เลขาฯ กพฐ. สั่งการ ผอ.เขต ผอ.โรงเรียน ทบทวนวิธีสอนประวัติศาสตร์
<span class="submitted-by">Submitted on Sun, 2023-11-19 20:26</span><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>เลขาฯ กพฐ. สั่งการ ผอ.เขต ผอ.โรงเรียน ทบทวนวิธีสอนประวัติศาสตร์ ยินดี 4 กระทรวง MOU ช่วยปลูกฝังนักเรียนรักชาติ ภูมิใจประวัติศาสตร์ไทย ยึดมั่นสถาบันหลัก - คลอดแล้วปฎิทินรับนักเรียนปี 2567 ห้ามสอบแข่งขันด้านวิชาการเข้าระดับชั้นอนุบาลเด็ดขาด เข้า ม.1 ยืนยัน คำเดิมไม่ใช้คะแนน O-NET ส่วน ม.3 ขึ้น ม.4 ให้สิทธิ์นักเรียนโรงเรียนเดิมก่อน ลั่นห้ามเรียกรับเงินแลกเก้าอี้เด็ดขาด ย้ำชัดไม่ใช่แค่ส่วนกลางคอยดู ป.ป.ช. ก็ส่งทีมดูทุกฝีก้าว</p>
<p><img alt="" src="
https://www.obec.go.th/wp-content/uploads/2023/11/1700379842174-1536x1025.jpg" />
<span style="color:#f39c12;">ว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) </span></p>
<p>19 พ.ย. 2566
เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน รายงานว่าว่าที่ร้อยตรีธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา รักษาราชการแทน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า จากการที่ รัฐบาลให้ความสำคัญในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ของชาติ เป็นคนที่มีจิตสำนึกรักชาติ ภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชาติไทย และยึดมั่นสถาบันสำคัญของชาติ โดยมีการลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) “แนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศไทย สร้างจิตสำนึกความเป็นไทย” ระหว่าง 4 กระทรวงหลัก มี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (นางสาวศุภมาส อิศรภักดี) ร่วมลงนามที่กระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันศุกร์ที่ 17 พ.ย. 2566 ที่ผ่านมานั้น</p>
<p>สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในฐานะที่ดูแลเด็กและเยาวชนกว่า 6.5 ล้านคน ให้ความสำคัญกับการสร้างจิตสำนึกความเป็นไทย ภูมิใจในชาติและยึดมั่นสถาบันหลักอย่างมาก ได้กำหนดเป็นนโยบายและจุดเน้นของ สพฐ. ปีงบประมาณ 2567-2568 ซึ่งทันทีที่รัฐมนตรีทั้ง 4 กระทรวงได้ลงนาม MOU ช่วงเช้าวันที่ 17 พ.ย. 2566 สพฐ. พร้อมรับลูก สั่งการนโยบายแก่ผู้บริหาร สพฐ. ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ณ ที่ประชุมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 245 เขตพื้นที่ จาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ</p>
<p>สำหรับจุดเน้นและนโยบายของ สพฐ. ปีงบ 2567-68 นี้ สองข้อแรก เราให้ความสำคัญต่อการสร้างสำนึกความเป็นไทย ภาคภูมิใจในชาติและยึดมั่นสถาบันหลัก โดยข้อที่ 1 การปลูกฝังความรักในสถาบันหลักของชาติ ซึ่งทุกโรงเรียนทั่วประเทศมีกิจกรรมการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา เพื่อการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และการน้อมนำพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของในหลวงรัชกาลที่ 10 สู่การปฏิบัติ โดยเน้นให้นักเรียนได้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมที่เป็นวิถีชีวิตประจำวันในโรงเรียน และข้อที่ 2 การจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม และประชาธิปไตย ที่เน้นให้ผู้เรียนได้มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นพลเมืองคุณภาพ รู้จักรากเหง้าตัวตน ประวัติศาสตร์ชาติ ด้วยการใช้สื่อการสอนที่ทันสมัย เหมาะกับเด็กยุคใหม่ ซึ่งการที่รัฐบาลมีวิสัยทัศน์บูรณาการแนวทางปฏิบัติร่วมกัน ระหว่าง 4 กระทรวงดังกล่าว เป็นการช่วยลดภาระครู เพราะจะมีภาคีเครือข่ายจากกระทรวงต่างๆ เป็นแนวร่วม สนับสนุนองค์ความรู้ สื่อและแหล่งการเรียนรู้ ช่วยให้สามารถพัฒนาเด็กและเยาวชนได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น ซึ่งตนได้กำชับผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา พร้อมเปิดรับการทำงานร่วมกับองค์กรภาคส่วนต่างๆ เพื่อประโยชน์ที่จะเกิดกับนักเรียนเป็นสำคัญ</p>
