[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
05 พฤษภาคม 2567 09:17:10 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า:  1 [2] 3 4 ... 6
21  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: Guiness World Records : กับสถิติแปลก ๆ ที่มีการบันทึกไว้ เมื่อ: 23 ธันวาคม 2557 09:05:30

3. ยิงธนูด้วยเท้าที่ไกลที่สุด

Nancy Siefker วัย 26 ปีจากแคลิฟอร์เนีย สามารถใช้เท้าของเธอยิงธนูเข้าเป้าที่มีขนาด 5.5 นิ้ว ด้วยระยะทางไกลถึง 6.09 เมตร




4. ตีกอล์ฟด้วยไม้กอล์ฟที่ยาวที่สุด

Karsten Maas ชายวัย 49 จากเดนมาร์ค ใช้ไม้กอล์ฟที่มีความยาวถึง 4.37 เมตร ในการหวดลูกอล์ฟไปได้ไกลถึง 165.46 เมตร






22  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Guiness World Records : กับสถิติแปลก ๆ ที่มีการบันทึกไว้ เมื่อ: 23 ธันวาคม 2557 09:03:27
Guiness World Records : กับสถิติแปลก ๆ ที่มีการบันทึกไว้

1. ชายผู้ที่มีลิ้นยาวที่สุดในโลก

Nick Stoeberl วัย 24 ปี จากแคลิฟอร์เนีย ได้รับการบันทึกไว้ว่า มีลิ้นที่ยาวที่สุดในโลก โดยมีความยาวถึง 10.1 เซ็นติเมตร วัดจากปลายลิ้นถึงริมฝีปากด้านบน




2. นักสะสมของที่ระลึกที่ใหญ่ที่สุด

Nick Bennett วัย 47 ปี จากแลงคาเชียร์ ได้ชื่อว่าเป็นนักสะสมของที่ระลึกที่ใหญ่ที่สุด โดยเขาสะสมของที่ระลึกของเจมส์บอนด์ โดยมีของสะสมอยู่ถึง 12,463 ชิ้น





23  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / ดาวที่ดำที่สุดในจักรวาล เท่าที่เคยมีการค้นพบ เมื่อ: 18 ธันวาคม 2557 14:08:20
ดาวที่ดำที่สุดในจักรวาล



ดำ ที่สุดในจักรวาล การที่อะไรจะดำได้มันจะต้องสะท้อนแสงได้ต่ำ เมื่อแสงไม่สะท้อนออกมาเราก็จะมองเห็นมันเป็นสีดำ และดาวดวงนี้ก็มีค่าการสะท้อนแสงน้อยกว่า 1% ของแสงที่ตกกระทบ

ดาวดวงนี้เป็น ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่น(Exoplanet) ที่รู้จักในชื่อ TrES-2b มันมีค่าการสะท้อนแสงน้อยกว่า 1% ทำให้มันเป็นดาวที่ ดำที่สุดในจักรวาล เท่าที่มนุษย์มีการค้นพบในปัจจุบัน(2011)

หากจะถามว่า ค่าความสะท้อนแสงที่ 1% นี้เทียบได้กับอะไร ก็ต้องบอกว่า มันดำกว่า สีอคีลิกสีดำ เสียอีก
ดาว TrES-2b เป็นดาวเคราะห์แก๊ซ ทรงกลมขนาดประมาณดาวดาวพฤหัสบดี ห่างจากโลกประมาณ 750 ปีแสง ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 2006 จากโครงการสำรวจดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะจักรวาล ที่มีชื่อโครงการว่า Trans-Atlantic Exoplanet Survey

ถึง TrES-2b จะเป็นดาวแก๊ส และมีขนาดพอๆกับดาวพฤหัสบดี แต่มันแตกต่างจากดาวพฤหัสบดี โดยสิ้นเชิง คือ ดาวพฤหัสบดี เป็นดาวที่ห่อหุ้มไปด้วยเมฆแอมโมเนีย ที่สามารถสะท้อนแสงได้ถึง 1 ใน 3 ของแสงที่ตกกระทบ แต่ TrES-2b นั้นไม่มีเมฆแอมโมเนียเพราะว่ามันร้อนมาก(1,000 องศาเซลเซียส)
การที่มันเป็นดาวเคราะห์แต่มีอุณหภูมิสูงมาก เป็นผลมาจากการที่มันโคจรใกล้ดาวฤกษ์ ที่ชื่อว่า GSC 03549-02811 มากคือมีระยะห่างเพียง 4 ล้านกิโลเมตร(โลกห่างดวงอาทิตย์ประมาณ 149.6 ล้านกิโลเมตร)

ดาว TrES-2b มีชั้นบรรยากาศเป็น ไอระเหยของโซเดียม(sodium) ไอระเหยของโพแทสเซียม และออกไซค์ของไทเทเนียมที่อยู่ในสถานะของแก๊ส ซึ่งสารเหล่านี้มีคุณสมบัติในการดูดซับแสง แต่ นั้นก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม มันถึงทำให้ดาวดวงนี้มีค่าสะท้อนแสงได้ต่ำกว่า 1%
ถึงมันจะได้ชื่อว่าดาว ที่ ดำที่สุดในจักรวาล แต่ ทั้งดาวก็ไม่ได้เป็นสีดำเสียทั้งหมด คือบางส่วนเป็น สีแดง อันเป็นผลมาจากการที่บริเวณนั้นเกิดการลุกไหม้ จากอุณหภูมิของดาวที่สูงมาก

รายละเอีัยดของการค้นพบนี้ ได้รับการตีพิมพ์ใน วรสารรายเดือนของ the Royal Astronomical Society โดยการค้นพบนั้นได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลจาก กล้องโทรทรรศน์อวกาศเคปเลอร์(Kepler) ของ นาซ่า ที่มีความสามารถสูงในการตรวจวัด สิ่งที่มีแสงน้อย จากดวงดาวที่ห่างไกล



ขอขอบคุณ: allmysteryworld.blogspot.com/2011/08/darkest.html?m=1
24  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ว๊าว ถ้ำคริปโตไนท์ของซูเปอร์แมนบนโลก ชมถ้ำคริสตัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อ: 18 ธันวาคม 2557 13:50:43
ถ้ำคริสตัสใหญ่ที่สุดในโลก ที่เม็กซิโก!!



ถ้ำคริสตัลขนาดใหญ่ ชื่อว่า “ไนก้า” ที่ประเทศเม็กซิโก เป็นถ้ำที่ถูกค้นพบโดยบังเอิญโดยคนงานเหมือนแร่ 2 คน เมื่อหลายสิบปีก่อน มันมีขนาดใหญ่พอที่จะนำรถทั้งคันเข้าไปจอดได้ มีความลึกของถ้ำราว 300 เมตร

ทั้งนี้ ถ้ำแห่งนี้ถูกขนานนามว่า ถ้ำแห่งดาบ เพราะ แร่ยิปซัมที่แตกตัวยาวออกมานั้นมีปลายแหลมเป็นสามเหลี่ยมเหมือนดาบ ยาวถึง 11 เมตร ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าเหตุใด มันถึงมีรูปร่างเป็นเหลี่ยมมุมแบบต่างๆ

นอกจากนี้ ถ้ำนี้มีอุณหภูมิภายใน ถึง 60 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของผลึกคริสตัลเหล่านี้ เจ้าของภาพถ่ายนามว่าจาเวียร์ ทรูบา ชาวสเปน กล่าวว่า คนทั่วไปจะไม่สามารถทนอยู่ในถ้ำนี้ได้มากกว่า 10 นาที

อย่างไรก็ตาม เพราะความสวยงามและอัศจจรย์ของถ้ำแห่งนี้ นักวิทยาศาสตร์พยายามผลักดัน ถ้ำแห่งนี้ให้เป็นมรดกโลก และอยากให้ชาวเม็กซิโกใส่ใจดูแลถ้ำแห่งนี้มากกว่านี้

ที่มา: allmysteryworld.blogspot.com/2011/07/blog-post_25.html?m=1
25  นั่งเล่นหลังสวน / สยาม ในอดีต / วัดประดู่ทรงธรรม สำนักตักศิลาพระเวทย์เมืองกรุงเก่า เขาอ้อแห่งอยุธยา เมื่อ: 18 ธันวาคม 2557 13:15:21
วัดประดู่ทรงธรรม สำนักตักศิลาพระเวทย์เมืองกรุงเก่า เขาอ้อแห่งอยุธยา



หลวงพ่อรอด(เสือ) วัดประดู่ทรงธรรม เป็นพระเกจิยุคเก่ามากของอยุธยา เก่ากว่าหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ หลวงพ่อจั่น วัดบางมอญ หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล เสียอีก เป็นสุดยอดเกจิยุคแรกสุด ของอยุธยา สมัยเริ่มกรุงรัตนโกสินทร์

วัดประดู่ทรงธรรมเปรียบเสมือนกับ สำนักเขาอ้อของอยุธยา เป็นตักศิลาใช้ศึกษาเล่าเรียนทั้งทางด้านปริยัติธรรมและด้านปฏิบัติสมถกรรมฐาน การเล่นฤทธิ์ต่างๆ พร้อมทั้งเรียนวิธีการลงอักขระเลขยันต์ต่างๆ และวิชาศิลปะ 20 ประการ ตำราพิชัยสงคราม มวยโบราณ กระบีกระบอง การต่อสู้ ตำรายาสมุนไพร ตำราพระคาถา และอักขระเลขยันต์และหลักธรรมคำสอนตามพระไตรปิฎก อีกทั้งสำนักวัดประคู่ทรงธรรมเป็นสถานที่ ประสาทวิชาแก่พระเกจิคณาจารย์เมืองกรุงเก่า

มีพระคณาจารย์ผู้เรืองวิชามากมาย ที่เรียนจากที่นี้ อาทิ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ (เหรียญท่าน เป็นอันดับ ๑ ของเบญจภาคีพระเหรียญไทย)
หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง นนทบุรี (หนึ่งในพระที่จารตะกรุด แล้วหลอมไม่ละลายที่วัดปราสาท 2506 )
หลวงพ่อแทน วัดธรรมเสน จ.ราชบุรี (หนึ่งในพระที่จารตะกรุด แล้วหลอมไม่ละลายที่วัดปราสาท 2506 )
หลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราช (หนึ่งในพระที่จารตะกรุด แล้วหลอมไม่ละลายที่วัดปราสาท 2506 )
หลวงปู่ปลื้ม วัดสวนหงส์ จ.สุพรรณบุรี
หลวงพ่อยงยุทธ วัดเขาไม้แดง จ.ชลบุรี
หลวงพ่อใหญ่ วัดสะแก หลวงปู่ดู่ หลวงปู่สีห์ วัดสะแก อ.เฮง ไพรวัลย์
หลวงพ่อนาค วัดประดู่ทรงธรรม หลวงพ่อสละ วัดประดู่ทรงธรรม เป็นต้น

วิชาที่ขึ้นชื่อของสำนักนี้ คือ วิชาการทำตะกรุด เป็นที่โด่งดังมาก ซึ่งต่อมาหลังจากเป็นที่รู้จัก ที่อื่นได้มีการสร้างตามมา อาทิ ตะกรุดมหาระงับ ตะกรุดมหารูด ตะกรุดมหาจักรพรรดิ์ตราธิราช ตะกรุดมหาพิชัยสงคราม ตะกรุดมหาละลวย ตะกรุดมหาอำนาจ ตะกรุดมหาปราบ เป็นต้น

แล้วก็วิชาการสร้างพระพรหม (รัศมีพรหม) พระพรหมที่มีราคาแพงที่สุด และนิยมที่สุดอยู่ที่ จ.อยุธยา หลวงปู่สีห์ วัดสะแก อ.เฮง ไพรวัลย์ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก ซึ่งสร้างตามตำราวัดประดู่ทรงธรรม

วิชายันต์นะฉัพพรรณรังสี ยันต์ประจำสำนักวัดประดู่ทรงธรรม (ยันต์ทีหลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา ท่านได้เรียนจากนิมิต และต่อมาจึงนำมาเป็นยันต์ประจำตัว) เป็นวิชาเมตตามหานิยมชั้นสูง แคล้วคลาด คุ้มภัย

วัดประดู่ทรงธรรมถูกกล่าวถึงในพระราชพงศาวดาร ในคราวที่พระภิกษุสงฆ์ของวัดประดู่ทรงธรรม เพียงแค่ 8 รูป ได้ช่วยเหลือพา พระเจ้าทรงธรรมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา หลบหนีจากการก่อกบฏของพวกญี่ปุ่นที่หมายปลงพระชนม์ชีพออกมาอย่างง่ายดาย

ชื่อ หลวงพ่อรอด ( เสือ ) มีที่มาหลากหลาย สำหรับกระแสแรกนั้นเล่ากันทำนองว่า สาเหตุที่เรียก หลวงพ่อรอด ( เสือ ) ก็เพราะท่านมีชื่อเดิมว่า รอด แต่ดุอย่าง เสือ

อีกกระแสหนึ่งพอสรุปได้ว่า สาเหตุที่ได้ชื่ออย่างนั้นก็เพราะท่าน รอด ชีวิตจาก เสือ แต่เดิมนั้น หลวงพ่อรอด ( เสือ ) พำนักอยู่ วัดบาง หว้าใหญ่ หรือ วัดระฆัง ฝั่งธนบุรี ในเวลาต่อมา ก่อนที่ท่านจะมาปฏิสังขรณ์ วัดประดู่ (และ วัดโรงธรรม ) นั้น

