[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
08 พฤษภาคม 2567 15:29:50 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ความทรงจำนอกมิติ : จากโฮโม ซาเปียนส์ สู่ โฮโม สปิริจวลลิส  (อ่าน 2005 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows XP Windows XP
เวบเบราเซอร์:
MS Internet Explorer 6.0 MS Internet Explorer 6.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 01 พฤศจิกายน 2553 20:28:27 »




เมื่อปี พ.ศ. 2535 ผู้เขียนได้ไปพูดที่ธรรมศาสตร์ เรื่องอะไรจำไม่ได้และไม่มีความสำคัญกับบทความนี้ที่อาจเกี่ยวข้องกันกับความคิดของ ดร.สุวินัย ภรณวิไล ที่พูดในทำนองว่า มนุษยชาติกำลังเปลี่ยนแปลงที่ภายใน และการเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้เราได้เผ่าพันธุ์ของมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่ ดร.สุวินัยเรียกว่าโฮโม ซาเปียนส์ เอ็กเซ็ลเลนส์ นั่นใกล้เคียงกับมนุษย์เผ่าพันธุ์ใหม่ ซึ่งใครต่อใครคิดว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการต่อไปในอนาคต เช่น ปีเตอร์ รัสเซลล์ ลูกศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของนักฟิสิกส์ใหญ่มากๆ ที่ชื่อสตีเฟนร์ ฮอว์กิง ผู้พิการ สมญาทายาทของไอน์สไตน์เรียกว่าโฮโม ซาเปียนส์ ซาเปียนส์ ซาเปียนส์ หรือมนุษย์ผู้ฉลาด ฉลาด และฉลาด อันเป็นเผ่าพันธุ์ใหม่ที่จะวิวัฒนาการขึ้นมาในเร็วๆ นี้ นั่นคือ  โฮโม ยูนิเวอซาลิสต์ ของบาบารา มาร์กซ์ ฮับบาร์ด ที่ได้ที่หนึ่งในการตั้งชื่อมนุษย์เผ่าพันธุ์ใหม่ และการเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นที่จิตวิญญาณ (spirituality) ซึ่งไม่ว่า ดร.สุวินัย ภรณวิไล จะได้อ่านการตั้งชื่อการเปลี่ยนแปลงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในอนาคตหรือไม่? ก็ต้องถือว่า ดร.สุวินัยเป็นนักอนาคตศาสตร์ที่สนใจอย่างจริงจังต่อการวิวัฒนาการของมนุษย์ในอนาคตที่ใกล้ๆ ผู้หนึ่ง และการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการ  (transformation) นี้จะต้องเป็นเรื่องทางจิตหรือจิตวิญญาณ จึงได้ตั้งชื่อมนุษย์เผ่าพันธุ์ใหม่ว่าโฮโม เอ็กเซ็ลเลนส์ หรือ “ผู้ประเสริฐ” ที่พิเศษที่สุด


เมื่อวันก่อนนี้ผู้เขียนได้พูดถึงว่าโลกต้องการคนที่มีวิวัฒนาการทางจิตสู่จิตสำนึกใหม่ - ที่สูงถึงระดับธรรมจิตหรือจิตวิญญาณ (spirituality) - วันนี้และเดี๋ยวนี้อย่างฉุกเฉินและด่วนจี๋เลย และที่คนไทยกลุ่มหนึ่งได้ก่อตั้งชมรมจิตวิวัฒน์ขึ้นมาเมื่อกว่า 7 ปีก่อนก็เพื่อการณ์นั้น ทั้งนี้ ก็เพราะว่าโลกเรากำลังเผชิญหน้ากับภัยธรรมชาติที่รุนแรง ไม่ว่าน้ำท่วม ดินถล่ม พายุร้าย ฯลฯ แต่สาธารณชนคนทั่วไปโดยเฉพาะคนไทย - และคนในประเทศกำลังพัฒนาหรือคนในประเทศเพิ่งพัฒนาใหม่ของเอเชีย - ไม่สนใจเท่าที่ควรหรือไม่รู้เสียด้วยซ้ำ รวมทั้งแม้แต่บางคนของสมาชิกของชมรมเองที่ทำให้สมาชิกบางคนต้องลาออกไป โดยระบุกับผู้เขียนว่าสมาชิกของชมรมบางคนยังไม่ค่อยเข้าใจวิวัฒนาการทางจิตและจิตสำนึกใหม่ที่นักจิตวิทยาทั่วไปยอมรับกันพอ

