พระพุทธเจ้าตั้งแต่ วันที่พระองค์ตรัสรู้มา ก็ทรงทราบแล้วว่าจะปรินิพพานในวันไหน แต่พระองค์เลือกที่จะบอก
ก่อนปรินิพพาน ๓ เดือนแก่พระอานนท์วา "อานนท์อีก ๓ เดือนเราตถาคตจักปรินิพพาน"
แม้พระอรหันต์รูปอื่นๆ ท่านก็สามารถรู้วันตายล่วงหน้าได้เช่นกัน สมัยปัจจุบัน ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตฺโต ก็ได้บอกล่วงหน้าแก่หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
ว่า
"อายุ ๘๐ ปี จะนิพพาน"
พระอริยะเจ้าผู้รู้วันสิ้นอายุขัยของตนเอง หยั่งรู้วันตาย แต่ทำไมไม่เลี่ยง
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย เขียนใส่สมุดบันทึกว่า "๗๘ ปี อายุจะต้องสิ้นสุด"
หลวงปู่ผั่น ปาเรสโก บอกวันตายล่วงหน้าได้ถึง ๒ ปี
แม้ ท่านพระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ พระอาจารย์วัน อุตฺตโม
พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร ก่อนจะรับนิมนต์แล้วประสบอุปัทวเหตุเครื่องบินตกมรณภาพที่ทุ่งรังสิต
จังหวัดปทุมธานี นี้ก็ได้บอกเป็นนัยแก่สานุศิษย์ว่า
"การเดินทางไปคราวนี้จะมิได้กลับมา"
พระอริยะเจ้าผู้รู้วันสิ้นอายุขัยของตนเอง หยั่งรู้วันตาย แต่ทำไมไม่เลี่ยง
สำหรับ ท่านพ่อลี ธมฺมธโร มีบทสนทนาเป็นเรื่องราวการบอกวันเวลาตายล่วงหน้าเป็นอย่างดี
ผู้เขียนขอนำมาเล่าย่อๆ พอให้เข้าใจเลาๆ
กลางคืนวันหนึ่ง หลังงานฉลองกึ่งพุทธกาลจบลง ณ กุฎีปุณณสถาน ที่วัดอโศการาม
ท่านพ่อลียังร่างกายแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า ท่านได้ปรารภกับ พระอาจารย์แดง ธมฺมรกฺขิโต
ซึ่งเป็นพระลูกศิษย์ เรื่องอายุขัยคือการสิ้นสุดแห่งชีวิตว่า
"ท่านแดง อายุ ๕๕ ปี ผมต้องตาย ชีวิตถึงคราวสิ้นสุดให้ท่านอยู่ช่วยดูแลหมู่คณะที่วัดอโศฯ
เมื่อผมตายไปแล้ว ขอให้ท่านเป็นที่พึ่งพาอาศัยของหมู่เพื่อน" การกล่าวในครั้งนี้ ท่านกล่าวก่อนมรณภาพ
เป็นเวลาหลายปี จนกระทั่งมาถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ท่านพ่อลีได้ไปนอนป่วยอยู่โรงพยาบาลพระปิ่นเกล้า ธนบุรี
ท่านเรียกพระอาจารย์แดงมาหาแล้วกล่าวย้ำว่า
"เราอายุ ๕๕ จะลาตายแล้ว" "ตายยังไงครับ ท่านพ่อ" "ก็ตายขาดลมหายใจ นะสิถามได้ ก็เราเคยบอกเธอแล้วมิใช่หรือ" "ผมลืมไปแล้ว แต่เมื่อท่านพ่อทักขึ้นผมก็จำได้ ทำไมท่านพ่อจะต้องตายด้วย ไม่ตายไม่ได้หรือ?""เราได้รับนิมนต์เขาแล้ว เสียดายที่จะอยู่ต่อไปอีกไม่ได้นาน เกิดมาได้มีโอกาสช่วยพระศาสนาน้อยเหลือเกิน
คิดแล้วก็ยังไม่อยากตายเลย เพราะเห็นแก่ประโยชน์คนอื่น ส่วนเราเองไม่สู้มีปัญหาในการเกิดการตาย" "รับนิมนต์ใคร" "รับนิมนต์เทวดา เขาอาราธนา" "เขาอาราธนาไปทำไม" "เขาอาราธนาไปสอนมนต์ให้" "ไปสอนมนต์อะไรครับ ช่วยสอนให้ผมด้วย" "มนต์ก็ไม่มีอะไรมาก พรหมวิหาร ๔ ของเรานี้แหละ แต่คนอื่นสอนมันไม่ขลัง ต้องให้เราสอนมันถึงขลัง
เขาบอกอย่างนี้" "ผมขออาราธนาท่านพ่อไว้ อย่าเพิ่งตายเลย" "เราได้ตกลงรับอาราธนาเขาแล้ว อยู่ไมได้" "ท่านพ่อครับ ไม่มีวิธีอื่นบ้างเลยหรือ ที่จะสามารถต่ออายุไปได้อีก" ท่านพ่อลีเล่าถึงรอยต่อแห่งชีวิตอันมีความเป็นความตายเป็นเครื่องเดิมพันว่า..
