาลสมเด็จพระมหินทราธิราช  พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๑๖ แห่งกรุงศรีอยุธยา   มาในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์หรือ พระเจ้าเอกทัศ  พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๓๓  พระองค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา ดังจะกล่าวต่อไปนี้นับเป็นการเสียกรุงครั้งที่ ๒  และเป็นครั้งสุดท้ายแห่งราชธานีกรุงศรีอยุธยา

ลางนิมิตบอกเหตุเสียกรุง

ในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับ สมเด็จพระพนรัตน์ กล่าวเหตุการณ์ไว้ว่า

พม่าล้อมกรุงอยู่ครั้งนั้นนานถึงสองปีเศษ  ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยอาสาออกรบแตกยับเยินเข้ามา  ในที่สุดขุนนางจีน  ขุนนางแขก  ขุนนางฝรั่ง  ขุนนางมอญ  ขุนนางลาว  และนายโจร  นายซ่อง  ก็ชวนกันออกอาสาตีกองทัพพม่าที่ล้อมกรุงทั้งแปดทิศก็มิได้ชนะ  พม่ากลับฆ่าฟันล้มตายแตกเข้ามาทั้งสิ้นด้วยอายุแผ่นดินกรุงพระนครศรีอยุธยาถึงกาลขาด  จึ่งอาเพศให้เห็นประหลาดเป็นนิมิต
     • พระประธานวัดเจ้าพระนางเชิง  น้ำพระเนตรไหลลงมาจากพระนาภี
     • วัดพระศรีสรรเพชญ์นั้น พระบรมไตรโลกนารถพระอุระแตก  ดวงพระเนตรตกลงมาอยู่ที่ตักเป็นอัศจรรย์
     • พระเจดีย์วัดราชบูรณะนั้น  กาบินมาเสียบตายอยู่บนปลายยอดโดยอาเพศ
     • รูปพระนเรศวรเจ้าโรงแสงใน กระทืบพระบาทสนั่นไปทั้ง ๔ ทิศ
     • อากาศก็วิปริตไปต่าง ๆ บอกเหตุบอกลางจะเสียกรุง

ในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่าก็กล่าวถึงอาเพศ   เมื่อกรุงศรีอยุธยาจะแตกไว้ว่า
“เมื่อใกล้จะเสียพระนครศรีอยุธยานั้นเกิดลางร้ายต่าง ๆ คือ พระพุทธปฏิมากรใหญ่ ที่วัดพนัญเชิง มีน้ำพระเนตรไหล  พระพุทธปฏิมากรติโลกนารถ  ซึ่งแกะด้วยไม้พระศรีมหาโพธิ์นั้นพระทรวงแยกออกสองภาค  พระพุทธปฏิมากรทองคำเท่าตัวคนและพระพุทธสุรินทร์ซึ่งหล่อด้วยนาค  อันประดิษฐานอยู่ในวัดพระศรีสรรเพชญ์  ในพระราชวังนั้นมีพระฉวีเศร้าหมอง  พระเนตรทั้งสองหลุดหล่นลงอยู่บนพระหัตถ์  มีกาสองตัวตีกันตัวหนึ่งบินโผลงตรงยอดพระเจดีย์เหมือนดังคนจับเสียบไว้  เทวรูปพระนเรศวรนั้นมีน้ำพระเนตรไหลและเปล่งศัพท์สำเนียงเสียงอันดัง  อสนีบาตตกลงหลายครั้งหลายหน  พระราชวงศานุวงศ์ข้าราชการก็ไม่ตั้งอยู่ในสัจธรรม  สำแดงเหตุที่จะเสียพระนครศรีอยุธยาหลายอย่างหลายประการดังกล่าวมาแล้วเบื้องต้น”


เหตุการณ์เสียกรุง

ในปี พ.ศ. ๒๓๐๙  ปีจอ อัฐศก  เนเมียวมหาเสนาบดีแม่ทัพพม่า  ให้ฉับกุงโบคุมพล ๕๐๐ คน ยกมาตีค่ายทัพไทย ณ วัดไชยวัฒนาราม  รบกันอยู่ถึง ๘ วัน ๙ วัน  ก็ตีหักเอาค่ายนั้นได้  ทัพไทยแตกพ่ายหลบหนีเข้ากรุง    แล้วแม่ทัพพม่าให้อุตมสิงหจอจัว  เจ้าเมืองปรอนคุมพล ๕๐๐ คน ยกมาตีค่ายทัพจีนซึ่งตั้งอยู่ ณ คลองสวนพลู รบกันอยู่ถึงเดือน พม่าก็ตีหักเอาค่ายได้  ค่ายไทยซึ่งหนีออกมาตั้งรบอยู่นอกพระนครก็เสียแก่พม่าในเดือน ๓  พ.ศ. ๒๓๐๙