หลวงพ่อรอด ( เสือ ) ได้จอดเรือเพื่อแวะพักค้างคืนที่ บ้านเสือข้าม ชาวบ้านในละแวกนั้นมาขอให้ย้ายไปจอดที่อื่น เพราะเกรงว่าหากถึงเวลาเสือข้ามฟากตอนดึกๆ อาจไม่ปลอดภัย แต่ หลวงพ่อรอด ( เสือ ) ไม่ยอมย้าย เมื่อท่านไม่ยอมทำตามคำขอร้องชาวบ้านที่ว่าจึงลากลับ โดยในระหว่างทางต่างพูดกันทำนองว่า หากย้อนมาในตอนเช้า หลวงพ่อรอด ( เสือ ) ยังอยู่ก็แสดงว่าเป็นพระดีมีวิชา แต่ถ้าถูกเสือกิน ก็ต้องเก็บซากศพเผาเอาบุญแล้วกัน ครั้นถึงตอนเช้าของวัน ต่อมากลับพบว่า ท่านนั่งหัวร่ออยู่ในเรืออย่างอารมณ์ดี เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้เรียกขานกันว่า หลวงพ่อรอด ( เสือ ) แต่นั้นมา

บางท่านก็ว่าหลวงพ่อรอด ท่านสำเร็จวิชาเสือสมิง

สันนิษฐานว่า หลังจาก กรุงศรีอยุธยา ถึงคราวต้องล่มสลาย วัดส่วนใหญ่ทั้งในและนอกเกาะเมืองล้วนไม่มีพระเณรพำนักพักพา เนื่องจากว่าต้องหลบหนีข้าศึกเช่นเดียวกับชาวบ้านทั่วไป ถึงจะไม่ถูกพม่าฆ่าฟันแต่ก็อาจ อดตายอยู่ดี เพราะหาคนที่จะใส่บาตรหรือถวายอาหารไม่ได้ ด้วยว่าส่วนใหญ่ต่างหนีภัยสงครามเอาตัวรอดกันทุกหมู่บ้าน หลวงพ่อรอด ( เสือ) ก็เช่นกัน

กล่าวคือ ท่านได้หลบหนีจาก วัดประดู่ ไปอยู่ วัดระฆัง หรือ วัดบาง (ห) ว้าใหญ่ สมัยนั้น อยู่ระยะหนึ่ง กระทั่งถึงสมัยรัตนโกสินทร์ จึงได้ย้อนกลับมาปฏิสังขรณ์ วัดประดู่ และ วัดโรงธรรม (ซึ่งอยู่ใกล้กัน) ขึ้นใหม่ และได้ใช้ชื่อ วัดประดู่โรงธรรม เรื่อยมาตั้งแต่บัดนั้น โดยมีท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ ๑ จากหลักฐานทั้งหลาย อันได้แก่ พระนิพนธ์เรื่อง ความทรงจำ ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ


ที่มา:พระเกจิอยุธยา
ที่มาภาพ:holidaythai
26  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / หลวงปู่มั่นระลึกชาติ เมื่อ: 21 ตุลาคม 2557 12:37:32
หลวงปู่มั่นระลึกชาติ

การระลึกชาติของ..หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

ตามประวัติได้เล่าว่า หลวงปู่มั่น ท่านได้เที่ยวปลีกวิเวกธุดงค์ไปป่าตามจังหวัดต่างๆ ผ่านอุบลราชธานี ดงพญาเย็น ภูเขาหลายลูก ในวันหนึ่งเกิดนิมิตถึง ถ้ำสิงห์โต หรือ ถ้ำไผ่ขวาง อยู่บนเขาพระงาม จ.ลพบุรี

ถ้ำไผ่ขวางอยู่ข้างน้ำตก มีลักษณะเป็นป่าทึบ อากาศเย็นสบาย อุดมสมบูรณ์ด้วยสัตว์ป่านานาชนิดอาทิ ช้าง เสือ งูเห่า สถานที่แทบจะไร้ผู้คนอาศัย ระหว่างทางเดินขึ้นเขา ชาวบ้านเห็นมีพระภิกษุต่างถิ่นรูปหนึ่งสะพายบาตรกลดกิริยามารยาทเคร่งครัดในพระธรรมวินัย จึงตรงเข้ามาสอบถามด้วยความเป็นห่วงว่า

“หลวงพ่อจะไปไหน”
หลวงปู่มั่นตอบว่า “จะไปบำเพ็ญสมณธรรมในเขาลูกนั้น”

ชาวบ้านฟังแล้วตกใจ รีบยกมือไหว้ท่านแล้วกราบนิมนต์ว่า“อย่าเข้าไปเลยหลวงพ่อ เพราะพระที่เข้าไปในถ้ำนี้ตายไปแล้ว6 องค์ ขอให้อยู่กับพวกฉันที่บ้านไร่นี้เถิด อย่าเข้าไปเลย”

หลวงปู่มั่นรับความปรารถนาดีของชาวบ้านเอาไว้ในใจแล้วตอบว่า “เออ.. โยม ขอให้อาตมาเป็นองค์ที่ 7 ก็แล้วกัน”

จากคำพูดของชาวบ้าน ก็พอทำให้หลวงปู่มั่นเข้าใจสภาพของถ้ำบนภูเขาในป่าได้ดี จิตใจไม่มีหวาดกลัวกลับเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวยอมสละชีวิตเพื่อธรรมะ พอถึงถ้ำไผ่ขวางจัดแจงวางสัมภาระ เก็บปัดทำความสะอาดบริเวณที่พัก พอตกค่ำบำเพ็ญภาวนาตามวิสัย

รุ่งเช้าเดินลงเขาบิณฑบาตอย่างนี้ผ่านเดือนอ้าย เดือนยี่จนล่วงใกล้เข้าคืนเพ็ญเดือน 3 อันเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา ทำให้หลวงปู่มั่นระลึกถึงสมัยพุทธกาล ช่วงที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญภาวนาต่อสู้กับกิเลสมารจนบรรลุธรรม ท่านได้ปรารภว่า

“เราบำเพ็ญสมณธรรมมาถึงบัดนี้ก็เป็นเวลา 12 ปี ทุกอย่างพร้อมแล้ว ที่จะทำสุดแห่งทุกข์ในวัฏสงสารในคืนเพ็ญนี้” การตัดสินใจเช่นนี้แบบทิ้งทวนแลกชีวิตกับธรรมะ

ยามเช้า... เช่นเดียวกับทุกๆ วัน หลวงปู่มั่นหลังจากฉันเช้าเรียบร้อยเพียงพอแก่สังขารให้บำเพ็ญธรรมะได้ จากนั้นจึงบำเพ็ญสมาธิภาวนา พอนั่งได้ไม่นานเกิดไม่สบายกาย อาหารที่ฉันเข้าไปไม่ย่อย ทำให้อาหารเป็นพิษ ส่งผลให้ท้องร่วง อาเจียนอย่างหนัก ท่านจึงหวนนึกถึงคำพูดของชาวบ้าน พรางรำพึงกับตนเองว่า

“ตัวเราเองก็เห็นจะตายแน่เหมือนพระเหล่านั้น” แต่คำปรารภนี้ล้วนไม่ใช่วิสัยนักรบแห่งกองทัพธรรม หลวงปู่มั่นจึงออกเดินสำรวจมองหาสถานที่นั่งสมาธิ และแล้ว..

ที่หน้าผาเหวลึก.. มีก้อนหินใหญ่อยู่บนปากเหว พอให้คนไปนั่งได้ หลวงปู่มั่นไปขึ้นไปยืนบนก้อนหินใหญ่ แล้วหยิบก้อนหินอันเล็กๆ โยนลงไปในเหว ใช้เวลานานพอควรจึงจะได้ยินเสียงกระทบของก้อนหิน หลังจากดูทำเลเป็นที่เรียบร้อยหลวงปู่มั่นกล่าวปณิธานว่า

“เอาล่ะ.. ถ้าเราไม่รู้แจ้งเห็นจริง ก็จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด ถ้าเราจะต้องตายขอให้ตายตรงนี้ ขอให้หล่นลงไปในเหวนี้ จะได้ไม่เป็นที่วุ่นวายแก่ใครๆ ซึ่งจะต้องกังวลทำศพให้เรา”

คืนนั้น ท่ามกลางขุนเขาแสงจันทร์กระจ่างเป็นสักขีพยานเฝ้าดูการบำเพ็ญภาวนาของหลวงปู่มั่น จิตของท่านสว่างไสวดุจกลางวัน เห็นกระจ่างชัดแม้เม็ดทรายเล็กๆ

จิตโอภาสประภัสสรเห็นชัดในนิมิตที่เข้ามา รวมถึงการพิจารณากายคตาตอลดจนธรรมะต่างๆ นาน 3 วัน 3 คืน โดยไม่ลงไปบิณฑบาต ไม่ฉันอาหาร เกิดนิมิตปรากฏเห็นบุตรสาวของโยมที่อุปัฎฐาก มายืนร้องเรียกความรักจากท่าน จิตของหลวงปู่มั่นไม่ได้หวั่นไหวไปตาม จิตไม่ได้ยินดียินร้ายกับสาวงามนั้น ท่านพิจารณาว่า

“อันเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราก็พิจารณามาอย่างช่ำชองแล้ว จะมาหลงอีกหรือ” ฉับพลันภาพหญิงสาวนั้นก็แก่เฒ่าและล้มตายลงเหลือแต่กองกระดูกหายไปในแผ่นดิน จิตจึงถอนออกมา

ระลึกชาติ.. เกิดสมัยพุทธกาล

ขณะนั้นจิตมีปีติซาบซ่านเข้าถึงเอกัคคตาญาณ กายเบาจิตใจมีความสงบระงับ จิตเดินเข้าสู่ปฐมฌาน ทุติยฌาน และจตุตถฌานโดยลำดับ พักอยู่ในจตุตถฌานนานพอควรแล้วถอยออกมาจนถึงปฐมฌานจึงหยุด ในลำดับนี้หลวงปู่มั่นท่านว่าเกิดปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือรู้อดีตชาติ เกิดนิมิตภาพลูกสุนัขกินนมแม่

หลวงปู่มั่นรู้ด้วยใจว่า ลูกสุนัขก็คือตัวท่านเองในอดีตชาติที่เกิดเป็นสุนัขนับชาติไม่ถ้วน สาเหตุมาจากลูกสุนัขมีความพอใจในอัตภาพของมัน จงส่งผลให้เกิดเป็นสุนัขจึงติดอยู่ในภพนี้หลายชาติ สร้างความสลดสังเวชให้กับท่านเป็นอย่างมาก จากนั้นหลวงปู่มั่นได้ค้นลงหาถึงต้นสายปลายเหตุพบว่า

“เราปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณ” จากนั้นภาพในอดีตชาติสมัยพุทธกาล หลวงปู่มั่นเกิดเป็นเสนาบดีได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าศากยมุนีขณะที่พระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาถึงมหาสติปัฎฐานสูตร หลวงปู่มั่นได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าว่า

“ขอให้ข้าพเจ้าพึงได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นพระองค์เถิด”

นับจากวาระจิตนั้น หลวงปู่มั่นดำรงอยู่โพธิสัตว์ธรรมบำเพ็ญพระโพธิญาณมาหลายร้อยชาติ เมื่อได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณทำให้หลวงปู่ระลึกถึงชาติภพต่างๆ มาพอสมควร เห็นความน่ากลัวของสังสารวัฏ และหากปรรถนาจะบรรลุพระนิพพานในชาตินี้ จะต้องละเสียจาก “พระโพธิญาณ”

ก่อนที่หลวงปู่มั่นจะตั้งจิตถอนจาก “โพธิญาณ” ท่านได้เดินสมาธิเฝ้าย้อนรำลึกในอดีตชาติว่า ท่านเพิ่งจะเริ่มตั้งจิตปรารถนาต่อพุทธภูมิต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าศากยโคดมเท่านั้น เส้นทางบำเพ็ญเพียรเพียงแค่กึ่งพุทธกาล อีกทั้งในอดีตชาติที่ผ่านมา ท่านระลึกได้ถึงความยากลำบากของการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎ

ท่านสลดสังเวชแม้ท่านจะบำเพ็ญบารมีเพียงใดยังเคยเกิดเป็นหมาขี้เรื้อนถึง 500 ชาติ ทำให้หลวงปู่มั่นมองดูสรรพสัตว์ในสังสารวัฎที่ยังคงหลับไหล เขาเหล่านั้นยังไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับชะตากรรมเช่นไรเมื่อสิ้นชีวิตลงไป

ครั้นหลวงปู่มั่นจะละถอนจาก “โพธิญาณ” ก็ให้สงสารสัตว์เหล่านั้น แต่เมื่อมองดูท่ามกลางสรรพสัตว์ทั่วไตรภพ ยังมีขบวนพระมหาโพธิสัตว์มีจำนวนมากที่ได้พยากรณ์จากพระพุทธเจ้าว่าเป็น นิตยโพธิสัตว์ (พระโพธิสัตว์ที่จักได้รับการบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต) และยังมีพระโพธิสัตว์อีกจำนวนมากที่ยังไม่ได้รับการพยากรณ์อยู่ในสังสารวัฎ เพื่อบำเพ็ญบารมีช่วยขนสรรพชีวิตให้พ้นทุกข์ เมื่อพิจารณาดังนี้หลวงปู่มั่นจึงอธิษฐานจิตละจากพระโพธิญาณ


สู้รบกับยักษ์... หวิดตาย

คืนจันทร์สว่างฟ้า พระจันทร์เต็มดวงมีธรรมชาติจะทรงกลดยามเที่ยงคืน ..เป็นภาพที่งดงาม สงบสงัด มีแต่สรรพเสียงของป่าเป็นเพื่อน ขณะที่หลวงปู่มั่นเดินจิตภาวนาใหม่ ปรากฏแสงสว่างเมื่อจิตรวมแล้ว..

