แต่ว่ามีอยู่คนหนึ่ง ปลัดอำเภอมาเล่าให้ฟัง
ว่าถูกลอตเตอรี่ถูกรางวัลที่หนึ่งเสียด้วย
เวลาถูกรางวัลที่หนึ่งในสมัยนั้น
เขามีวัฒนธรรมต้องสวมเสื้อแต่งตัวเรียบร้อยจะไปไหน
แกมาบอกกับท่านปลัดที่คุ้นเคยกันว่า
ท่านปลัด ผมจะไปรับรางวัลลอตเตอรี่ แต่ไม่มีเสื้อจะสวม จะไปอย่างไร
แกไม่มีเสื้อจะสวมจริงๆ แกเป็นลูกจ้างเขา มือด้าน ร่างกายล่ำสัน แข็งแรง
แล้วก็บอกว่าจะทำอย่างไร ท่านปลัดก็นึกว่าพูดเล่น
เลยถามว่าถูกจริงๆ หรือ ถูกจริงๆ ครับ ผมทานดูแล้วมันตรงจริงๆ
ไหนเอามาดูซิใบที่ถูกมีหรือเปล่า ห่อไว้ที่ชายผ้าเอามาให้ดูถูกจริงๆ
เลยก็อุปถัมภ์ ไม่เป็นไร เสื้อฉันจะให้เอง แล้วกางเกงที่ดีกว่านี้มีหรือเปล่า
มันมีตัวเดียวตัวนี้ ปะหน้าปะหลังเชียว กางเกงตัวนี้ก็ไม่ได้ แต่งไปรับเงินไม่ไหว
เอาของฉันไปทั้งชุดเลย แต่งให้เรียบร้อย พาไปรับเงิน
รับเงินแล้วก็ช่วยนำไปฝากธนาคารอะไรให้
แล้วถามว่าได้เงินแล้วไม่คิดจะไปเที่ยวไปเตร่อะไรมั่ง
แกบอกว่า ไม่ไหวครับจะไปสนุกอะไร ผมไม่อยากจะสนุก
แล้วคิดจะทำอะไรมั่ง ผมจะเอาเงินไปซื้อที่ดิน
เพื่อจะทำสวนของผมเองมั่ง เพราะว่าเป็นลูกจ้างเขามาก็หลายปีแล้ว
อยากจะทำสวนของตัวเอง เลยให้ท่านปลัดนั้นแหละช่วยเหลือ
ในเรื่องที่จะซื้อหาที่ดินอะไรให้
เลยมาเบิกเงินไปซื้อที่ดินแปลงหนึ่งยี่สิบกว่า ไร่
ซื้อที่ดินแล้วก็ซื้อเสามากั้นบริเวณ แล้วก็ลงมือทำงาน
จ้างเขามั่งตัวเองทำด้วย เอาอย่างจริงจัง
ผลที่สุดตั้งตัวได้เป็นหลักเป็นฐานนั้นเรียกว่า คนมีฐาน
อะไรตกลงมา ฐานมันก็ไม่เอียง มันมั่นคงเรียบร้อย
แต่ถ้าฐานไม่ดี พออะไรหล่นลงมาฐานก็เอียงไป ทรุดไป
เหมือนคนถีบสามล้อถูกลอตเตอรี่ สามารถก้าวหน้าไปด้วยความเรียบร้อย
เดี๋ยวนี้ชานพระนครมีคนร่ำรวยเยอะแยะ เพราะถนนมันผ่านไป
พอถนนผ่านไป ที่มีราคา พอที่มี ราคาก็ขาย
พวกนักจัดสรรที่ก็ไปซื้อ บางทีซื้อไว้ล่วงหน้า ถนนยังไม่ไป ซื้อไว้ก่อน
พอถนนไปราคาดีก็ขายต่อ คนที่เป็นเจ้าของนาซึ่งสมัยก่อนนี้ลำบาก
ทำงานทำการ ขายที่ได้เงินล้านหนึ่ง สองล้าน สามล้าน
ลูก หลายคนก็แบ่งให้ลูกๆ ลูกๆ พอได้เงินมาก็ไปซื้อรถยนต์มาคันหนึ่ง
ขับปร๋อไปปร๋อมา เที่ยวเตร่เฮฮา ปีครึ่ง สองปี เงินก็หมด ไม่มีเหลือ
แล้วก็มาขอแม่อีก แม่ก็ให้ต่อไปอีก ผลที่สุดก็ไม่มีอะไรเหลือ
ขายดินเสร็จแล้วเงินที่ได้มาก็ใช้จนหมด จนเกลี้ยง
แต่ถ้าเป็นคนเฒ่าคนแก่ แกใช้ไม่หมด
คนแก่นี่เขานึกถึงเรื่องอะไร นึกถึง เรื่องบุญเรื่องกุศล
พอได้เงินมาก็นึกว่าจะไปสร้างอะไรดี ไปสร้างศาลาไปสร้างกุฏิสงฆ์
ไปช่วยโรงเรียน ไปโรงพยาบาล คนแก่เขาคิดแต่เรื่องบุญเรื่องกุศล
ได้เงินมาก็คิดจะไปทำบุญไปบริจาคทานทั้งนั้นแหละ
เงินก็เหลืออยู่ บริจาคไม่พอยังมีเหลืออีก เพราะแกไม่สนุกแล้ว
แต่ว่าเด็กหนุ่มๆ พอได้เงินมาก็คิดไปซื้อรถ
