หัวข้อ: นิทรรศการ ฉัฐรัช พัสตราภรณ์ ย้อนมองอาภรณ์สตรีสยามผ่านภาพที่บันทึกไว้บนฟิล์มกระจก เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 10 ตุลาคม 2559 11:39:39 (http://www.sookjaipic.com/images_upload/53380929554502_f2.gif) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/37519739071528_d1.gif) นิทรรศการฉัฐรัช : พัสตราภรณ์ ณ หอวชิราวุธานุสรณ์ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพมหานคร ๑๐ สิงหาคม - ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ นิทรรศการฉัฐรัชพัสตราภรณ์ ครั้งนี้อาศัยข้อมูลภาพส่วนใหญ่จากภาพที่บันทึกไว้บนฟิล์มกระจกที่เก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ และยังมิได้เคยมีการเผยแพร่มาก่อน ดังนั้น จึงอาจมีข้อจำกัดในการอ่านภาพ เช่น ยังไม่สามารถระบุพระนามหรือนามของบุคคลในภาพ รวมถึงรายละเอียดอื่นที่เกี่ยวข้องได้ครบถ้วน หากท่านผู้ใดทราบข้อมูลเหล่านี้ และประสงค์จะให้รายละเอียดเพื่อประโยชน์ทางวิชาการของส่วนรวมในวันข้างหน้า ขอได้โปรดให้ข้อมูลด้วยจะเป็นพระคุณยิ่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๖ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่๒๓ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๕๓ ขณะพระชนมายุ ๓๐ พรรษา และสิ้นสุดลงในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๖๘ รวมพระชนมพรรษา ๔๕ พรรษา รวมเวลาเสด็จดำรงสิริราชสมบัติ ๑๕ ปีเศษ แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ต่อเนื่องมาจากแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชวงศ์ ขุนนาง รวมทั้งสามัญชน เริ่มเข้าพระทัยและเข้าใจยอมรับการแพร่หลายของวัฒนธรรมตะวันตกมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังเป็นพระเจ้ากรุงสยามพระองค์แรกที่ทรงสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ ทรงศึกษาอยู่ในสหราชอาณาจักรนานถึง ๙ ปี จากประสบการณ์นี้อาจจะเป็นช่วงที่ทรงรับระเบียบแบบแผนด้านการศึกษา การให้ขยายบทบาทและสิทธิสตรี ซึ่งเห็นได้ชัดจากการเปลี่ยนแปลงเสื้อผ้าของสตรีสยามในช่วงรัชกาลที่ ๖ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดอย่างรวดเร็ว ลักษณะเด่นของแฟชั่นและความงามของสตรีสยามในพระราชทัศนะมีตัวอย่างเช่น การนุ่งผ้าซิ่น ไว้ผมยาว และฟันขาว แม้ว่ารัชสมัยนี้เป็นช่วงเวลาเพียง ๑๕ ปี แต่การแต่งกายของสตรีชั้นสูงของสยามสามารถจำแนกเป็น ๓ สมัย ตามหลักฐานภาพฟิล์มกระจกซึ่งเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ อาจนำมาเทียบได้กับการเปลี่ยนแปลงแฟชั่นตะวันตกคือ ช่วงต้นรัชกาล ช่วงกลางรัชกาล และช่วงปลายรัชกาลได้อย่างชัดเจน หากพิจารณาเทียบเคียงทั้งบริบทภายในประเทศและบริบทสังคมสมัยนิยมของสากล จะพบว่ายุครัชกาลที่ ๖ เป็นสมัยแห่งการเพิ่มบทบาทสตรี ยกสถานภาพ และเปิดโอกาสให้สตรีได้คิด เรียนรู้ แลกเปลี่ยน ประยุกต์ และพัฒนาในด้านสุนทรีภาพและวัฒนธรรมได้อย่างกว้างขวางสอดคล้องกับกาลสมัยอย่างลงตัวทุกมิติ การแต่งกายของสตรีช่วงต้นรัชกาลที่ ๖ ช่วงเวลา ๕ ปีแรกนับแต่ทรงครองราชย์สมบัติ เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๓ ถึง พ.ศ.๒๔๕๘ (ค.ศ.๑๙๑๐-๑๙๑๕) เป็นช่วงต่อของแฟชั่นสองสมัย นิยามสมัยด้านการศึกษาแฟชั่นสตรียุโรปเรียกว่า “ช่วงปลายสมัย Edwardian เอ็ดวอร์เดียน” (รัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ ๗ แห่งสหราชอาณาจักร ครองราชย์ ๒๒ มกราคม ค.ศ.๑๙๐๑-๖ พฤษภาคม ค.ศ.๑๙๑๐) และ Early Teens หรือ “ทีนส์ตอนต้น” คริสต์ศักราช ๑๙๐๑-๑๙๑๐ เป็นช่วงที่มีการปฏิวัติทางด้านแฟชั่นของสตรี จากสมัยวิกตอเรียตอนปลาย โดยเสื้อผ้าที่รัดรูปแนบตัวถูกแทนที่ด้วยเสื้อลูกไม้สีงาช้างแขนยาวแบบพองตัว คอเสื้อทรงสูงถึงต้นคอ และกระโปรงแบบแนบตัวทรงกระดิ่ง ยกเลิกการสวมใส่ บัสเสิต์ล (bustle) หรือโครงเสริมกระโปรง แบบกรงนกที่ใส่ไว้ที่บั้นท้าย และเริ่มใช้คอร์เซ็ต (corset) หรือเสื้อยกทรงรัดลำตัวของสตรี แบบรูปตัวอักษรตัวเอส เพื่อช่วยสร้างสัดส่วนร่างกายแบบนาฬิกาทรายเพื่อให้เอวคอดกิ่ว (hour glass silhouette) พร้อมทั้งทรงผมยาวเกล้าแบบโป่งรวมไปถึงการสวมสร้อยไข่มุกหลายสายซึ่งเป็นนิยมแพร่หลายในยุโรปและสหรัฐอเมริกา สตรีชั้นนำในยุครัชกาลที่ ๕ นำเสื้อลูกไม้แบบไม่รัดตัวและคอร์เซ็ตมาประยุกต์ พร้อมกับนุ่งโจงกระเบน สวมถุงน่องและรองเท้า แฟชั่นสยามในช่วงนี้เห็นได้ชัดเจนจากพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ฉายในห้องบันทึกภาพ (studio) ทรงฉลองพระองค์ผ้าลูกไม้ตามแบบแฟชั่นสตรียุคเอ็ดวอร์เดียน แขนฉลองพระองค์ยาวถึงช่วงกลางพระองค์พร้อมพระภูษา ทรงถุงพระบาทยาวถึงพระชานุ ฉลองพระบาทแบบตะวันตก และทรงไว้พระเกศาสั้น (ผมทัด) ตามพระราชนิยม ทรงสร้อยพระศอมุกและเพชรหลายเส้น ซึ่งตรงสมัยเดียวกับสมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรา (Queen Alexandra) แห่งสหราชอาณาจักร ในสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ ๗ ครั้นถึงช่วงทีนส์ตอนต้น (ค.