ก่อนที่เราจะพูดกันเรื่องวิวัฒนาการของชีวิตในอนาคต - ในที่นี้มนุษย์ - ในโลกและในจักรวาลที่มี  2 ด้าน คือวิวัฒนาการทางด้านรูปหรือกาย (ชีววิทยา) ที่ผู้เขียนคิดว่าจบแล้วหรือใกล้จบเต็มทีแล้ว กับทางด้านจิตหรือนามที่พุทธศาสนาบอกว่าเป็นสิ่งเดียวกัน และทั้งทางด้านรูปหรือกายกับจิตหรือนามจะวิวัฒนาการไปด้วยกันเป็นพลวัตที่ต่อเนื่อง (dynamicity of psycho-physical components) ผู้เขียนขอพูดถึงเรื่องส่วนตัวและวิวัฒนาการทางจิตตอนที่ยังเป็นเด็กที่อาจเกี่ยวข้องกันก็ได้ คือ เด็กในชนบทที่ห่างไกลจากกรุงเทพฯ ในจังหวัดนราธิวาส ซึ่งอยู่ห่างไกลเมืองหลวงมากที่สุด คือไกลถึงกว่า 1,100 กิโลเมตร  ซึ่งในกว่า 75 ปีก่อนนั้นมันห่างไกลจริงๆ ในเวลานั้นการเดินทางเสียเวลามากและแพงมาก และการเดินทางก็แทบว่ามีเส้นทางเดียวคือ ทางรถไฟ นั่นคือเส้นทางคมนาคมที่ติดต่อกันระหว่างกรุงเทพฯ กับนราธิวาสเป็นประจำ - อีกทางหนึ่งคือทางเรือกลไฟทางทะเล ซึ่งไม่แน่นอน ปกติใช้ขนสินค้าที่รอได้ อาจจะมีเดือนละครั้งขึ้นกับสินค้า ซึ่งมียางพารากับมะพร้าวเป็นสำคัญ - แต่รถไฟด่วน (กรุงเทพฯ-หาดใหญ่  และหาดใหญ่-กรุงเทพฯ) นั้นจะมีสัปดาห์ละ 2 ครั้ง แถมต้องมาขึ้นรถด่วนที่หาดใหญ่ ซึ่งเดินทางโดยรถไฟเหมือนกันที่มีทุกๆ วัน แต่จอดทุกสถานี รถไฟขบวนนี้มาจากสุไหงโก-ลกผ่านมาที่สถานีรถไฟตันหยงมัส ผู้โดยสารจากนราธิวาสที่จะไปกรุงเทพต้องรอขึ้นรถไฟที่นี่ นั่นคือรถไฟด่วนสายใต้จะคอยอยู่ที่หาดใหญ่เพื่อรับผู้โดยสารที่ขึ้นมาจากสามจังหวัดใต้ที่สุดของประเทศสยามในตอนนั้นซึ่งจะมาถึงหาดใหญ่ ฉะนั้นผู้โดยสารจากนราธิวาสจะเสียเวลาเกือบทั้งวันอีกต่างหากเพื่อที่จะขึ้นรถด่วนเพื่อไปกรุงเทพฯ และจะไปถึงที่นั่นประมาณเช้าวันรุ่งขึ้น หรือถึงที่พักจริงๆ เกือบ 3 วันเต็มๆ ที่เขียนมายาว เพราะอยากบอกว่ามันไกลและเสียเวลาจริงๆ กว่าจะได้อ่านหนังพิมพ์สยามราษฎร์หรือศรีกรุงที - ที่บ้านรับทั้ง 2 ฉบับที่อ่านทุกตัวเลย ซึ่งหนังสือพิมพ์ก็จะมีแต่เรื่องพงศาวดารจีนเป็นหลัก - ก็ผ่านไป 3-4 วันแล้ว