เกิดเรื่องอันน่าสะพรึงกลัว.. ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนราวกับมีใครเอามือมาเขย่า เสียงลมพัดโหมกระหน่ำผ่านราวป่า เสียงไม้หักโค่นเกรียวกราว..แต่หลวงปู่มั่นดำรงในสมาธิไม่หวั่นไหวกับเสียงอึกทึกรอบค้าง ท่านบอกว่า

“แรงสั่นสะเทือน ราวกับภูเขาจะพลิกค่ำ” บรรยากาศอันน่ากลัวรอบข้างทำเอาท่านเกือบลืมตา ..แต่ระลึกได้ถึงคำอธิษฐานจิตถึงธรรมะ หลวงปู่มั่นจึงพิจารณาภาวะธรรมะที่เกิดขึ้น

ยิ่งพิจารณาธรรมเท่าไร ความโหดร้ายของสภาพรอบตัวยิ่งทวีความรุนแรงไม่มีท่าทีว่าจะหยุด แต่สติของท่านมั่นคงกว่าขุนเขาที่นั่งไม่อาจโยกคลอนได้ ขณะที่เฝ้าดูอาการของ “สติ-สมาธิ” ที่มั่นคงไม่หวั่นไหวกับสิ่งรอบข้างอยู่นั้น ..

จู่ๆ มียักษ์สูงร่างสูงใหญ่ทะมึนสูงเท่าต้นไม้ ถือตะบองเหล็กส่องรัศมีเหมือนเปลวไฟ เดินย่างสามขุมตรงมายังหลวงปู่มั่น พร้อมตวาดลั่นสะท้านป่าว่า

“จงลุกจากที่นี้เดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นจะต้องตาย” พูดจบยักษ์เงื้อตะบองขึ้นสุดแขน เพื่อหวดฟาดหลวงปู่มั่นเต็มกำลัง

หลวงปู่มั่นเกือบเผลอลืมตาขึ้นมอง แต่อำนาจสติได้ตามรู้ทันจึงระงับไว้ได้ ตลอดเวลาเกือบ 3 เดือนที่เจริญสติจนกลายเป็นมหาสติไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ให้ปรุงแต่งเคลื่อนจิตให้สะท้านกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ท่านตอบยักษ์ไปว่า “เราไม่ลุก”

ทันใดนั้นเอง... ยักษ์ฟาดตะบองลงมายังร่างของท่านเต็มพละกำลังอันมหาศาล จนร่างหลวงปู่มั่นจมลึกลงในดินราว 10 วา แต่ร่างของท่านลอยขึ้นมาเหนือพื้นดิน เจ้ายักษ์ทมิฬหันลีหันขวาง เห็นต้นตะเคียนขนาด 10 คนโอบ ตรงเข้าไปถอนขึ้นมาทั้งต้น รากของต้นไม้ขาดจากดิน เศษดินยังกระเด็นมาโดนร่างหลวงปู่มั่นที่นั่งสมาธิด้วย

ยักษ์ใหญ่แค้นมองร่างหลวงปู่มั่นตัวจิ๋วด้วยความโกรธ ตาแดงเป็นไฟ เงื้อต้นตะเคียนฟาดมาที่ร่างหลวงปู่มั่นจนแบนไปกับก้อนหิน จนก้อนหินไม่สามารถต้านทานได้แหลกละเอียดไปในพริบตา ในวินาทีนี้หลวงปู่มั่นเกือบจะลืมตาขึ้นดูสภาพรอบข้าง แต่กำลังของมหาสติดำรงมั่น เป็นตัวกำกับพิจารณาอารมณ์อันละเอียดอ่อนที่ปรากฏเกิดขึ้นในใจ

ค้นพบว่าแท้จริงแล้วใจของท่านมีอาการพะว้าพะวังของการปรารถนาพระโพธิญาณ ซึ่งเรื่องนี้ซึ่งนี้เป็นธรรมชาติของหน่อเนื้อพุทธะ ทันทีที่ว่านเมล็ดพันธุ์โพธิจิตลงในเนื้อนาใจ ต้นไม้แห่งโพธิจะแทงหน่อเติบโต ต้นไม้นี้ย่อมเป็นที่พึ่งพาอาศัยของสัตว์ทั้งปวง คุณธรรมแลความรอบรู้ในขอบข่ายของพุทธะอันประมาณมิได้นี้ จะหลั่งไหลเข้าสู่จิต

ตลอดเส้นทางพระโพธิญาณ หลวงปั่มั่นได้สร้างสมทศบารมี เพื่อให้บริบูรณ์พร้อมที่จะสั่งสอนอบรมสรรพชีวิตให้เหมาะสมตามนิสัย แลตลอดแตกฉานในอุบายเพื่อสอนให้ผู้อื่นให้เข้าถึงธรรมได้ง่าย และรวดเร็วตามกำลังบุญของแต่ละคน เมื่อมหาสติทราบชัดถึงเครื่องกางกั้นชั้นสุดท้าย สิ่งที่ติดค้างในใจของท่านก็หมดลง



แสงธรรมสว่างไสว ทั่วโลกธาตุ

“ภพเบื้องหน้าเราไม่มีแล้ว พรหมจรรย์เราได้จบแล้ว” หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต ณ. กาลเวลานี้ เมื่อได้สละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง หลวงปู่มั่นอธิบายว่า “ทุกอย่างในโลกนี้มีสภาพเป็นอันเดียวดุจหน้ากลองชัย โลกนี้ราบลงหมด คือสว่างเตียนโล่ง ร่างกายของเราประมวลเข้าดังเดิม”

ยักษ์สูงทะมึนมองเห็นเหตุการณ์พลิกผัน ได้กลายร่างเป็นมนุษย์แล้วเข้ามากราบขอขมาลาโทษ แล้วหายไปในที่สุด ...ขณะนั้นเสียงไก่ขัน... ดังเป็นระยะๆ บอกเวลาว่าใกล้รุ่ง คะเนว่าน่าจะราวตี 3-4 ความเงียบสงบของราตรีกลับมาบรรเลงอีกครั้ง ราวกับเตรียมเฉลิมฉลองในวาระพิเศษของการกำเนิดสัตตบุรุษในรอบพันปี

หลวงปู่มั่นเจริญสมาธิก้าวลงสู่ทุติยฌาน ตติยฌานและจตุตถฌาน พอล่วงดึกจิตก็พักเอากำลังในฌาน ส่วนปฐมฌานคือการพิจารณาวิปัสสนาญาณ เมื่อจิตใช้กำลังพิจารณาข้อธรรมแล้วย่อมพักในฌานเพื่อให้เกิดกำลังต่อไป
พอจิตพักในจตุตถฌานจนมีกำลัง จิตได้ถอยออกมาสู่ปฐมฌาน เกิดวิปัสสนาญาณรู้เห็นความเป็นไปของชาติภพของสัตว์โลก จากนั้นได้พิจารณาต้องต้นสายปลายเหตุของชาติภพในหมู่สัตว์ทั้งปวง หลวงปู่มั่นค้นลงได้ความตามปฏิจสมุทรบาทว่า

หลวงปู่มั่นแทงตลอดลูกโซ่ของภพชาติได้อริยมรรค อันเป็นเครื่องตัดกิเลส จึงพิจารณาในดวงจิตพบว่า

“เมื่ออวิชชาไม่เกาะเกี่ยวได้แล้ว อวิชชาดับ สังขารก็ดับ สังขารดับวิญญาณก็ดับ ตลอดจน ฯลฯ ตัณหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โสกปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายสะก็ดับหมด”

คราวนี้จิตรวมใหญ่แต่จิตไม่พักเหมือนที่ผ่านมา เกิดมีญาณขึ้นมาว่า
“ภพเบื้องหน้าเราไม่มีแล้ว พรหมจรรย์เราได้จบแล้ว กิจอันเราควรทำ เราได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นที่ควรไม่มีอีกแล้ว ญาณชนิดนี้เรียกว่า "อาสวักขยญาณ" คือความรู้ว่าความสิ้นไปแห่งอาสวะพร้อมกับอวิชชาก็หายไป ไม่ก่อนไม่หลังตะวันขึ้นมาและเดือนก็ตกไป รวมความว่า ญาณเกิดขึ้น อวิชชาหายไป พระอาทิตย์ขึ้นมา พระจันทร์ตกไป อปุพพํ อจิรมํ ไม่ก่อนไม่หลัง

เมื่อญาณเกิดขึ้นแล้วก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งอวิชชา เจ้าผู้มีอวิชชาเอ๋ย เจ้าเป็นผู้ไม่รู้ไม่เห็น เจ้าจงหนีไปอยู่กับเราไม่ได้แล้ว อวิชชาก็ไม่ได้บอกกล่าวอำลาว่า ญาณผู้แจ้งผู้เห็นจริง เจ้าเป็นผู้รู้ผู้เห็นเอ๋ย ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าขอลาเจ้าไปก่อน ต่างไม่ได้ขับไล่ แต่ท่านว่าความมืดและพระอาทิตย์ก็เหมือนกัน พระอาทิตย์ขึ้นมาความมืดก็หายไป

พระอาทิตย์ก็ไม่ได้ขับไล่ไสส่งความมืดหรือพระจันทร์จะว่า เจ้าผู้มืดผู้ดำเอ๋ย เจ้าอยู่กับข้าไม่ได้แล้ว เจ้าจงหนีไป ความมืดก็ไม่ได้บอกกล่าวอำลา หรือไม่ได้ว่าพระอาทิตย์ผู้แจ้งสว่าง ผู้มีเดชอันกล้าเอ๋ย ข้าอยู่กับเจ้าไม่ได้แล้ว ข้าขอลาเจ้าไปก่อน หาใช่อย่างนั้นไม่ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมาความมืดก็หายไปฉันใดก็ฉันนั้น”


หลวงปู่มั่นได้พบกับครูบาศรีวิชัย

(ขอเพิ่มเติมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับ ครูบาศรีวิชัยอ้างอิงเนื้อหาจากหนังสือบูรพาจารย์ ซึ่งเป็นหนังสือกล่าวถึงหลวงปู่มั่นกับบรรดาลูกศิษย์ต่าง ๆ ที่เป็นครูบาอาจารย์ในสมัยต่อ ๆ มา และมีกล่าวถึง ครูบาศรีวิชัย ด้วยครับ)

ในสมัยที่หลวงปู่มั่นท่านจาริกไปอยู่เชียงใหม่ ท่านทราบว่ามีสุปฏิบันโนสงฆ์อยู่คือครูบาศรีวิชัย ในขณะเดียวกันท่านครูบาศรีวิชัยท่านก็ได้ชื่อเสียงของหลวงปูมั่นเช่นกัน ต่างมีความนับถือกันมากแม้ไม่ได้พบหน้า

มีคราวหนึ่งที่ท่านทั้งสองได้พบกัน (ไม่ทราบว่าด้วยวาระอะไร) หลวงปู่มั่นท่านกล่าวชวนครูบาศรีวิชัยว่า "มาปฏิบัติกับผมไหม" ครูบาศรีวิชัยตอบว่า "ผมไปไม่ได้ ผมได้รับพุทธทำนายแล้ว"นั่นหมายความว่าท่านปราถนาพุทธภูมิ และความปราถนานั้นจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว เพราะได้รับการทำนายจากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง แล้วในอดีตที่ผ่านมา ดังนั้นท่านมีแต่จะต้องบำเพ็ญบารมีต่อไปจนเต็มภูมิ ซึ่งการบำเพ็ญของท่านก็มักจะมีภูมิลึกลับคอยช่วยเสมอ ๆ

ส่วนหลวงปู่มั่นเองตามประวัติที่เขียนโดย หลวงตามหาบัว ท่านกล่าวว่าหลวงปู่มั่นในช่วงปฏิบัติช่วงหนึ่งเกิดติดขัด ไปต่อไม่ได้ จิตอาลัยอาวร กล่าวคือท่านก็ปราถนาพุทธภูมิเช่นกัน แต่ท่านอธิฐานละพุทธภูมินั้นเสียและขอรวมบารมีที่ได้สั่งสมไว้ดีแล้วนั้นถ้าเต็มบารมีสาวกภูมิก็ขอให้บรรลุมรรคผลนิพพานในชาตินี้ (เพราะท่านเจริญสมาธิจนรู้ได้ ว่าท่านเคยเกิดเป็นสุนัขอยู่ 500ชาติ เกิดสลดสังเวช ไม่อยากเกิดอีกแล้ว)

หลังจากอธิษฐานละแล้วการปฏิบัติก็ก้าวหน้าเป็นลำดับ ท่านหลวงตามหาบัวได้แสดงความเห็นแทรกไว้ว่าการที่ท่านละได้นั้นเพราะความปราถนาท่านยังไม่ถึงขั้นพุทธทำนาย จึงยังมีโอกาสละและประมวลบารมีทั้งหมดให้มามีผลในปัจจุบันได้ เมื่อสำเร็จสาวกภูมิในชาตินี้แล้วความรู้อันเป็นของพุทธภูมิหรืออุปนิสัยความสามารถในทางพุทธภูมิ คือการถ่ายทอดสอนคนอื่นต่อจึงมีความสามารถมาก รู้แยกแยะสอนสั่งผู้อื่นได้ชำนาญในตอนท้ายที่สุดนี้ จะขอนำเรื่องที่เล่าไว้ในหนังสือประวัติหลวงปุ่มั่น ซึ่งมีข้อมูลคล้ายๆ กัน แต่ก็จะมีสำนวนที่เล่าลึกลงไปในรายละเอียดบ้างดังต่อไปนี้