แล้วขับรถเที่ยวสนุกสนาน ไปอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เท่าใดเงินก็หมดสิ้น
ดินก็หมดกัน อันนี้แหละเขาเรียกว่า ความเสียหาย
คนโบราณเขาสอนนักสอนหนา ไม่ให้ขายที่ดิน
ที่ดินที่พ่อแม่เขาหาไว้ให้ เขาไม่ให้ขาย
เพราะถ้าถึงขายทรัพย์สมบัติของพ่อแม่แล้ว
แสดงว่าจนแต้มแล้ว ไม่มีทางจะไปแล้ว
ต้องขายที่ดินกินแล้วก็หมดทาง เขาจึงห้ามไม่ให้ขาย
แต่ให้เก็บไว้เป็นสมบัติดั้งเดิมเป็นที่ระลึกว่า
อันนี้แหละของที่พ่อแม่ให้ไม่ควรขาย
คนโบราณเขาสอนนักสอนหนา อะไรที่พ่อแม่ให้เขาไม่ให้ขาย
สายสร้อย แหวน เพชร นิล จินดาอะไรที่พ่อ แม่ให้เขาไม่ให้ขาย
ไม่ให้เอาไปจำนำ หรือเอาไปทำอะไร แต่รักษาไว้อย่างดีที่สุด
อันนี้เขาตั้งไว้เพื่ออะไร เพื่อจะให้ลูกหลานได้รู้จักรักษาทรัพย์
ให้ทรัพย์มันอยู่คงทนต่อไป เพราะถือว่าเป็นของที่พ่อแม่ให้ ไม่ควรจะขาย
แล้วเขาบอกไว้ด้วยว่า ถ้าใครขายของดั้งเดิมแล้ว เอาตัวไม่รอด
มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่เขาขายมาๆ จนกระทั่งหมด
ผลที่สุดก็เอาตัวไม่รอด อันนี้มีอยู่ทั่วไปในสังคมของมนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าฐานไม่ดีดังที่กล่าว คือ ไม่มีธรรมะเป็นหลักประจำใจ
มันจะลืมตัวสนุกสนาน เพลิดเพลินไป ไม่คิดถึงอนาคตข้างหน้า
เวลานี้เราต้องคิดถึงเหมือนกัน อดีต ปัจจุบัน อนาคต
ต้องเอามาประกอบกันเข้า เพื่อเป็นเครื่องพิจารณา
เตือนจิตสะกิดใจในชีวิตของเรา เช่นเรื่องอดีต เราต้องเอามาเปรียบกับปัจจุบัน
คนเราทุกคนมีอดีต มีปัจจุบัน มีอนาคต
อดีตนั้นเอามาเป็นเครื่องเตือนใจอย่างไร
สมมติว่าเมื่อก่อนนี้เราเป็นคนอย่างไร เป็นคนธรรมดาๆ ไม่มีเงินไม่มีทองใช้
อยู่ในฐานต่อสู้ตัวเป็นเกลียว เพื่อจะได้ตั้งเนื้อตั้งตัวเป็นหลักเป็นฐาน
เพื่อให้เทียมหน้า เทียมตา กับคนอื่นเขา
เราก็ต้องเอามาพิจารณาว่า อดีตของเรานั้นอยู่ในสภาพลำบากอย่างไร
ความลำบากทั้งหลายควรจะเป็นบทเรียน
เป็นครูเตือนจิตสะกิดใจของเราไว้ว่า เราต้องอาศัยความเพียร
ความอดทน ความก้าวหน้า การทำจริง ชีวิตจึงได้ผ่านพ้นอุปสรรค
คือ ความลำบากนั้นมาได้ มาอยู่ในฐานะที่สบายดังเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้
ทีนี้เมื่อสบายแล้ว บางทีเราจะลืมตัวไป ลืมนึกไปถึงอดีต
ว่าเราเคยเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ที่คนโบราณเขาพูดว่า วัวลืมตีน
คือ มันลืมว่าตีนมันมีกี่ตีน แล้วมันควรจะเหยียบอะไร บ้างมันลืมไป
เลยไปเหยียบพลาดไปถูกนั้นถูกนี้ เจ็บไข้ได้ป่วย
เขาจึงว่าวัวลืมตีน คนเราบางทีก็ลืมไปในเรื่องอย่างนั้น
ไม่ได้นึกถึงของเก่า ที่เคยเป็นเคยอยู่อย่างไร
พอมีอะไรผิดขึ้นจากเดิมก็เมาในสิ่งนั้น เมาในเงิน
เมาในทองในอำนาจ ในความเป็นใหญ่
พวกบริวารก็ทำให้คนเมาเหมือนกัน เพราะมีแต่การป้อยอปอปั้น อย่างนั้นอย่างนี้
