[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
02 พฤษภาคม 2567 20:07:49 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก เวบบอร์ด ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  นั่งเล่นหลังสวน / สยาม ในอดีต / Re: เมียพระราชทาน คืออะไร? เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2566 14:21:47



พระอัยการลักษณะผัวเมีย


https://s.isanook.com/mv/0/ud/31/159967/1e0a7892.jpg




ตามพระอัยการลักษณะผัวเมีย ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคนในเวลาเดียวกัน สังคมไทยจึงเป็นสังคมแบบ Polygamy (ผัวเดียวหลายเมีย)
แต่ในขณะเดียวกันกฎหมายก็ไม่อนุญาตให้หญิงมีสามีได้หลาย คนในเวลาเดียวกัน หากหญิงมีสามีอยู่ก่อนแล้วจะสมรสกับชายอื่นอีกไม่ได้
จนกว่าสามีจะตายและเผาศพสามีเรียบร้อยแล้ว หรือหย่าขาดจากสามีแล้ว

เมื่อชายสามารถมีภรรยาได้หลายคนในเวลาเดียวกัน ในพระอัยการลักษณะผัวเมีย ซึ่งเป็นกฎหมายตรากฎหมายตราสามดวงได้ลำดับชั้นของภรรยา
ไว้ 5 ประเภท ดังนี้


1. เมียที่พระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานเป็นบำเหน็จ
ถือเป็นรางวัลให้แก่ชายผู้นั้น โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเมียที่รักกันมาก่อน ตำแหน่งเมียตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งเมียที่ผู้ชายจะเกรงใจมากที่สุด
ในบรรดาเมียทั้งหมด และถือว่ามีหน้ามีตาและมีศักดิ์ใหญ่กว่าเมียทุกคนในบ้าน โดยเมียพระราชทานจะใหญ่กว่าลำดับภรรยาทั้งหมด

2. เมียทูลขอพระราชทาน
เป็นเมียพระราชทานเหมือนข้อแรก แต่ต่างตรงที่ฝ่ายชายจะต้องทูลขอกับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเสียก่อน แล้วจึงโปรดพระราชทานให้ตามคำขอ
และถึงแม้ฝ่ายชายจะแต่งงาน มีเมียกลางเมือง หรือเมียหลวงอยู่ก่อนแล้ว เมียพระราชทานก็ยังมีศักดิ์มากกว่าเมียหลวง

3. เมียกลางเมือง หมายถึง เมียหลวง
เมียที่บิดามารดากุมมือให้เป็นเมียชาย หญิงที่พ่อแม่ไปสู่ขอมาให้ทำพิธีแต่งงานกันถูกต้องตามประเพณี มีเกียรติสูงสุดในบ้าน
แต่ถ้าเทียบศักดิ์กันแล้วเมียพระราชทานยังมีศักดิ์มากกว่าเมียหลวง

4. เมียกลางนอก หมายถึง เมียน้อย (อนุภรรยา)
เป็นผู้หญิงที่ผู้ชายขอเป็นอนุ เลี้ยงดูเป็นเมียคนหนึ่งในบ้าน มีศักดิ์ลดหลั่นลงมาจากเมียหลวง ซึ่งตำแหน่งนี้คุณผู้ชายในยุคนั้นจะรับมากี่คนก็ได้
จะมีสิทธิน้อยกว่าเมียกลางเมือง

5. เมียกลางทาษี หรือ เมียทาส
หญิงใดมีทุกข์ยาก ชายช่วยไถ่มาสามารถเลี้ยงเป็นเมียได้ เมียตำแหน่งนี้จะมาจากการไปไถ่ตัว หรือซื้อตัวมาให้เป็นคนรับใช้ในบ้าน
ถ้าหน้าตาสวยถูกใจท่านรักใคร่ก็จะเลี้ยงดูให้เป็นเมีย แต่จะไม่ยกเสมอเหมือนเมียคนอื่นๆ และยังต้องทำงานบ้าน ปัด กวาด เช็ดถู
แต่จะสบายกว่าทาสคนอื่นๆ เล็กน้อย

 





ที่มา : หนังสือกฎหมายตราสามดวง, ประวัติศาสตร์กฎหมาย โดย รศ. ดวงจิตต์ กำประเสริฐ ภาควิชากฎหมายทั่วไป คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

2  นั่งเล่นหลังสวน / สยาม ในอดีต / เมียพระราชทาน คืออะไร? เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2566 14:19:23
เมียพระราชทาน คืออะไร?



