[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
13 พฤษภาคม 2567 20:06:45 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เซน...หิวก็กิน, ง่วงก็นอน (สุทธิชัย หยุ่น)  (อ่าน 1202 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
มดเอ๊ก
สุขใจ คนพิเศษ
นักโพสท์ระดับ 14
*

คะแนนความดี: +8/-1
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 5081


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Firefox 37.0 Firefox 37.0


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 13 สิงหาคม 2559 19:28:36 »



ตอนที่ผมทำสารคดีเรื่อง "เซน...2010...สวนโมกข์ถึงหมู่บ้านพลัม" แล้ว ก็ทำให้สนใจศึกษาเรื่อง "เซน" ลงลึกมากขึ้นเพราะตระหนักดีว่าเรื่องปรัชญาและศาสนานั้นเรื่องตลอดชีวิตก็ไม่จบ

ยิ่งรู้ว่าเรียนยังไงก็ไม่จบ ยิ่งอยากเรียน เพราะท้าทายความเชื่อของผมที่ว่าอะไรที่เรียนจบได้ก็ไม่น่าเรียนเป็นปฐมแล้ว

นักคิดนักเขียนเรื่องเซนมีหลากหลาย ต้องติดตามค้นหาและอ่านให้มากจึงจะสนุก

ใช่ครับ ผมชอบเซนเพราะสนุก ไม่ใช่เพราะขลังหรือจะพาไปสวรรค์ได้

ผมอ่าน "นิกายเซน" ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช และตามอ่านปรมาจารย์ชาวญี่ปุ่นไดเซตซ์ ที. สุสุกิ (ภาษาอังกฤษเขียน Daisetz T. Suzuki) ที่เขียนเรื่องเซนมากมายหลายเล่ม...ตามอ่านที่ท่านพุทธทาสเขียนถึงเรื่องนี้ด้วยก็เกิดความสนใจ

จนวันหนึ่งไปขอไปอยู่วัดเซนที่ญี่ปุ่นสองสามวันเพื่อทำความเข้าใจกับวิถีชีวิตของคนที่เชื่อในเรื่องของเซนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

เอาแค่ต้องตื่นตีสี่เพื่อมานั่งทำสมาธิกับพระเซนวัยรุ่นจำนวนหนึ่งที่ต้องถูพื้น,ทำกับข้าวและช่วยงานวัดด้วยมือไม้จริง ๆ ก็ทำให้ผมอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น

ส่วนจะสามารถเข้าถึงความคิดความอ่านของ "เซน"จริง ๆหรือไม่ ผมถือเป็นเรื่องรอง แม้ไม่สามารถซึมซับลึกซึ้งเกินว่าผิวของมัน ผมก็นอนตายตาหลับได้

เอาไว้เรียนรู้ใหม่ชาติหน้าก็ไม่สาย



ผมว่าของผมอย่างนี้แหละ ท่านเจ้าสำนักแห่งเซนที่ไหนจะว่าอย่างไร ก็ไม่เป็นไร เพราะเซนเขาสอนให้ไม่ต้องสนใจเจ้าสำนึกนี่นา (ฮา)

อ. คึกฤทธิ์เขียนไว้ว่าสิ่งที่ลัทธิ "เซน" อ้างว่าสามารถกระทำได้ก็คือการเข้าถึงปัญญา ตรัสรู้โดยตรง โดยไม่ต้องใช้สื่อใด ๆ ....เป็นต้นว่าจิตหรือความรู้อันได้มาด้วยจิต

พระอาจารย์ในลัทธิเซนพูดเสมอว่า การชี้ให้คนดูพระจันทร์นั้น ผู้ชี้จำต้องใช้นิ้ว แต่นิ้วนั้นไม่ใช่พระจันทร์ ใครไปนึกว่านิ้วนั้นเป็นพระจันทร์คนนั้นก็โง่