ล้วนแต่ว่าพูดให้เหลิงเจิ้งให้มึนไปทั้งนั้น เหมือนกินเหล้าหวาน เมาตลอดเวลา
ทำให้นึกอะไรไม่ได้ นี่แหละคือความประมาทตัวหนึ่ง
ความเมาแบบนี้พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นความประมาท
ชีวิตจะต้องตกต่ำไม่ก้าวหน้า
แต่ถ้าเราไม่เมาเอาอดีตมาเตือนตัวเองไว้เสมอว่า
สมัยหนึ่งเราเคยเป็นอย่างนั้น เราเคยลำบากตรากตรำ
เดี๋ยวนี้สบายก็อย่านึกว่าจะสบายเสมอไป
เพราะพระท่านบอกว่า สิ่งทั้งหลายมันไม่เที่ยง
อาจจะเปลี่ยนแปลงลงไปเมื่อใดก็ได้
เหตุการณ์ทั้งหลายมันไม่แน่นอน ตัวเรามันเปลี่ยน โลกมันเปลี่ยนแปลง
มีอะไรเปลี่ยนแปลงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเกิดขึ้น
เรากลับตัวไม่ทันจะลำบากเดือดร้อน
เพราะฉะนั้นจะต้องเตรียมไว้ให้มั่นคง
เช่นว่า เงินทองที่เราหาได้ เราจะจ่ายให้มันหมดเสียก็ไม่ได้
สนุกเกินไปก็ไม่ได้ จ่ายเติบเกินไปก็ไม่ได้
ต้องคิดว่าอนาคตมันจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ไม่รู้
เราจะต้องเผื่อไว้บ้าง เรียกว่า เผื่อขาดเผื่อเหลือ อย่างนี้ก็ไม่ประมาท
เพราะนึกถึงอนาคตไว้ แล้วเป็นคนที่ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ชีวิตจะไม่ตกต่ำ
นี่เขาให้คิดถึงอดีตเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจเรา สำหรับชีวิตของเราคนเดียว
เรื่องอดีตของสังคมก็ต้องคิดเหมือนกัน เช่นเรื่องบ้านเมือง
เรื่องชาติ เรื่องประเทศ ในอดีตเป็นมาอย่างไร
บรรพบุรุษเราเคยประพฤติมาอย่างไร เคยปฏิบัติอย่างไร
สร้างชาติสร้างบ้านเมืองมาโดยวิธีใด
มีอะไรบกพร่องในเหตุการณ์นั้นๆ บ้าง
เพราะในประวัติศาสตร์เขาเขียนไว้ทั้งสองอย่าง
เรื่องดีเขาก็เขียนไว้ เรื่องเสียเขาก็เขียนไว้
ประวัติศาสตร์ก็คือบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตที่ผ่านมา
สิ่งเหล่านั้น เป็นเรื่องที่น่าเรียน น่ารู้น่าศึกษา
ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ของบุคคลเฉพาะคนของชาติของส่วนรวม
ตลอดจนถึงของโลก การศึกษาประวัติศาสตร์ก็คือศึกษาอดีตนั่นเอง
เอามาเป็นครูของเราต่อไป เพื่อให้เราเห็นว่าสิ่งทั้งหลายมันเป็นอย่างไร
และที่มันเกิดขึ้นอย่างนั้นเพราะอะไร
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แล้วทำให้ล่มจมนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร
ในเรื่องนี้ถ้าเราศึกษาดูให้ดีแล้ว คนก็ตาม ประเทศชาติก็ตาม
ที่เกิดความล่มจมนั้นก็เพราะว่า มันมัวประมาทหลงไหลมากเกินไป
พอเกิดความหลงใหลมัวเมาในความสุขความสบาย
ก็หาแต่ความสุขเพลิดเพลินแต่ความสบาย ไม่ได้คิดจะทำอะไรมันก็เสียหาย
ในพระสูตรทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า
พวกกษัตริย์ลิจฉวีนั้นเป็นพวกที่อยู่กันอย่างมั่นคง
กษัตริย์แคว้นอื่นแม้จะมาตีก็ไม่แตก
