.ความเป็นมาของจังหวัดตราด จังหวัดตราด เป็นจังหวัดชายแดนเล็กๆ สุดด้านชายฝั่งตะวันออกของอ่าวไทย ต่อจากจังหวัดจันทบุรี อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ ๓๐๖ กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ ๒,๗๐๓.๐๒ ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองออกเป็น ๗ อำเภอ คือ อำเภอเมือง , อำเภอเขาสมิง , อำเภอแหลมงอบ , อำเภอคลองใหญ่ , อำเภอบ่อไร่ , อำเภอเกาะกูด และ อำเภอเกาะช้าง
เมืองตราด เป็นถิ่นที่อยู่ของคนหลากหลายเชื้อชาติ เนื่องจากเคยเป็นเมืองหน้าด่านทางทะเลจึงทำให้มีประชากรอพยพมาตั้งหลักฐานจนเกิดเป็นชุมชนที่หลากหลาย มีขนบธรรมเนียม ประเพณี และวัฒนธรรม ที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของผู้คนจนเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมในท้องถิ่น
ไม่มีหลักฐานปรากฏว่าเมืองตราดมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างไร ในช่วงก่อนสมัยอยุธยานั้นไม่ปรากฎหลักฐานแน่ชัด ครั้นถึงสมัยอยุธยาได้ปรากฏหลักฐานอ้างอิงถึงเมืองตราด ว่า ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.๑๙๙๑-๒๐๓๑ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการปรับปรุงเป็นบ้านเมืองครั้งใหญ่ขึ้น โดยจัดแบ่งการบริหารราชการแผ่นดิน ออกเป็น ๒ ส่วน คือ ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ในส่วนกลางแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายทหาร มีสมุพระกลาโหมเป็นผู้บังคับบัญชา และฝ่ายพลเรือนมีสมุหนายกเป็นผู้บังคับบัญชา ในส่วนพลเรือนนั้น ยังแบ่งการปกครองออกเป็นจตุสดมภ์ ด้านการบริหารในส่วนภูมิภาคนั้น จัดแบ่งเมืองต่างๆ ออกเป็น หัวเมืองเอก โท ตรี และจัตวา ซึ่งเป็นเมืองชั้นในและชั้นกลาง โดยแยกเป็น ๓ ส่วน คือ หัวเมืองขึ้นต่อเจ้าพระยาจักรี ใช้ตราราชสีห์ หัวเมืองขึ้นเจ้าพระยามหาเสนาบดีใช้ตราคชสีห์ และหัวเมืองขึ้นต่อเจ้าพระยาศรีธรรมราชเดโชชาติ ใช้ตราบัวแก้ว จากทำเนียบหัวเมืองในสมัยนั้นมีชื่อ "ตราด" เป็นหัวเมืองชายทะเลขึ้นตรงต่อเจ้าพระยาศรีธรรมชาติเดโชชาติ และสังกัดอยู่ในฝ่ายการคลังและการต่างประเทศ
จากนั้น "ตราด" ได้ปรากฏความสำคัญทางประวัติศาสตร์อีกในช่วงใกล้เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ขณะนั้นเป็นนายทัพอยู่ในกรุงศรีอยุธยาได้รวบรวมกำลังไพร่พลจำนวนหนึ่ง ตีฝ่าวงล้อมพม่าออกมาตั้งมั่นทิศตะวันออก หลังจากตีเมืองจันทบุรีได้แล้ว เมื่อเดือน ๗ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๐ จึงยกกองทัพไปยังเมืองตราด ดังความในหนังสือเรื่อง "ไทยรบพม่า" ว่า "... ครั้นเห็นเมืองจันทบุรีเรียบร้อยอย่างเดิมแล้ว จึงยกกองทัพลงไปยังเมืองตราด พวกกรมการและราษฎรก็พากันเกรงกลัวยอมอ่อนน้อมโดยดีทั่วทั้งเมือง และขณะนั้นมีสำเภาจีนมาทอดอยู่ที่ปากน้ำเมืองตราดหลายลำ พระเจ้าตากให้ไปเรียกนายเรือมาเฝ้า พวกจีนขัดขืน แล้วกลับยิงเอาข้าหลวง เจ้าตากทราบก็ลงเรือที่นั่งคุมเรือรบลงไปล้อมสำเภาไว้ แล้วบอกให้พวกจีนอ่อนน้อมโดยดี พวกจีนก็หาฟังไม่ กลับเอาปืนใหญ่น้อยระดมยิง รบกันอยู่ครึ่งวัน เจ้าตากก็ตีได้เรือสำเภาจีนทั้งหมด...เจ้าตากจัดการเมืองตราดเรียบร้อยแล้ว ก็กลับขึ้นมาตั้งอยู่ ณ เมืองจันทบุรี"