ผมชอบเซนตรงที่ใช้คำว่า "โง่" ตรงไปตรงมา ส่วนจะเรียกนิ้วว่าพระจันทร์หรือไม่  ผมสงวนสิทธิ์ที่จะขอถกแถลงวันอื่น หากผมหายโง่ตามคำนิยามของท่านพระอาจารย์เซนมากกว่าสองคนขึ้นไป

ท่านอาจารย์พุทธทาสเขียนว่าคำว่า "เซน" ตรงกับคำบาลีว่า"ฌาน"

แต่ท่านบอกว่าผู้ที่ประพฤติลัทธินี้ไม่ยอมจำกัดความหมายของคำว่า "เซน" แต่เพียงว่า "ฌาน" ซึ่งหมายถึงสมาธิโดยตรง



ท่านพุทธทาสอ้างต่อถึง ส. โอกาตา ที่เคยเขียนคำจำกัดความไว้ว่า

"เซนมิได้เป็นเพียงลัทธิศาสนาล้วน ๆ หรือปรัชญาล้วน ๆ  แต่ได้เป็นอะไรบางอย่างที่ยิ่งไปกว่านั้น และมีของสองอย่างที่กล่าวมานั้นรวมอยู่ด้วยทั้งหมด คือมันเป็นตัวชีวิตนั่นเอง"

แปลว่าศาสนาก็ไม่ใช่ ปรัชญาก็ไม่เชิง เอาสองอย่างมาบวกกันก็ยังไม่หมด เพราะเซนคือตัวชีวิตเองเลย

งงไหมเล่า?

ดี, ผมชอบงง เพราะหากอ่านแล้วรู้เรื่องเลย มันก็จะง่ายไป ไม่ท้าทาย ไม่สนุก และคงจะไร้สาระด้วย

ผมจึงต้องตามหาความหมายของมันต่อไป

เซนนั้นไม่ประสงค์ให้มีสิ่งใดมากีดขวางระหว่างความจริงกับบุคคล ไม่สนใจว่าอะไรเป็นโลกียะ อะไรเป็นโลกุตตระ

ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นกาย อะไรเป็นใจ หรืออะไรเป็นรูป และอะไรป็นนาม เพราะถือว่าทุกอย่างเป็นไม้ท่อนเดียวกันทั้งหมด อีกทั้งจะเป็นหัวหรือท้ายก็ไม่สำคัญ

ใครที่มัวมานั่งแยกแยะสิ่งเหล่านี้ คนที่เขา “อิน” กับเซนมาก ๆ จะบอกว่าคนนั้นนึกว่านิ้วคือพระจันทร์ให้แล้วไม่โง่ก็เชยเต็มที

อ. คึกฤทธิ์สรุปให้ฟังง่าย ๆ ว่าสำหรับชาวเซนแท้ ๆ แล้วจะเชื่อว่า...หิวก็กิน , ง่วงก็นอน
เท่านั้นแหละ, ไม่ได้ยุ่งยาก, สลับซับซ้อนอะไรเลยแม้แต่น้อย




เหมือนที่ท่านทิช นัท ฮันห์, เซนมาสเตอร์แห่งหมู่บ้านพลัมเคยเขียนไว้ว่า ตามหลักในพระสูตรที่ว่าด้วยเรื่องของ “สติ” นั้น ขณะล้างจานเราก็ควรจะล้างจานอย่างเดียว แปลว่าขณะล้างจาน เราต้องรู้ตัวทั่วพร้อมว่าเรากำลังล้างจาน

ดูเผิน ๆ ก็อาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ออกจะดูโง่เขลาที่ให้ความสำคัญมากมายกับสิ่งธรรมดา ๆ
แต่อาจารย์ทิช นัท ฮันห์ใช้ความเป็นเซนตอบว่า นี่แหละ ตรงจุดเผงเลย

