. แสงเทียนสิโชติช่วง รุจิโรจน์ล้านนาไทย
ส่องดาวจุติใน คุ้มเจ้าหลวงนครพิงค์
เฉิดโฉมบรรโลมลาน ชนกล่าวขานคือยอดหญิง
แห่งลุ่มลำน้ำปิง สืบสายใยไทยล้านนา
สนองเบื้องพระยุคลบาท ปิยมหาราชกษัตรา
ทรงยศพระราชชายา เจ้า
ดารารัศมี ม.ร.ว. อรฉัตร ซองทอง - ร้อยกรอง
พระตำหนักดาราภิรมย์อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ [
พระราชชายาเจ้าดารารัศมี พระราชชายาเจ้าดารารัศมี พระภริยาเจ้าพระองค์หนึ่ง ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีส่วนสำคัญในการผนวกล้านนาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย นอกจากนี้ยังทรงมีบทบาทสำคัญในการศึกษารวบรวมเรื่องราวด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ตลอดจนฟื้นฟูส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีของล้านนาให้คงความเป็นเอกลักษณ์ตราบจนทุกวันนี้
พระราชชายาเจ้าดารารัศมีทรงเป็นพระธิดาพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ พระองค์ที่ ๗ ประสูติแต่แม่เจ้าเทพไกรสร เมื่อวันอังคารที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๖ ณ คุ้มหลวงกลางนครเชียงใหม่ ทรงได้รับการศึกษาจากพระชนกชนนีในเรื่องอักษรไทยเหนือและใต้เช่นเดียวกับกุลบุตรกุลธิดาในสมัยนั้น เมื่อเจ้าดารารัศมีทรงเจริญพระชันษาได้ ๑๓ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าอินทวิชยานนท์จัดพิธีโสกันต์พร้อมกับพระราชทานเครื่องโสกันต์ระดับเจ้าฟ้าให้เจ้าดารารัศมีทรงในพิธีอีกด้วยเมื่อเจ้าดารารัศมีได้ตามเสด็จพระบิดาซึ่งเสด็จมาร่วมงานพระราชพิธีลงสรงและเฉลิมพระนามสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯให้เจ้าดารารัศมีถวายตัวเข้ารับราชการในพระราชสำนักฝ่ายใน ตำแหน่งเจ้าจอม เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๙ และโปรดเกล้าสถาปนาเป็นพระราชชายา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ เจ้าดารารัศมีมีพระราชธิดาพระองค์หนึ่ง พระนามว่า พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าวิมลนาคนพีสี แต่ทรงเจริญพระชันษาเพียง ๓ ปีเศษ ก็ประชวรสิ้นพระชนม์
เมื่อพระเจ้าอินทวิชยานนท์พระบิดาถึงแก่พิราลัย เจ้าดารารัศมีจึงทรงกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสด็จขึ้นไปเยี่ยมนครเชียงใหม่ เนื่องจากได้เสด็จประทับที่กรุงเทพฯ เป็นเวลาถึง ๒๒ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตอีกทั้งยังโปรดเกล้าฯ จัดงานพระราชพิธีสถาปนาพระอิสริยยศเจ้าดารัศมี จากเจ้าจอมมารดาขึ้นเป็นพระราชชายาเจ้าดารารัศมีแต่หลังจากพระราชชายาฯ เสด็จกลับจากเชียงใหม่ได้เพียง ๑๐ เดือน ก็ต้องทรงประสบความเศร้าโศกอันยิ่งใหญ่ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบต่อมา พระราชชายาฯ ยังคงประทับ ณ พระตำหนักสวนฝรั่งกังไส พระราชวังดุสิต จนกระทั่ง ปี พ.ศ. ๒๔๕๗ จึงได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเสด็จกลับมาประทับ ณ เชียงใหม่ บ้านเกิดเมืองนอน ในชั้นแรกโปรดประทับ ณ คุ้มท่าเจดีย์กิ่วริมแม่น้ำปิง ของเจ้าแก้วนวรัฐผู้เป็นพระเชษฐา
จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๒ พระชนมายุประมาณ ๕๖ พรรษา ย่างเข้าเขตปัจฉิมวัย ทรงมีพระประสงค์ประทับอยู่ที่ซึ่งสงบเงียบ จึงทรงซื้อที่นาเนื้อที่ประมาณ ๗ ไร่เศษ อยู่อำเภอแม่ริม ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ ๑๔ กิโลเมตร และสร้างพระตำหนักขนาดเล็ก ครึ่งตึกครึ่งไม้หลังคาทรงปั้นหยา ประทานนามว่า ตำหนักดาราภิรมย์ และบริเวณทั้งหมดเรียก สวนเจ้าสบาย
เมื่อประทับอยู่ ณ พระตำหนักดาราภิรมย์ พระราชชายาฯ ทรงสนพระทัยการทำสวน โปรดให้เจ้าชื่น สิโรรส พระญาติคนหนึ่งซึ่งเคยรับราชการเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมประจำจังหวัด ปัจจุบันคือ วิทยาลัยครูเชียงใหม่มาเป็นผู้ดูแลบุกเบิกที่นาอำเภอแม่ริมให้กลายเป็นที่สวน นับเป็นสวนแห่งแรกในเชียงใหม่ที่ใช้เครื่องมือและวิธีการทำสวนตามหลักวิชาการเกษตรแผนใหม่ พันธุ์พืชที่โปรดให้นำมาปลูกโดยมากนำพันธุ์มาจากต่างประเทศ เช่น หน่อไม้ฝรั่ง เชอรี่ บีทรูท แครอท กะหล่ำปลีสีม่วง และข้าวโพดพันธุ์ฝรั่งนอกจากนี้ยังทรงนำพันธุ์มะขามหวาน ลางสาด มังคุด และแอปเปิลเข้ามาทดลองปลูก เมื่อพืชพันธุ์ใดที่สามารถปลูกได้ผลผลิตดี ก็จะโปรดให้นำพันธุ์พืชนั้นไปแนะนำให้ราษฎรในแถบนั้นได้ปลูกด้วย นอกจากพันธุ์พืชดังกล่าวแล้วยังมีพันธุ์ไม้ดอกต่างๆ ที่โปรดมากที่สุดคือ ดอกกุหลาบ ทรงเป็นสมาชิกสมาคมกุหลาบแห่งประเทศอังกฤษ ทรงผสมพันธุ์กุหลาบด้วยพระองค์เอง จนได้กุหลาบพันธุ์ใหม่ดอกใหญ่สีชมพูกลิ่นหอมเย็น ทรงตั้งชื่อกุหลาบพันธุ์นี้เป็นพระบรมราชานุสรณ์ในพระบรมราชสวามี ว่าจุฬาลงกรณ์ จึงอาจนับได้ว่าสวนเจ้าสบายของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เป็นสถานที่ทดลองการเกษตรแผนใหม่เป็นแห่งแรกของจังหวัดเชียงใหม่พระราชชายาเจ้าดารารัศมีทรงดำเนินพระชนมชีพในบั้นปลายอย่างสงบสุข ณ ตำหนักดาราภิรมย์ สวนเจ้าสบาย จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงเริ่มประชวรพระโรคปัปผาสะพิการ (โรคปอด) เมื่อพระอาการทรุดหนักลง เจ้าหลวงแก้วนวรัฐพระเชษฐา จึงเชิญเสด็จให้ทรงย้ายจากตำหนักดาราภิรมย์ มาประทับอยู่ ณ คุ้มรินแก้ว ในตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อรักษาพระโรคได้สะดวก แต่พระอาการมีแต่ทรงกับทรุดจนสิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ ณ คุ้มรินแก้ว รวมสิริพระชันษาได้ ๖๐ ปี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานพระศพเป็นงานพิธีหลวง พระอัฐิส่วนหนึ่งบรรจุไว้ที่พระกู่ วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งทรงสร้างขึ้นด้วยพระองค์เอง อีกส่วนหนึ่งอัญเชิญไปบรรจุไว้ ณ สุสานหลวง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม
เมื่อพระราชชายาเจ้าดารารัศมีสิ้นพระชนม์แล้ว ตำหนักดาราภิรมย์และสวนเจ้าสบายตกเป็นสมบัติของทายาท คือ เจ้าลดาคำ ณ เชียงใหม่ พระนัดดาที่ทรงเลี้ยงมาแต่เยาว์ และธิดา ๒ คน ของเจ้าลดาคำ คือ ท่านผู้หญิงฉัตรสุดา วงศ์ทองศรี และ หม่อเจ้าภัทรลดา ดิศกุล จนถึง พ.ศ. ๒๔๙๖ สมัยพลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจ และมีนโยบายปราบปรามโจรจีนฮ่อที่ทำการค้าฝิ่นอย่างเด็ดขาด จำเป็นต้องมีกองบัญชาการรักษาชายแดนภาคเหนือ กรมตำรวจในนามของกระทรวงมหาดไทย จึงเจรจาขอซื้อที่ดินส่วนหนึ่งของสวนเจ้าสบายจากทายาท ตั้งเป็นกองบัญชาการตำรวจรักษาชายแดน โดยมีตำหนักดาราภิรมย์เป็นที่ตั้งกองบัญชาการ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๖ และตั้งชื่อสถานที่ตั้งกองบัญชาการหน่วยนี้ตามพระนามขององค์เจ้าของสถานที่ว่า “ค่ายดารารัศมี”มูลเหตุที่พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ทรงเข้ามามีบทบาทในการประสานความสัมพันธ์ระหว่างล้านนาและราชอาณาจักรไทย มีเรื่องราวความเป็นมา ดังนี้
พระเจ้าอินทวิชยานนท์ พระบิดาในพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ทรงสืบเชื้อสายมาจากพระยาสุลวะฤาไชยสงคราม (หนานทิพย์ช้าง) ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มการรวบรวมล้านนาให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง แต่ก็ยังคงอยู่ในอำนาจการปกครองของพม่า จนถึงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เชื้อสายพระยาสุลวะฤาไชยสงคราม ซึ่งเรียกกันว่า เจ้าเจ็ดตนได้ขอให้ไทยช่วยเหลือล้านนาให้พ้นจากการปกครองของพม่า ครั้นพ้นจากอำนาจพม่าแล้ว เจ้าเจ็ดตนจึงได้นำล้านนาเข้าสวามิภักดิ์ต่อไทยในฐานะประเทศราช
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตรงกับสมัยที่พระเจ้าอินทวิชยานนท์เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ ชาวยุโรปชาติต่างๆ โดยเฉพาะอังกฤษ ได้เข้าครอบครองดินแดนหัวเมืองมอญของพม่าบางส่วน และเริ่มแผ่ขยายอิทธิพลเข้ามาสู่ล้านนา เริ่มจากการติดต่อค้าขายเล็กๆ น้อยๆ จนถึงธุรกิจสำคัญ คือ กิจการทำป่าไม้ ซึ่งขณะนั้นทางเมืองหลวงจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวเพราะถือเป็นทรัพย์สินของเจ้าเมือง แต่กิจการให้เช่าทำป่าไม้ดังกล่าวได้สร้างปัญหาทางด้านการเมือง เพราะไม่มีกฎระเบียบแน่นอน จึงมักเกิดการขัดแย้งทะเลาะวิวาทระหว่างคนอังกฤษและคนในบังคับอังกฤษกับชาวเมืองล้านนา เป็นเรื่องราวฟ้องร้องให้เมืองหลวงต้องเข้าไปตัดสินเนืองๆ นับเป็นอันตรายใหญ่หลวงต่อเอกราชของชาติ เพราะจะเป็นโอกาสให้ชาวยุโรป ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำคัญในการแสวงหาอาณานิคมในภูมิภาคนี้ได้เข้ามามีส่วนในการบริหารประเทศ โดยอ้างว่าเพื่อระงับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงต้องทรงปรับเปลี่ยนนโยบายการปกครองหัวเมืองที่แต่เดิมต่างปกครองตนเอง โดยรวมเข้าเป็นกลุ่ม เรียก มณฑล และดึงอำนาจการปกครองเข้าสู่ศูนย์กลางคือ เมืองหลวง โดยส่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้ออกไปเป็นข้าหลวงปกครอง ด้วยเหตุนี้ ล้านนาจึงได้กลายเป็นมณฑลพายัพส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรไทย
ในการดำเนินพระราชวิเทโศบายผนวกอาณาจักรล้านนาเข้าเป็นมณฑลหนึ่งในการปกครองของไทยครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินการอย่างนุ่มนวลและรอบคอบ เพื่อมิให้เกิดการกระทบกระเทือนกระด้างกระเดื่อง วิธีหนึ่ง คือ การผูกความสัมพันธ์กันฉันท์เครือญาติดังกรณีที่ทรงรับเจ้าดารารัศมี พระธิดาพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เป็นพระภริยาเจ้า ตำแหน่ง พระราชชายาพระตำหนักดาราภิรมย์ สร้างขึ้นหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระราชชายาเจ้าดารารัศมี ทรงย้ายกลับมาประทับที่เชียงใหม่หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต
ห้องต่างๆ ในพระตำหนักดาราภิรมย์ (ชั้นบน) ประกอบด้วย
๑.โถงทางเดิน จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพระประวัต พระตำหนักที่ประทับในพระราชชายาเจ้าดารารัศมี
๒.ห้องรับแขก จัดแสดงของถวายอันเกี่ยวเนื่องกับพระราชชายาเจ้าดารารัศมี และเครื่องเรือนร่วมสมัย
๓.ห้องบรรทม จัดแสดงของถวายอันเกี่ยวเนื่องกับพระราชชายาเจ้าดารารัศมี และเครื่องเรือนร่วมสมัย
๔.ห้องพักผ่อนอิริยาบถ จัดแสดงจานชาม เครื่องเสวย ของใช้ส่วนพระองค์และเครื่องดนตรี
๕.ห้องจัดแสดงพระราชวงศ์ จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพระราชวงศ์ในสายสกัลเจ้าหลวงเชียงใหม่
๖.ห้องจัดแสดงฉลองพระองค์ ผ้าทอที่พระราชชายาฯ ทรงออกแบบลวดลายและส่งเสริมการทอชุดการแสดงที่พระราชชายาฯ ได้ทรงฟื้นฟู
และทรงดัดแปลงศิลปะภาคกลางให้เข้ากับศิลปะภาคเหนือ
๗.ห้องสรงชั้นล่าง จัดแสดงเครื่องมือเกษตร ที่ทรงใช้ในการทดลองการเกษตรแผนใหม่ ในส่วนเจ้าสบาย นอกจากนั้นยังมีเครื่องทอผ้า ซึ่งใช้ทอผ้าสำหรับพระราชชายาฯ โดยเฉพาะวัน - เวลา เปิดพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชม
วันอังคาร - วันอาทิตย์ เวลา ๙.๐๐ - ๑๗.๐๐ น.
(วันจันทร์ปิดทำการ)
อัตราค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์
ราคา ๒๐ บาท
พระสงฆ์/นักเรียนในเครื่องแบบ
ฟรีโทรศัพท์ ๐๕๓-๒๙๙-๑๗๕ โทรสาร ๐๕๓-๒๙๘-๐๖๑