เนเมียวแม่ทัพจึงให้นายทัพนายกอง เกณฑ์พลทหารยกเข้ามาทำสะพานข้ามแม่น้ำที่หัวรอ ริมป้อมมหาชัย  เอากระดานไม้ตาลตั้งเป็นค่ายวิหลั่นบังสะพานทั้งสองข้างกันปืนชาวพระนคร  แล้วยกพลข้ามสะพาน  เลือกมาฟากข้างกำแพงเมือง  แล้วให้ขุดอุโมงค์รุ้งไปตามยาวใต้รากแพง ให้ขนเอาฟืนมาใส่ใต้ฐานราก แล้วให้เกณฑ์พลทหารสี่กอง ๆ ละ ๕๐๐  ให้ทำบันไดเป็นอันมากสำหรับจะพาดกำแพงปีนปล้นเอาเมืองทั้ง ๔ ทิศ  ตระเตรียมการทั้งปวงไว้ให้สรรพ  กำหนดวันจะเข้าปล้นเมืองในวันใดจะให้สัญญาณอาณัติด้วยเสียงปืนใหญ่เป็นสำคัญ  แล้วให้เอาบันไดพาดกำแพงขึ้นปล้นเอาเมืองให้พร้อมกันทุกด้านทุกกอง

ลุศักราช ๑๑๒๙ ปีกุน นพศก ๒๓๑๐  ณ วันอังคาร ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕  วันเนาว์วันสงกรานต์วันกลาง  พม่าจุดเพลิงเผาฟืนเชื้อใต้รากกำแพงตรงหัวรอริมป้อมมหาไชย  และพม่าค่ายวัดการ้อง วัดนางปลื้มและค่ายอื่น ๆ ทุกค่ายจุดปืนใหญ่ ปืนป้อมและหอรบ  ยิงระดมเข้ามาในกรุงพร้อมกันตั้งแต่เวลาบ่ายสามโมงเศษจนพลบค่ำ พอกำแพงที่จุดเชื้อฟืนเผารากนั้นทรุดลงหน่อยหนึ่ง ถึงเพลาสองทุ่มจึงจุดปืนสัญญาณขึ้น  พลพม่าทุกด้านทุกกองซึ่งเตรียมไว้ก็เอาบันไดพาดที่กำแพงทรุดและที่อื่น ๆ รอบพระนครพร้อมกันก็เป็นอันเข้ากรุงเข้าวังได้ในเพลานั้น  และจุดเพลิงขึ้นทุกตำบลเผาเหย้าเรือนอาวาส  และพระราชวังทั้งปราสาทราชมณเฑียร  แสงเพลิงสว่างดังกลางวัน  แล้วเที่ยวไล่จับผู้คนค้นริบเอาทรัพย์เงินทองสิ่งของทั้งปวงต่าง ๆ  

ฝ่ายเนเมียวแม่ทัพใหญ่จึงให้ทหารไปป่าวประกาศแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า
“ตัวเรากระทำการตีกรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จเพราะปัญญาและฝีมือของเรา  ซึ่งนายทัพทั้งหลายจะมาคอยเอาชุบมือส่วนกวาดเอาพระราชวงศ์กษัตริย์ไทยไปไว้ทุกค่ายทุกทัพเป็นบำเหน็จมือของตัวนั้นไม่ชอบ ให้เร่งส่งมาให้เราทั้งสิ้น  ถ้ามิส่งมาเราจะยกไปตีเอาขัติราชวงศ์ทั้งปวงมาให้จงได้”  