ศ.๑๙๑๑-๑๙๑๕) ซึ้งเริมพร้อมกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยนิยมยุคนี้ ในพระราชสำนักฝ่ายในเจ้านายที่ทรงพระชนมายุมากยังทรงแต่งพระองค์ตามที่ทรงคุ้นชินในช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ ทว่าเจ้านายรุ่นเยาว์เริ่มไว้พระเกศายาวและเกล้าเป็นมวย โจงกระเบนยังเป็นที่นิยม และเริ่มมีการสวมเสื้อที่มีคอเสื้อแบบกลม แหลม รวมทั้งมีปกทั้งแบบกลมและเหลี่ยม แขนเสื้อเริ่มสูงขึ้นถึงข้อศอก เอวของเสื้อเริ่มต่ำลง และชายกระโปรงเริ่มสูงขึ้นไม่กรอมเท้าอีกต่อไป สืบเนื่องจากบริบททางการเมือง สังคม และวัฒนธรรมของทางโลกตะวันตกได้ให้อิสระ สิทธิเสรีภาพ และยอมรับบทบาทและสถานภาพของ “ความเป็นสุภาพสตรี” มากขึ้น เริ่มมาจากการเรียกร้องให้สตรีสามารถลงเสียงเลือกตั้งได้ (women’s suffrage) สมัยวิกตอเรียตอนปลายตรงกับช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ การเปลี่ยนแปลงการแต่งกายของสตรี ซึ่งเห็นได้ชัดคือการสวมคอร์เซ็ตอันรัดรึงก็ค่อยลดความนิยมจนกระทั่งยกเลิกไปในที่สุด ตรงกับช่วงปลายรัชกาลที่ ๖ ซึ่งเปรียบเสมือนการปลดเปลื้องพันธนาการของสตี การใช้บราเซียเริ่มเข้ามาแทนที่เพื่อช่วยเสริมรูปร่างแทนที่การรัดตัว จากหนังสือ “๘๐ ปีในชีวิตข้าพเจ้า” ของขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ได้บรรยายถึงความเปลี่ยนแปลงในต้นรัชกาลที่ ๖ ว่า “เมื่อได้ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปตามอารยประเทศในด้านอื่นๆ แล้ว ในด้านการแต่งกายก็ได้มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะการแต่งกายของสตรี ระยะแรกยังคงนุ่งผ้าโจงกระเบน เสื้อยังนิยมใช้ลูกไม้ประดับอยู่ คอลึกกว่าเดิม แขนยาวเสมอข้อศอก แต่แขนเสื้อไม่พองเหมือนแบบสมัยรัชกาลที่ ๕ มีผ้าคาดเอวสีดำ มีผ้าสไบพาดไหล่รวบตอนหัวไหล่ติดด้วยเข็มกลัดรูปดอกไม้ ชายผ้าสไบดังกล่าวรวบไว้ตรงข้างลำตัว สวมถุงเท้ายาว รองเท้าส้นสูง ต่อมาเริ่มนุ่งซิ่นตามพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ (ตามปกติผ้าซิ่นใช้กันทางภาคเหนือและภาคอีสานซึ่งนุ่งกันเป็นประเพณีมักเป็นผ้าซิ่นด้าย แต่ในกรุงเทพฯ ไม่นิยมนุ่งกันเลย จะนุ่งกันแต่โจงกระเบน เมื่อเริ่มนุ่งผ้าซิ่นนั้น ผ้าซิ่นจะเป็นพวกซิ่นไหม และซิ่นเชิงทอด้วยเส้นเงิน เส้นทอง) เกิดเสื้อแบบใหม่ๆ สำหรับเข้าชุดกับผ้าซิ่นขึ้น การสะพายแพรไม่เป็นที่นิยมกันต่อไป นอกจากสตรีผู้มีบรรดาศักดิ์จะแต่งกายเต็มยศ ซึ่งเป็นผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ยังคงใช้แพรปักตราจุลจอมเกล้าสะพายอยู่เหมือนเดิม (การสะพายแพรยกเลิกในรัชกาลที่ ๗) ...ทางด้านผู้หญิง หญิงสาวทั่วไปเริ่มไว้ผมยาว ไม่ไว้ผมทัดเหมือนที่ข้าพเจ้าเห็นเมื่อเป็นเด็ก เว้นแต่สาวใหญ่หรือผู้ใหญ่ยังใช้ผมทัดกันอยู่มาก การแต่งตัวเวลาออกจากบ้านไปในงาน หรือจะเรียกว่าออกสังคม หญิงสาวนุ่งผ้าโจงกระเบน ใส่เสื้อแขนพอง (คือ เสื้อแขนยาวพองที่หัวไหล่สองข้าง) ไว้ผมเรียกว่า “ผมโป่ง” (คล้ายญี่ปุ่น) รวบผมข้างหลังที่ต้นคอแล้วปล่อยยาวลงไป สวมถุงเท้า รองเท้า ผู้ใหญ่ชั้นสูงแต่งอย่างเดียวกัน และสะพายแพรทิ้งชายไปข้างหลัง (สาวที่ยังไม่มีสามีไม่สะพายแพร ต่อมีสามีแล้วจึงสะพายแพร) ส่วนมากมักเป็นผมทัด เวลาแต่งจำลอง ทั้งหมดนุ่งผ้าโจงกระเบน สวมใส่เสื้ออะไรก็ได้ ผู้ใหญ่ห่มผ้าสไบ เฉียง หรือห่มสไบมีผ้าห่มทับหรือใส่เสื้ออะไรก็ได้ รองเท้าแตะ ทางด้านเด็กที่เคยไว้จุกกันแทบจะทั่วไป มาถึงรัชสมัยนี้เริ่มไม่ไว้จุกกันมากขึ้นทุกทีจนถึงไม่ไว้กันเลย ล่วงมาถึงเลยกลางสมัยรัชกาลที่ ๖ ไม่ช้าเกิดมีแฟชั่นใหม่สำหรับสตรีขึ้น คือมีการนุ่งผ้าซิ่นออกมาจากราชสำนัก การนุ่งซิ่นแพร่มาถึงราษฎร เลยเป็นที่นิยมนุ่งกันแพร่หลายทั่วไป การนุ่งโจงกระเบนสำหรับสาวๆ ค่อยหายไป นอกจากผู้ใหญ่ยังคงนุ่งโจงกระเบนอยู่บ้าง การนุ่งซิ่นสำหรับคนชั้นสูง นุ่งซิ่นเชิง เป็นไหม ใส่เสื้อรัดรูปแบบต่างๆ แขนยาว เกล้าผม สวมรองเท้าส้นสูง ชาวบ้านแต่งแบบเดียวกัน เป็นซิ่นธรรมดาบ้าง ซิ่นเชิงบ้าง ใส่เสื้อต่างๆ รัดรูป มักใช้รองเท้าแตะที่ใช้ส้นสูงก็มี แปลว่าราชสำนักในสมัยรัชกาบที่ ๖ เป็นบ่อเกิดนำแฟชั่นเครื่องแต่งกายใหม่ๆ ขึ้นให้ประชาชนพลเมืองเดินตามก่อน แล้วต่อนั้นมาหนังฝรั่งอเมริกันจึงเข้ามานำสมัย เริ่มแต่สตรีเปลี่ยนมานุ่งกระโปรงเป็นเริ่มแรก” การไว้ทรงผมของสตรีในสมัยนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปอีกรูปแบบหนึ่ง กล่าวคือใน พ.ศ.