ว่าด้วยเรื่อง เมียพระราชทาน ที่มียศศักดิ์ใหญ่กว่าเมียทุกคนในบ้าน หากชายใดมีเมียหลวงอยู่ก่อน ถ้าได้เมียพระราชทานมาแล้ว
เมียพระราชทานก็จะอยู่ในฐานะที่เหนือเมียทั้งปวง ซึ่งในสมัยโบราณ ชายสามารถมีเมียได้หลายคนในเวลาเดียวกัน
ในพระอัยการลักษณะผัวเมีย ได้ลำดับชั้นของภรรยาไว้ 5 ประเภท ดังนี้


3  สุขใจในธรรม / บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม / Re: พระคาถาของสมเด็จพระพุทธกัสสป (โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ) เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2566 13:45:36


อีกบทหนึ่งของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน

"ฆะเตสิ ฆะเตสิ กิงกะระณัง ฆะเตสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ"

ทั้ง ๓ บทนี้ ท่านให้สวดพร้อมกันเลย เวลาฉันข้าวก็เสก กลางคืนก็ให้ภาวนาไว้นะ
ภาวนาไว้สักครู่ เช้าเย็นอะไรนี่นะ ท่านบอกว่าศัตรูพินาศไปเอง

สำหรับบทหลังศัตรูทำอะไรไม่ได้ จะทำอะไรแล้วเราจะต้องรู้อยู่เสมอ บทกลางนะ ทำลายโรค
ไอ้ทำลายโรคนี่ดีใช่ไหม เสกข้าวนะ ข้าวที่เราจะฉัน เสกซะหมด และคนอื่นกินก็เป็นยาไปหมด
ให้เป็นยาสำหรับคนอื่นด้วยนะ ดีไหม ถ้าเห็นว่าดี

ถ้าใครต้องการจะให้เรารักษา ต้องบังคับให้เขาเอาดอกบัวมา ๓ ดอกนะ ธูป ๕ เทียน ๑ เล่ม เสกน้ำมนต์
เสกอะไรให้กินก็ได้ นั่งทำก็ได้ นอนทำก็ได้ ภาวนาให้เป็นฌาน เป็นฌานในกรรมฐานภายในตัวเสร็จ
อย่าลืมนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกาะก็ได้ ผลเท่ากันเป็นฌาน ซึ่งเชื่อกันว่า เสกข้าว เสกน้ำ
ยาพิษสลาย ศัตรูพินาศ และ รักษาโรคภัย



4  สุขใจในธรรม / บทสวด - คัมภีร์ คาถา - วิชา อาคม / พระคาถาของสมเด็จพระพุทธกัสสป (โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ) เมื่อ: 24 พฤศจิกายน 2566 13:44:16

พระคาถาของสมเด็จพระพุทธกัสสป (เผยแพร่โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง) หลวงพ่อท่านบอกคาถาบทนี้ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๒๐
คาถาบทนี้ ท้าวเวสสุวัณมาให้ ท่านบอกว่าให้สวดมนต์ไว้ทุกคืน ก่อนอื่นให้ระลึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์
อันมีสมเด็จพระพุทธกัสสปทรงเป็นประธาน เพราะท่านเป็นเจ้าของคาถานี้





" พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ ศัตรูทั้งหลาย วินาศสันติ
พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ โรคทั้งหลาย วินาศสันติ "


บทในบรรทัดที่ ๒ นี้รักษาโรค ท่านบอกว่าเสกน้ำให้กิน เสกอะไรให้กิน เสกข้าวให้
กิน ก็ได้นะ แม้แต่ยาพิษมันก็สลายตัว


5  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ สวนสนุก / Re: 5 อันดับศิลปะการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์สุดๆอย่าไปเสียเวลาฝึกเลย เมื่อ: 12 กุมภาพันธ์ 2566 20:13:16
 หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น หัวเราะลั่น
6  สุขใจในธรรม / ประวิติพระอรหันต์ พระสาวก ในสมัยพุทธกาล / ประวัติ พระมหากัสสปะ เอตทัคคะด้านผู้ทรงธุดงค์ เมื่อ: 20 มิถุนายน 2564 21:30:51
พระมหากัสสปะ เป็นพระอรหันต์สาวกองค์หนึ่งของพระโคตมพุทธเจ้า
เป็นเอตทัคคะที่ทรงยกย่องและให้ถือเป็นแบบอย่างในด้านผู้ทรงธุดงค์และสรรเสริญคุณแห่งธุดงค์
ภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ท่านได้เป็นประธานในการสังคายนาครั้งที่หนึ่งในศาสนาพุทธ


