[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
11 พฤศจิกายน 2567 02:20:15 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สัตว์อาถรรพ์ กับความเชื่อปรัมปรา  (อ่าน 2436 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2457


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Chrome 51.0.2704.103 Chrome 51.0.2704.103


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2559 13:23:20 »

.



สัตว์อาถรรพ์ กับความเชื่อปรัมปรา

คนแต่ก่อนท่านจะทำการงานหรือกิจกรรมใดๆ ก็เก็บข้อมูลไว้แล้วคอยสังเกตอย่างรอบคอบก่อนที่จะลงมือทุกสิ่งอย่างโดยเฉพาะงานใหญ่ที่เกี่ยวกับความเป็นความตายหรือความผาสุกแห่งแผ่นดิน เช่น การยกทัพไปจับศึกต่างๆ ซึ่งลางและฤกษ์ทั้งหลายก็มีที่มาจากสิ่งนี้

แม้ในเรื่องสัตว์และคนใกล้ตัวต่างๆ ก็มีการทายทักเอาไว้ไม่เว้น ดังผมไปค้นดงหนังสือเก่าจนเจอเรื่องสิ่งต้องห้ามที่คนโบราณท่านเรียกว่า “อุบาทว์ 9 อย่าง” ซึ่งผูกเป็นกลอนไว้ว่า

    “จงเว้นอุบาทว์เหล่าทั้งเก้าสิ่ง หนึ่งมหิงส์ เมียสอง อย่าปองหา
    สุนัข 4 วิฬาร 5 อีกบุตรา 6 คน มลทินมี
    สุนัข 7 8 ม้า คชา 9 แต่ล้วนเหล่าแรงร้าย เร่งหน่ายหนี
    จะถอยลดยศศักดิ์ชักอัปรีย์ เป็นราคีดังกล่าวเรื่องราวมา”

ฟังแล้วก็อย่าไปปล่อยหมาแมวที่เลี้ยงไว้ให้เหลือครบตามโบราณว่าหรือพาลูกหลานไปปล่อยทีเดียวนะครับ เพราะนี่เป็นความเชื่อแต่เก่าก่อนที่รู้ไว้ประดับสติปัญญาดีแต่ไม่ได้การันตีผลของมัน ซึ่งสิ่งที่ควรเชื่อมากกว่าคือคำแนะนำที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ด้วยเมตตาว่า “สัตว์ทั้งหลายประพฤติชอบในเวลาใด เวลานั้นชื่อว่าเป็นฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดีและบูชาดี...”

นี่เองคือ “ฤกษ์พระพุทธเจ้า” ที่ใครเชื่อก็เจริญ

เรื่องความเชื่อในสัตว์บางประเภทว่าให้คุณหรือโทษได้นั้นทางฝั่งตะวันตกก็มีอยู่ไม่น้อย ฝั่งสยามเราก็มีอยู่มาก เรียกได้มีอยู่คู่ประวัติศาสตร์มาช้านาน โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสัตว์ต่างๆ เช่นสัตว์ต่อไปนี้

นกแสก เป็นนกที่หน้าตาน่าเอ็นดูถ้าไม่จู่ๆ หันหัวขวับมา 180 องศาพร้อมด้วยตาโตๆ โดยนกตระกูลนี้เป็นญาติกับนกฮูกกับนกเค้าแมว ซึ่งนกที่มีมูฟเม้นท์คอได้ราวกับผีญี่ปุ่นนี้มีสุ้มเสียงที่ไม่ธรรมดาโดยเฉพาะ “นกแสก” ที่ร้องขึ้นมายามค่ำคืนเหนือบ้านใครก็จะพากันเย็นจับขั้วหัวใจด้วยเชื่อว่า มาบอกลางมรณะ นั่นเป็นที่มาของชื่อ “นกผี”