๒๔๕๔ เมื่อครั้งงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเชิญบรรดาผู้แทนรัฐบาลและผู้แทนประมุขจากหลายประเทศเข้าร่วมเฉลิมฉลอง เพื่อแสดงความเป็นอารยะของสยาม จึงโปรดเกล้าฯให้พระขนิษฐภคินี คือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ทรงออกรับแขกเมืองไว้พระเกศายาวตามแบบสากล ภายหลังจากนี้ก็มีสตรีฝ่ายในไว้ผมยาวตามอย่าง รวมไปถึงสตรีชั้นสูงและสามัญชน ต่อมาเมื่อถึงประมาณกลางรัชกาล สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์นั้นก็ทรงพระเกศาดัดลอนและทรงรัดเกล้าฯ ทรงพิถีพิถันในเรื่องการแต่งพระองค์อย่างมาก ทรงเป็นผู้นำในการดัดแปลงประยุกต์เสื้อผ้าให้สวยงามและสะดวกต่อการสวมใส่ โดยริเริ่มดัดแปลงผ้าซิ่นธรรมดาให้เป็นถุงสำเร็จ ทรงออกแบบตัดเย็บให้เข้ากับรูปร่างและสวมใส่สบาย ในการตัดฉลองพระองค์นั้น จะทรงเลือกแบบจากในแค็ตตาล็อกที่ทรงสั่งซื้อมาจากต่างประเทศ แฟชั่นดีไซเนอร์ที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงการแต่งตัวของสตรีสมัยนี้เป็นชาวฝรั่งเศส ชื่อนาย Pual Poiret ประกอบกับการเคลื่อนไหวทางศิลปะแนวบูรพาคดีนิยม (Orientalism) ซึ่งนำรูปทรงเสื้อผ้าและศิลปะจากทางโลกตะวันออก เข้ามาผสมกับเสื้อผ้าในช่วงปลายสมัยเอ็ดวอร์เดียน เช่น ทรงของกิโมโนญี่ปุ่นที่ตรงและแคบ สตรีสยามก็เริ่มนำความคิดเหล่านี้ โดยนำมาผสมกับเสื้อผ้าท้องถิ่น รวมไปถึงพระราชนิยมของรัชกาลที่ ๖ เรื่องการนุ่งผ้าซิ่น ไว้ผมยาว และฟันขาว ซึ่งนับเป็นพัฒนาการต่อไปถึงการแต่งกายในยุคกลางรัชสมัย การแต่งกายของสตรีช่วงกลางรัชกาลที่ ๖ คือช่วงเวลา ๕ ปี จาก พ.ศ.๒๔๕๘ ถึง พ.ศ.๒๔๖๓ (ค.ศ.๑๙๑๕-๑๙๒๐) ช่วงนี้ภาษาด้านการศึกษาแฟชั่นสตรีทางยุโรปเรียกว่า ช่วง Late Teens หรือ ทีนส์ตอนปลาย (ค.ศ.๑๙๑๕-๑๙๒๐) ในช่วงนี้โลกแฟชั่นยุโรปถูกกดดันจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (๒๘ กรกฎาคม ค.ศ.๑๙๑๔-๑๑ พฤศจิกายน ค.ศ.๑๙๑๘) ซึ่งมีผลกระทบโดยตรงกับรูปทรง (silhouette) และรูปร่าง (shape) ของชุดแต่งกายสตรี รวมไปถึงเศรษฐกิจโลกที่ทรุดตัวลง การใช้ปริมาณผ้าน้อยลงเพื่อลดความฟุ่ยเฟือย และแพตเทิร์นที่ง่ายในการตัดเพื่อลดแรงงาน สามารถเจียดเวลาไปช่วยราชการสงคราม เห็นได้ชัดจากเสื้อผู้หญิงที่เริ่มปล่อยทิ้งชายให้ดิ่งตรงลงมาถึงสะโพกเพื่อช่วยในการเคลื่อนไหวคล่องขึ้น เปลี่ยนทรงคอร์เซ็ตเป็นแบบตรง ไม่เน้นเอวคอดกิ่ว กระโปรงเริ่มสั้นขึ้นมาเหนือข้อเท้า ครั้นมองในประเทศสยาม ผ้าซิ่นก็เริ่มเป็นที่นิยมตามพระราชนิยม แต่การนุ่งโจงกระเบนก็ยังคงเป็นที่นิยมอยู่ ส่วนผมเริ่มไว้ยาวและรวบขึ้นเหนือคอแต่ไม่โป่งพองเท่าสมัยต้นรัชกาล ดังจะเห็นได้จากพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ขณะทรงดำรงพระอิสริยยศที่หม่อมเจ้ารำไพพรรณี ซึ่งฉายในช่วงเวลานั้น ช่วงนี้เป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงของการแต่งกายสตรีสยามที่สำคัญมากช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์พัสตราภรณ์ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนความเป็นผู้หญิงจากผ้านุ่งโจงสู่ผ้าซิ่น การเปลี่ยนแปลงนี้รวมไปถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายที่มาจากการใส่คอร์เซ็ต เสื้อ และผ้าซิ่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการประกาศให้ประเทศสยามเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตรเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๐ ในช่วงนี้ทั่วโลกเกิดลัทธิชาตินิยม สยามก็เป็นประเทศหนึ่งในนั้น เห็นได้ชัดจากการเปลี่ยนธงช้างเผือกเป็นธงไตรรงค์ โดยมีเหตุผลทางพระบรมราโชบายประการหนึ่งเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการเข้าร่วมสงครามโลก เสื้อผ้าของสตรีที่เปลี่ยนจากนุ่งผ้านุ่งโจงกระเบนสู่การนุ่งซิ่นตามกระแสพระราชนิยมและชาตินิยม หลังมีพระราชดำริเรื่องการแต่งกายพระราชนิยม เจ้านายฝ่ายในรุ่นเยาว์ หรือเจ้านายฝ่ายในที่ถวายงานใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท เริ่มเปลี่ยนมานุ่งซิ่น โดยเป็นผ้าซิ่นไหม ซิ่นเชิงทอด้วยเส้นเงิน เส้นทอง สำหรับเสื้อก็ออกแบบให้เหมาะสมกับซิ่นตามแบบแฟชั่นโลกตะวันตก เช่นเสื้อแพรและลูกไม้แบบฝรั่ง เสื้อทรงหลวมตัวยาวถึงเข่าเพื่อสวมทับผ้าซิ่นเชิงสีต่างๆ คาดทับด้วยเข็มขัดแบบต่างๆ หลากหลายวัสดุและรูปแบบ มีการใช้ริบบิ้นแพรตกแต่ง พร้อมปักลูกปัดหรือมุก รวมถึงใช้ผ้าที่ทอขึ้นเป็นการเฉพาะจากโรงทอ ของเจ้านายฝ่ายใน ส่วนการสะพายแพรไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก คงใช้บ้างในโอกาสเป็นทางการ เช่น เมื่อต้องแต่งกายเต็มยศ สำหรับการแต่งกายสีตามวันแบบนุ่งสีหนึ่งห่มสีหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นค่านิยมเคร่งครัดในรัชกาลที่ ๕ เริ่มมีการปรับเปลี่ยน ในสมัยนี้นิยมใช้เครื่องประดับคาดที่ศีรษะ ซึ่งมีตั้งแต่เป็นผ้าชิ้นเล็กยาวปักดิ้น ผ้าพื้นธรรมดา ผ้าไหมสักหลาดประดับเพชร ไข่มุกสร้อยหลายสาย เข้ากับแบบและสีเสื้อ ทั้งยังนิยมเครื่องประดับจากยุโรป เช่น นาฬิกาข้อมือ สร้อยคอเล็ก ห้อยจี้ล็อกเก็ต และที่น่าสังเกตที่สตรีในยุคนี้จะนิยมใส่นาฬิกาข้อมือสูงกลางต้นแขน อาจเป็นเพราะลักษณะการสวมถุงมือแบบตะวันตก ผนวกเข้ากับลักษณะการสวมพาหุรัดแบบไทย การแต่งกายของสตรีช่วงปลายรัชกาลที่ ๖ ช่วงเวลา ๕ ปี ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๖๓ ถึง พ.