ภาพ พระมหากัสสปะกระทำอัญชลีก่อนถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ พระพุทธรูปในวัดอินทารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร


ประวัติ

ก่อนบวช
พระมหากัสสปะมีนามว่า ปิปผลิ เป็นบุตรของกปิลพราหมณ์ เกิดที่หมู่บ้านมหาติตถะ แคว้นมคธ เมื่ออายุเข้าย่างสู่ 20 ปี
มารดาบิดาของท่านรบเร้าให้ท่านแต่งงาน ท่านปฏิเสธเพราะตั้งใจว่าเมื่อดูแลมารดาบิดาจนทั้งสองเสียชีวิตแล้วก็จะออกบวช
แต่มารดาบิดาของท่านยังยืนยันให้ท่านแต่งงานเพื่อดำรงวงศ์ตระกูล ปิปผลิจึงจ้างช่างหล่อทองคำเป็นรูปหญิงสาว
ประดับด้วยผ้านุ่งสีแดง ดอกไม้ และเครื่องประดับต่าง ๆ แล้วบอกมารดาว่าถ้าหาหญิงสาวลักษณะตามรูปปั้นนี้ได้
จึงจะยอมแต่งงาน มารดาของท่านจึงให้พราหมณ์ ๘ คนนำรูปหล่อไปตามหาหญิงสาวที่มีลักษณะตามนั้น
เมื่อได้พบนางภัททากาปิลานี จึงแจ้งให้กบิลพราหมณ์ทราบ ทั้งปิปผลิและภัททาต่างไม่อยากแต่งงานจึงแอบส่งจดหมาย
ขอให้อีกฝ่ายหาคู่ครองใหม่ แต่คนถือจดหมายได้แปลงข้อความในจดหมาย ทั้งสองจึงได้แต่งงานกันในที่สุด

ออกบวช
วันหนึ่ง ปิปผลิไปตรวจนาเห็นฝูงนกจิกกินไส้เดือน จึงถามบริวารว่าบาปของสัตว์พวกนั้นตกแก่ใคร บริวารว่าตกแก่ท่านปิปผลิ
ท่านสังเวชใจว่าถ้าอกุศลกรรมแบบนี้ตกแก่ท่านแล้ว ถึงเวียนว่ายตายเกิดสักพันชาติก็คงไม่พ้นทุกข์ กลับถึงบ้านแล้ว
จึงบอกภรรยาว่าจะออกบวช ภรรยาของท่านก็จะออกบวชเช่นกัน ทั้งสองปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสายะ ตั้งใจออกบวช
เพื่ออุทิศพระอรหันต์ในโลก แล้วออกจากไปจนถึงทางแยกก็แยกกันเดินทาง ขณะที่แยกทางกันนั้นก็เกิดแผ่นดินไหว

บรรลุอรหัตผล
หลังจากบวชได้ครบ 7 วัน เข้าวันที่ 8 พระมหากัสสปะก็พบพระพุทธเจ้าขณะประทับที่พหุปุตตเจดีย์ พระองค์ประทานโอวาท
แก่ท่าน 3 ข้อ คือ

1. มีหิริและโอตตัปปะอย่างแรงกล้าในภิกษุทั้งหลายผู้เป็นเถระ ผู้เป็นนวกะ และผู้เป็นมัชฌิมะ
2. ฟังธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งประกอบด้วยกุศล จักกระทำธรรมนั้นทั้งหมดให้เป็นประโยชน์ มนสิการถึงธรรมนั้นทั้งหมด
    จักประมวลจิตมาทั้งหมด เงี่ยโสตสดับธรรม
3. ไม่ละกายคตาสติที่ประกอบด้วยความยินดี

พระมหากัสสปะฟังแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ จากนั้นท่านนำผ้าสังฆาฏิของตนปูถวายพระพุทธเจ้าให้ทรงประทับนั่ง
พระพุทธเจ้าจึงประทานผ้าป่านบังสุกุลให้ท่านใช้แทน ขณะนั้นแผ่นดินก็ไหวขึ้นเพราะไม่เคยมีมาก่อนที่พระพุทธเจ้า
จะประทานจีวรที่ทรงใช้แล้วแก่พระสาวก พระมหากัสสปะประทับใจมากด้วยระลึกว่าท่านเป็น
"บุตรของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดแต่อก เกิดแต่พระโอษฐ์ เกิดแต่พระธรรม อันพระธรรมเนรมิตแล้ว เป็นธรรมทายาท ได้รับผ้าป่านบังสุกุลที่ใช้สอยแล้ว"

ปฐมสังคายนา
พระมหากัสสปเถระได้ทราบข่าวการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วได้ 7 วัน ขณะที่ท่านกำลังเดินทางอยู่
ณ เมืองปาวาพร้อมด้วยหมู่ศิษย์จำนวนมาก เมื่อได้ทราบข่าวนั้น เหล่าศิษย์ของพระมหากัสสปะซึ่งยังเป็นปุถุชนอยู่ ได้ร้องไห้คร่ำครวญกัน
ณ ที่นั้น จึงมีพระภิกษุผู้บวชเมื่อแก่รูปหนึ่ง ชื่อว่าสุภัททะ ได้กล่าวขึ้นว่า

"พอทีเถิด พวกท่านอย่าโศกเศร้า อย่าคร่ำครวญเลย พวกเรารอดพ้นดีแล้วจากพระมหาสมณะรูปนั้นที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชพวกเราอยู่ว่า
‘สิ่งนี้ควรแก่พวกเธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่พวกเธอ’ บัดนี้ พวกเราปรารถนาสิ่งใด ก็จักทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใด ก็จักไม่ทำสิ่งนั้น"


พระมหากัสสปะได้ฟังเช่นนั้นก็ดำริขึ้นว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานเพียง 7 วัน ก็มีผู้คิดที่จะทำให้เกิดความแปรปรวน หรือประพฤติปฏิบัติให้วิปริต
ไปจากพระธรรมวินัยเช่นนี้ จึงควรจะทำสังคายนาและจะชักชวนพระอรหันต์เถระทั้งหลาย ซึ่งล้วนทันเห็นพระพุทธเจ้า
ได้ฟังคำสอนของพระองค์มาโดยตรง เป็นผู้รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า และได้อยู่ในหมู่สาวกที่เคยสนทนาตรวจสอบกันอยู่เสมอ
รู้ว่าสิ่งใดที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้มาประชุมกัน เพื่อช่วยกันแสดง ถ่ายทอด รวบรวม ประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
แล้วตกลงวางมติไว้ ใช้เวลา 7 เดือน พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นผู้อุปถัมภ์

การสังคายนาครั้งที่หนึ่งในศาสนาพุทธจึงได้จัดขึ้นที่ถ้ำสัตบรรณคูหา กรุงราชคฤห์ ตามคำปรารภของพระมหากัสสปะเถระ โดยมีพระเจ้าอชาตศัตรู
เป็นองค์อุปถัมภ์ ใช้เวลาในการสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัยอยู่ 7 เดือนจึงแล้วเสร็จ โดยในครั้งนั้น พระมหากัสสปะเถระเป็นประธานทำสังคายนา
พระอานนท์เป็นองค์วิสัชชนาแสดงพระธรรม พระอุบาลีเป็นองค์วิสัชชนาพระวินัยปิฎก การสังคายนาครั้งนั้นนับเป็นต้นกำเนิดของพระไตรปิฎกภาษาบาลี
ที่ใช้ในนิกายเถรวาทในปัจจุบัน








Wikipedia
7  สุขใจในธรรม / เกร็ดศาสนา / เหตุใดสรีระสังขารของพระมหากัสสปะต้องดำรงอยู่จนถึงสมัยของพระศรีอาริยเมตไตรย ? เมื่อ: 20 มิถุนายน 2564 21:06:22
เหตุใดสรีระสังขารของพระมหากัสสปะต้องดำรงอยู่จนถึงสมัยของพระศรีอาริยเมตไตรย

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=0l7J9dguGXU" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=0l7J9dguGXU</a>