เพราะกษัตริย์ลิจฉวียังประพฤติธรรมมันอยู่ คือ ยังไม่ประมาท
พวกกษัตริย์ลิจฉวีนั้นเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย
แล้วก็หลับนอนในที่ที่ไม่สบาย คือ เขาหนุนหมอนไม้
ไม่ใช่หนุนหมอนยัดด้วยนุ่นยัดด้วยสำลี ซึ่งนอนแล้วสบาย
พวกกษัตริย์ลิจฉวีเป็นพวกหนุนหมอนไม้
เป็นผู้เตรียมพร้อม เพื่อการตื่นอยู่ตลอดเวลา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตราบใดที่กษัตริย์ลิจฉวียังหนุนหมอนไม้อยู่
กษัตริย์อื่นจะมาตีนครเวสาลีไม่ได้เป็นอันขาด
คือ มีไม่แตกเพราะกษัตริย์ยังอยู่ในธรรม
ยังไม่หลงใหลมัวเมาในความเป็นอยู่ที่ฟุ้งเฟ้อ
แล้วพระองค์ก็ทำนายไว้ว่า
เมื่อใดพวกกษัตริย์ลิจฉวีหนุนหมอนข้างแดง ตื่นสาย
กินข้าวสาลีที่มีเม็ดอันงดงาม ปรุงแต่งให้รสชาติด้วยประการต่างทั้งปวงแล้ว
เมื่อนั้นแหละกษัตริย์ลิจฉวีจะล่มจม
แล้วก็จริงๆ เหมือนกัน ต่อมาพวกกษัตริย์ลิจฉวีแตกแยกกัน
ต่างคนต่างหาความสุขความสบายส่วนตัว ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม
คือ ประเทศชาติบ้านเมือง ผลที่สุดก็แตกพ่าย
พระเจ้าอชาติศัตรูตีแตกเอาเป็นเมืองขึ้น ที่อื่นก็เป็นอย่างนั้น
สังคมในโลกมันก็เป็นอย่างนั้น
ถ้าศึกษาในจักรวรรดิต่างๆ ที่เคยรุ่งโรจน์ แล้วก็ล่มจมลงไป
มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาแต่ว่าทำให้ผิดธรรมชาติ
คือ มัวเมาสนุกสนานกันมากเกินไป พอมัวเมาสนุนสนานก็ลืมตัว
ลืมตัวก็ไม่เตรียมตัวให้พร้อม ในการที่จะป้องกันตน ป้องกันชาติ
ก็ล่มจมกันเท่านั้นเอง อันนี้เป็นเรื่องที่ควรศึกษาอดีตไว้ตลอดเวลา
เพื่อเอามาเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ
ไม่ให้ประมาทไม่ให้มัวเมาในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ
คนโบราณเขาจึงสอนไว้ว่า ตักน้ำใส่กระโหลก ชะโงกดูตัวเสียบ้าง
เพื่อจะให้รู้ว่าเราบกพร่องในแง่ใด เสียหายในเรื่องอะไร
ประมาทอย่างไร จะได้รู้เนื้อรู้ตัว ให้ดูกระจกบ่อยๆ
กระจกที่เป็นแว่นแก้วที่เขาทำขายนั้น ดูได้แต่เพียงร่างกาย
แต่กระจกแว่นธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ดูให้ถึงจิตใจ
เราต้องเอาธรรมะมาส่องดูจิตใจของเรา ความคิดความนึก
การเป็นการอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา
ว่ามีอะไรไม่เหมาะไม่ควรมีอะไรควรจะปรับปรุงแก้ไข
มีอะไรควรจะทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้ อันนี้จะต้องคิดบ่อยๆ
ถ้าคิดไว้บ่อยๆ แล้วรับรองว่าไม่ตกต่ำ ชีวิตจะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ
ฐานะการเงินการทอง การเป็นอยู่ก็จะเรียบร้อย ไม่บกพร่อง
เพราะเราเป็นผู้ไม่ประมาท อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ เรียกว่า นึกถึงอดีตไว้
ทีนี้ตัวปัจจุบันเราจะนึกอย่างไร