ศ.๒๔๖๘ (ค.ศ.๑๙๒๐-๑๙๒๕) ช่วงนี้ศัพท์ทางสมัยนิยมแฟชั่นสตรียุโรปเรียกว่า Flappers หรือ Art Deco ตอนต้น ซึ่งเป็นการย่อคำจากงานนิทรรศการแสดงสินค้าและศิลปะการตกแต่งที่กรุงปารีส (L’Exposition des Arts Decoratifs) ใน พ.ศ.๒๔๖๘ ช่วงนี้รสนิยมการเต้นรำกับเพลงแจ๊ส หรือ Jazz Age ขยายกว้างไปทั่วโลกจากอเมริกา พร้อมทั้งศิลปะแบบอลังการศิลป์ หรือ ศิลปะตกแต่ง (Art Deco) ถือกันว่าเป็นศิลปะของความหรูหรา มีประโยชน์ใช้สอยและเป็นสมัยใหม่ การเคลื่อนไหวทางศิลปะทั้งสองนี้ ประกอบเข้ากับการค้นพบสุสานตุตันคาเมนใน พ.ศ.๒๔๖๕ โดยฮาวเวิร์ด คาร์เตอร์ (Howard Carter) นักโบราณคดีและอียิปต์วิทยาชาวอังกฤษ เป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงแฟชั่นสตรีตะวันตก ให้เป็นทรงเรขาคณิตมากขึ้นพร้อมกับการใช้ลูกปัดซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากการค้นพบทางโบราณคดีเกี่ยวกับการแต่งกายอย่างอียิปต์ในยุคตุตันคาเมน หรือยุคอาณาจักรใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นวัฒนธรรมการเข้าชมภาพยนตร์เงียบ (silent movie) จากสหรัฐอเมริกาก็เริ่มมีเข้ามาฉายในสยาม ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๕๐ (ปลายรัชกาลที่ ๕) เป็นต้นมา ขณะเดียวกันดาราภาพยนตร์อเมริกันก็เริ่มเป็นที่รู้จัก รวมไปถึงอิทธิพลของการโฆษณาผ่านนิตยสารแฟชั่นและห้างร้านต่างๆ ในพระนคร ตลอดจนลักษณะการใช้ชีวิตของนักเรียนทุนรุ่นแรกๆ ที่กลับมาจากต่างประเทศ ซึ่งนำสมัย นำวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และประสบการณ์ส่วนตัวมาปรับใช้ในสยาม เป็นตัวแปรที่ปรับเปลี่ยนลักษณะสมัยนิยมของสตรีชาวสยาม เสื้อผ้าสตรีสยามในยุคนี้จะเป็นทรงตรงดิ่งหรือแบบตัดเย็บไม่รัดรูปมากเหมือนช่วงกลางรัชสมัย เอวจะเลื่อนลงมาเลยสะโพกเกือบถึงต้นขา แขนเสื้อเริ่มสูงเลยข้อศอกหรือแขนสั้นถึงหัวไหล่ ชายกระโปรงหรือผ้าซิ่นสูงขึ้นถึงระดับน่องและใต้หัวเข่า สวมพร้อมกับถุงน่องรองเท้า การแต่งตัวของสตรีสยามช่วงนี้ได้ถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีการใช้กระโปรงแบบตะวันตก หรือแม้แต่ชุดแบบตะวันตกทั้งชุด ประดับด้วยมุกและขนสัตว์แทนชุดแบบผสมผสานระหว่างเสื้อแบบตะวันตกกับผ้าซิ่น มีการสวมหมวกอย่างแพร่หลาย สตรีเริ่มไว้ผมสั้นดัดลอนประหูหรือผมบ๊อบ ซึ่งเป็นผมตัดสั้นระดับใบหูตอนล่างสองข้างยาวเท่ากัน ตัดผมหลังโค้งเข้าหาต้นคอเล็กน้อยแทนที่ผมยาวเกล้าแบบโป่ง ยิ่งไปกว่านั้นการใช้ซิปแทนกระดุมที่เริ่มแพร่หลายนับแต่ พ.ศ.๒๔๖๐ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การตัดเย็บและสวมใส่เสื้อผ้าสตรีได้รวดเร็วขึ้น เหมาะสมกับวิถีชีวิตของสตรีที่มีบทบาทเฟื่องฟูเป็นที่ยอมรับมากขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เสื้อผ้าที่เห็นได้ชัดคือฉลองพระองค์ของ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในรัชกาลที่ ๖ ขณะทรงเป็นเจ้าจอมสุวัทนา ที่ฉายในสตูดิโอ ราว พ.ศ.๒๔๖๗ เป็นฉลองพระองค์แบบค็อกเทลสายเดี่ยว สไตล์ Art Deco ยาวถึงพระชงฆ์ (แข้ง) คาดสายรัดพระองค์ตรงพระโสณี (สะโพก) ทรงมงกุฎประดับขนนกกระจอกเทศ สวมสายสะพายเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ กลัดเหรียญรัตนาภรณ์รัชกาลที่ ๖ และเข็มกลัดอักษรพระบรมนามาภิไธยบรรจุเส้นพระเจ้า ทรงสร้อยพระศอเพชร ทรงพระธำมรงค์หมั้นที่พระอนามิกา (นิ้วนาง) ข้างซ้าย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงนำแบบอย่างศิลปะการแสดงละครแบบตะวันตกมาเผยแพร่ ทั้งบทละคร วิธีจัดการแสดง การวางตัวละครบนเวที การเปล่งเสียงพูด พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญยิ่งในทุกขั้นตอน ทั้งการพระราชนิพนธ์บทละคร ทรงควบคุมการแสดงและทรงแสดงร่วมโดยมีสุภาพสตรีเข้าร่วมแสดงด้วย ดังนั้นแฟชั่นสตรีจึงถูกถ่ายทอดทั้งผ่านการแต่งตัวประจำวัน งานพระราชพิธี และผ่านเวทีการละคร หรือแม้แต่พระบรมฉายาลักษณ์และรูปถ่ายในยุคนั้น ในช่วงระยะเพียง ๑๕ ปี อาจดูเหมือนเป็นชั่วเวลาอันสั้น แต่หากได้ศึกษาลักษณะแฟชั่นสมัยนิยมของสตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกายของสตรีชั้นสูงในสยามอย่างชัดเจนจากอาภรณ์สตรีทั้งสามสมัยดังที่กล่าวข้างต้น ด้วยกระแสพระราชนิยม สตรีสยามได้มีการแต่งตัวให้ทันสมัยตามแฟชั่นสตรีโลก แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความเป็นอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของสตรีสยามผู้ได้รับพระราชทานการยกระดับสถานภาพและบทบาทให้ทวีขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในอดีต นับเป็นพระราชอัจฉริภาพล้ำเลิศของพระประมุขผู้ทรงเป็นปราชญ์ ทรงเข้าพระราชหฤทัยความเป็นไปของสากล นับเป็นความแยบยลแห่งรัฐประศาสโนบาย และเป็นการสื่อสารสยามสู่สาวตาชาวโลกที่แนบเนียนที่สุด ผลแห่งพระราชกรณียกิจและพระราชนิยมอันเลิศวิไลในสมัยนั้น ยังทรงคุณูปการเป็นอัจฉริยลักษณ์ของสังคมไทยสู่เราทั้งหลายในปัจจุบัน (http://www.sookjaipic.com/images_upload/98454376144541_C1.gif)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/95658220267958_c3.gif) *♫~ •·.·´¯`·.·• •·.·´¯`·.·• ♫~* (http://www.sookjaipic.com/images_upload/53385336821277_c11.jpg) สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/94427134344975_c12.jpg)
หัวข้อ: Re: ฉัฐรัช พัสตราภรณ์ ย้อนมองอาภรณ์สตรีสยามผ่านภาพที่บันทึกไว้บนฟิล์มกระจก เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 10 ตุลาคม 2559 13:59:14 ประมวลภาพอาภรณ์สตรีสยามในสมัยรัชกาลที่ ๖ ที่บันทึกไว้บนฟิล์มกระจก เก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ และยังมิได้เคยมีการเผยแพร่มาก่อน --------------------------
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/67340948639644_c1.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/53543550148606_c2.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/23606908652517_c1.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/45488803916507_c2.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/75051272287964_c1.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/65768495657377_c2.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/13896163470215_c1.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/75434588972065_c2.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/96808736688560_c1.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/99760450753900_c5.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/34104943647980_c3.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/99249693130453_c4.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/71132040147980_c1.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/43587731197476_c2.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/61369565998514_c3.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/86815124543176_c4.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/71599455467528_c5.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/87719249021675_c6.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/17773552363117_c8.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/81891248664922_c9.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/73950892935196_c1.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/59263561334874_c2.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/89900144686301_c3.jpg) คุณหญิงบุญปั่น สิงหลกะ ภริยาพระยาราชมนตรี (สง่า สิงหลกะ) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/71073437647687_c4.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/18560134702258_c5.jpg) คุณใหญ่ (บุนนาค) สิงหเสนี ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/59229440283444_c6.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/29601436480879_c7.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/25769520385397_c8.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/75224797676006_c9.jpg) พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประภาสิทธิ์นฤมล ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/90549783739778_c10.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/27917389571666_c13.jpg) หม่อมเจ้าพิมพ์รำไพ รพีพัฒน์ ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/72974263545539_c14.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/39175467151734_c15.jpg) คุณหญิงเนื่อง สุรินทราชา ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/17457881900999_c16.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/40412808499402_c17.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/25207888417773_c18.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/79463143191403_c20.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/76327755178014_c21.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/24531079083681_c22.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/89006495765513_c23.jpg)