ในตอนขึ้นชั้นมัธยม 2 ใหม่ๆ อายุยังไม่ทัน 8 ขวบดี ผู้เขียนรู้สึกว่ามีอะไรได้เปลี่ยนแปลงไปจากนิสัยเดิมๆ ของผู้เขียนเล็กน้อย - อาจจะเป็นเพราะเรียนเร็วสำหรับเด็กในชนบทที่ห่างไกลจริงๆ หรืออาจเพราะเข้าวัยครบอายุ 7 ขวบเต็มๆ อย่างที่ฌ็อง เปียเจต์ วิจัยไว้ก็ได้ (ซึ่งสอดคลองโดยหลักการทั้งของฟรอยด์และจุง) - ซึ่งเป็นเวลาที่เด็กจะเปลี่ยนจาก “วัตถุที่เกิดจากมายากล (magic) แยกกันไม่ได้” เป็น  “วัตถุที่จิตตนสร้างขึ้น (mythic)” เป็น “วัตถุที่เป็นรูปกายจริงๆ” (จากดวงจันทร์มายากลแยกจากตัวเอง  ไม่ได้เป็นดวงจันทร์ที่เดินตามที่จิตสั่งมา เป็นดวงจันทร์ที่เป็นรูปที่ทุกคนเห็นเหมือนๆ กัน รวมผู้เขียนกับผู้อ่าน) นั่นคือครั้งแรกที่เด็กเรียนรู้ความจริงของโลกตามที่ตาตนเองและคนอื่นเห็น จึงเข้าใจว่าสิ่งที่ตนเห็นที่คนอื่นย่อมเห็นเหมือนๆ กันนั้นเป็นความจริงที่แท้จริง การเปลี่ยนแปลงที่ว่ารวมทั้งการเห็นเด็กคนอื่นที่โตกว่าหรืออายุมากกว่าตัวเอง 3 หรือ 4 ปี ทำให้พฤติกรรมกับการมองโลกมองสังคมและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงแยกตัวเองออกไปจากเด็กที่มีอายุต่างกัน แต่อยู่ชั้นเดียวและห้องเดียวกับคนอื่นๆ ยังจำได้แม่นยำว่าในช่วงเวลานั้นผู้เขียนมักชอบปลีกตัวไปอยู่คนเดียว และเปิดนิทานอีสป ดูเฉพาะเรื่องเดียวอยู่นั่นแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปภาพที่ประกอบเรื่องภายหลังที่ฝนตกพายุกระหน่ำอย่างรุนแรง ภาพขาว-ดำธรรมดาๆ ที่แสดงว่าพายุและฝนที่ตกมาก่อนหน้านั้นมีความรุนแรงเพียงใด  ภาพได้แสดงอุทาหรณ์ว่าแม้แต่ต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรงโตใหญ่ก็ยังหักโค่นด้วยลมพายุอันรุนแรงล่องลอยอยู่ในบึงที่มีน้ำนิ่งใสแจ๋ว ในขณะที่ต้นหญ้าที่อ่อนแออยู่ชายบึงกลับไม่เป็นอะไรเลย ภาพประกอบนี้มีความหมายอย่างยิ่งสำหรับเด็กวัย 7 ขวบ เพราะจำได้อย่างแม่นยำว่าผู้เขียนบ่อยครั้งที่ไม่ยอมกินมื้อกลางวัน  เพราะมัวดูอยู่กับภาพในหนังสือนิทานอีสปภาพนั้น ซึ่งคงไม่ใช่เพราะต้นไม้ที่แข็งแรงใหญ่โตต้านแรงลมไม่ไหว เปรียบกับต้นหญ้าที่อ่อนแอที่ไหวตัวตามแรงลม แต่เป็นเพราะลึกๆ ที่จิตใต้สำนึกในตอนนั้นน่าจะเป็นเพราะรักสันติมากกว่า เนื่องจากเป็นเด็กที่ตัวเล็กและอ่อนแอเกือบที่สุดทั้งโรงเรียนเลย และจิตใต้สำนึกนั้นก็ได้ผลักดันให้ผู้เขียนรักความยุติธรรม แต่คนทั่วๆ ไปที่ไม่คิดจึงไม่รู้และเรียกว่าขี้ขลาด ผู้เขียนถึงได้เกลียดความรุนแรง รักสันติมาก และขี้ขลาดจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้