สำหรับตัวปัจจุบันนั้นก็ให้นึกแต่เพียงว่า เราอยู่ บัดนี้ เรามีอะไร
ที่จะต้องทำและเราควรจะทำสิ่งนั้นอย่างไร
ควรจะคิดอย่างไร ควรจะพูดอย่างไร ควรจะทำในเรื่องใด
เรื่องที่เราจะทำนั้นมันถูกหรือผิด มันชั่วหรือดี
มันจะเป็นให้เกิดความเสื่อม ความเจริญแก่ชีวิตจิตใจ
สภาพครอบครัวอย่างไร เป็นเรื่องที่จะต้องตรวจสอบอยู่เสมอ
ในขณะที่ทำอยู่ปฏิบัติอยู่ในเรื่องนั้น อย่าเผลอ
อย่าประมาทในตัวปัจจุบัน แล้วตัวปัจจุบันนี่แหละสำคัญที่สุด
เพราะปัจจุบันมันสร้างอดีต ปัจจุบันมันสร้างอนาคต
อดีตของเราจะสดใสรุ่งเรืองเป็นที่น่าชื่นใจ ก็เพราะตัวปัจจุบัน
ถ้าเราทำปัจจุบันดี มันล่วงไป มันก็เป็นอดีต อดีตมันก็ดี
เช่นว่าวันนี้เราทำดี พรุ่งนี้วันนี้มันเป็นวันวานไปแล้ว ก็เป็นอดีตของพรุ่งนี้
วันพรุ่งนี้เราทำดีมันก็เป็นอดีตของวันต่อไป
ชั่วโมงนี้เราทำดี มันก็เป็นอดีตของชั่วโมงหน้า
ชั่วโมงหน้ามันก็ สัมพันธ์กับปัจจุบัน
เพราะฉะนั้นตัวปัจจุบันนี้จะต้องอยู่ด้วยตัวสติ ตัวปัญญา
ให้ถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำไว้
เอาพระธรรมเป็นแผนที่ทางเดินของชีวิต อย่าเดินผิดทาง
ให้เดินตามแผนที่ที่พระท่านบอกไว้ให้เราเดิน
เดินด้วยความระมัดระวัง เดินด้วยความกลัว
กลัวว่ามันจะผิด กลัวว่ามันจะเสียหาย
กลัวมันจะเกิดทุกข์เกิดโทษแก่เรา แก่คนอื่น ให้นึกไว้อย่างนั้น
ถ้าเรานึกไว้อย่างนี้แล้ว ตัวปัจจุบันของเราก็จะเรียบร้อย
อนาคตที่จะมาถึงก็เรียบร้อยเหมือนกัน นี่เรียกว่า ตัวปัจจุบัน
สำหรับเรื่องอนาคตข้างหน้านั้น เราก็ต้องวางแผนไว้
อย่าทำอะไรเพียงแต่คิดว่าให้สำเร็จไปในเพียงชั่วโมงนี้ หรือเพียงวันนี้
มันมีวันพรุ่งนี้อีก มันมีเดือนหน้าอีก มันมีปีหน้าอีก
เพราะชีวิตของเราไม่แน่ว่า จะไปดับลงเมื่อใด
วันนี้เราอยู่ พรุ่งนี้ไม่แน่ว่าจะไปดับลงเมื่อใด
วันนี้เราอยู่ พรุ่งนี้ไม่แน่ว่าจะอยู่หรือไม่อยู่
ถ้าอยู่เราจะอยู่อย่างไร เราจะมีอะไรกินอะไรใช้
เราจะอยู่อย่างคนมีเกียรติมีชื่อเสียงไหม เราควรจะนึกอะไร
ควรจะทำอะไรในทางที่จะเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่อนาคต
ในชีวิตของเราท่านสอนให้นึกถึงเรื่องอนาคตไว้เสมอ
เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจของเราเองว่า ข้างหน้ามันยังมีอยู่
ไม่ใช่ว่าจะกินกันให้หมดในวันนี้ พรุ่งนี้ช่างเรื่องมัน
เหมือนกับคนที่อยู่ตามบ้านนอกบ้านนาในป่าในดง
คนเหล่านี้เขาไม่ค่อยคิดถึงอนาคตเท่าไหร่ ทำอะไรก็เอาแต่เรื่องง่ายๆ
สมมติว่าเข้าไปในป่าเจอต้นไม้เข้าต้นหนึ่ง แล้วมันก็มีลูกกินได้
แทนที่เขาจะเอาอะไรมาสอยไปกินสักผลสองผล
เขาไม่ทำอย่างนั้น โค่นมันเสียเลย โค่นมันลงมาทั้งต้นเลย
แล้วก็เก็บเอาผลไปกินคราวเดียวต้นไม้นั้นก็ตาย
เลยก็ไม่ได้กินกันต่อไป อันนี้มีอยู่ทั่วๆ ไป