การปฏิบัติธรรมในขั้นสุดท้าย

หลวงปู่มั่นได้หาที่ที่น่าหวาดเสียวที่สุด เห็นว่าริมปากเหวเหมาะที่สุดที่จะนั่งบำเพ็ญเพียร ท่านตั้งใจแน่วแน่ว่า “หากจะตายขอตายตรงนี้ ขอให้ร่างกายหล่นลงไปในเหวนี้ จะได้ไม่ต้องเป็นที่วุ่นวายเดือดร้อนแก่ใครๆ ” ตั้งแต่บัดนั้น หลวงปู่มั่น ได้ตั้งปณิธานแน่วแน่ว่า “ถ้าไม่รู้แจ้งเห็นจริงในธรรม ก็จะไม่ลุกจากที่นั่งนี้เป็นอันขาด”

หลวงปู่ได้นั่งสมาธิอยู่ ณ จุดนั้นติดต่อกันเป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืนโดยไม่ขยับเขยื้อนและไม่ลืมตาเลย หลวงปู่เริ่มกำหนดจิตต่อจากที่เคยดำเนินการครั้งหลังสุด ได้เกิดการสว่างไสวดุจกลางวัน ความผ่องใสของจิตสามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามต้องการ แม้จะกำหนดดูเม็ดทรายก็เห็นได้อย่างชัดเจนทุกเม็ด แม้จะพิจารณาดูทุกอย่างที่ผ่านมา ก็แจ้งประจักษ์ขึ้นในปัจจุบันหมด

ในขณะที่จิตของท่านดำเนินไปอย่างได้ผล ก็ปรากฏเห็นเป็นลูกสุนัขกำลังกินนมแม่ ท่านพิจารณาใคร่ครวญดู ว่าทำไมจึงเกิดมีนิมิตมาปน ทั้งๆ ที่จิตของท่านเลยขั้นที่จะนิมิตแล้ว เมื่อกำหนดจิตพิจารณาก็เกิดญาณรู้ขึ้นว่า “ลูกสุนัขนั้นก็คือตัวเราเอง เราเคยเกิดเป็นสุนัขอยู่ตรงนี้มานับอัตภาพไม่ถ้วน เวียนเกิดเวียนตายเป็นสุนัขอยู่หลายชาติ ”

เมื่อพิจารณาโดยละเอียดได้ความว่า "ภพ" คือความยินดีในอัตภาพของตน สุนัขก็ยินดีในอัตภาพของมัน จึงต้องเวียนอยู่ในภพของมันตลอดไป เมื่อหลวงปู่มั่น ทราบความเป็นไปในอดีตชาติของท่านก็ได้ถึงความสลดจิตเป็นอย่างมาก

ความสว่างไสวในจิตของท่านยังคงเจิดจ้าอยู่ แต่ทำไมยังมีการห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ ไม่สามารถพิจารณาธรรมให้ยิ่งขึ้นไปได้ เมื่อตรวจสอบดูก็พบความจริงที่ท่านไม่เคยทราบมาก่อน นั่นคือ“การปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณ” ของท่าน โอ ! แล้วจะต้องเวียนตายเวียนเกิดไปอีกกี่หมื่นกี่แสนชาติ จึงจะถึง คิว ได้เป็นพระพุทธเจ้าสมความปรารถนา

หลวงปู่มั่น ได้ย้อนพิจารณาถึงภพชาติในอดีตปรากฏว่า ท่านเคยมีตำแหน่งเป็นเสนาบดีเมืองกุรุรัฐ (กรุงเดลฮี ในปัจจุบัน) พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดชาวกุรุรัฐ พระองค์ทรงแสดงมหาสติปัฏฐานสูตร หลวงปู่ในชาตินั้นก็ได้เจริญสติปัฏฐาน แล้วยกจิตขึ้นอธิษฐานว่า “ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้าเช่นพระองค์เถิด”

ได้ความว่า หลวงปู่มั่นได้ปรารภโพธิญาณมาตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านต้องชะงักในการพิจารณาอริยสัจเพื่อทำจิตให้หลุดพ้นได้ ต้องสร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ไปอีกชั่วกัปชั่วกัลป์ ถ้าไม่ปล่อยวางความปรารถนานั้น

หลวงปู่มั่น ยังเห็นต่อไปอีกว่า หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี เคยเป็นหลานชายของท่านในชาติที่เป็นเสนาบดีเมืองกุรุรัฐ นั้น ภายหลังเมื่อหลวงปู่เทสก์ตามท่านไปอยู่ที่เชียงใหม่ หลวงปู่เคยบอกหลวงปู่เทสก์ว่า “เธอเคยเกิดเป็นหลานเราที่กรุงกุรุรัฐ ฉะนั้น เธอจึงดื้อดึงไม่ค่อยจะฟังเรา และสนิทสนมกับเรายิ่งกว่าใคร




27  สุขใจในธรรม / ธรรมะจากพระอาจารย์ / ญาณทัศนะของหลวงปู่มั่น หยั่งรู้ภูมิจิตภูมิธรรมของศิษย์ เมื่อ: 21 ตุลาคม 2557 12:36:00
ญาณทัศนะของหลวงปู่มั่น หยั่งรู้ภูมิจิตภูมิธรรมของศิษย์



หลวงปู่มั่นเปิดเผยแก่พระเณรว่า พระอาจารย์เนียมไม่น่าเป็นห่วง เพราะได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และไปอุบัติใน "พรหมโลกชั้นอาภัสรา" (เรื่องนี้บันทึกลงในประวัติหลวงปู่หล้า เขมปัตโต)
(เรื่องเล่าหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต)
(บันทึกโดย หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ)
เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ ท่านพระอาจารย์เล่าเองบ้าง พระอาจารย์เนียม โชติโก เล่าบ้าง

ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า พอไปถึงวันแรกก็เจอเข้าแล้ว พักที่ริมป่า การต้อนรับ การจัดสถานที่จากชาวบ้านอย่าหวัง
มีแต่พื้นดินและร่มไม้เท่านั้น เป็นสถานที่พัก เวลาเช้าไปบิณฑบาต ชาวบ้านนั่งจับกลุ่มผิงไฟกัน

พอเห็นท่าน ก็ถามว่า "ตุ๊เจ้ามาเอาหยัง" ดีแต่เขาพูดภาษาคำเมืองได้

ท่านตอบว่า "ตูมากุมข้าว"

เขาเอาข้าวสารมาจะใส่บาตรให้ ท่านบอก "ตูเอาข้าวสุก"

จึงเอาข้าวสุกมาใส่บาตรให้ เขาถาม "กินกับหยัง"

"สูกินหยัง ตูก็กินนั้น"

เขาถาม "หมูสับสูกินก๊า"

ตอบ "กิน"

เขาเอาเนื้อหมูดิบมาให้ ท่านบอก "ตูบ่มีไฟปิ้ง เอาสุก"

เขาก็เอาเนื้อสุกมา

เขาถาม "พริกเกลือ สูกินก๊า" เขาก็เอามาใส่บาตรให้

ตอนขากลับ ชาวบ้านตามมาหลายคน เขามาเห็นที่พัก เขาถาม "ตุ๊เจ้านอนบ้านบ่ได้ก๊า"

ตอบ"นอนได้"

"ตูจะเยียะบ้านให้ เอาก๊า"

"เอา"

"ตุ๊เจ้าเยียะบ่ได้ก๊า"

"เยียะบ่ได้ เขาบอก

"ตูเยียะบ่ถือ บอกเน้อ" (ท่านพระอาจารย์ว่า คำนี้เป็นคำปวารณา เราก็ใช้เขาได้ตามพระวินัย)

เขามาจัดที่พักจนเสร็จ และมาบอกรับใช้ปวารณาทุกวัน

ท่านถือโอกาสแนะนำสั่งสอนเขา โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจครอบครัว เพราะเขาจนมาก เขาทำไร่เลื่อนลอย ปลูกพืชผลทุกชนิด แต่ไม่พอกิน ต้องเอาของป่าลงมาแลกข้างล่าง ลำเลียงขึ้นไปกินกัน ท่านบอก ไม่ให้บุกเบิกถางป่าต่อ ให้ทำซ้ำที่เดิมที่เคยทำมาแล้ว 1-2 ปี เขาบอกว่า"บ่งามก๊า" ท่านรับรองว่างาม เขาก็เชื่อ

เพื่อนสหธรรมิกมีพระมหาทองสุก สุจิตโต พระอาจารย์มนู พระอาจารย์เนียม โชติโก และน้องชาย (พระอาจารย์เนียม)ชื่อโยมแพง

การทำไร่แบบชาวเขานี้ พระอาจารย์เนียมท่านเชี่ยวชาญมาก เพราะท่านเคยทำสมัยยังไม่บวช ท่านจะชี้แนะเริ่มตั้งแต่ การขุด การพรวนดิน การปลูก การหว่านข้าวไร่ และพืชอื่นๆ มีข้าวโพด ฟักทอง ฟักแฟงแตงเต้าทุกชนิด หลังปลูกมีการดายหญ้า พรวนดิน ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ตามสูตรของท่าน ปีนั้นพืชผลงอกงามดีมาก

ลืมบอกไปว่า ชาวเขาชอบเลี้ยงหมูไว้รับประทานเนื้อทุกครัวเรือน ฆ่ากินแจกเพื่อนบ้าน แลกข้าวบ้าง ข้าวโพดเป็นอาหารหมูของเขา

ริมทางขณะไปบิณฑบาต ข้าวโพดฝักใหญ่กำลังผลิดอกออกผล ท่านอาจารย์เนียม นักเกษตรจำเป็นพบเห็นทุกวัน แต่ไม่เห็นเขาปิ้งเผาใส่บาตรสักที
ท่านก็เลยบอกเขาว่า "สูเอาข้าวโพดปิ้งใส่บาตรให้ตูกินบ้างก๊า"

เขาตอบ "ข้าวโพดของหมูกินก๊า"

ท่านว่า "ตุ๊เจ้าก็กินได้ก๊า"

เขาว่า "ตุ๊เจ้าอยากกินอาหารหมู" ตั้งแต่วันนั้นเขาปิ้งใส่บาตรทุกวัน

ตามริมทางยอดฟักทองงอกงามน่ารับประทาน แต่เขาไม่กินกัน ท่านอาจารย์เนียมนักเกษตรจำเป็นก็บอกอีกว่า "สูแกงหมูก็เอายอดฟักทองใส่ลงไปด้วย"
เขาบอก "หมูก็ลำ (อร่อย) พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่ยอดฟักทองอีก"

ท่านอาจารย์เนียมพอเจอคำว่า หมูก็อร่อยพอแล้วจะใส่ยอดฟักทองอีกทำไม ท่านก็อ้ำอึ้ง ครุ่นคิดอยู่ในใจ ไม่รู้จะพูดให้เขาเข้าใจอย่างไร

เรื่องนี้ท่านพระอาจารย์มั่นถือเป็นเรื่องขบขันมาก ทุกครั้งที่เล่าเรื่องนี้ ท่านจะหัวเราะชนิดหัวเราะใหญ่อย่างขบขัน แม้ผู้เล่าและผู้ฟังก็อดหัวเราะไม่ได้

คำตอบมีอยู่ว่า ที่ให้เอายอดฟักทองใส่แกงหมูนั้น ยอดฟักทองงามน่ากินและมีมาก ใส่ยอดฟักทองเพื่อประหยัดเนื้อหมู และทำให้มีรสชาดยิ่งขึ้นไปอีก เพิ่มคุณค่าทางอาหารอีกด้วย นี่คือคำตอบ

ปีนั้นและปีต่อๆ มา พืชพันธุ์ธัญญาหารของชาวเขาอุดมสมบูรณ์ ทำบุญใส่บาตรรับพร เสียงสาธุการลั่นไปหมด กล่าวขวัญกันว่า ได้อยู่ได้กินเพราะบุญตุ๊เจ้าแต๊แต๊

(พระอาจารย์เนียม โชติโก ภายหลังมามรณภาพที่วัดป่าบ้านหนองผือ ท่านพระอาจารย์มั่นพาเผาศพกลางวัดในวันที่มรณภาพนั้น และได้เปิดเผยแก่พระเณรว่า พระอาจารย์เนียมไม่น่าเป็นห่วง เพราะได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และไปอุบัติในพรหมโลกชั้นอาภัสรา เรื่องนี้มีบันทึกชัดเจนอยู่ในหนังสือประวัติหลวงปู่หล้า เขมปัตโต -ภิเนษกรมณ์)



28  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / เรื่องแปลก - ประสบการณ์ทางจิต - เรื่องลึกลับ / ไลบีเรีย พบเหยื่ออีโบลาที่ตายแล้ว กลับลุกฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง เป็นรายที่ 3 เมื่อ: 21 ตุลาคม 2557 12:29:14
ไลบีเรีย พบเหยื่ออีโบลาที่ตายแล้ว กลับลุกฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง เป็นรายที่ 3


