ศึกษาลักษณะเฉพาะของพุทธปรัชญา ผู้ตั้งระบบปรัชญานี้ขึ้นมา คือพระพุทธเจ้า ซึ่งมีพระนามเดิมว่าสิทธัตถะ แห่งราชวงศากยะ ประสูติ ณ สวนลุมพินี เมืองกบิลพัสดุ์ ชมภูทวีปหรือประเทศอินเดียโบราณ ประมาณ ๖๒๓ ปี ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งพระองค์ทรงเป็นศาสดาผู้รู้แจ้งสัจจธรรม แล้วสิ้นสงสัยในเรื่องชีวิต จิตหรือวิญญาณ และเอกภพ ด้วยทรงใช้วิธีการแบบวิทยาศาสตร์ทางจิต เช่น นักวิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบัน นั่นคือ การตระหนักถึงปัญหาความทุกข์สากลที่ทุกคนประจักษ์อยู่ ค้นหาสมุฎฐาน และวิธีการนำไปสู่การแก้ปัญหานี้เป็นผลสำเร็จ (ดูอริยสัจ) แล้วทรงนำมาประกาศเพื่อประโยชน์เกื้อกูลของชาวโลก โดยมิได้ผูกขาดสัจจธรรมเฉพาะชาติใดชาติหนึ่ง หรือแบ่งแยกบุคคลด้วยชาติ ชั้น และวรรณะ แต่อย่างไร พุทธปรัชญาเกิดขึ้นในท่ามกลางความวิปริตผันแปรทางสังคม และทางจิตวิญญาณของมนุษย์ในยุคนั้น ซึ่งต่างก็ตกอยู่ในภาวะสับสนว้าวุ่นต่อปัญหาชีวิต อาทิ :
๑. มนุษย์ควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร จึงจะถูกต้อง?
๒. ควรจะเชื่อสติปัญญาของตนเองหรืออำนาจภายนอกที่เลือนลาง เช่น เทวะหรือพระเจ้า ซึ่งมีอยู่มากมายเท่ากับปรากฎการณ์ในธรรมชาติ (พหุเทวนิยม)?
๓. มนุษย์ควรจะหวังอะไรได้บ้างจากชีวิตนี้ จุดหมายของการเกิดที่แท้จริงอยู่ที่การกิน การหลับนอน การเสพกาม และร่าเริงเท่านั้น หรือมีอุดมคติสูงส่งยิ่งกว่านี้?
๔. ความรอดพ้นจากความทุกข์ ในรูปแบบต่างๆ เป็นไปได้หรือไม่ และด้วยวิธีการอย่างไร ด้วยอาศัยการโปรดปรานของพระเจ้าหรือด้วยอาศัยความสามารถของมนุษย์เอง?
๕. เจ้าลัทธิ คณาจารย์ต่างๆ ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากต่างก็ประกาศปรัชญาคำสอนต่างๆ ชนิดที่ขัดแย้งตรงกันข้าม และชี้ว่าวิธีของตนเท่านั้นถูกต้อง วิธีการอื่นผิดหมด แล้วอะไรเล่าคือความจริง?
นอกจากนี้สภาพการณ์ทางสังคม ที่เนื่องด้วยอิทธิพลคำสอนจากคัมภีร์พระเวท ซึ่งถือว่าเป็นคัมภีร์เก่าแก่ที่สุด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวอารยัน ก็ทำให้เกิดการแบ่งชนชั้นอย่างรุนแรงในหมู่ประชาชน เช่น ถือปฏิบัติกันว่าพวกพราหมณ์ คือ ผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นจากพระโอษฐ์ของพระองค์ จึงเป็นอภิสิทธิ์ชนชั้นสูงสุด ทำหน้าที่เกี่ยวกับพิธีทางศาสนาเป็นกลุ่มชนที่ผูกขาด มีสิทธิพิเศษตั้งแต่เกิดในการทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์ และพระเจ้า เช่นเดียวกับพระในคริสตศาสนา ในยุคมืดกษัตริย์คือผู้ที่พระเจ้าสร้างจากพระพาหาของพระองค์ มีหน้าที่รบป้องกันประเทศ ทำหน้าที่ปกครองหมู่ชนตามลิขิตจากเบื้องบน กลุ่มที่สามคือ พวกพ่อค้านายทุน ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างจากพระโสณี ทำหน้าที่ผูกขาดธุรกิจการค้าทุกรูปแบบ และกลุ่มประชาชนใหญ่ ที่เหลือเป็นชนชั้นต่ำ เป็นผู้ต้องใช้แรงงานหนักไม่มีสิทธิประกอบพิธีทางศาสนา หรือแม้จะศึกษาพระเวท ไม่มีสิทธิจะเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางสังคม หรืออาชีพของตนโดยประการใดๆ เลย ต้นตระกูลเป็นอย่างไร จะต้องสืบทอดต่อเช่นนั้นตลอดไป เพราะพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น
ในสภาพการณ์ดังกล่าวนั้น พุทธปรัชญาได้ปรากฎขึ้นเป็นแสงสว่างในความมืดทางจิตวิญญาณ ทำลายระบบความอยุติธรรม และการแบ่งแยกทางชนชั้นตามหลักคำสอนเรื่องวรรณะ ดังนั้น พุทธปรัชญาจึงมีลักษณะเป็นทั้งแนวทางชีวิตที่ประเสริฐ และเป็นอุดมคติที่สูงส่ง เพื่อผู้ศึกษาจะได้เข้าใจลักษณะที่เด่นเฉพาะของปรัชญานี้ ขอสรุปมากล่าวเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
๑. มีวิธีการเป็นแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific method)
๒. เน้นคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ (Human dignity)
๓. มีคำสอนเป็นประจักษนิยม (Empiricism)
๔. มีคำสอนเป็นเหตุผลนิยม (Rationalism)
๕. มีคำสอนเป็นทางสายกลาง (Moderation)
๖. เป็นอเทวนิยมปฏิเสธปฐมเหตุ (Atheism)
๗. เป็นนาสติกะปฏิเสธคัมภีร์พระเวท (Nastika)
๘. ส่งเสริมหลักสันติภาพสากล และสันติสุขส่วนบุคคล (Pacifism)
๑.
วิธีการแบบวิทยาศาสตร์ มิใช่เป็นวิธีการใหม่ในการแก้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาทางด้านจิตวิญญาณ พระพุทธเจ้า ได้ทรงใช้วิธีนี้ประสบผลสำเร็จมาแล้วโดย
เริ่มศึกษาวิเคราะห์สิ่งที่เรียกว่า "ปัญหา" ให้ถ่องแท้ว่า คือ อะไร (ทุกข์)
ขั้นที่สอง ค้นหาสาเหตุหรือสมมติฐานว่ามีอยู่อย่างไร (สมุทัย)
ขั้นที่สาม สรุปผลสำเร็จเมื่อขจัดเหตุปัญหานั้นๆ ได้ (นิโรธ)
ขั้นที่สี่ เป็นวิธีการดำเนินการที่จะนำไปสู่เป้าหมาย ข้อที่ ๓ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหา ข้อที่ ๑ สำเร็จ (ดูรายละเอียดในอริยสัจ ๔)