ส่วนที่มาของชื่อจังหวัดตราดนั้น มีเรื่องเล่าสืบต่อมาว่า แต่เดิมพื้นที่ของจังหวัดนี้เป็นป่าไม้ชนิดหนึ่ง คือ "ไม้กราด" ซึ่งนำมาใช้ทำไม้กวาด เมื่อสร้างเมืองในบริเวณพื้นที่ดังกล่าว จึงให้ชื่อเมืองว่า "เมืองกราด" ต่อมาได้เลือนกลายเป็น "ตราด" มาจนถึงปัจจุบัน จากหลักฐานต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว จึงทำให้เชื่อได้ว่า ‘เมืองตราด’ เป็นเมืองที่มีชื่อเรียกกันมาอย่างนี้กว่า ๓๐๐ ปีมาแล้ว และเป็นเมืองสำคัญของสยามประเทศมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าปราสาททอง "ตราด" ภัยจากลัทธิจักรวรรดินิยม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) การแผ่ขยายตัวของลัทธิจักรวรรดินิยมได้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ฝรั่งเศสได้ใช้ความพยายามที่จะเข้ายึดครองดินแดนของไทย ในที่สุดส่งผลให้ "ตราด" ต้องตกอยู่ในความปกครองของฝรั่งเศส สืบเนื่องจากกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศสและการรบที่ปากน้ำเจ้าพระยา เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ ฝรั่งเศสได้นำเรือรบปิดปากอ่าวไทย พร้อมกับยึดปากน้ำและเมืองจันทบุรีเป็นประกันเรื่อยมาเป็นเวลาถึง ๑๐ ปี
จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๔๖ (ร.ศ.๑๒๒) ไทยกับฝรั่งเศสได้ตกลงทำสัญญาอีกครั้ง มีเนื้อความสำคัญว่า ไทยยอมยกดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ตรงหน้าหลวงพระบางให้ฝรั่งเศส ความมุ่งหมายของไทยในการทำสัญญาดังกล่าวคือ ต้องการให้ฝรั่งเศสถอนการยึดครองจันทบุรี กองทหารฝรั่งเศสออกจากจันทบุรี ราวกลาง พ.ศ. ๒๔๔๘ และเข้ายึดครอง "ตราด" ตลอดจนเกาะต่างๆ ตั้งแต่ใต้แหลมสิงห์ ไปจนถึงเกาะกูดแทน ต่อมาไทยได้ทำสนธิสัญญาฉบับใหม่ขึ้น โดยยอมยกเมืองพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ ให้แก่ฝรั่งเศส เพื่อแลกเปลี่ยนกับตราด และเกาะต่างๆ ซึ่งอยู่ใต้แหลมสิงห์ไปจนถึงเกาะกูด คืนสู่อธิปไตยของไทย เมื่อวันที่๒๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ส่วนพิธีรับมอบเมืองคืนมีขึ้นในวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ บริเวณหน้าศาลากลางเมืองตราด โดยฝ่ายไทยมีพระยามหาอำมาตยาธิบดี ซึ่งในขณะนั้น เป็นพระยาศรีเทพตำแหน่งปลัดทูลฉลอง กระทรวงมหาดไทย เป็นหัวหน้าผู้แทนรัฐบาลไทย ฝ่ายฝรั่งเศสมีมองซิเออร์รูซโซเรซิดัง เป็นหัวหน้าผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศส และฝรั่งเศสยอมถอนทหารออกไปเมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๐ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (ชุ่ม อภัยวงศ์) ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบองในขณะนั้น จึงได้นำธงชาติไทย (ธงช้าง) กลับมายังเมืองไทย พร้อมกับอพยพครอบครัวมาด้วย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่เมืองปราจีนบุรีจนกระทั่งท่านถึงแก่อสัญกรรม
หลังจากนั้นในปีเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประพาสเมืองตราด เพื่อเยี่ยมอาณาประชาราษฎร์และได้พระราชทานพระแสงราชศัสตราประจำเมืองด้วย เหตุการณ์ "ยุทธนาวีที่เกาะช้าง" นอกจากที่กล่าวแล้ว เรื่องราวของ "ตราด" ได้ปรากฏความสำคัญทางประวัติศาสตร์ขึ้นอีกครั้ง