กินผลไม้สองสามผลแต่ตัดต้นลงมาเลย ต้นไม้นั้นก็หมดพันธุ์กันไป
นี่เขาเรียกว่า ไม่นึกถึงอนาคตของชาติ ของบ้านมือง
หรือคนที่มีนิสัยทำลาย เช่นทำลายป่า ทำลายต้นน้ำลำธาร
หรือว่าทำอะไรๆ ต่างๆ เอาแต่ประโยชน์ส่วนตัวคนเดียวเฉพาะหน้า
แต่ได้คิดวาอนาคตข้างหน้า มันจะเป็นอย่างไร
เขาไม่ได้คำนึงถึงเรื่องอย่างนั้น พวกเหล่านี้เป็นพวกไม่มีอนาคต
เพราะฉะนั้นจึงทำเอาแต่เฉพาะหน้าพอผ่านพ้นไป
ข้างหน้า จะมีอะไรเกิดขึ้นเขาไม่นึกถึง
อันนี้ทำให้เกิดความเสียหายแก่ตนแก่ท่าน
ตลอดถึงส่วนรวมประเทศชาติด้วย เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นในแง่ของการปฏิบัติธรรมะ
เราจึงต้องคิดถึงอนาคตไว้บ้าง อย่าเอาแต่เรื่องปัจจุบัน
คนบางคนอาจะคิดแต่เพียงว่า ทำอะไรเราก็ไม่ได้กินไม่ได้ใช้
สมมติว่าจะปลูกต้นไม้ไว้สักต้นหนึ่ง บางคนไม่ปลูก
เพราะว่าปลูกทำไมไม่กี่วันก็ตายแล้ว ไม่ได้หรอก
เขาเรียกว่า ไม่ได้คิดถึงอนาคต ไม่ได้คิดถึงคนอื่นที่จะเกิดตามมา
ทำอะไรไม่ใช่เพื่อเราคนเดียว เราจะต้องนึกถึงคนอื่น
เช่นเราปลูกต้นไม้ใช่ไว้ สักต้นหนึ่ง
แม้เราจะไม่ได้นั่งร่มเงาของต้นไม้นั้น แต่ว่าเมื่อมันโตขึ้นคนอื่นได้อาศัย
ได้รับความสะดวกสบาย คนเราจะไปอยู่ในที่ใดก็ตาม
ก็ควรคิดไว้เสมอว่า ควรจะทำอะไรทิ้งไว้บ้าง
ไม่ใช่อยู่เอาแต่ประโยชน์แล้วก็ไม่ทำอะไร
คนบางคนมันก็เป็นอย่างนั้น อยู่บ้านก็อยู่มันเรื่อยไป
เหมือนบ้านข้าราชการหลายแห่ง อาตมาไปเที่ยวมา อยู่กันอย่างนั้น
ไม่เอาใจใส่ปัดกวาดบริเวณบ้านให้สะอาด ไม่ตัดหญ้าไม่ปลูกต้นไม้
ไม่ทำอะไรให้มันดีขึ้น อยู่มันหญ้าคารกเกือบถึงใต้ถุนบ้าน
ไปเห็นเข้าแล้วนึกว่า เขาอยู่อย่างไร ไม่เป็นตัวอย่างแก่ประชาชนชาวบ้าน
แล้วก็บอกว่า ไม่กี่วันก็จะไปแล้ว อยู่บ้านหลวงอย่างนั้นแหละ
นี่แหละคิดง่ายๆ สั้นๆ เท่านั้นเอง
เรียกว่า อยู่ไม่ใช่บ้านของเราเอง จะทำไปทำไม
หรือว่าเหมือนคนเช่าที่ดินเขาอยู่ ก็ปลูกบ้านอยู่ แต่ว่าจะปลูกบ้านอยู่
แต่ว่าจะปลูกมะม่วงต้นไม้ที่กินได้ไม่ปลูก
ถามว่า ทำไมไม่ปลูก ไม่ใช่ดินของผม
ปลูกแล้วผมก็ไม่ได้ใช้ นึกเอาง่ายๆ เท่านั้นเอง
แล้วไม่คิดว่า ที่ตัวอยู่นั้นอยู่อย่างไร แล้วปลูกไว้ถึง
เราไม่ได้กินคนอื่นเขาก็ได้กิน หรือว่าเราอยู่ต่อไปเราก็ได้กินมันบ้าง
ไม่ได้กินก็ได้อาศัยร่มเงา ไม่ได้อาศัยร่มเงา ก็ยังได้อาศัยออกซิเจน
จากใบไม้ที่มันพ่นออกมาในเวลากลางวัน มันยังได้ทั้งนั้น
แต่นี่ไม่คิดอะไร คิดแต่ว่าจะทำลาย นิสัยทำลายยังมากอยู่ในบ้านเรา
นิสัยสร้างมันยังน้อย ถ้าไม่เพาะนิสัยสร้างแล้ว บ้านเมืองจะไม่เจริญก้าวหน้า
ในทางศาสนาจึงสอนว่า ให้ปลูกต้นไม้ ให้ปลูกศาลา
ให้ขุดสระ ให้ขุดบ่อ ที่สอนอย่างนั้น ก็เพื่อให้ทำสิ่งที่เป็นสาธารณะ
ที่คนจะได้อาศัยเกิดความร่มความเย็นกันตามสมควรแก่ฐานะ