ธรรมะนี้เป็นเสียงอ่านข้อธรรม หลักธรรม และเรื่องราวที่เป็นคติธรรม ตามหลักพระพุทธศาสนา
ซึ่งผู้จัดทำได้รวบรวมเนื้อหาจากแหล่งอ้างอิงต่าง ๆ ที่น่าเชื่อถือเพื่อนำมาบอกเล่าและแบ่งปัน
โดยหวังว่าผู้ฟังจะได้นำข้อคิดที่ได้ไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของตนเองและผู้อื่นต่อไป

____________________________________________

facebook.com/dhammaiyak

Dr. Adisorn Na Ubon
8  สุขใจในธรรม / กฏแห่งกรรม - ท่องไตรภูมิ / พระเจ้าวิฑูฑภะ ฆ่าสังหารหมู่พระญาติของพระพุทธเจ้า ผลจากกรรมเก่าของหมู่พระญาติ เมื่อ: 05 พฤษภาคม 2564 15:45:21



<a href="http://www.youtube.com/watch?v=dF9bCZwx7JY" target="_blank" class="aeva_link bbc_link new_win">http://www.youtube.com/watch?v=dF9bCZwx7JY</a>


พระเจ้าวิฑูฑภะ โอรสของพระเจ้าปเสนทิโกศล มีความแค้นกับศากยวงศ์อันเป็นตระกูลของพระพุทธเจ้า เมื่อได้ขึ้นครองราชย์จึงได้ยกทัพไปสังหารหมู่
บดขยี้ศากยวงศ์จนพินาศย่อยยับไม่เว้นแม้แต่เด็ก

ข้อมูลเพิ่มเติม พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 36 ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย


9  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / Re: ขี้หูอุดตันทำไงดี มีวิธีกำจัดขี้หูด้วยตัวเองไหม เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2563 09:13:26



ขี้หูอุดตัน เกิดจากอะไร

        อย่างที่บอกว่าปกติคนเราจะมีขี้หูและสามารถกำจัดขี้หูได้เอง แล้วทำไมยังเกิดภาวะขี้หูอุดตันขึ้นได้ ลองมาดูสาเหตุที่ทำให้ขี้หูอุดตันกันค่ะ

    - ร่างกายผลิตขี้หูมากเกินไป

    - รูปทรงหูแคบ หรือมีรูปทรงที่ไม่เอื้อต่อการกำจัดขี้หู

    - การใช้สำลีแคะหู หรือทำความสะอาดรูหูบ่อย ๆ อาจทำให้ขี้หูถูกดันเข้าไปในหูชั้นลึกขึ้นได้ ก่อให้เกิดอาการขี้หูอุดตันได้ง่ายกว่าเดิม

    - คนที่ใส่หูฟังหรือใส่ที่อุดหูเป็นเวลานาน อาจเกิดภาวะขี้หูอุดตันได้ง่าย



ขี้หูอุดตัน อาการเป็นอย่างไร

        หากมีภาวะขี้หูอุดตัน อาจสังเกตอาการง่าย ๆ ดังนี้

    - หูอื้อบ่อย ๆ

    - ปวดหน่วง ๆ ที่หู

    - ได้ยินเสียงไม่ชัด

    - มีเสียงในหู

    - มีของเหลวไหลออกมาจากหู

    - มีกลิ่นเหม็นออกมาจากหู

        หากอาการหนักอาจมีอาการปวดหูอย่างรุนแรง ร่วมกับมีน้ำหนองไหลออกมาจากรูหู ซึ่งควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนนะคะ



วิธีกำจัดขี้หู ขี้หูอุดตันทำไงดี

             ถ้ารู้สึกว่ามีขี้หูเยอะ ความสามารถในการได้ยินลดลง หรือรู้สึกปวดหูตื้อ ๆ แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ ซึ่งแพทย์จะมีวิธีตรวจเช็ก
สภาพภายในรูหู พร้อมวิธีกำจัดขี้หู ดังนี้

        1. ล้างช่องหู

        แพทย์จะทำการล้างช่องหูชั้นนอกด้วยน้ำเกลือ แล้วใช้อุปกรณ์คีบขี้หู หรือดูดขี้หูออกมา

        2. ใช้ยาละลายขี้หู

        ในกรณีที่ขี้หูไม่หลุดออกมาง่าย ๆ แพทย์อาจให้ยาละลายขี้หูไปหยอดหู โดยยาจะทำให้ขี้หูอ่อนตัว ง่ายต่อการนำขี้หูออก
ซึ่งควรหยอดยาละลายขี้หูบ่อย ๆ ประมาณ 7-8 ครั้งต่อวัน และแพทย์จะทำการนัดเพื่อกำจัดขี้หูอีกครั้ง

        ทั้งนี้การรักษาขี้หูอุดตันจะช่วยบรรเทาอาการปวดหู อาการไม่ค่อยได้ยินได้ โดยอาการจะดีขึ้นหลังแพทย์กำจัดขี้หูออกให้แล้ว



ขี้หูอุดตัน ป้องกันได้

        จริง ๆ แล้วเราสามารถป้องกันขี้หูอุดตันได้ง่าย ๆ โดยมีข้อควรปฏิบัติตามนี้

    1. หลีกเลี่ยงการใช้ไม้พันสำลีแหย่เข้าไปในช่องหู รวมไปถึงไม้แคะหูรูปแบบอื่น ๆ ที่อาจดันขี้หูให้ไปอยู่ลึก ๆ ได้ และยังกระตุ้น
ให้ต่อมสร้างขี้หู ผลิตขี้หูออกมามากขึ้น

    2. สามารถใช้ยาละลายขี้หูหยอดหูเป็นประจำ เพื่อทำการล้างขี้หู โดยอาจหยอดยาละลายขี้หูสัปดาห์ละครั้ง หรือถ้าไม่มีปัญหา
แน่นหู หูอื้อ อาจหยอดยาละลายขี้หูเดือนละครั้งก็จะช่วยลดความเสี่ยงขี้หูอุดตันได้

        รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าแคะหูบ่อย ๆ นะคะ หากหูเปียกอาจใช้ผ้าขนหนูเช็ดหูภายนอกแทนการใช้สำลีพันไม้แหย่เข้าไปในหู
ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงแก้วหูทะลุในกรณีที่แหย่ลึกเกินไปด้วย








ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, โรงพยาบาลเวชธานี
ขอขอบคุณภาพจาก
ประชาชาติ

10  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ อนามัย / ขี้หูอุดตันทำไงดี มีวิธีกำจัดขี้หูด้วยตัวเองไหม เมื่อ: 25 พฤษภาคม 2563 09:10:58
ขี้หูอุดตันทำไงดี มีวิธีกำจัดขี้หูด้วยตัวเองไหม




รู้สึกหูอื้อ เหมือนมีอะไรอุดหูอยู่ตลอด แถมยังมีอาการปวดหูด้วย นั่นอาจแสดงว่าคุณมีภาวะขี้หูอุดตันอยู่ก็เป็นได้


ขี้หูอุดตัน

          ภาวะขี้หูอุดตันเกิดได้กับทุกคน โดยเฉพาะคนที่ชอบแคะหู หรือเอาอะไรแหย่เข้าไปในหู พฤติกรรมนี้อาจทำให้เกิดภาวะขี้หูอุดตันได้ง่ายขึ้น
ใครมีอาการหูอื้อบ่อย เหมือนมีอะไรอุดหู ลองเช็กอาการขี้หูอุดตันพร้อมอ่านวิธีกำจัดขี้หูตามนี้เลย

ขี้หูอุดตัน ทำไงดี

        ขี้หูเป็นสิ่งที่ร่างกายผลิตขึ้นเอง จากเยื่อบุผิวช่องหูชั้นนอกที่หลุด ไขมัน สารที่ผลิตจากต่อมเหงื่อ รวมไปถึงสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่ก่อตัวกันมาเป็นขี้หู
ซึ่งโดยปกติแล้ว ร่างกายจะมีกลไกกำจัดขี้หูโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะในตอนเคี้ยวอาหารหรือขยับปากขี้หูก็จะกะเทาะหลุดออกมาเองได้

        แต่ในคนที่มีภาวะขี้หูอุดตัน ร่างกายอาจไม่สามารถกำจัดขี้หูออกไปได้เอง เนื่องจากขี้หูที่เกิดการอุดตันอาจแข็งตัว หรือมีขี้หูเกาะกลุ่มเป็นจำนวนมาก
ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการได้ยินเสียงลดลง หรืออาจถึงขั้นสูญเสียการได้ยินชั่วคราว