“ความเป็นจริงที่ว่า ครูกำลังยืนอยู่ตรงนั้น และล้างถ้วยชามเหล่านั้นอยู่ เป็นความจริงที่ถือว่าเป็นความอัศจรรย์ทีเดียว ครูเป็นตัวของตัวเองอย่างสมบูรณ์ ตามลมหายใจตลอดเวลา รู้ตัวทั่วพร้อมถึงปัจจุบันกาลของตนเอง รู้พร้อมทั้งมโนกรรมและวจีกรรมต่างๆ ...ไม่มีทางที่จะทำให้ใจของครูลอยแกว่งไปแกว่งมาเหมือนขวดแกว่งบนยอดคลื่น ความสำนึกของครูไม่มีอะไรจะมาทำให้หวั่นไหวได้ ดังฟองบนผิวคลื่นที่ซัดกระแทกกระทบกับหน้าผา...”

ไอ้ที่ว่าง่ายนั้นความจริงมันยาก...เพราะคนเรานั้นเวลาล้างจาน (ถ้าไม่ใช้เครื่องล้างจานแทน) มักจะคิดเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับจาน, ไปคิดเรื่องละครน้ำเน่าหรือเรื่องจะโทรฯหาใครดีทันทีที่ล้างจ้านเสร็จ
เซนบอกให้ทำอะไรก็ทำอย่างนั้นอย่างเดียว, ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่น...ฟังดูง่าย, แต่ใครทำได้ต้องถือว่าเก่ง

ผมชอบเซนตรงนี้...ตรงบอกให้ทำเรื่องง่ายให้ง่าย, อย่าไปทำให้เรื่องง่ายมันยาก...ทั้ง ๆ ที่ความจริงมันยากที่จะทำเรื่องง่ายให้ง่าย

มหาเถระองค์แรกที่ก่อตั้งพุทธศาสนานิกายเซนมีนามว่า “โพธิธรรม” ประกาศไว้ว่าเซนเป็นสิ่งที่ป่าวประกาศแพร่หลาย อยู่นอกพระคัมภีร์ ไม่เกี่ยวข้องกับภาษา และตัวหนังสือ เป็นสิ่งที่ชี้ตรงไปยังตัวชีวิตมนุษย์ เฝ้ามองดูอยู่แต่ในสภาพธรรมดาของตัวเองและลุถึงพุทธภาวะ

ด้วยเหตุนี้ เซนจึงไม่ใส่ใจต่อข้อคิดที่ลี้ลับเช่นเรื่องพระเป็นเจ้าผู้สร้าง หรือปรมัตถธรรม และเรื่องที่เกี่ยวกับเทวดาหรือสวรรค์...

“เราต้องการเพียงแต่ให้ผู้ปฏิบัติเฝ้ามองเข้าไปยังภายในตัวของตัวเองเท่านั้น มองดู หน้าตา ดั้งเดิมตามที่เป็นจริงของตัวเองเท่านั้น และกระทำให้ตรงตามกฎแห่งธรรมดาได้กำหนดไว้แต่เพียงอย่างเดียว....”

คำว่า “หน้าตาดั้งเดิมของตัวเอง” ที่ไม่เสริมไม่แต่ง, ไม่ต้องสนใจว่าจะเหมือนหรือไม่เหมือนใคร...นี่แหละคือความเป็น “เซน” ที่แท้จริง

ผมยังถามหาความเป็น “เซน” ต่อครับ...ว่าง ๆ จะมาเล่าให้ฟังว่ามันเกี่ยวกับ “ชีวจิต” มากกว่าที่เราคาดคิดด้วยซ้ำไป

จาก http://www.oknation.net/blog/suthichai/2012/08/16/entry-1

https://www.facebook.com/ZenTheWayOfLife/?fref=nf

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

ทิ นัง มิไฮ นัง มิจะนัง ทิกุนัง แปลว่า
ที่นั่ง มีให้นั่ง มึงจะนั่ง ที่กูนั่ง ทิ้งไว้เป็น
ปริศนาธรรม นะตะเอง
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน


Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.365 วินาที กับ 33 คำสั่ง

Google visited last this page 28 มีนาคม 2567 01:35:22