มีต่อ หัวข้อ: Re: ฉัฐรัช พัสตราภรณ์ ย้อนมองอาภรณ์สตรีสยามผ่านภาพที่บันทึกไว้บนฟิล์มกระจก เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 22 ตุลาคม 2559 12:42:00 ประมวลภาพอาภรณ์สตรีสยามในสมัยรัชกาลที่ ๖ ที่บันทึกไว้บนฟิล์มกระจก เก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ และยังมิได้เคยมีการเผยแพร่มาก่อน (ต่อ) -------------------------- (http://www.sookjaipic.com/images_upload/69552391229404_b1.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/42138867618309_b2.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/95106517275174_b3.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/59928611169258_b4.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/57145178483592_b5.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/31780899771385_b6.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/53380929554502_f2.gif) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/19078032051523_b8.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/30310852577288_b9.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/69972042573822_b10.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/84973264485597_b11.jpg) หม่อมประยูร (สุขุม) โสณกุล ณ อยุธยา ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/42311841373642_b12.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/13018791750073_b13.jpg) ท่านผู้หญิง ตลับ ยมราช และธิดา คือ นางสาวประจวบ สุขุม ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/35388183262613_b14.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/26915166858169_b15.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/98437845582763_b16.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/13758206077747_b17.jpg) ท่านผู้หญิงเยี่ยม (อิศรเสนา) จรัญสนิทวงศ์ ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/94324324445592_b18.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/53779053398304_b19.jpg) ท่านผู้หญิงกิมไล้ สุธรรมมนตรี ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/77012808910674_b20.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/92028187215328_b21.jpg) พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ในพระบาทสมเด็จพระมุงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/70730611806114_b22.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/74056577765279_b23.jpg) พระยาสุรินทรเสวี (เถา วัลยะเสวี) คุณหญิงสุรินทรเสวี (เอื้อ วัลยะเสวี สกุลเดิม เศรษฐบุตร) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/51728288663758_b24.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/16610233485698_b25.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/56623904986513_b26.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/14582965812749_b27.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/77675210560361_b28.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/56828792682952_b29.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/95187606372767_b30.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/78534684868322_b50.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/22424547829561_b32.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/45377610292699_b33.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/93964857069982_b34.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/94136565799514_b35.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/38147893341051_b36.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/41321410321526_b37.jpg) ท่านผู้หญิงเสงี่ยม พระเสด็จสุเรนทราธิบดี ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/85717136950956_b38.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/46916805745826_b39.jpg) หม่อมเจ้าหญิงวรรณวิลัย กฤดากร เพ็ญพัฒน์ (ขวา) หม่อมเจ้าหญิงลีลาศหงษ์ กฤดากร เทวกุล ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/64801152671376_b40.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/89558177399966_b41.jpg) ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/86527526461415_b42.jpg)