ในเรื่องของการดูนิมิตจากนกนี้คนโบราณท่านดูต่างจากเราโดยมีศาสตร์เฉพาะด้านโหราเรียกว่า “สกุณฤกษ์” ที่ให้ดูสัตว์ปีกบนท้องฟ้าก่อนที่จะทำการใดๆ เช่นออกจากบ้านหรือยกทัพไปสัประยุทธ์กันในทางปราชญ์ท่านแบ่ง “นกฝ่ายขวา” กับ “นกฝ่ายซ้าย” (ฟังดูยังกับนกการเมือง) โดยนกฝ่ายขวาคือนกหากินกลางวัน ส่วนสกุณาฝ่ายซ้ายคือชนิดที่หากินกลางคืน เลยโดนคนจับเปรียบว่าเป็นนกอัปมงคล คนสมัยก่อนท่านให้รายละเอียดไว้ว่า “ถ้าเห็นพญาแร้งบินมา ดุจพระยามาร ถ้าเห็นนกกระเรียนมา ดุจมนตรีหรือเสนาบดีมา ถ้าแลเห็นนกกาบินมา ดุจอำมาตย์ผู้ใหญ่มา ถ้าแลเห็นนกทั้งหลายบินมา ดุจสมณะและพราหมณ์มา” ซึ่งฟังดูแล้วก็ไม่ได้แย่ทั้งร้อย เห็นไหมครับว่าความเชื่อเองก็ยังแย้งกันแม้ในตำราเก่าแก่เหมือนกัน ดังนั้นก็ขอให้ใช้เหตุผลเถิดครับเพราะนกประเภทเค้าแมว, นกแสก หรือแม้แต่แร้ง ซึ่งนกเหล่านี้มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศเป็นอย่างมาก แต่ก็แทบจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว

แมวดำ ความเชื่อไทยเราแต่ก่อนที่ว่าแมวดำเป็นดั่งลางร้ายบอกเหตุ เช่น ถ้ากำลังเดินทางแล้วแมวดำ “วิ่งตัดหน้า” ต้องหยุด ไม่ควรไปต่อด้วยเชื่อว่าถ้าไม่เลิกล้มการเดินทางก็จะเกิดหายนะขึ้นเป็นแน่แท้ ซึ่งข้อนี้ผู้ใหญ่แต่ก่อนท่านคงเตือนไว้เพราะการที่สัตว์วิ่งตัดหน้าก็อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ และเป็นการเตือนให้เราระมัดระวังในการเดินทางต่อไปข้างหน้ามากขึ้น

ความเชื่อเรื่องแมวดำของไทยไม่ได้ร้ายเสมอไปนะครับเพราะมีแมวดำชนิดที่เรียก “แมวโกญจา” ที่หน้าตาเป็นแมวดำปลอดทั้งตัว ขนสั้นเส้นเล็กละเอียดนุ่ม นัยน์ตาเหลือง หรือสีทองอ่อน ซึ่งบางคนรู้จักในชื่อพันธุ์ “บอมเบย์” ท่านก็ว่าเป็นแมวที่มี “คุณ” แก่ผู้เลี้ยงหนักหนา ผิดกับความเชื่อทางตะวันตกที่ว่าแมวดำเป็นสัตว์เลี้ยงของแม่มด

สำหรับมนุษย์ที่เข้าใจดีและมีเมตตาก็ย่อมรู้ว่าความโชคร้ายนั้นหาได้มาจากสัตว์ตาดำๆ ไม่ หากแต่มาจากความโหดร้ายที่คนเราเลือกที่จะทำเองต่างหาก มีอาณาจักรหนึ่งที่ไม่เกลียดกลัวแมวดำแต่กลับอ้าแขนรับด้วยซ้ำ (โชคดีของแมวดำ) เรื่องนี้มีข้อมูลจากองค์กรผู้ดูแลแมวนานาชาติ (International Cat Care) ว่าชาวไอยคุปต์ถือว่าแมวดำเป็น “สัตว์ศักดิ์สิทธิ์” ที่พึงกระทำบูชาด้วยเป็นตัวแทนของเทวีแบสเต็ทที่มีพระกายเป็นนางสิงห์ ซึ่งเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับ “แมวบ้าน” ที่เป็นดั่งตัวแทนของพลัง, การปกป้องอันตราย และความสง่างามเพริศพราย ซึ่งล้วนแต่เป็นมงคลกับผู้ดูแลแมวเป็นอย่างดี ความเชื่อนี้มีมายาวนานหลายพันปีเลยครับ