ราว พ.ศ. ๒๔๘๔ คราวที่เกิดเหตุการณ์กรณีพิพาทระหว่างไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศส ฝรั่งเศสได้ส่งเรือรบล้ำน่านน้ำไทย กองเรือรบราชนาวีไทยได้เข้าขัดขวาง เป็นเหตุให้เกิดการยิงต่อสู้ระหว่างเรือรบหลวงธนบุรี เรืองรบหลวงชลบุรี หรือรบหลวงสงขลา กับเรือลาดตระเวนมอตปิเกต์ และกลุ่มเรือสมทบ ณ บริเวณเกาะช้าง เกาะง่าม ได้รับความเสียหายด้วยกันทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะเรือรบของฝ่ายไทยได้รับความเสียหายอย่างหนัก ต้องสูญเสียเรือรบหลวงไป ๓ ลำ คือ เรือรบหลวงสงขลา เรือรบหลวงชลบุรี และเรือรบหลวงธนบุรี รวมทั้งทหารอีกจำนวนหนึ่ง เรียกการรบครั้งนี้ว่า ยุทธนาวีที่เกาะช้าง เมื่อการรบสิ้นสุดลง ได้มีการลงนามในสัญญาสันติภาพที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ กรณีพิพาทจึงยุติลง
ทุกวันนี้ ชาวตราดถือเอาวันที่ ๒๓ มีนาคม ของทุกปี เป็นวัน"ตราดรำลึก" ทั้งนี้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ในวันที่ไทยลงนามในสัญญากับฝรั่งเศสแลกเมืองตราดกลับคืนสู่อธิปไตย และในวันที่ ๑๗ มกราคมของทุกปี กองทัพเรือถือเป็นวันทำบุญประจำปี เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ทหารเรือไทยที่ได้สละชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องแผ่นดินไทยในครั้งนั้น พระตำหนักกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ บนเกาะช้าง จังหวัดตราดปืนกล ๒๐ มิลลิเมตร มาร์ค ๔ เออลิคอน (แท่นเดี่ยว)
ติดตั้งอยู่หน้าพระตำหนักกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
สร้างโดยประเทศสหรัฐอเมริกา กองทัพเรือรับไว้ใช้ในราชการ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๐
โดยติดตั้งบนเรือตอร์ปิโดใหญ่, เรือหลวงท่าจีน, เรือหลวงปิ่นเกล้า, เรือหลวง ปร.๓๑
เรือหลวง ปร. ๓๒ เรือหลวงปราบ, เรือหลวงทองปลิง, เรือหลวงสุครีพ, เรือหลวงลิ่วลม,
เรือหลวงล่องลม, เรืองหลวงกูด, เรือหลวงไผ่ ฯลฯ
ข้อมูลจำเพาะ : ความกว้างปากกระบอก ๒๐ มิลลิเมตร น้ำหนักปืน ๖๕ กิโลกรัม
อัตราเร็วในการยิง ๔๕๐ นัด/นาที ระยะยิงหวังผล ๙๐๐ เมตร ระยะยิงไกลสุด ๔,๔๐๐ เมตร ด้านหลังห้างโลตัส บนเกาะช้าง มีผู้กางเต้นท์พักแรม หุงหาอาหาร
ได้เดินไปสอบถามผู้พักแรม ทราบว่า ค่าเช่ากางเต้นท์
คิดราคา 80 บาท/คืน มีห้องน้ำ-ห้องอาบน้ำบริการฟรี
มีเรือขนาดใหญ่รับส่งผู้โดยสาร และรถยนต์ส่วนตัวข้ามไปเกาะช้างค่ะ
ค่าโดยสารคนละ 100 บาท ค่าธรรมเนียมรถยนต์ข้ามฝั่งคันละ 40 บาท
จึงค่อนข้างสะดวกสบายในการเที่ยวชมเกาะ เพราะสามารถขับรถเที่ยวไปได้ทั่ว
แต่
ข้อควรระวังคือ ถนนหนทางบนเกาะช้างอันตรายมาก
ถนนอยู่บนภูเขาที่มีความสูงชัน และมีโค้งหักศอกหลายแห่ง
(โค้งหักศอกยกกำลังสอง กำลังสามก็มี)
ภาพ : เกาะช้าง จังหวัดตราด
ข้อมูลเรื่อง :-
- เว็บไซท์ encyclopediathai.org
- เว็บไซท์ lms.thaicyberu.go.th
- เว็บไซท์ trat.go.th
- เว็บไซท์ สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอเกาะช้าง
- เว็บไซท์ วิกิพีเดียสารานุกรมเสรี
- หนังสือ อักขรานุกรมประวัติศาสตร์ไทย กรมศิลปากร จัดพิมพ์เผยแพร่
- แผ่นป้ายจารึกข้อมูลสถานที่