หัวข้อ: Re: นิทรรศการ ฉัฐรัชพัสตราภรณ์ ย้อนมองอาภรณ์สตรีสยามผ่านภาพบนฟิล์มกระจก เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 22 ตุลาคม 2559 19:14:37 นิทรรศการฉัฐรัช : พัสตราภรณ์ เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๙
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/53140501388245__MG_4505.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/74054359396298__MG_4506.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/79805296245548__MG_4504.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/63337470922205__MG_4502.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/83444453072216_1.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/79094059103065_2.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/34839211818244_3.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/78963878254095_4.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/98521598387095_5.JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/12389942962262_6_3.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/90012376548515_6..JPG)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/76898497053318_6_2.JPG) (http://www.sookjaipic.com/images_upload/99145797805653__3593_1.gif)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/21069144333402_6_4.JPG)
หัวข้อ: Re: นิทรรศการ ฉัฐรัช พัสตราภรณ์ ย้อนมองอาภรณ์สตรีสยามผ่านภาพที่บันทึกไว้บนฟิล์มก เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 27 ตุลาคม 2559 19:25:26 ฟิล์มกระจก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ได้ดำเนินการรวบรวมเอกสารจดหมายเหตุในรูปแบบหลากหลาย ทั้งเอกสารจดหมายเหตุลายลักษณ์ โสตทัศนจดหมายเหตุ แผนที่ แผนผัง แบบแปลน และเอกสารประเภทอิเล็กทรอนิกส์ มาแต่พุทธศักราช ๒๔๙๕ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งหนึ่งในเอกสารจดหมายเหตุทรงคุณค่าที่สะท้อนให้เห็นถึง วิวัฒนาการของการถ่ายภาพและข้อมูลทางประวัติศาสตร์ในอดีตของประเทศไทย ได้ถูกบันทึกไว้ในรูปของ “ฟิล์มกระจก” อันเป็นวัสดุที่ใช้ในการบันทึกภาพ โดยการนำแผ่นกระจกฉาบสารเคมีแล้วนำไปสร้างภาพในลักษณะเนกาทีฟและโพซิทีฟ 〄 ความสำคัญของฟิล์มกระจก การบันทึกภาพเริ่มต้นราวพุทธศักราช ๒๓๗๐ โดยนายโจเซฟ เนียฟฟอร์ เนียฟซ์ (Joseph Nicéphore niépce) ได้ใช้สารบิทูเมน (Bitumen) เป็นสารไวแสงสำหรับบันทึกภาพ โดยฉาบสารบิทูเมนบนแผ่นโลหะผสมระหว่างดีบุกและตะกั่ว บริเวณใดถูกแสงของสารบิทูเมนจะเกิดการแข็งตัว และบริเวณที่ไม่ถูกแสงจะเกิดการอ่อนตัว เพราะถูกสารไลต์ปิโตรเลียม (Light Petroleum) ผสมกับน้ำมันลาเวนเดอร์ (Lavender Oil) ละลายออกไป พุทธศักราช ๒๓๗๒ นายหลุยส์ ฌาร์ค มองเด ดาแกร์ (Louis Jacgues Mandé Daguerre) ได้ร่วมกับนายโจเซฟ เนียฟฟอร์ เนียฟซ์ ค้นคว้าเรื่องการใช้สารไวแสงพวกซิลเวอร์คลอไรด์ (Silver Choride) ในการบันทึกภาพ แต่นายโจเซฟ เนียฟเฟอร์ เนียฟซ์ ได้ถึงแก่กรรมเสียก่อน และนายหลุยส์ ฌาร์ค มองเด ดาแกร์ ก็ได้ค้นคว้าต่อมา นายหลุยส์ ฌาร์ค ดาแกร์ ได้ใช้ซิลเวอร์ไอโอไดด์ (Silver Iodide) เป็นสารไวแสง โดยนำแผ่นเงินอังด้วยไอของไอโอดีนแล้วไปติดตั้งในส่วนหลังของกล้องถ่ายภาพแบบดาแกร์ (Daguerreotype) หันด้านไวแสงเข้าหาเลนส์ สร้างภาพโดยนำแผ่นเงินที่ถ่ายภาพแล้วไปอังเหนือไอปรอท ทำให้ไอปรอทไปเกาะที่ผิวหน้าของแผ่นเงิน จากนั้นนำแผ่นเงินไปคงสภาพด้วยสารละลายของเกลือแกง ใช้ไฮโป (Hyposulphite of Soda) เพื่อละลายซิลเวอร์ไอโอไดด์ส่วนที่ไม่ถูกแสงให้หมดไป ก็จะได้ภาพถ่ายคงตัวถาวร ผลจากการเผยแพร่ของดาแกร์ ทำให้ระบบการถ่ายภาพแบบดาแกร์โรไทป์ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในช่วงเวลาสงครามกลางเมืองของอเมริกา (พ.ศ.๒๔๐๔-พ.ศ.