จิ้งจกทัก การที่จิ้งจกร้องทักผู้ใหญ่สมัยก่อนท่านว่าเป็น “ลางบอกเหตุ” ที่เชื่อว่ามีทั้งดีและร้าย ไม่ใช่ว่าทักแล้วต้องไม่ดีอย่างเดียว โดยขึ้นอยู่กับ “ตำแหน่ง” แห่งที่ของการร้องทักที่ว่านี้ด้วยดังที่โบราณว่า “ข้างหน้ามีชัยไปเถิด ข้างหลังห้ามไปไม่ดี ข้างซ้ายมีชัยไปเถิด ข้างขวาห้ามไปไม่ดี ข้างบนห้ามไป จิ้งจกไต่เท้าจะมีชัยไปเถิดดี” เรื่องนี้เป็นความเชื่อที่อาจมองเป็นความรอบคอบของคนสมัยก่อนท่านก็ได้ เพราะที่ไหนจิ้งจกเยอะที่นั่นอาจมีงูตามมาได้ ดังนั้นการที่มันร้องกันเซ็งแซ่ก็อาจเพราะเจองู ซึ่งสมัยก่อนที่ยังมีสุมทุมพุ่มไม้เยอะก็คงต้องระวังเวลาเดินออกจากบ้านไป เห็นไหมครับว่าจิ้งจกนี้ที่จริงเป็นสัตว์น่ารักเพราะช่วยเรากินแมลงไม่ให้มารบกวนในบ้านแล้วยังช่วย “ทัก” ตามที่ต่างๆ ฝึกสมองให้เราแก้เหงาได้อีก (แฮ่)

สมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์สุดท้ายแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คือสมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์นั้นทรงมีพระเมตตาสูง ประทานข้าวสุกในเครื่องฉันของท่านแบ่งจิ้มกับข้าวแล้วแปะผนังให้กับบรรดาจิ้งจกที่กุฏิ ดังนั้นท่านผู้อ่านก็ไม่ต้องกังวลจนเกินไปกับเสียงร้องของจิ้งจกตัวน้อยเลยนะครับ

ตุ๊กแก ความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติเกี่ยวกับตุ๊กแกอย่างหนึ่งคือสัตว์ชนิดนี้เป็นที่สิงของดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่ล่วงลับแล้วท่านมาเตือนด้วยการส่งเสียงร้องซึ่งมีความหมายในรูปแบบต่างๆ บางตำราก็ว่าให้ดูจำนวนครั้งที่ร้อง ถ้าร้อง 5 ทีไม่ดีนัก ส่วนร้อง 6 ถือว่าเจ้าของบ้านจะมีเรื่องเดือดร้อนอึดอัด ถ้าร้อง 7 ก็ยิ่งไม่ดีเพราะจะทำให้เสียทรัพย์ด้วย แต่หากตุ๊กแกร้องมากกว่านี้เช่น 8, 9 หรือ 10 ครั้งนั้นจะโชคดี มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต โบราณท่านว่าควรจะเลี้ยงไว้ (อ้าว... ปกติไม่เลี้ยงเขาก็เกาะตาโตอยู่ฝาบ้านอยู่แล้วนะฮะ) และถ้าพิเศษกว่านั้นคือถ้าร้อง 11 ครั้งนี่ถือว่าโชคดีหลายชั้นมากกับเจ้าของบ้านอาจพานพบเนื้อคู่ด้วย แต่ตำราท่านบอกถ้าร้องเบาๆ หรือน้อยกว่า 5 ครั้งก็ไม่ต้องเมื่อยหูนับก็ได้เพราะไม่มีความหมายนัก

อย่างไรก็ดีครับไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่เพราะโบราณท่านว่าไว้แต่การที่บ้านมีตุ๊กแกมาอาศัยอยู่ก็แสดงว่าบ้านของท่านน่าอยู่อาศัยครับ ใครที่ใจบุญมีเมตตาก็ย่อมทำให้เคหาสถ์นั้นเป็นที่ร่มเย็นเสมอ