"วิธีนั้นมี แต่เรื่องมันผ่านเป็นอดีตไปแล้ว เราจะหวนกลับมาเป็นอย่างเดิมไม่ได้
หลักธรรมหลักความจริงท่านใช้ปัจจุบันเป็นเครื่องตัดสิน
พวกเธอจำได้ไหม? ในสมัยประชุมคณะกรรมการจะสร้างเจดีย์ และโบสถ์
เราปรารภให้สร้างพระเจดีย์เสียก่อน แต่ไม่มีลูกศิษย์คนใดกล้ารับงานนี้
บางคนเขาคิดเอาเองว่า ถ้าสร้างเสร็จแล้วเราจะหนีเข้าป่าบ้าง ตายบ้าง
(เพราะท่านไม่ได้บอกพวกเขาถึงเหตุว่าการสร้างพระเจดีย์จะต่ออายุท่านได้)
กรรมการที่ประชุมมีความเห็นว่า สร้างโบสถ์ก่อน ก็เป็นอันตกลง
ซึ่งเขาไม่รู้จักจุดลึกในชีวิตของเรา การที่จะมาแก้ในสิ่งที่ล่วงเลยมา มันก็สายเสียแล้วแล้ว"
ท่านพ่อลีกล่าวย้ำว่า
"ก็พวกเธอเกาไม่ตรงที่คัน ต่อให้มีโบสถ์ตั้ง ๒๐ หลัง ก็ไม่เท่ากับสร้างพระเจดีย์เพียงหนึ่งองค์ ท่านเอ๊ย"เมื่อเป็นเช่นนี้ก็หมดหวังในชีวิตของท่านพ่ออีกต่อไป
พระอาจารย์แดงจึงเรียนท่านว่า
"เมื่อตายไปแล้ว ก็ขอให้ท่านพ่อมาช่วยเหลือวัดอโศการาม" ท่านพ่อลีก็หัวเราะ ฮึๆ ตอบว่า
"เราก็เป็นห่วงเหมือนกันคิดว่าจะคายอะไรไว้ให้เขากินกัน แต่ชีวิตก็จวนเสียแล้ว
ก็ให้พวกยังอยู่หากินกันไป ถ้าไม่มีปัญญาก็ช่างมัน" และได้เรียนถามท่านอีกว่า
"ท่านพ่อมีคาถาอะไรดีๆ ก็สอนให้ผมด้วย" ท่านพ่อลีตอบว่า
"คาถานั้นมีอยู่ แต่สู้ใจเราไม่ได้ ให้ตั้งใจบำเพ็ญเพียรให้สำเร็จคุณธรรม เมื่อเราทำความเพียรอย่างสูงสุด
เสียสละชีวิตแล้ว จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของแต่ละคน" ...
นี้เป็นเพียงบทสนทนาสั้นๆ (ฉบับเต็มจะตีพิมพ์ในหนังสืองานฉลองพระธุตังคเจดีย์)
แต่เต็มไปด้วยความหมายแห่งผู้ปฏิบัติธรรมได้เต็มขั้นเต็มภูมิ
ชีวิตพระอริยเจ้าจึงเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
ท่านไมได้นอนรอความตาย
ท่านทราบเรื่องความตาย
ตายแล้วไปไหน หลังจากตายจะไปทำอะไร
ได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน
และคำว่า "พระนิพพาน" เป็นอย่างไร สุขสบายดีไหม ท่านรู้ทะลุปรุโปร่ง
ไม่ต้องคิดหาคำตอบมาถกเถียงให้เมื่อยกราม
เพราะพระนิพพานนั้นเป็นสิ่งที่ท่านประสบพบเห็นเองอยู่
ท่านมีชีวิตอยู่ก็เป็น "สอุปาทิเสสนิพพาน"
ตายไปก็เป็น "อนุปาทิเสสนิพพาน"
ท่านพ่อลี ที่มรณภาพอย่างสงบ
เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๐๔ สิริอายุได้ ๕๕ ปี
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า "พระนิพพาน อันผู้บรรลุเห็นได้เอง ไม่ขึ้นกับกาล แต่เป็นของรู้ได้เฉพาะตน"
"ผู้บรรลุพระนิพพาน...จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่เดือดร้อน ถึงจะตายก็ไม่เศร้าโศก...เพราะมองเห็นที่หมายข้างหน้าแล้ว
ความตายเรา (ตถาคต) ก็มิได้ชื่นชอบ ชีวิตเราก็มิได้ติดใจ เราจักทอดทิ้งร่างกายนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ
มีสติมั่น เรารอท่าเวลาตายเหมือนคนรับจ้างทำงานเสร็จแล้ว รอรับค่าจ้าง (เสร็จกิจพรหมจรรย์
รอตายไปอนุปาทิเสสนิพพาน)
ในเรื่องบางอย่างพวกเราผู้เป็นปุถุชนไม่รู้ แต่จะไปอวดเก่งกว่าท่านผู้รู้จริงไม่ได้ อย่างเรื่องท่านพ่อลี
ถ้าบรรดาศิษย์เชื่อฟังท่านเสียหน่อย ท่านก็ยังจะมีชีวิตที่ยืนยาวกว่านี้ ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังอย่างนี้
ในเรื่องแบบนี้มีหลักฐานยืนยันได้ ในสมัยพุทธกาล ก่อนพระพุทธเจ้าจะทรงปลงพระชนมายุสังขาร
แล้วปรินิพพาน ถ้าเพียงพระอานนท์อาราธนานิมนต์ให้พระองค์ดำรงพระชนม์อยู่โปรดเวไนยสัตว์ต่อไป
พระพุทธองค์จะทรงห้ามเสียสองครั้ง ครั้งที่สามพระองค์จะทรงรับอาราธนานิมนต์ และทรงอยู่ต่อไปได้อีก
ถึง ๑๒๐ ปี เพราะทรงบำเพ็ญอิทธิบาทภาวนามาเป็นอย่างดี