นายทัพทั้งปวงก็กลัวอำนาจเนเมียว  ต่างก็ส่งพระราชวงศานุวงศ์ซึ่งจับมาไว้ ณ ค่ายนั้นให้ไปแก่เนเมียวแม่ทัพ ณ ค่ายโพธิ์สามต้นทั้งสิ้น มิได้มีผู้ใดขัดแข็งเอาไว้   ฝ่ายสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์ พระเจ้าแผ่นดินนั้นเสด็จหนีออกจากพระราชวัง ลงเรือน้อยไปกับมหาดเล็กสองคนไปซ่อนเร้นอยู่ในสุมทุมพุ่มไม้ใกล้บ้านจิก  ข้างวัดสังฆาวาส  มหาดเล็กนั้นก็ทิ้งเสียหนีไปที่อื่น  ทรงอดอาหารอยู่แต่พระองค์เดียว  พม่าหาจับได้ไม่ จับได้แต่พระราชวงศานุวงศ์ทั้งปวงไปไว้ทุก ๆ ค่าย


กวาดต้อนราษฎรและขนย้ายทรัพย์สมบัติในพระนคร

เนเมียวกับนายทัพนายกองทั้งปวงก็ให้ขนเอาปืนใหญ่น้อยในพระนครศรีอยุธยา  ได้ปืนใหญ่น้อย ๑,๒๐๐ เศษ ปืนนกสับอีกหลายหมื่น ขนลงบรรทุกเรือกับขุนนางและครอบครัวราษฎรชายหญิง ประมาณ ๓๐,๐๐๐ คนเศษ **  บังคับให้เดินตามทัพพม่ากลับไปและไปตั้งหลักแหล่งอยู่ที่พม่า และต่อมาก็กลายเป็นพม่าไปเสียเลย    ที่หนีไปซุ่มซ่อนอยู่ในป่าดงและไป ณ หัวเมืองต่าง ๆ ก็มาก  ที่ยักย้ายทรัพย์สินลงเร้นซ่อนฝังไว้พม่าก็เฆี่ยนตีและให้นำขุดเอาสิ่งของเงินทองได้บ้างไม่ได้บ้าง  ฆ่าฟันตายเสียก็มาก   พม่าเอาเพลิงสุมหลอมเอาทองคำซึ่งแผ่หุ้มองค์พระพุทธรูปผืนใหญ่ในพระวิหารหลวงวัดพระศรีสรรเพชญ์ดาราม  ขนเอาทองคำไปเสียสิ้น  พม่าได้จัดแจงเก็บรวบรวมเอาทรัพย์มาไว้ทุกทัพทุกค่าย ใช้เวลาอยู่ถึง ๙ วัน ๑๐ วัน    

 พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีเกือบทุกพระองค์ทรงเพิ่มพูนการก่อสร้างในกรุง  วัดอันสวยวิจิตรมีนับตั้งร้อย ๆ เฉพาะภายในโบสถ์ของวัดมงคลบพิตร  มีพระพุทธรูปอันใหญ่มหึมา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย  สร้างโดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ  สูง ๔๘ ศอก  กว้าง ๒๕ ศอก  มีทองหุ้มอันมีน้ำหนักถึง ๓๖๓ กิโลกรัมเศษ     ได้ถูกพม่าทำลาย จนกระทั่งตัววิหารพังลงมาถูกองค์พระพุทธรูปเสียหาย  และทองที่หุ้มองค์พระนั้นหายไปด้วย  จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๙๙ ทางรัฐบาลจึงได้สร้างวิหารขึ้นแทนหลังเดิม

พม่าข้าศึกยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาครั้งนั้นใช้เวลารบสองปีเศษ  พม่าเสียกำลังพลประมาณสามสี่พันคน รวมถึงทั้งป่วยไข้ตาย    ไทยเสียคนไปประมาณสองแสนเศษ ทั้งตายด้วยอาวุธ ป่วยไข้ และอดตาย  และประเภทคนอดโซตายนั้นรวมถึงสมเด็จพระที่นั่งสุริยามรินทร์พระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยานั้นด้วย


ข้อมูล : เรียบเรียงจาก
          ๑. หนังสือ "สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีมหาราช"  พิมพ์ที่ สำนักพิมพ์ "รวมข่าว"  พ.ศ. ๒๕๒๘
          ๒. หนังสือ "เจ้าชีวิต"  พระนิพนธ์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์  พิมพ์ครั้งที่ ๖  โดย บริษัท โรงพิมพ์กรุงเทพ (๑๙๘๔) จำกัด  พ.ศ. ๒๕๕๕
          ๓. วิกิพีเดีย  สารานุกรมเสรี