แมงมุมตีอก เรื่องนี้เชื่อว่าหลายท่านไม่เคยได้ยิน เรื่องแมงมุมตีอกบอกลางร้ายนี้ตำราท่านว่าถ้าได้ยินเสียงแมงมุมตีอก “ผึงๆ” ผิดสังเกต (ผมก็เพิ่งรู้ว่าแมงมุมตีอกเป็นเสียงอย่างนี้) ท่านว่าจะเป็นเสียงที่ฟังแล้วสะท้านเยือกเย็นครับ จะเป็นลางร้าย ถ้าใครกำลังจะเดินทางควรต้องละเว้นหรือยกเลิกเด็กขาดเพราะอันตรายหรือหายนะถึงชีวิตจะมาเยือน ฟังแล้วก็ขนลุกนิดๆจิตตกหน่อยๆ นะครับ โบราณท่านได้แยกแยะผลของแมงมุมตีอกตามที่ต่างๆในบ้านไว้ด้วย เช่น แมงมุมตีอกในเรือนจะเกิดวิวาทพลัดพรากกัน ถ้าตีอกใต้ที่นอนจะตายหรือบาดเจ็บสาหัส หากตีข้างฝารอบๆ จะต้องระวังการเดินทางไกลอาจมีอุบัติเหตุ ส่วนถ้าตีอยู่ที่หัวนอนจะมีสิ่งชั่วร้ายมาทำให้โกรธเคือง สุดท้ายถ้าตีอกเบื้องทิศปัจฉิมซึ่งคือประจิมตะวันตกท่านว่าจะมีผู้ใส่ความ ข้าและเมียจะหนีหาย (บางคนอาจเข้าทางก้อด้าย...)




งูล่อลวงมนุษย์คู่แรกให้ลักลอบกินผลไม้ต้องห้าม

งู คนไทยเราก็มีความเชื่อเกี่ยวกับนิมิตอาถรรพณ์ของอสรพิษนี้อยู่พอสมควร ดังความเชื่อที่เป็นมงคล เช่น เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระราชสมภพนั้นได้ปรากฏเหตุการณ์เป็นอัศจรรย์ คือมีอสุนีบาตฟาดลงตรงเสาดั้งของห้องเรือนที่ท่านประสูติ แต่หามีผู้ใดเป็นอันตรายไม่ ครั้นเมื่อประสูติได้ 3 วันขณะนอนอยู่ในกระด้ง (สมัยก่อนใส่เด็กอ่อนในกระด้ง) ก็มีงูเหลือมใหญ่เข้ามานอนขดเป็นวงล้อมรอบตัวทารกเป็นทักษิณาวัตร

ส่วนในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็มีบทกลอนพระราชนิพนธ์เมื่อครั้งเสด็จกลับจากประพาสยุโรปที่พระราชทานแด่เจ้าจอม ม.ร.ว. สดับ ลดาวัลย์ ซึ่งโคลงบทนี้เดิมบรรจุทำนองเป็นแขกมอญ 3 ชั้นแล้วต่อมาสุนทราภรณ์อัญเชิญแปลงเป็นเพลง “ทำนายฝัน” อันมีเนื้อเดิมว่า “คืนนั้นฉันฝันไปว่าชมสวน หอมลำดวนดอกแย้มแซมไสว เขาโน้มกิ่งชิงเก็บกำเริบใจ มีงูใหญ่เลื้อยกระหวัดรัดข้อมือ ฉันดิ้นร้องก้องหูจนรู้สึก วานช่วยนึกทำนายร้ายอยู่หรือ ไม่ร้ายลองต้องวุ่นดอกบุญลือ ฝันนี้ คือจะได้คู่สู่สมเอย” เป็นเรื่องงูแบบไทยๆที่ใช้เป็นนิมิตทำนายฝันถึงเนื้อคู่