แถวทางปักษ์ใต้โดยเฉพาะจังหวัดภาคใต้สมัยก่อนเขามีศาลามาก
ศาลาพักร้อน คนไปคนมาก็ได้ พักกัน
สร้างศาลาขุดบ่อน้ำไว้ข้างศาลา แล้วก็ปลูกต้นไม้
เช่น ปลูกต้นประดู่ ต้นพิกุล แต่ให้มันมีร่มมีเงา
เขามักจะสร้างคู่กัน สร้างแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะทิ้ง ยังเอาใจใส่ดูแลปัดกวาด
เคยรู้จักคุณโยมคนหนึ่ง แกเอาใจใส่เหลือเกิน
สร้างกุฏิไว้ที่วัดแห่งหนึ่ง อาตมาก็เคยไปอยู่ที่กุฏิหลังนั้น
ชั้นแรกก็ไม่รู้จักเจ้าของ อยู่ๆ วันหนึ่งเห็นแกมาถึง แกกวาดในกุฏิด้วย
ความจริงเราก็กวาดไว้ทุกวันแล้ว แต่ว่ายังมีหยากใย่
ไปถึงก็กวาดข้างกุฏิดายหญ้าดายอะไร
เลยถามว่า คุณยายมากวาดนี่มาบ่อยหรือ บอกว่า กุฏินี้ดิฉันสร้างไว้
ดิฉันต้องมาดูบ่อยๆ มากวาด นี่ท่านมาอยู่สะอาดดี องค์ก่อนอยู่ไม่ค่อยสะอาด
ท่านมาดูบ่อยๆ องค์ก่อนอยู่ไม่กวาด นี่ท่านมาอยู่ ค่อยสะอาดหน่อย
แต่ว่าข้างกุฏิมันรกก็เอาเด็กมาถางหญ้า เอาคนใช้มาด้วย มาดายมาถางหญ้า
แล้วก็สร้างศาลาไว้นอกเมืองข้างสนามบิน เดี๋ยวนี้เขารื้อหมดแล้วบริเวณนั้น
เขาทำสนามบินสงขลา ทำศาลาไว้ สร้างบ่อน้ำไว้แล้วก็ไปกวาด
เพราะว่าคนพักกินอะไรก็ทิ้งบริเวณศาลา กินแตงโมก็ทิ้งเปลือกไว้
กินกล้วย ก็ทิ้งเปลือกไว้ กินขนมมีใบตองห่อก็ทิ้งไว้ รกรุงรัง
ห้าวันเจ็ดวัน ยายนี้แกก็ไปทีหนึ่ง กวาดบริเวณนั้นกวาดหมด
เอาไปเผาไฟเรียบร้อย ทีนี้ที่บ่อน้ำพวกรถยนต์มันเอารถเข้ามาจอด
บางทีมันก็ชนเอาขอบบ่อพังไป แล้วมันก็เสียหาย
แกก็เอาลวดหนามกั้นไว้ ทำรั้วกั้นบ่อ เปิดประตูไว้ให้เข้าไปตักได้
แกบอกว่า ที่กั้นไม่ใช่เรื่องอะไร อย่าให้รถมันเข้าไปถึงบริเวณปูนที่ผูกไว้
ให้มันจอดข้างนอกให้มันเข้าไปตักเอา เอาไปกั้น ไว้
ทีนี้ศาลาที่นั่งอย่างนั้นเป็นไม้ คนนั่งมักซุกซน
มีขวานมีพล้าก็นั่งแล้วสับเล่น แกหาเหล็กมาดามไว้
ถามว่าทำไมต้องดามเหล็ก แกบอกว่า มันซน
พวกนั่งที่ศาลา มันถือพล้าถือขวานมันก็สับเล่น อย่างนี้ก็เสียให้หมด
เลยเอาเหล็กไปดามไว้ สับพล้าขวานมัน*นไปเอง
แกเอาใจใส่ถึงขนาดอย่างนั้น
ดูแลอยู่ตลอดเวลา เขาสร้างแล้วหมั่นตกแต่งบริเวณอะไรต่ออะไร
เขาเรียกว่า ทำเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น
แต่ว่ามันน่าเจ็บใจที่คนอื่นผู้ไปใช้ไม่ช่วยรักษาในสิ่งที่เขาสร้างไว้
คนเราไม่ค่อยคิดในเรื่องอย่างนั้น ไปนั่งที่ศาลาก็ไม่ได้คิดว่า
เขาสร้างไว้ดี เราได้มาอาศัยพักร้อน
เราไม่ได้ทำอะไรก็อย่าไปทำลายของเขาเลย
ให้มันอยู่ในสภาพเรียบร้อยต่อไป ไม่อย่างนั้น บางทีพ่อรื้อได้พ่อเอาไปเสียเลย
เช่นเหมือนสะพานทำด้วยไม้เคี่ยม บางแห่งเขาทำตาลโตนดมาก
กระดานไม้เคี่ยมหายไปเสียแล้ว มันเอาไปใส่ในน้ำตาล อย่างนี้ก็มี
ที่กรมทางหลวงสร้างศาลาเล็กไว้ริมทาง
บางแห่งกระดานหายเหมือนกัน วันก่อนนั่งรถผ่านสายเพชรบุรี-ปากท่อ