วันที่ 3 ต.ค.2014 ไลบีเรีย-พบเหยื่ออีโบลาที่ตายไปแล้ว กลับลุกคืนชีพขึ้นมาจากความตายอีกครั้ง ซึ่งรอบนี้เป็นรายที่ 3 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ที่ทางการไลบีเรียยอมเปิดเผยและได้แพร่ภาพหน้าผู้เคราะห์ร้ายโรคอีโบลา ที่ได้ลุกขึ้นมาจากความตาย

ชื่อของเหยื่อยังไม่ได้รับการปล่อยออกมาจากองค์การอนามัยโลก และข่าวของผู้ป่วยที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากความตายนั้น มีระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ทางการสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันที่ 30 กย.2014 ว่าพบผู้ติดเชื้อเหยื่ออีโบลารายแรกชื่อ โธมัส อีริค ดันแคน ในเมืองดัลลัสของรัฐเท็กซัส หลังจากนั้นไม่นานเมื่อวันที่ 3 ต.ค.57 ทางสาธารณสุขสหรัฐ ได้เฝ้าระวังติดตามพลเมืองอีกราว 100 คน ที่คาดว่าเกี่ยวข้องหรือติดต่อกับผู้ติดเชื้อรายแรก และได้สั่งกักบริเวณญาติผู้ติดเชื้ออีโบลารายแรกในประเทศ 4 คน และกำลังเฝ้าติดตามอาการผู้ติดต่อกับผู้ป่วยอีกราว 80 คน

ส่วนเหยื่ออีโบลาที่ตายแล้วคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง 2 ราย ที่ไลบีเรียนั้น เป็นศพผู้ป่วยหญิงทั้ง 2 คนที่มีอายุ 40 และ 60 ปี ได้ฟื้นขึ้นมาจากความตายและเดินปะปนร่วมกับคนเป็น ซึ่งเรื่องนี้ได้สร้างความแตกตื่นและความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านในพื้นที่เป็นอย่างมาก



รัฐบาลไลบีเรียกำลังกล่าวหาว่าประเทศสหรัฐอเมริกาได้สร้างไวรัสอีโบลาเป็นอาวุธชีวภาพที่จะใช้สำหรับทำสงครามในอนาคต พลเมืองของไลบีเรียได้แสดงการประท้วงหนัก และความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นว่าสหรัฐอาจมีการทดสอบ 'พัฒนาอาวุธชีวภาพ' ที่อยู่รูปแบบของเชื้อไวรัสกับประชาชนของไลบีเรีย

ทั้งนี้ การระบาดของอีโบลาครั้งล่าสุดนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีศูนย์กลางอยู่ประเทศกินี, เซียร์ราลีโอน และไลบีเรีย ก่อนจะขยายไปในไนจีเรียและเซเนกัลในเวลาต่อมา จนถึงตอนนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 3,000 คน จากผู้ป่วย 6,553 ราย โดยหน่วยงานป้องกันและควบคุมโรคสหรัฐประเมินว่า ผู้ติดเชื้ออาจเพิ่มจำนวนกว่า1.4 ล้านคน ก่อนสิ้นเดือนม.ค.ปีหน้า







ที่มา : allmysteryworld.blogspot.com
29  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ / Re: UFO โผล่ติดกล้องสถานีอวกาศ NASA เมื่อ: 21 ตุลาคม 2557 12:23:30

NASA Astronauts Conduct Spacewalk on ISS


30  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / คลิปวีดีโอ ยูเอฟโอ / UFO โผล่ติดกล้องสถานีอวกาศ NASA เมื่อ: 21 ตุลาคม 2557 12:23:05
UFO โผล่ติดกล้องสถานีอวกาศ NASA



ภาพจากองค์การนาซ่า ช่วงนาทีที่ 1.48 ของคลิปวิดีโอดังกล่าว คือจุดที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในขณะนี้



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผู้คนในสังคมออนไลน์ทั่วโลกกำลังวิพากษ์วิจารณ์คลิปวิดีโอการปฏิบัติหน้าที่ในอวกาศขององค์การบริหารการบินและอวกาศสหรัฐอเมริกา หรือ องค์การนาซ่า หลังมีคลิปวิดีโอหนึ่งถูกจับสังเกตเห็นวัตถุประหลาดลอยอยู่ใกล้กับสถานีอวกาศนานาชาติ จนร่ำลือกันว่าอาจจะเป็นวัตถุลึกลับที่พิสูจน์ไม่ได้ หรือ ยูเอฟโอ

ตามรายงานระบุว่า คลิปวิดีโอภาพการปฏิบัติหน้าที่ซ่อมบำรุงของหน่วยงานอวกาศยุโรปที่สถานีอวกาศนานาชาติไอเอสเอส นักบินอวกาศ 2 คน ประกอบด้วย รีดส์ ไวซ์แมน และ อเล็กซานเดอร์ เกอร์ซ ได้ออกมาปฏิบัติหน้านี้ซ่อมแซมสถานีอวกาศ ระหว่างที่ทั้งสองกำลังปฏิบัติงานอยู่นั้น ที่ฉากด้านหลังของสถานีอวกาศเริ่มปรากฏเห็นวัตถุประหลาด คล้ายกับกำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาและเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนมีกระแสลือกันว่า วัตถุที่เห็นนั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้จากมนุษย์ต่างดาว หรือ ยูเอฟโอ

อย่างไรก็ตาม หลังจากคลิปวิดีโอความยาว 5 นาทีที่โพสต์โดยองค์การนาซ่า ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ทางองค์การนาซ่าก็ไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว ขณะที่ชาวเน็ตทั่วโลกก็แห่กันเข้าไปชมคลิปวิดีโอดังกล่าว จนมียอดคนดูทะลุ 100,000 ครั้งอย่างรวดเร็ว โดยที่บางคนเชื่อว่าอาจจจะเป็นยูเอฟโอจริงๆ แต่บางคนเชื่อว่าเป็นแค่เลนส์กล้องในมุมตกกระทบของแสงเท่านั้น




31  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / ท่าทางเจ้าของบ้านนี้จะเป็นคนเปิดเผย เมื่อ: 23 กันยายน 2557 10:28:35


 หัวเราะลั่น
32  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก / Re: ความเชื่อไร้สาระเรื่องการกินน้ำผึ้ง + มะนาว ช่วยฟิตหุ่น เสริมสุขภาพ เมื่อ: 21 สิงหาคม 2557 12:06:15
หมอแมวยังได้กล่าวเสริมอีกเกี่ยวกับเรื่องนี้เนื้อความดังนี้...

อ้างถึง

เรื่องมะนาวหมักน้ำผึ้งกินแล้วลดน้ำหนัก "ไม่ได้" นะคะ ... ทำไม

- น้ำผึ้งให้พลังงานค่ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ 45 กิโลแคลอรี่ เที่ยบกับน้ำตาล 3 ช้อนชาคุณเอาไปหมักกับมะนาวแล้วกิน วันนึงคุณจะได้พลังงานเท่าไหร่เอ่ย? ( อ้างอิง http://www.student.chula.ac.th/~54373186/calorie.html )

- บางแหล่งโฆษณาว่ากินแล้วระบายดี ทำให้น้ำหนักลด
ตามรูปประกอบไขมันของคุณไม่ได้เก็บที่ลำไส้ใหญ่ พออึออกมาแล้วหน้าท้องยุบจริง แต่กินอาหารมื้อต่อไปมันก็กลับมาใหม่ ไม่ได้ลดไขมันที่เก็บสะสมไว้แต่ประการใดนะจ้ะ
ถ้าอยากระบายท้อง กินผัก ผลไม้ที่ไม่หวานดีกว่ามั้ย
ตำรับนี้ต่างประเทศก็โฆษณาว่าเป็นตำรับธรรมชาติ แต่ดิฉันหางานวิจัย "ทางการแแพทย์แผนปัจจุบัน" แล้วไม่พบ จึงขอยืนยันว่าความอ้วนลดได้แค่ 2 วิธีคือควบคุมการรับพลังงานจากอาหาร และผลาญพลังงานด้วยการออกกำลังกายเท่านั้นค่ะ



33  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ คลังความรู้ลวงโลก / ความเชื่อไร้สาระเรื่องการกินน้ำผึ้ง + มะนาว ช่วยฟิตหุ่น เสริมสุขภาพ เมื่อ: 21 สิงหาคม 2557 11:35:58

http://f.ptcdn.info/542/022/000/1408522912-1053577584-o.jpg


เครดิต หมอแมว / พันทิพ


34  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / วิทยาศาสตร์ - จักรวาล - การค้นพบ / ทำไม "นีล อาร์มสตรอง" ได้เหยียบดวงจันทร์คนแรก? เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2557 11:32:41
ทำไม "นีล อาร์มสตรอง" ได้เหยียบดวงจันทร์คนแรก?



ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รับรู้กันทั่วโลกคือ นีล อาร์มสตรอง นักบินอวกาศชาวอเมริกัน เป็นมนุษย์คนแรกที่ได้เหยียบพื้นผิวดวงจันทร์ เมื่อครั้งเดินทางไปกับยานอวกาศอพอลโล 11 ร่วมกับ เอ็ดวิน "บัซซ์" อัลดริน จูเนียร์ และไมเคิล คอลลินส์ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ปี ค.ศ.1969

และเชื่อว่า หลายคนคิดว่าองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ของสหรัฐอเมริกาวางกำหนดการเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าอาร์มสตรอง (ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2012 ขณะอายุ 82 ปี) จะต้องเป็นคนแรกของโลกที่เหยียบพื้นผิวดวงจันทร์ ด้วยตำแหน่งผู้บัญชาการของยานอพอลโล 11 ในขณะที่อัลดรินมีตำแหน่งเป็นนักบินของยาน ส่วนคอลลินส์ทำหน้าที่บังคับยานอพอลโล 11 ซึ่งโคจรอยู่รอบดวงจันทร์

ข้อเท็จจริงซึ่งเปิดเผยออกมาเป็นครั้งแรกเมื่อเร็วๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเพียงไม่นานก่อนวินาที ประวัติศาสตร์นั้นเท่านั้นเอง

เนื่องในวาระครบรอบ 45 ปี ของเหตุการณ์สำคัญที่ถือเป็นประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ของการสำรวจอวกาศ บัซซ์ อัลดริน ซึ่งปัจจุบันอายุ 84 ปีแล้ว ออกมาเปิดเผยถึงเรื่องราวเมื่อ 45 ปีก่อนว่า ในตอนนั้น ตัวเขาเองอยู่ในฐานะนักบินที่อ่อนอาวุโสกว่าซึ่งตามกำหนดจริงต้องเป็นคนแรก ที่ออกไปจากยานเหยียบพื้นผิวดวงจันทร์เป็นคนแรก

"ในปฏิบัติการทุกครั้งก่อนหน้านั้น นักบินคนใดที่อายุน้อยกว่ามักจะต้องเป็นคนที่ออกไปเดินอวกาศ ไม่ใช่ผู้บัญชาการซึ่งต้องมีหน้าที่รับผิดชอบอยู่ภายในยาน" อัลดรินกล่าว และว่า เขาเองกลับคิดในทางตรงกันข้ามว่าทำไมผู้บัญชาการที่มีหน้าที่รับผิดชอบอัน ใหญ่หลวงและได้รับการฝึกมาอย่างดี จึงต้องอยู่ภายในยาน แล้วก็มีเจ้าหน้าที่อย่างน้อยหนึ่งทีมของนาซาที่เห็นด้วยกับคำโต้แย้งของอัล ดริน นอกจากนั้นยังเห็นด้วยว่าการได้ออกไปเหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรกของโลก ถือเป็นปฏิบัติการเชิงสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ ที่ควรให้บุคคลระดับ "ผู้บัญชาการ" เป็นผู้ดำเนินการ ด้วยเหตุผลดังกล่าวนั้น นาซาจึงมอบหมายให้ นีล อาร์มสตรอง ออกจากยาน ลงไปสัมผัสพื้นผิวดวงจันทร์เป็นคนแรก ก่อนที่อัลดรินจะตามออกมาในอีก 20 นาทีต่อมา

ขณะที่เนื้อหาของบทความ ว่าด้วยเรื่องการสำรวจดวงจันทร์ บนเว็บไซต์ของนาซาเอง บอกเล่าที่มาของเรื่องนี้แตกต่างกันไปเล็กน้อย โดยระบุว่า แรกเริ่มเดิมทีมีการกำหนดให้อัลดรินก้าวออกจากยานและไต่ลงไปเหยียบพื้นผิว ดวงจันทร์เป็นคนแรก แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อยานลูนาร์ โมดุล ลงจอด ส่งผลให้ประตูทางฝั่งของอัลดรินเปิดออกไม่ได้ และหากต้องการให้อัลดรินออกมาก่อนตามที่กำหนดไว้ นักบินอวกาศรายนี้ก็ต้องข้ามตัวนักบินอวกาศอีกคนออกมาซึ่งจะยุ่งยากมาก เพราะชุดนักบินอวกาศใหญ่โตเทอะทะ

ในที่สุด เดคเค สเลตัน หัวหน้าโครงการสำรวจดวงจันทร์ ที่ประจำอยู่ในหอบังคับการภาคพื้นดินจึงตัดสินใจเปลี่ยนให้ นีล อาร์มสตรองเป็นคนแรกที่ก้าวออกจากยาน การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เพราะทางภาคพื้นดินที่ฮุสตันไม่ต้องการใช้เวลาให้มากขึ้นไปอีกหากรอให้อัล ดรินออกมาคนแรก