ส่วนในข้างฝั่งตะวันตกนั้นอสรพิษถือเป็น “ผู้ร้าย” แต่ไหนแต่ไรมาด้วยถือว่าเป็นตัวแทนของสิ่งที่ซาตานส่งมาล่อลวงมนุษย์คู่แรกให้กระทำผิดบาปลักลอบกินผลไม้ต้องห้ามจนถูกลงโทษให้ตกสวรรค์ ส่วนอสรพิษร้ายผู้ก่อเรื่องถูก “สาป” ให้ต้องรับโทษอย่างที่สัตว์อื่นไม่เคยประสบนั่นคือ “ให้ต้องใช้ท้องเดินตลอดไปและให้ต้องอยู่กับพื้นกินฝุ่นคลีอยู่ตลอดชั่วกาลนาน (Genesis 3:14)” ส่วนข้างฝั่งชาติใกล้บ้านเราอย่างฟิลิปปินส์เชื่อว่าถ้าใครข้ามงูเข้าถือว่าเป็นโชคร้ายอย่างยิ่งด้วยถือว่างูนั้นเป็น “ปีศาจจำแลง” ซึ่งผมว่าการข้ามงูก็เสี่ยงต่ออันตรายอยู่ไม่น้อยแล้วนะครับ สำหรับงูผู้ตกเป็นจำเลยที่น่าสงสารนี้ยังมีข่าวดีให้ได้สบายใจอีกอย่างหนึ่งคือถ้าใครเจอมันในช่วงที่มีคนในบ้านเจ็บป่วย ชาวตากาล็อก เขาเชื่อว่ามันเป็นนิมิตดีว่าคนคนนั้นจะฟื้นคืนมาดีดังเดิมครับ

ผึ้งทำรัง เป็นหนึ่งในความเชื่อเรื่อง “สัตว์มาสู่” คือมีสัตว์เข้ามาหาที่บ้านนั้นว่าจะเป็นผลอย่างไร โดยเรื่องผึ้งนั้นตำราท่านว่าให้ดู “ทิศ” เป็นหลักจึงจะบอกคุณหรือโทษได้ครับ โดยท่านว่าถ้าผึ้งนั้นมาจับทางทิศบูรพา (ตะวันออก) จักเสียทรัพย์ อาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) ให้ระวังเพลิงไหม้ ทิศทักษิณ (ใต้) ตัวจะตาย หากเป็นทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้) ให้ระวังโจรภัย ส่วนถ้าทำรังในทิศปัจฉิม (ตะวันตก) จะได้ลาภ 2 เท้าเป็นนารี ถ้าพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) จะสุขสบาย หากอุดร (เหนือ) จะมีลาภ สุดท้ายคือทิศอีสานจะมีคนยกย่องนับถือมาก ทั้งหมดนี้ท่านว่าใช้กับสัตว์อื่นๆที่เข้าบ้านเราก็ได้ ไม่ว่าจะนกแสก, นกยางขาว หรือแม้แต่ปลวกก็ตาม (ถ้าปลวกขึ้นทิศไหนก็ไม่ค่อยดีมังครับ)

ซึ่งเรื่องสัตว์มาสู่บ้านนี้ผมว่าคนสมัยก่อนท่านคิดดีนะครับ ด้วยท่านมักว่าบ้านไหนที่มีต่อ, แตน หรือผึ้งเข้ามาทำรังนั้นเป็นเรื่องดีไม่ควรตีหรือไล่เสมอไป เพราะแท้จริงการไปรบกวนรังควานเขามากบ่อยๆ ก็อาจทำให้เขารู้สึกไม่สงบและออกมาทำร้ายคนได้ ดังนั้นท่านจึงแนะให้บ้านที่มีสัตว์ประเภทที่ว่ามาทำรังอยู่นั้นให้เสริมมงคลด้วยการทำบุญและนั่งปฏิบัติภาวนา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีกับผู้กระทำอยู่แล้ว

สิทธิการิยะท่านว่านานาเรื่องแห่งลางจากสัตว์นี้ถ้าใช้เหตุผลเข้าใจให้ถ่องแท้ก่อนจะดี ไม่มีเหตุใดที่จะต้องเชื่อไปทั้งหมด และไม่มีเรื่องใดที่ยืนยันได้ว่าจะต้องเป็นไปตามนั้นทั้งร้อย ดังนั้นจึงขอให้ท่านที่รักใช้ “กาลามสูตร” อันเป็นหลักการแห่งเหตุผลก่อนเชื่อไว้ให้จงหนัก หลายอย่างถ้าเชื่อแล้วลำบากตัวเรานักหรือเดือดร้อนแก่สัตว์ผู้ยากก็ละไว้

เพราะไม่มีสิ่งใดจะแก้อาถรรพณ์ได้ดีกว่าการทำดีกับชีวิตอื่นๆ ครับ.


โดย :นพ.กฤษดา ศิรามพุช
ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.501 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 17 ตุลาคม 2567 14:42:59