ไปเห็นศาลาหลังหนึ่งกระดานหายไปหลายแผ่น
เอาไปเสียสี่ห้าแผ่น เขาสร้างให้คนนั่งพักมันเอาไปเสีย เอาไปใช้ส่วนตัว
คนแบบนี้มันก็มีเหมือนกันในโลกนี้ มีอยู่
แต่ว่าเราอย่าไปคิดอย่างนั้น มันเอาไปก็เอาไปเราสร้างใหม่ต่อไป
เหมือนกับเศรษฐีคนหนึ่งใน ครั้งพุทธกาล แกสร้างวิหารให้พระพัก
แต่ว่ามีคนหนึ่งมันเกลียดเศรษฐี คนไปบอกว่าคนลอบเผาวิหาร
เศรษฐียืนดูแล้วก็ยิ้มสบายใจ เขาถามว่าทำไม
เขาเผาวิหารของท่านเสียแล้วไม่แสดงการเสียใจ
ฉันไม่เสียใจอะไร มันไม่ค่อยดีเท่าใดวิหารหลังนี้
เผาเสียก็ดีฉันจะได้สร้างใหม่ แล้วก็เป็นการฉลองวันนั้น
ในวันที่ฉลองนั้นมันมาแอบอยู่ข้างหลังวิหาร จะทำร้ายเศรษฐี รอหาโอกาสอยู่
เศรษฐีท่านทำบุญ ทำบุญ แล้วก็กรวดน้ำ กรวดน้ำท่านกรวดดังๆ
บอกว่าด้วยอำนาจแห่งการบริจาคทรัพย์สร้างวิหารหลังเก่า
ซึ่งผู้ร้ายมันเผาไปแล้ว แล้วก็สร้างหลังใหม่ขึ้นมาอีก
ขอส่วนบุญส่วนกุศลนี้จงไปสำเร็จประโยชน์ แก่คนที่เผาวิหารของข้าพเจ้าด้วย
ขอให้มารับเอาส่วนบุญแล้วขอให้มีความสุขความเจริญ
แหม คนนั้นฟังแล้วขนลุกขนพอง
แหม กูเผาวิหารแล้วเขายังแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้อีก
เลยออกมาถึงวางมีดเฉพาะหน้า แล้วก็กราบเศรษฐีขอโทษขอโพย
ว่าที่มาเผาวิหารนั้นผมเองแหละ
แล้ววันนี้ก็ถือมีดเล่มนี้มาด้วยนึกว่าจะมาจ้วง แทงให้ถึงแก่ความตาย
แต่ว่าทำไม่ได้แล้วท่านชนะข้าพเจ้าด้วยคุณธรรม
เพราะท่านยังอุตส่าห์แผ่ส่วนบุญ ส่วนกุศลให้ข้าพเจ้า
แสดงว่าท่านไม่มีน้ำใจบาปไม่โกรธแม้แก่ผู้ประทุษร้าย ชนะด้วยความดีแท้ๆ
จึง ขอกราบขอโทษ เศรษฐีก็ให้อภัย ไม่เอาโกรธแก่คนเหล่านั้น
อันนี้มันสบายใจดีเหมือนกัน ใครมาทำร้าย
เราเราไม่โกรธก็สบายใจ แต่ถ้าเราโกรธ เราไม่สบายใจ
คนเราต้องคิดในเรื่องอย่างนี้ไว้ แล้วก็ทำอะไรในสิ่งที่เป็นประโยชน์
เท่าที่สามารถจะกระทำได้ คนใดที่ไม่คิดจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นนั้น
เรียกว่า เป็นคนเห็นแก่ตัว ยังไม่ดียังไม่ประพฤติปฏิบัติ
ธรรมของพระพุทธเจ้า เราต้องหัดเสียสละ
ทำอะไรๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นทุกโอกาสที่เราสามารถกระทำได้
นี่คือ ประโยชน์ของการที่เราคิดถึงเรื่องของอดีต อนาคต เรื่องปัจจุบัน
เพื่อเอามาเป็นบทเรียนเครื่องเตือนจิตสะกิดใจ
ให้เกิดความคิดนึกในทางที่ถูกที่ชอบ ตามสมควรแก่ฐานะ
ดังที่กล่าวมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอจบไว้เพียงแต่เท่านี้
คัดลอกจาก...วันอาทิตย์ที่ ๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๐
http://www.panya.iirt.net/read/all-html/200306.htmlPics by : Google
:)
http://www.dhammakid.com/board/ocoaaaad/io-noon1-i1o-(eaceino1n1aoo)/ขอบพระคุณที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