ผู้เขียนชอบพูดถึงสิ่งที่ใหญ่ที่สุด เช่น จักรวาล โดยเฉพาะจักรวาลที่มีโลกเรา มีสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ มีชีวิต มีมนุษย์ และสรรพสัตว์ทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา ที่พูดหรือเขียนเรื่องที่ใหญ่กับไกลตัวขนาดนั้นอาจจะเป็นเพราะจิตใต้สำนึกที่ต้องการความอยู่รอดปลอดภัยให้กับตัวเองในฐานที่แทบจะเป็นเด็กตัวเล็กที่สุดและอ่อนแอที่สุดในโรงเรียนหรือเป็นคนขี้ขลาดอย่างว่า เพราะว่าการพูดการเขียนเรื่องระดับโลกระดับจักรวาลปลอดภัยดี จึงไม่ชอบเขียนอะไรที่เกี่ยวกับคนไทยหรือประเทศไทย รวมทั้งสังคมไทยกับระบบทั้งหมดที่ใช้บังคับ ควบคุมลงโทษหรือให้รางวัลมนุษย์คนไทย - ไม่ว่าระบบสังคม กฎหมาย  การเมือง เศรษฐกิจ ฯลฯ ที่ผิดธรรมชาติทั้งหมดเลยโดยไม่มีข้อยกเว้น (ผิดธรรมชาติคือผิดทั้งหมด เนื่องจากมนุษย์ยังไม่ได้มีวิวัฒนาการทางจิตซึ่งช้ากว่าทางกาย แถมเรายังเป็นศัตรูกับธรรมชาติ รักแต่ตัวเองกับมนุษย์เท่านั้น) แต่ที่พูดนั้นมีข้อแม้ คือพูดเพราะยังเป็นคนไทย เกิด อยู่ มีครอบครัวในไทย คือมีกำพืดเหมือนกัน


วิวัฒนาการทางจิตจากโฮโม ซาเปียนส์ ไปสู่โฮโม สปิริจวลลิส หรือโฮโม เอ็กเซเลนส์ ของ ดร.สุวินัยนั้นจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ไม่ใช่เป็นธรรมชาติ หากเกิดจากเราเร่งให้เกิดขึ้นหลังจากความล่มสลายของระบบนิเวศที่จะต้องเกิดในยิ่งกว่าเร็วๆ นี้

จักรวาลนั้นมีหน้าที่กับความรับผิดชอบเพียงอย่างเดียว คือวิวัฒนาการของทุกๆ สิ่งที่อยู่ข้างในและมีลักษณะหรือคุณสมบัติอย่างเดียวเหมือนกัน คือ อนิจจตา วิวัฒนาการขั้นต่อไปของกายนั้นดังที่ได้พูดมาแล้วว่าจบสิ้นแล้วสำหรับผู้เขียน หรือใกล้จบแล้วสำหรับนักจิตวิทยาบางคนที่สมองจะต้องมีปรี-ฟรอนตัล (pre-frontal) ชัด และต้องมีวิวัฒนาการของสังคมดีกว่านี้ พูดง่ายๆ คือ มีจิตวิญญาณและมนุษยสัมพันธ์ระหว่างกัน ระหว่างเชื้อชาติ ภาษาและวัฒนธรรม โดยเฉพาะต่างศาสนา-อุดมการณ์
อนิจจตาหรือความไม่เที่ยงแท้แน่นอนนั้น เป็นสิ่งที่ต้องอยู่คู่กับจักรวาลนี้ (ที่นักจักรวาลวิทยาใหม่  และความจริงทางควอนตัมบอกว่าจักรวาลนั้นมีจำนวนที่ไม่มีที่สิ้นสุด) หรือเป็นจักรวาลขนานที่มีมิติมากกว่านี้ตราบเท่าไม่ใช่มิติที่ 10 (ที่นักจักรวาลวิทยาใหม่บางคนเชื่อว่าเป็นมิติของนิพพาน หรืออยู่ข้างนอกจักรวาล) ที่ทางลัทธิพระเวทกับพุทธศาสนาเรียกว่าสังสารวัฏ ผู้เขียนเชื่ออย่างยิ่งว่า หากเราไม่บ้าวัตถุกับเทคโนโลยีส่วนใหญ่มาก ไม่มีวิทยาศาสตร์กายภาพ ไม่มีระบบเศรษฐกิจทุนนิยมการตลาดเสรีเอฟทีเอ เราอาจจะมีวิวัฒนาการทางจิตไปตามสเปคตรัมตามธรรมชาติได้ แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว สายเกินไปเสียแล้ว ประชากรโลกได้มากเกินไปเพียงในช่วง 50 ปี แค่ครึ่งชีวิตของผู้เขียนประชากรโลกก็เพิ่มมากขึ้นถึงประมาณ 4,000 ล้านคน ที่โลกเราจะรองรับได้คือเกินไปมากนัก กระทั่งโลกธรรมชาติติดลบไปเกือบ -30% ซึ่งโลกจึงต้องสูญเสียประชากรไปอีกมากนักภายในเวลาที่เร็ววันอย่างที่สุด ไม่มีทางอื่นจริงๆ