นาซายืนยันว่า อาร์มสตรองไม่ได้ร้องขอต่อหัวหน้าโครงการว่าเพื่อออกจากยานเป็นคนแรกเพื่อ สร้างเกียรติประวัติในฐานะเป็นมนุษย์คนแรกที่เหยียบดวงจันทร์

ในขณะที่ เอ็ดวิน อัลดริน เองก็ยืนยันว่ายอมรับได้หากคนแรกที่จะเหยียบดวงจันทร์คือ นีล อาร์มสตรอง




ที่มา : นสพ.มติชน
35  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ร้อยภูติ พันวิญญาณ / ชาวบ้านฮือฮา ภาพถ่ายติดวิญญาณในงานศพ เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2557 11:26:16
ชาวบ้านฮือฮา ภาพถ่ายติดวิญญาณในงานศพ



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (17 ก.ค.) มีภาพที่กำลังเป็นที่ฮือฮาในโลกออนไลน์ จากภาพในเฟซบุ๊กของคุณ Arunya Tai ได้โพสต์ภาพขณะไปร่วมงานสวดอภิธรรมศพของนายมานพ มั่นคง อายุ 30 ปี ที่ประสบอุบัติเหตุเมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 14 ก.ค. ที่ผ่านมา บริเวณถนนสายพิษณุโลก-วัดโบสถ์ ต.มะขามสูง อ.เมืองพิษณุโลก โดยภาพดังกล่าวถ่ายจากโทรศัพท์มือถือ ขณะเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นตัวแทนประกัน กำลังนำเงินสินไหมทดแทนมามอบให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ภายในศาลาวัดกระบังมังคลาราม ต.มะขามสูง

ทั้งนี้ ในภาพด้านริมซ้ายมือของโลงศพจะเห็นภาพลักษณะคล้ายผู้ชายผมสั้น สวมเสื้อสีกรมท่า เป็นภาพเลือนๆ อยู่ด้านหลังของกลุ่มคนที่ถ่ายภาพรวมกันอยู่ ซึ่งบรรดาเพื่อนของผู้เสียชีวิต ต่างบอกว่ามีลักษณะคล้ายนายมานพ และเสื้อที่สวมใส่ก็เป็นเสื้อกีฬาที่มีใส่กันเฉพาะกลุ่ม แต่ในวันงานไม่มีใครใส่เสื้อลักษณะดังกล่าว จึงคาดว่าน่าจะเป็นนายมานพที่มีความห่วงใยภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ได้ 2 เดือน เลยมาปรากฏให้เห็นในภาพ


.
36  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / หมอเตือน! แบคทีเรียกินเนื้อคน ระวังก้างปลาตำ เมื่อ: 25 กรกฎาคม 2557 11:24:44
หมอเตือน! แบคทีเรียกินเนื้อคน ระวังก้างปลาตำ


(24 ก.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่มีข่าวลือในโลกออนไลน์เกี่ยวกับการเตือนให้ระมัดระวังเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง หลังพบผู้เสียชีวิตจากแบคทีเรียชนิดนี้ ซึ่งมีพิษรุนแรงออกฤทธิ์ ถึงขั้นทำให้เนื้อเยื่อมนุษย์ตาย จนกระทั่งทำให้เกิดอาการช็อกเสียชีวิต

นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า อาการจากเชื้อแบคทีเรียดังกล่าว มาจาก 2 กลุ่มที่ออกฤทธิ์รุนแรงและอันตรายที่สุด เป็นแบคทีเรียที่อยู่ในน้ำสกปรก ได้แก่ แอนแอโรบิคแบคทีเรีย (Anaerobic Bacteria) และแอโรโบแนสแบคทีเรีย (Aeromonas Bacteria) เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดการเน่าตายของเนื้อเยื่อ ลุกลามไปจนติดเชื้อในกระแสเลือด ใน 48 ชั่วโมง ซึ่งกลุ่มที่มีความเสี่ยงคือ กลุ่มคนที่มีภูมิต้านทานโรคต่ำ หรือ บุคคลที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานอยู่แล้ว เพราะหากเป็นแผลเชื้อจะลามมากกว่าบุคคลทั่วไป

นายแพทย์โสภณ ยังอธิบายว่า เหตุที่ผู้จัดการธนาคารฯ ติดเชื้อแบคทีเรียดังกล่าว จนกระทั่งเสียชีวิต เชื่อว่าเชื้อน่าจะแฝงอยู่ในปลา โดยฝังตัวอยู่ตามลำตัว ก้างปลา เงี่ยง และซอกเหงือกปลา หากร่างกายโดนก้างปลามีเชื้อ ตำตามร่างกาย เมื่อได้รับเชื้อนี้จะเกิดอาการดังกล่าว ดังนั้นวิธีที่เลี่ยงได้คือ เลี่ยงลุยน้ำสกปรก หรือ เลือกซื้ออาหารประเภทสัตว์น้ำ ควรล้างมือล้างเท้าทันทีหลังจากเลือกเสร็จ หากโดนก้างปลาตำ ควรบีบเลือดออกให้มากที่สุดและล้างแผลฆ่าเซื้อทันที

ขณะที่เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา นายแพทย์เสรี หงษ์หยก อดีตรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งเป็นเพื่อนของผู้จัดการธนาคารฯ ที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อครั้งนี้ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านมาทางรายการ "เจาะข่าวเด่น" ทางช่อง 3 ลำดับเหตุการณ์ให้ฟังว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ผู้เสียชีวิตไปเลือกซื้อปลาและถูกก้างตำที่นิ้วหัวมือ ก่อนจะกลับมาทำแผลเอง แต่ยังมีอาการปวดที่แผล ไม่มีอาการอักเสบ

วันที่ 13 ก.ค. จึงมาพบแพทย์ แพทย์กรีดและล้างแผลให้อีกครั้ง วันที่ 14 ก.ค. ผู้เสียชีวิตเกิดไปสะดุดล้ม มีอาการกล้ามเนื้อช้ำและเอนเข่าขาด มีอาการบวมเร็วผิดปกติ กระทั่งวันที่ 15 เมื่อเข้าผ่าตัด แพทย์พบว่าเนื้อเยื้อบริเวณขาเสียหาย ส่งกลิ่นเหม็นเน่า เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวกัดกินอย่างรวดเร็ว ต่อมาช่วงเช้ามือวันที่ 16 ก.ค. ผู้จัดการธนาคารฯ จึงเสียชีวิต



ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก ครอบครัวข่าว ช่อง 3


37  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / นัยยะภาพพระพุทธเจ้าผจญมาร (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก) เมื่อ: 16 พฤษภาคม 2557 20:47:58
นัยยะภาพพระพุทธเจ้าผจญมาร

(บางส่วน)

คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์

อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ


บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรมในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม

การได้ปัญญาในธรรมนั้นก็เป็นการได้ปัญญาในธรรมตามพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าแสดงตามพุทธประวัติ พระองค์ทรงได้ปัญญาในธรรมด้วยพระองค์เอง ดั่งที่เรียกว่าได้ตรัสรู้พระธรรม จึงได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ดังที่มีแสดงไว้ในพุทธประวัติว่า ในราตรีที่พระโพธิสัตว์ คือพระสิทธัตถะราชกุมาร ซึ่งได้เสด็จออกทรงผนวช และจะได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้านั้น ได้ทรงชนะมารพร้อมทั้งเสนามาร ตั้งแต่ในเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกหรืออัสดง

ดังที่เราทั้งหลายคงจะได้เคยเห็นภาพพระพุทธเจ้าผจญมาร ที่เขียนเป็นภาพพระพุทธเจ้า ประทับอยู่บนที่ประทับตรงกลาง และเป็นภาพ

มารบนช้างคิริเมขละพร้อมทั้งเสนามาร ยกเข้ามาผจญพระพุทธเจ้า ด้วยศัตราวุธเป็นอันมากด้านหนึ่ง และเป็นภาพแม่ธรณีบิดมวยผมน้ำท่วมพระยามารและเสนา ต้องจมน้ำพ่ายแพ้ไปอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพแสดงพระพุทธเจ้าผจญมารเป็นรูปธรรม

พระอาจารย์ได้แสดงโดยเป็นธรรมาธิษฐาน คือยกธรรมะขึ้นเป็นที่ตั้ง ว่าพระองค์ทรงผจญกิเลสมาร มารคือกิเลสในพระทัยของพระองค์เอง ด้วยพระบารมีทั้ง ๑๐ ที่ทรงได้บำเพ็ญมาแล้ว คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อฐิษฐานะ เมตตา อุเบกขา พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีเหล่านี้มา เป็นพระบารมีธรรมดา เป็นพระอุปบารมี คือบารมีที่มากยิ่งขึ้นจนใกล้จะสมบูรณ์ และปรมัตถบารมี พระบารมีที่สมบูรณ์ ทรงเสี่ยงพระบารมีทั้ง ๑๐ ที่ทรงบำเพ็ญมาอย่างสมบูรณ์นี้สู้กับกิเลสมารในพระทัย

ส่วนที่แสดงเป็นแม่ธรณีบิดมวยผมนั้น ก็แสดงโดยปุคลาธิษฐาน ยกบุคคลเป็นที่ตั้งเป็นรูปธรรมดังกล่าว แต่ก็มีนัยยะที่ท่านชี้แจงว่า พระพุทธเจ้าเมื่อทรงเป็นพระโพธิสัตว์นั้น ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีทั้ง ๑๐ นี้มานานนักหนา โดยเฉพาะข้อหนึ่งคือทานบารมีนั้น น้ำที่หลั่งลงจากพระเต้าทักษิโณทก ในขณะที่บริจาคทาน อันแสดงถึงการให้ เช่น เมื่อทรงเป็นพระเวสสันดรได้ประทานช้างแก่พราหมณ์ที่มาขอ ด้วยทรงหลั่งน้ำลงบนแผ่นดินแสดงว่าประทานให้ เพราะว่าช้างเป็นสัตว์ใหญ่โต จะยกให้ด้วยมือไม่ได้ ก็ต้องเทน้ำให้ คือแสดงว่าให้ด้วยการเทน้ำลงบนแผ่นดิน หรือแม้การให้ส่วนกุศลที่ไม่ใช่เป็นวัตถุ ก็มีธรรมเนียมเทน้ำลงเหมือนกัน

ดังที่เราทั้งหลายเมื่อบำเพ็ญกุศลแล้ว ก็กรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลดังที่ปฏิบัติกันอยู่ น้ำที่พระโพธิสัตว์เทลงบนแผ่นดินในการให้ทานนั้นมากมาย เพราะได้ทรงให้ทานมากับนับครั้งไม่ถ้วน ก็ตั้งเป็นข้อแสดงขึ้นว่า น้ำเหล่านั้นเองที่ตกลงบนแผ่นดิน ก็เหมือนตกลงบนมวยผมของแม่ธรณี ซึ่งหมายถึงแผ่นดิน เมื่อทรงเสี่ยงบารมี น้ำที่หลั่งลงบนแผ่นดิน เหมือนอย่างหลั่งลงบนมวยผมของแม่ธรณีนี้เอง จึงไหลมาท่วมมาร พร้อมทั้งเสนาให้พ่ายแพ้ไป ก็พึงอาศัยพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญมา ตั้งอยู่ในพระทัย จึงทรงชนะกิเลสมารทั้งหมด ตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ตกคืออัสดง


............................................................



จาก Blog ของคุณ ใจพรานธรรม
38  สุขใจในธรรม / ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล / นางสุปปวาสา โกลิยธิดา เอตทัคคะในทางผู้ถวายของมีรสประณีต เมื่อ: 23 เมษายน 2557 15:09:26
นางสุปปวาสา โกลิยธิดา
เอตทัคคะในทางผู้ถวายของมีรสประณีต




พระนางสุปปวาสาอุบาสิกาผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดาให้เป็นยอดของอุบาสิกาทั้งหลายผู้ถวายของมีรสประณีต ก็โดยเหตุ ๒ ประการ คือโดยเป็นผู้ยิ่งด้วยคุณ เพราะท่านแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นอย่างชัดเจนในคุณข้อนี้ของท่าน ไม่เพียงเนื่องจากเหตุข้อนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการแต่งตั้งโดยเหตุที่ท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปนี้


๐ ตั้งความปรารถนาไว้ในอดีต

ดังได้สดับมา พระนางสุปปวาสา โกลิยธิดานั้น ครั้งพระพุทธเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ นางบังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี กำลังฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสิกาผู้หนึ่ง ไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้ถวายของมีรสประณีต จึงกระทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป แล้วปรารถนาตำแหน่งนั้นบ้าง ครั้นสิ้นชีวิตลง นางเวียนว่ายอยู่ใน ภพภูมิเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัป


๐ บุรพกรรมเมื่อครั้งเกิดร่วมสมัยกับพระโพธิสัตว์และพระสีวลีเถระ

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงถือปฏิสนธิในพระอุทรแห่งพระมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตพระองค์นั้น ทรงเจริญวัยแล้ว ทรงศึกษาสรรพศิลปวิทยา ณ เมืองตักกสิลา ครั้นพระชนกเสด็จทิวงคต ก็ทรงครองราชสมบัติโดยธรรม