11  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: มายากล "นั่งลอยกลางอากาศ" ลอยได้ยังไง ร่วมกันไขข้อสงสัย เมื่อ: 01 กันยายน 2557 01:01:56

แฉความลับของคนลอยได้ในอินเดีย



12  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / Re: มายากล "นั่งลอยกลางอากาศ" ลอยได้ยังไง ร่วมกันไขข้อสงสัย เมื่อ: 01 กันยายน 2557 00:58:10





13  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ จิบกาแฟ / มายากล "นั่งลอยกลางอากาศ" ลอยได้ยังไง ร่วมกันไขข้อสงสัย เมื่อ: 01 กันยายน 2557 00:57:35




มายากล "นั่งลอยกลางอากาศ" ลอยได้ยังไง ร่วมกันไขข้อสงสัย

นักแสดงข้างถนนเหล่านี้แสดงท่านั่งที่ลอยได้ในอากาศ
จริง ๆ แล้วไม่ใช่การใช้เวทย์มนตร์คาถาแต่อย่างใด
นับได้ว่าเป็นการแสดงที่น่าดูและน่าชมเป็นอย่างมาก
โชคดีที่ยุคนี้หลักวิชาฟิสิกส์สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้
ตรงกันข้ามกับยุคเมื่อ 300 ปีก่อน
สมัยที่ศาสนาจักรคริสต์ยังมีอำนาจมากทั้งทางโลกและทางธรรม
นักแสดงเหล่านี้อาจจะต้องถูกจับมัดติดกับเสาแล้วเผาทั้งเป็นด้วยข้อหาแม่มด/พ่อมด



จากด้านบนลองดูภาพต่อไปนี้แล้วลองบอกว่า เป็นการใช้เวทย์มนตร์คาถาหรือไม่
หรือยากที่จะตอบปฏิเสธว่าไม่ใช่เช่นกัน

คำตอบของท่านั่งลอยได้ คือ เสาค้ำยันกับชานพัก
ด้วยการชั่งตวงวัดแล้วสร้างขึ้นมาผ่านการคำนวณอย่างระมัดระวัง
กับตอนที่นั่งแสดงต้องมีการจัดวางท่าอย่างสมดุล
นักมายากลเหล่านี้จึงแสดงท่าทางนั่งลอยบนอากาศได้
แต่จริง ๆ แล้วพวกเขานั่งลงบนชานพักที่ออกแบบมาอย่างพิเศษ
โดยมีเสาค้ำยันแน่นหนากับพื้นดินเป็นการพยุงตัวให้ลอยได้



ตอนนี้คงหายสงสัยแล้วว่า  ไม่ใช่เรื่องของการใช้เวทย์มนตร์คาถา


ที่มา Blogger ravio / OKnation
14  นั่งเล่นหลังสวน / สุขใจ ไปรษณีย์ / ตั้งชื่อตามสมัยนิยม (ขำขัน) เมื่อ: 30 กรกฎาคม 2557 00:14:44
ตั้งชื่อตามสมัยนิยม





มีม่ายนางหนึ่งอยากแก้ดวงชงกะเค้ามั่ง ต้องเปลี่ยนชื่อ นามสกุลจะได้เฮงๆ
เลยไปให้พระตั้งให้ อยากได้ตัวอักษรไทยแปลกๆไม่ซ้ำใครตามสมัยนิยม
แบบที่ ณ ฐ ภ ฏ ใช้กันเต็มบ้านเต็มเมือง
ว่าแล้วพระท่านก็ใจดี เขียนอักษรตั้งชื่อนามสกุลให้ตามประสงค์

"คฤจภัคฐ์ คิศถฤงคิษแคธฏ์ "

อะโห ชื่อสะกดออกมาแล้วดูสวยจัง แต่นี่จะอ่านว่าอะไรละเนี่ยพระคุณเจ้า

อ่านตามอาตมานะโยม "คิดจะพัก คิดถึงคิดแคท"

เจริญพรฯ





15  สุขใจในธรรม / ธรรมะทั่วไป ธารธรรม - ธรรมทาน / Re: ความสุขอยู่ตัวเรา เมื่อ: 26 มกราคม 2556 01:54:04

สาธุ
หน้า: [1]
Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.117 วินาที กับ 27 คำสั่ง

Google visited last this page 20 เมษายน 2567 10:52:36