อย่าได้กลัวการสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ไปจากโลกนี้เลย ซึ่งแม้แต่ในพันๆ ปีจากวันนี้ก็ไม่มี หนังสือที่ขายดิบขายดีของเซอร์มาร์ติน รีส ประธานราชสมาคมฟิสิกส์ดาราศาสตร์ของอังกฤษเมื่อ 3-4 ปีก่อน แม้จะทำนายไว้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่ามนุษย์จะสูญพันธุ์ไปจากโลกภายในศตวรรษนี้ แต่ไม่ได้พูดถึงหลักการทางควอนตัมที่สำหรับผู้เขียนเชื่ออย่างมั่นใจว่าแทบจะไม่มีทางผิดเลย แต่ผู้เขียนกลับไปเชื่อนักวิทยาศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุด และมีชื่อเสียงในเครือจักรภพอังกฤษที่เล่าไปหลายหนแล้ว นักชีวเคมีที่ชื่อว่า  เจมส์ ลัฟล็อก ที่แก่กว่าผู้เขียนอีก คือทำนายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ว่ามนุษยชาติทั้งเผ่าพันธุ์เลยจะตายไปมากๆ จนเหลือรอดตายเพียง 18% เท่านั้นภายในทศวรรษที่ 2020-2040 นี้ใกล้เคียงกับที่ผู้เขียนคาดการณ์ไว้ทางวิทยาศาสตร์เหมือนกันและใกล้เคียงกันที่องค์การนาซาคำนวณไว้ ผู้เขียนเชื่อค่อนข้างมากในทางจิตซึ่งใกล้เคียงกับทางศาสนาและศาสนาก็ใกล้เคียงกับควอนตัมฟิสิกส์อีกที่ส่วนหนึ่งละเอียดมาก  และทำงานคล้ายๆ กับจิตที่ผู้เขียนเชื่อมากกว่าหยาบหรือแม็คโครของวิทยาศาสตร์กายภาพ ในทางจิตนั้นทางเผ่ามายาอินเดียนแดงส่วนใหญ่ พุทธศาสนา และศาสนาใหญ่ๆ ต่างบอกเหมือนๆ กันว่า ปี 2012  ปลายปีเป็นปีที่ต้องระวัง ลัทธิพระเวทบอกไว้ชัดว่า ยุคนี้คือกลียุคเป็นยุคที่ 4 ยุคสุดท้ายที่ตรงกับยุคที่ 4  สุดท้ายของอินเดียนแดง เช่น เผ่าโฮปี

เราต้องเรียนรู้ แม้ว่าวันนี้เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่สายเกิน เราต้องปฏิบัติจิตปฏิบัติ ธรรมปฏิบัติสมาธิกัน  เดี๋ยวนี้เลย ถึงน้ำจะท่วมก็ปฏิบัติได้ ผู้ปฏิบัติศาสนาส่วนใหญ่จะรอดหรือเข้าใจ เราต้องรู้ว่าเรากำลังแผ้วทางเส้นทางธรรมชาติสู่โฮโม สปิริจวลลิสอยู่.


http://www.thaipost.net/sunday/311010/29417

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
หัวข้อ เริ่มโดย ตอบ อ่าน กระทู้ล่าสุด
ความทรงจำนอกมิติ : รูป นาม วิญญาณกับจักรวาลวิทยา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2475 กระทู้ล่าสุด 21 กุมภาพันธ์ 2553 14:00:45
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : วิวัฒนาการสุดท้ายของสังคมมนุษย์
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2752 กระทู้ล่าสุด 08 มีนาคม 2553 08:52:02
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ประวัติศาสตร์คือบันทึกความสัมพันธ์ของดินกับฟ้า
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2064 กระทู้ล่าสุด 05 เมษายน 2553 08:47:42
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : ทฤษฎีรวมแรงทั้งหมดกับพุทธศาสนา
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2005 กระทู้ล่าสุด 18 เมษายน 2553 17:16:25
โดย มดเอ๊ก
ความทรงจำนอกมิติ : มนุษย์กับโลกไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย
กระบวนการ NEW AGE
มดเอ๊ก 0 2059 กระทู้ล่าสุด 03 พฤษภาคม 2553 08:42:23
โดย มดเอ๊ก
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.449 วินาที กับ 34 คำสั่ง

Google visited last this page 26 มีนาคม 2567 07:23:57