ท่านก็ได้จุติจากเทวโลก มาบังเกิดเป็นมเหสีของพระเจ้าพาราณสี ต่อมาพระเจ้าโกศลทรงกรีธากองพลใหญ่มายึดกรุงพาราณสี ทรงปลงพระชนม์พระเจ้าพาราณสีและได้สถาปนาพระอัครมเหสีของพระราชานั้นให้เป็นอัครมเหสีของพระองค์ ฝ่ายพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสี ในเวลาที่พระบิดาถูกปลงพระชนม์ ได้ทรงหนีออกทางประตูระบายน้ำ รวบรวมญาติมิตรและพวกพ้องของพระองค์ไว้เป็นอันเดียวกัน รวมกำลังโดยลำดับแล้วเสด็จมายังกรุงพาราณสี ตั้งค่ายใหญ่ไว้ในที่ไม่ไกล ทรงส่งพระราชสาสน์ถึงพระราชาองค์นั้นว่า จะคืนราชสมบัติหรือจะรบ

พระมารดาได้สดับสาสน์ของพระราชกุมารแล้ว จึงส่งพระราชสาสน์ลับแนะนำไปว่า จงอย่ามีการต่อสู้ จงตัดขาดการสัญจรทั่วทุกทิศ โดยการล้อมกรุงพาราณสีไว้ พวกคนในกรุงก็จะพากันลำบากเพราะหมด ไม้ น้ำและอาหาร และจะจับพระราชามาถวายเอง พระราชกุมารได้สดับสาสน์ของพระมารดาแล้ว จึงล้อมประตูใหญ่ทั้ง ๔ ด้านไว้ ๗ ปีแต่การณ์ก็มิได้เป็นอย่างที่ทรงดำริ เนื่องจากพวกคนในกรุงพากันออกทางประตูเล็ก นำเอาไม้และน้ำเป็นต้น มาทำกิจทุกอย่าง

ครั้นพระมารดาของพระราชกุมารทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว จึงส่งพระราชสาสน์ลับถึงพระโอรส ตำหนิพระโอรสว่า ลูกเราโง่เขลาไม่รู้อุบาย จงปิดประตูน้อยล้อมกรุงไว้ พระราชกุมารทรงสดับพระราชสาสน์ของพระมารดา จึงได้ทรงกระทำอย่างนั้นถึง ๗ วัน ชาวพระนครเมื่อออกไปข้างนอกไม่ได้ วันที่ ๗ จึงได้เอาพระเศียรของพระราชานั้นไปมอบแต่พระราชกุมาร พระราชกุมารได้เสด็จเข้ากรุงยึดราชสมบัติ

พระราชกุมารนั้นได้กระทำกรรมนี้แล้ว ในกาลที่สุดแห่งอายุ ไปบังเกิดในอเวจี หมกไหม้อยู่ในนรกตราบเท่ามหาปฐพีนี้หนาขึ้นได้ประมาณโยชน์หนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ มาถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสุปปวาสา พระองค์จึงอยู่ในโลหิตกุมภี กล่าวคือพระครรภ์ของมารดา ๗ ปี และเพราะล้อมกรุงไว้ถึง ๗ วันโดยเด็ดขาด จึงถึงความเป็นผู้หลงครรภ์ถึง ๗ วัน ตามเรื่องที่จะได้กล่าวต่อไป


๐ กำเนิดเป็นพระนางสุปปวาสในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า

ในพุทธุปบาทกาลนี้บังเกิดในสกุลกษัตริย์ พระนครโกลิยะ พระประยูรญาติจึงขนานพระนามพระนางว่า สุปปวาสา ทรงเจริญวัยแล้ว อภิเษกกับศากยกุมารพระองค์หนึ่ง เมื่อได้สดับธรรมกถาของพระศาสดาในการเข้าเฝ้าครั้งแรกเท่านั้น ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล


๐ พระพุทธองค์แสดงธรรมโปรดพระนางสุปปวาสา

วันหนึ่ง พระนางถวายโภชนะอันประณีตมีรสเลิศต่างๆ แก่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข พระศาสดาเสวยเสร็จแล้ว เมื่อทรงกระทำอนุโมทนา ทรงแสดงธรรมนี้ แก่พระนางสุปปวาสาว่า ดูก่อนสุปปวาสา อริยสาวิกาผู้ถวายโภชนะ ชื่อว่า ให้ฐานะทั้ง ๕ แก่พวกปฏิคาหก คือ ให้อายุ ให้วรรณะ ให้สุข ให้พละ ให้ปฏิภาณ ก็แลผู้ให้อายุ ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งอายุ ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ฯลฯ ผู้ให้ปฏิภาณ ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งปฏิภาณ ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์


๐ กำเนิดพระสีวลีราชกุมาร

ต่อมาพระนางก็ทรงพระครรภ์ พระสีวลีราชกุมาร ด้วยกุศลกรรมแห่งการที่พระกุมารผู้อยู่ในพระครรภ์ถวายมหาทานในสมัยแห่งองค์พระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วตั้งความปรารถนาว่าขอเป็นผู้เลิศด้วยลาภ และอานิสงส์ที่ถวายน้ำอ้อยและนมส้มมีค่า ๑,๐๐๐ กหาปณะพร้อมชาวเมืองในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ดังนั้นนับแต่วันที่ท่านถือปฏิสนธิ ก็มีคนถือเอาเครื่องบรรณาการมาให้พระนางสุปปวาสา วันละร้อยเล่มเกวียน ทั้งในเวลาเย็นและในเวลาเช้า

ครั้งนั้น คนทั้งหลายด้วยความปรารถนาจะลองบุญพระกุมารนั้น จึงให้นางเอามือจับกระเช้าพืชพืชแต่ละเมล็ด ผลิตผลออกมาเป็นพืชตั้งร้อยกำ พันกำ พืชที่หว่านลงไปในที่นาแต่ละกรีส (หน่วยวัดที่นาในสมัยพุทธกาล) ก็เกิดผลประมาณ ๕๐ เล่มเกวียนบ้าง ๖๐ เล่มเกวียนบ้าง แม้ในเวลาขนข้าวใส่ยุ้ง คนทั้งหลายก็ให้นางเอามือจับประตูยุ้ง ด้วยบุญของราชธิดาเมื่อมีคนมารับของไป ของที่พร่องไปนั้นก็กลับเต็มเหมือนเดิม เมื่อคนทั้งหลายพูดว่า บุญของราชธิดา แล้วให้ของแก่ใครๆ จากภาชนภัตรที่เต็มบริบูรณ์ ภัตรย่อมไม่สิ้นไป จนกว่าจะยกของพ้นจากที่ตั้ง

ด้วยผลกรรมของพระนาง ที่ได้ส่งสาส์นลับไปแนะนำพระราชโอรส ร่วมกับวิบากกรรมของพระโอรสในอดีตที่ได้ล้อมกรุงพาราณสีไว้เป็นเวลาถึง ๗ ปี ทำให้เวลาล่วงไปถึง ๗ ปีก็ยังไม่มีพระประสูติกาล

ครั้นเมื่อครบกำหนด ๗ ปีแล้ว ด้วยวิบากกรรมร่วมกันของพระนาง กับ พระโอรสที่ได้ปิดล้อมประตูเล็กของกรุงพาราณสีไว้เป็นเวลา ๗ วัน ทำให้ชาวเมืองไม่สามารถออกจากเมืองมาหาอาหารและสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ได้รับความลำบากมาก ทำให้พระนางเสวยทุกข์หนักตลอด ๗ วัน

พระนางปรารภกับพระสวามีปรารถนาจะถวายทานก่อนที่จะตาย จึงส่งพระสวามีไปเฝ้าพระศาสดาเพื่อไปกราบทูลเรื่องนี้ แล้วนิมนต์พระบรมศาสดา และถ้าพระบรมศาสดาตรัสคำใด ขอให้ตั้งใจจดจำคำนั้นให้ดีแล้วกลับมาบอกพระนาง พระสวามีจึงเดินทางไปแล้วกราบทูลข่าวแด่พระพุทธองค์ พระบรมศาสดาทรงตรัสว่า พระนางสุปปวาสาโกลิยธิดาจงมี ความสุข จงมีความสบาย ไม่มีโรค จงคลอดบุตรที่หาโรคมิได้เถิด พระสวามีได้ยินดังนั้นจึงถวายบังคมพระศาสดา ทรงมุ่งหน้าเสด็จกลับพระราชนิเวศน์

ในเวลาเมื่อพระบรมสุคตตรัสเสร็จ พระกุมารก็คลอดจากพระครรภ์ของพระนางสุปปวาสาอย่างสะดวก เหล่าพระญาติและบริวารที่นั่งล้อมอยู่เริ่มหัวเราะ ทั้งที่หน้านองด้วยน้ำตา มหาชนยินดีแล้ว ร่าเริงแล้ว ได้ไปกราบทูลข่าวที่น่ายินดีแด่พระสวามีที่กำลังเดินทางกลับ พระราชาทรงเห็นอาการของชนเหล่านั้นทรงดำริว่า พระดำรัสที่พระทศพลตรัสเห็นจะเป็นผลแล้ว พระองค์จึงกราบทูลข่าวของพระทศพลนั้นแด่พระราชธิดา พระราชธิดาตรัสให้พระสวามีไปนิมนต์พระทศพล ตลอด ๗ วัน พระสวามีทรงกระทำดังนั้นและได้มีการถวายทานแด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานตลอด ๗ วัน การประสูติของทารก ได้ดับจิตที่เร่าร้อนของพระประยูรญาติทั้งหมด เพราะฉะนั้น พระประยูรญาติจึงเฉลิมพระนามของกุมารนั้นว่า “สีวลีทารก”


๐ พระสีวลีบวชเมื่อเกิดได้ ๗ วัน

ตั้งแต่เวลาที่ได้เกิดมาแล้ว ทารกนั้นได้เป็นผู้แข็งแรง อดทนได้ในการงานทั้งปวง เพราะค่าที่อยู่ในครรภ์มานานถึง ๗ ปี ครั้นถึงวันที่ ๗ พระนางสุปปวาสาตกแต่งพระสีวลีกุมารผู้โอรส ถวายบังคมพระศาสดา และพระภิกษุสงฆ์ เมื่อพระกุมารถูกนำเข้าไปสักการะพระสารีบุตรเถระเจ้านั้น พระเถระเจ้าได้กระทำปฏิสันถารกับเธอว่า สีวลี เธอยังจะพอทนได้หรือ ? สีวลีกุมาร ได้ตรัสตอบพระเถระเจ้าว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ กระผมจะมีความสุขที่ไหนได้เล่า กระผมนั้นต้องอยู่ในโลหกุมภีถึง ๗ ปี

พระเถระได้กล่าวกะสีวลีทารกนั้นอย่างนี้ว่า ก็ถ้าเธอได้รับความทุกข์ถึงขนาดนั้นแล้ว บวชเสียไม่สมควรหรือ สีวลีตอบว่าถ้าบวชได้ก็จะบวช พระนางสุปปวาสาเห็นทารกนั้นพูดอยู่กับพระเถระ ก็คิดว่าบุตรของเราพูดอะไรหนอกับพระธรรมเสนาบดี จึงเข้าไปหาพระเถระถามว่า บุตรของดิฉันพูดอะไรกับพระคุณเจ้า เจ้าคะ พระเถระกล่าวว่า บุตรของท่านพูดถึงความทุกข์ที่อยู่ในครรภ์ที่ตนได้รับ แล้วกล่าวว่า ถ้าท่านอนุญาต ก็จะบวช

พระนางสุปปาวาสาตรัสว่า ดีละเจ้าข้า โปรดให้เขาบรรพชาเถิด พระเถระนำทารกนั้นไปวิหาร ให้ ตจปัญจกกัมมัฎฐาน (กรรมฐาน ๕ กอง คือ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ) และได้กล่าวว่า สีวลี เราไม่จำต้องให้โอวาทดอก เธอจงพิจารณาทุกข์ ที่เธอเสวยมาถึง ๗ ปีนั่นแหละ ในขณะที่โกนผมปอยแรก พระสีวลีก็บรรลุโสดาปัตติผล และในขณะโกนปอยที่ที่ ๒ ก็บรรลุสกทาคามิผล และในขณะโกนผมปอยที่ ๓ ก็บรรลุอนาคามิผล และก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมกันกับที่โกนผมหมด

ส่วนอาจารย์บางพวก กล่าวถึงการบรรลุพระอรหัตของพระเถระนี้ไว้ดังนี้ว่า เมื่อพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ให้โอวาทโดยนัยดังกล่าวแล้วข้างต้น เมื่อสีวลีกุมารกล่าวว่า กระผมจักรู้กิจกรรมที่กระผมสามารถจักกระทำได้ (ด้วยตนเอง) ดังนี้ แล้วจึงบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน เห็นกุฏิหลังหนึ่งว่าง (สงบสงัด) จึงเข้าไปสู่กุฏินั้นในวันนั้นแหละ ระลึกถึงทุกข์ที่ตนเสวยแล้วในท้องมารดาตลอด ๗ ปี แล้วพิจารณาทุกข์นั้น ในอดีตและอนาคต โดยทำนองนั้นแหละอยู่ ภพทั้ง ๓ ก็ปรากฏว่า เป็นเสมือนไฟติดทั่วแล้ว สีวลีสามเณรหยั่งลงสู่วิปัสสนาวิถี เพราะญาณถึงความแก่รอบ ทำอาสวะแม้ทั้งปวงให้สิ้นไป ตามลำดับมรรค บรรลุพระอรหัตแล้ว ในขณะนั้นเอง ส่วนพระเถระก็เป็นผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ได้อภิญญา ๖


๐ ทรงแต่งตั้งอุบาสิกาเป็นเอตทัคคะผู้ถวายของมีรสประณีต

พระนางสุปวาสานั้น เป็นอัครอุปัฏฐายิกาของพระผู้มีพระภาคเจ้า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าของเคี้ยวของบริโภคหรือเภสัช อันสมควรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่มีสตรีอื่นๆ ที่พึงจัดแจงไว้ในนั้น สิ่งทั้งหมดนั้นพระนางใช้ปัญญาของตนเท่านั้นจัดแจง แล้วจักน้อมเข้าไปถวายโดยเคารพ และนางได้ถวายสังฆภัตและปาฏิปุคคลิกภัต ๘๐๐ ที่ทุกๆ วัน ผู้ใดผู้หนึ่งไม่ว่าจะเป็นภิกษุหรือภิกษุณี เข้าไปบิณฑบาตยังตระกูลนั้นมิได้มีมือเปล่าไป พระนางมีการบริจาคอย่างเด็ดขาด มีมือสะอาด ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในทานและการจำแนกทาน ด้วยประการฉะนี้

ภายหลัง พระศาสดาประทับนั่ง ณ พระเชตวันวิหาร เมื่อทรงสถาปนา พวกอุบาสิกาไว้ในตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับ จึงทรงสถาปนาพระนางสุปปวาสา อุบาสิกาไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้ถวายของมีรสประณีต แล



.............................................................