<p>“มั่นใจว่าโรงเรียนทุกแห่งมีการเรียนการสอนที่ปลูกฝังความรักความภาคภูมิใจในชาติและยึดมั่นสถาบันสำคัญของชาติ ที่เป็นวิถีปฏิบัติของโรงเรียนอยู่แล้ว โดยเฉพาะรายวิชาประวัติศาสตร์ ที่ สพฐ. ได้ประกาศให้สถานศึกษาจัดรายวิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์ แยกออกมา 1 รายวิชาอย่างชัดเจน กำหนดให้ระดับประถมศึกษา ใช้เวลาเรียน 40 ชั่วโมงต่อปี (สัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง) ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 40 ชั่วโมงต่อปี และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รวม 3 ปี 80 ชั่วโมง ในการนี้ ได้มอบหมายรองเลขาธิการ กพฐ. (นางเกศทิพย์ ศุภวานิช) และทีมวิชาการพัฒนารูปแบบแนวทางการปลูกฝังจิตสำนึกรักชาติ และได้สั่งการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขต เป็นพี่เลี้ยงแก่โรงเรียน ดำเนินการทบทวนรูปแบบ วิธีการจัดการเรียนการสอนที่ทำอยู่ว่าเป็นอย่างไร ให้ใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อนักเรียนได้รู้จักรากเหง้า เข้าใจเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นและประเทศชาติในแง่มุมต่างๆ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ให้มีการฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ วิพากษ์ เชิงประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ท่องจำตามหนังสือ คลิปวิดีโอ หรือจำตามที่ครูบอกเล่า เพื่อนักเรียนจะได้เข้าใจและเห็นบทเรียนจากเรื่องราวในอดีต เชื่อมโยงความเป็นมาเป็นไปสู่สังคมปัจจุบัน เห็นแนวทางภูมิปัญญาที่เป็น Soft Power เห็นคุณค่าอดีตที่ต่อยอดสู่อนาคต ในมิติเศรษฐกิจ สังคม และหน้าที่พลเมืองได้” เลขาธิการ กพฐ. เน้นย้ำ</p>
<h2><span style="color:#3498db;">คลอดแล้วปฎิทินรับนักเรียนปี 2567</span></h2>
<p>
เพจสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์ รายงานเพิ่มเติมว่าว่าที่ร้อยตรีธนุ ได้ลงนามประกาศสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เรื่องนโยบายและแนวปฎิบัติการรับนักเรียน สังกัด สพฐ.ประจำปีการศึกษา 2567 ซึ่งมีแนวปฎิบัติประกอบด้วย การรับเด็กชั้นก่อนประถมศึกษาให้รับเด็ก 4-5 ปี ในเขตพื้นที่บริการเข้าเรียนชั้นอนุบาล 2 และ 3 ส่วนสถานศึกษาที่เคยรับเด็กอนุบาลอายุ 3 ปีบริบูรณ์ที่อนุญาตให้เปิดรับอยู่ก่อนแล้ว ให้รับเด็ก 3-5 ปี ในเขตพื้นที่บริการ เข้าเรียนชั้นอนุบาล 1 2 และ 3 ส่วนการรับเด็กชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ให้รับเด็กที่มีอายุย่างเข้าปีที่ 7 ในพื้นที่บริการเข้าเรียนทุกคน โดยห้ามมีการสอบวัดความสามารถทางวิชาการอย่างเด็ดขาด ขณะที่การรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จะไม่นำผลคะแนนทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) มาใช้ในการเข้าเรียนต่อ ม.1 และการรับนักเรียนชั้น ม.4 ให้นักเรียนที่จบชั้น ม.3 ได้มีสิทธิ์เรียนต่อโรงเรียนเดิมตามศักยภาพทุกคน </p>
<p>เลขา กพฐ. กล่าวอีกว่า สำหรับปฎิทินการรับนักเรียนปี 2567 มีดังนี้ ก่อนประถมศึกษา รับสมัครระหว่างวันที่ 14-18 ก.พ. 2567 จับฉลาก ประกาศผล และรายงานตัววันที่ 26 ก.พ. 2567 ป.1 รับสมัครวันที่ 21-25 ก.พ. 2567 ประกาศผลวันที่ 10 มี.ค. 2567 ม.1 รับสมัครวันที่ 9-13 มี.ค. 2567 สอบคัดเลือกวันที่ 23 มี.ค. 2567 ประกาศผลสอบวันที่ 27 มี.ค. 2567 มอบตัววันที่ 30 มี.ค. 2567 และ ม.4 ให้โรงเรียนเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขเอง ทั้งนี้การรับนักเรียนในปีการศึกษาหน้าได้กำชับไปถึงผู้บริหารสถานศึกษาทุกแห่งว่าจะต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ ซึ่งที่สำคัญ ผู้บริหารโรงเรียนทุกคนจะต้องระวังอย่าให้มีการเรียกรับเงินเพื่อแลกที่นั่งเรียนอย่างเด็ดขาด เพราะไม่ใช่แค่ส่วนกลางจะจับตาดูเท่านั้นแต่ยังมีหน่วยงานอื่นอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เฝ้าระวังเรื่องการรับนักเรียนเช่นเดียวกัน</p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2023/11/106884