คัดลอกมาจาก ::
dharma-gateway.com
39  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ห้องสมุด / 10 เรื่องน่ารู้ของกาลิเลโอ เมื่อ: 23 เมษายน 2557 15:06:30
10 เรื่องน่ารู้ของกาลิเลโอ




1. กาลิเลโอ กาลิเลอี (GALILEO GALILEI) เป็นนักฟิสิกส์ นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักปรัชญาชาวทัสกันหรือชาวอิตาลี ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ ผลงานของกาลิเลโอมีมากมาย

2. เขาเกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1564 ที่เมืองปิซา ประเทศอิตาลี เป็นบุตรคนโตในจำนวนบุตร 6 คนของวินเชนโซ กาลิเลอี นักดนตรีลูทผู้มีชื่อเสียง มารดาชื่อ จูเลีย อัมมันนาตี เมื่อกาลิเลโออายุได้ 8 ขวบ ครอบครัวได้ย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองฟลอเรนซ์ แต่กาลิเลโอต้องพำนักอยู่กับจาโกโป บอร์กีนิ เป็นเวลาสองปี

3. แต่เขากลับมีลูกนอกสมรส 3 คนกับมารินา แกมบา เป็นลูกสาว 2 คนคือ เวอร์จิเนีย (เกิด ค.ศ. 1600) กับลิเวีย (เกิด ค.ศ. 1601) และลูกชาย 1 คนคือ วินเชนโซ (เกิด ค.ศ. 1606) เนื่องจากลูกสาวทั้งสองเป็นลูกนอกสมรส จึงไม่สามารถแต่งงานกับใครได้ ทางเลือกเดียวที่ดีสำหรับพวกเธอคือหนทางแห่งศาสนา เด็กหญิงทั้งสองถูกส่งตัวไปยังคอนแวนต์ที่ซานมัตตีโอ ในเมืองอาร์เชตรี และพำนักอยู่ที่นั่นจวบจนตลอดชีวิต

4. กาลิเลโอได้รับขนานนามว่าเป็น "บิดาแห่งฟิสิกส์สมัยใหม่" "บิดาแห่งวิทยาศาสตร์" และ "บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ยุคใหม่"

5. เขาเป็นคนเริ่มใช้กล้องโทรทรรศน์หักเหแสงกลุ่มแรก ๆ ในยุคนั้น โดยใช้ในการสังเกตการณ์ดวงดาว ดาวเคราะห์ต่าง ๆ และดวงจันทร์ คำว่า กล้องโทรทรรศน์ (telescope) บัญญัติขึ้นโดยนักคณิตศาสตร์ชาวกรีกชื่อ จิโอวันนิ เดอมิซิอานิ

6. งานที่โดดเด่นเช่นการพัฒนาเทคนิคของกล้องโทรทรรศน์และผลสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ที่สำคัญจากกล้องโทรทรรศน์ที่พัฒนามากขึ้น

7. กาลิเลโอได้สร้างเทอร์โมมิเตอร์ขึ้นโดยอาศัยการขยายและหดตัวของอากาศในท่อเพื่อขับให้น้ำเคลื่อนที่ไปในท่อขนาดเล็กที่ต่อกันไว้ ระหว่างปี ค.ศ. 1595-1598 กาลิเลโอได้ประดิษฐ์และพัฒนาเข็มทิศภูมิศาสตร์และเข็มทิศสำหรับการทหารขึ้นซึ่งเหมาะสำหรับใช้ในการเล็งปืนและสำหรับการสำรวจ การประดิษฐ์นี้พัฒนาขึ้นจากเครื่องมือวัดดั้งเดิมของ นิคโคโล ทาร์ทาเกลีย (Niccolò Tartaglia) และ กุยโดบัลโด เดล มอนเต (Guidobaldo del Monte) เข็มทิศที่ใช้กับปืนช่วยให้สามารถเล็งทิศทางได้แม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยสามารถคำนวณปริมาณดินปืนสำหรับระเบิดที่มีวัสดุและขนาดแตกต่างกัน ส่วนเครื่องมืดวัดในทางภูมิศาสตร์ช่วยในการคำนวณงานก่อสร้างพื้นที่หลายเหลี่ยมแบบใดก็ได้รวมถึงพื้นที่เสี้ยวของวงกลม

8. ปี ค.ศ. 1610 กาลิเลโอเผยแพร่งานค้นคว้าของเขาซึ่งเป็นผลสังเกตการณ์ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี ด้วยผลสังเกตการณ์นี้เขาเสนอแนวคิดว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล เป็นการสนับสนุนแนวคิดของโคเปอร์นิคัส ซึ่งขัดแย้งกับแนวคิดดั้งเดิมของทอเลมีและอริสโตเติลที่ว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ปีถัดมากาลิเลโอเดินทางไปยังโรม เพื่อสาธิตกล้องโทรทรรศน์ของเขาให้แก่เหล่านักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์ที่สนใจ เพื่อให้พวกเขาได้เห็นดวงจันทร์ทั้งสี่ดวงของดาวพฤหัสบดีด้วยตาของตัวเอง ที่กรุงโรม เขาได้เข้าเป็นสมาชิกของอะคาเดเมีย ดลินเซีย (ลินเซียนอะคาเดมี)

9. ปี ค.ศ. 1612 เกิดการต่อต้านแนวคิดดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล ปี ค.ศ. 1614 คุณพ่อโทมาโซ คัคชินิ ประกาศขณะขึ้นเทศน์ในโบสถ์ซานตามาเรียโนเวลลา กล่าวประณามแนวคิดของกาลิเลโอที่หาว่าโลกเคลื่อนที่ ว่าเขาเป็นบุคคลอันตรายและอาจเป็นพวกนอกรีต กาลิเลโอเดินทางไปยังโรมเพื่อต่อสู้ข้อกล่าวหา แต่ในปี ค.ศ. 1616 พระคาร์ดินัล โรแบร์โต เบลลาร์มิโน ได้มอบเอกสารสั่งห้ามกับกาลิเลโอเป็นการส่วนตัว มิให้เขาไปเกี่ยวข้องหรือสอนหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีดาราศาสตร์ของโคเปอร์นิคัสอีก จากเอกสารการค้นคว้าและทดลองของเขา ทำให้เขาถูกตัดสินว่าต้องสงสัยร้ายแรงในการเป็นพวกนอกรีต กาลิเลโอถูกควบคุมตัวอย่างเข้มงวด นับแต่ปี ค.ศ. 1634 เป็นต้นไป เขาต้องอยู่แต่ในบ้านชนบทที่อาร์เชตรี นอกเมืองฟลอเรนซ์

10. วันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1992 สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 ทรงแสดงความเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในคดีกาลิเลโอ และทรงยอมรับอย่างเป็นทางการว่าโลกมิได้ติดแน่นตรึงอยู่กับที่ ตามผลที่ได้จากการศึกษาของ Pontifical Council for Culture เดือนมีนาคม ค.ศ. 2008 ทางสำนักวาติกันได้เสนอการกู้คืนชื่อเสียงของกาลิเลโอโดยสร้างอนุสาวรีย์ของเขาเอาไว้ที่กำแพงด้านนอกของวาติกัน เดือนธันวาคมปีเดียวกัน ในกิจกรรมการเฉลิมฉลองครบรอบ 400 ปีการสร้างกล้องโทรทรรศน์ของกาลิเลโอ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้ทรงเอ่ยยกย่องคุณูปการของกาลิเลโอที่มีต่อวงการดาราศาสตร์




40  วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ / ไขตำนาน - ประวัติศาสตร์ - การค้นพบ อารยธรรม / ชาวบ้านฮือฮาขุดพบเศียรพระวัดเก่า สมัยอยุธยา 300 กว่าปี ที่อ่างทอง เมื่อ: 22 เมษายน 2557 15:44:32
ชาวบ้านฮือฮาขุดพบเศียรพระวัดเก่า สมัยอยุธยา 300 กว่าปี ที่อ่างทอง



เศียรพระสมัยอยุธยาที่ขุดพบได้มีอายุกว่า 300 ปี

ฮือฮา ขุดพบ"เศียรพระ"วัดเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยา อายุกว่า 300 ปี ที่ ต.หัวไผ่ จ.อ่างทอง ลักษณะเป็นหินทราย ชาวบ้านรีบนำฝาก วิหารหลวงพ่อกลิ่น เจ้าอาวาสวัดกลาง เพื่อเก็บไว้ในที่ปลอดภัย

เมื่อวันที่ 20 เม.ย.57 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ที่ ม.4 ตำบลหัวไผ่ อ.เมือง จ.อ่างทอง ได้มีประชาชนพบเศียรพระพุทธรูปเก่าแก่สมัยอยุธยา จึงรีบไปตรวจสอบ พบกับนายยงค์ พรหมพงษ์ อายุ 80 ปี เผยว่า เมื่อก่อนที่ดินตรงที่พบเศียรพระนี้ได้เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 200-300 ปี ชื่อว่า "วัดกะเชา" ชาวมอญได้เป็นผู้สร้างไว้ และตนก็ได้อยู่อาศัยแถวหน้าวัดนี้มาตั้งแต่เด็ก และตอนตายังเด็กๆ ได้มาเลี้ยงวัว-ควายแถววัดนี้ ซึ่งเป็นวัดร้าง และยังนำพระเก่าๆ ที่ถูกปล่อยวางทิ้งไว้ มาเรียงกันเป็นแถวๆ เล่นตามประสาเด็ก ประมาณกว่า 30 องค์ ตรงที่นำพระมาเรียงกันนั้น จะมีเจดีย์เก่าและวิหารเก่าอยู่ มีต้นโพธิ์ใหญ่ปกคลุมเจดีย์ ต่อมาต้นโพธิ์ตาย จอมปลวกก็มาทำรังคลุมเจดีย์ จนกระทั่ง พ.ศ. 2517-2522 วัดโดนรื้อ แล้วปล่อยให้รกร้าง ต้นไม้ใบหญ้าขึ้น



นายยงค์ พรหมพงษ์ ได้ชี้จุดที่พบเศียรพระ

นายยงค์ กล่าวด้วยว่า กระทั่งก่อนหน้านี้ได้มีหน่วยงาน อบต. เข้ามาปรับปรุงพื้นที่บริเวณนี้ เพื่อจะทำเป็นแหล่งวัฒนธรรม แต่ช่วงกำลังปรับปรุงพื้นที่ได้มีการนำเอาดินเข้ามาถมทับที่รอยเดิมของวัดเก่า ปรากฏว่าชาวบ้านได้นำเลื่อยไฟฟ้าไปตัดต้นไม้ซึ่งมีขนาดใหญ่ บริเวณที่เป็นเจดีย์เก่า แต่ถูกจอมปลวกทำรังคลุมไว้ ปรากฏว่าเหลือบไปเห็นเศียรพระวางอยู่ใกล้ๆ กับเจดีย์ ขณะนั้นเองโซ่ของเลื่อยไฟฟ้าเกิดขาดขึ้นมาทันที ชาวบ้านถึงกับตกใจ ไม่กล้าที่จะทำอะไรในพื้นที่นั้นต่อ จึงได้ปรึกษากัน และนำเศียรพระดังกล่าวไปไว้ที่วัดกลาง โดยเศียรพระนี้มีขนาดกว้าง 8 นิ้ว สูง 20 นิ้ว และลักษณะเป็นหินทราย และได้นำไปฝากกับเจ้าอาวาสวัดกลาง เพื่อเก็บไว้ในที่ปลอดภัย และได้เก็บไว้ที่วิหารหลวงพ่อกลิ่น



ชาวบ้านช่วยกันนำเศียรพระไปเก็บไว้ที่วัดกลาง

นายชูชาติ ผดุงชัย รองปลัด อบต.หัวไผ่ เผยว่า ขณะนี้ทาง อบต.หัวไผ่ ก็จะดำเนินการดูแลเศียรพระเก็บไว้ในที่ปลอดภัย อีกทั้งอนาคตข้างหน้า อาจนำเศียรพระที่พบกลับไปไว้ที่เดิม เพื่อให้ชาวบ้านได้กราบไหว้บูชา.

ข่าวจากไทยรัฐออนไลน์
หน้า:  1 [2] 3 4 ... 6
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.261 วินาที กับ 26 คำสั่ง

Google visited last this page 28 กุมภาพันธ์ 2567 02:35:17