๒๔๐๘) มีการพัฒนาใช้แผ่นสังกะสีแทนแผ่นเงินเพื่อประหยัดต้นทุน ภาพถ่ายระบบดาแกร์โรไทป์นี้ถ่ายได้เพียงครั้งละรูปและอัดสำเนาไม่ได้ เท่ากับว่าหากต้องการ ๑๐ รูป ก็ต้องถ่าย ๑๐ ครั้ง จนกระทั่งชาวอังกฤษ นามว่า นายวิลเลียม เฮ็นรี่ ฟ็อกซ์ ทัลบอต (William Henry Fox Talbot) ได้ค้นพบวิธีการถ่ายภาพที่เรียกว่า ทัลโบไทป์ (Talbotype) ซึ่งเป็นการผลิตภาพถ่ายลงบนกระดาษที่อาบด้วยซิลเวอร์คลอไรด์ ทำให้สามารถทำสำเนาภาพได้ตามต้องการ จากเทคนิคต่างๆ ข้างต้น จึงนำมาสู่การปรับปรุงและทดลองจากผู้คิดค้น จนนำไปสู่การใช้กระจกอาบน้ำยาเป็นตัวรับแสง ที่เรียกว่า “ฟิล์มกระจก” แล้วนำไปอัดภาพลงบนกระดาษ 〄 ประเภทของฟิล์มกระจก ฟิล์มกระจกแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ -ฟิล์มกระจกเปียก และ -ฟิล์มกระจกแห้ง ฟิล์มกระจกเปียก เกิดขึ้นเมื่อชาวอังกฤษ นามว่า นายเฟรดเดริค สก็อต อาร์เชอร์ (Frederick Scott Archer) ทำการทดลองโดยใช้กระจกเป็นวัตถุรองรับในการถ่ายภาพแทนแผ่นโลหะ และใช้สารละลายโคโลเดียน (Collodian) เป็นตัวช่วย ฟิล์มกระจกเปียกจึงประกอบด้วย แผ่นกระจก สารโคโลเดียน และสารละลายเงิน เมื่อมีแสงตกกระทบจะทำให้ภาพที่ได้มีโทนสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงน้ำตาลเข้ม วิธีนำกระจกถ่ายรูปต้องจุ่มแผ่นกระจกลงในสารเคมีซิลเวอร์ไนเตรต (Silver Nitrate) ในห้องมืด แล้วนำไปใช้ในการถ่ายภาพทันทีขณะที่กระจกยังเปียกอยู่ กระบวนการนี้ทำให้ผู้ถ่ายภาพนอกสถานที่ต้องนำกระโจมห้องมืด ขนขวดน้ำยาและเครื่องมือจำนวนมากไปด้วยเสมอ หลังจากนี้จึงมีผู้คิดค้นฟิล์มกระจกแห้งหรือฟิล์มกระจกสำเร็จรูปขึ้น ฟิล์มกระจกแห้ง คิดค้นโดย ดร.ริชาร์ด ลีช แมดด๊อกซ์ (Dr.Richard Leach Maddox) ใช้วัตถุไวแสงที่เป็นเจลาติน (พัฒนาจากการใช้โคโลเดียนซึ่งมีกลิ่นเหม็น) ต่อมา นายชาร์ลส์ เบนเน็ต (Mr.Charles Bennet) ได้ปรับปรุงการทำฟิล์มกระจกแห้ง ด้วยการนำกระจกที่ฉาบสารเคมีมาล้างในขณะที่ยังหมาด เพื่อล้างเกลือเงินที่อยู่ในอิมัลชันออกให้หมด เพื่อไม่ให้กระจกมีรอยตำหนิ และปรับปรุงเรื่องความไวแสง จนเกิดฟิล์มกระจกแห้งสำเร็จรูป ฟิล์มกระจกแห้งจึงประกอบด้วย แผ่นกระจก เจลาตินที่ใช้เคลือบ และสารละลายเงิน ซึ่งภาพที่ได้จะมีสีโทนสีเทาไปจนถึงสีดำ การถ่ายภาพในประเทศไทยได้เริ่มจากการถ่ายภาพแบบดาแกร์โรไทป์ พบหลักฐานในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยการนำของพระสังฆราช ฌ็อง บัปทิสต์ ปาลเลอกัวซ์ (Jean-Baptiste Pallegoix) และบาทหลวง หลุยส์ ลาร์โนดี (Father Louis Larnaudie) ก.ศ.ร.กุหลาบ ได้เขียนเล่าในหนังสือสยามประเภท ฉบับเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๔๔ ว่า “...พึ่งมีมีช่างถ่ายรูปครั้งแรกในรัชกาลที่ ๓ นั้นคือ ท่านสังฆราชฝรั่งเศส ชื่อปาเลอกัว เป็นผู้ถ่ายรูปแผ่นเงินในกรุงสยามก่อนมนุษย์ที่ ๑ ภายหลังพระยากระสาปน์กิจโกศล (โหมด) แต่ยังเป็นมหาดเล็กอยู่นั้น ได้ถ่ายรูปเป็นครั้งที่ ๒ เป็นศิษย์สังฆราชด้วย...ภายหลังหลวงพระปรีชากลการ (สำอาง) เป็นช่างถ่ายรูปครั้งที่ ๓ ภายหลังหลวงอัคนีนฤมิตร (จิตร) เป็นช่างถ่ายรูปครั้งที่ ๔” ภายหลังจากการถ่ายภาพแบบดาแกร์โรไทป์ การถ่ายภาพโดยใช้ฟิล์มกระจกได้เริ่มมีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.๒๓๙๔-พ.ศ.๒๔๑๑) เมื่อมีการผลิตฟิล์มชนิดเซลลูลอยด์ทดแทน ฟิล์มกระจกจึงมีความนิยมลดลง และเลิกใช้ในการบันทึกภาพทั่วไป แต่ยังคงเป็นที่นิยมอยู่ในกลุ่มเฉพาะ ฟิล์มกระจกมีความเปราะบาง แตกง่าย แต่จัดได้ว่าเป็นวัสดุในการบันทึกภาพที่มีคุณภาพมากกว่าฟิล์มชนิดอื่น ไม่เสื่อมสลายง่ายตามกาลเวลา และอัดภาพได้จำนวนมากๆ ข้อมูลที่บันทึกบนแผ่นฟิล์มกระจก บันทึกเรื่องราวในอดีตที่สะท้อนให้เห็นถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ บุคคล สถานที่ สังคม และวัฒนธรรมระหว่างรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พุทธศักราช ๒๕๒๐ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ได้รวบรวมฟิล์มกระจกจากหอพระสมุดวชิรญาณ (หวญ.) นำมาจัดเก็บ ณ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ และติดตามฟิล์มกระจกเพิ่มเติมจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กรมแผนที่ทหาร (ผท.) และภาพส่วนพระองค์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ทำให้สามารถรวบรวมฟิล์มกระจกได้ราว ๔๐,๐๐๐ แผ่น และนำเก็บรักษาในคลังเอกสารที่ควบคุมอุณหภูมิที่ ๑๘ องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ไม่เกิน ๔๐ องศาเซลเซียส ตลอด ๒๔ ชั่วโมง สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้กับฟิล์มกระจก โดยทำการสแกนฟิล์มกระจกต้นฉบับให้ได้ภาพดิจิทัล เพื่อประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ฟิล์มกระจกต้นฉบับ และเพิ่มความสะดวกรวดเร็วต่อการศึกษาค้นคว้าข้อมูลทางประวัติศาสตร์ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/35635751568608__3593_2.gif)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/44008195110493__3593_3.gif)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/95030615147617__3593_4.gif)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/95399794023897__3593_5.gif)
ข้อมูล/ภาพ : นิทรรศการ ฉัฐรัช พัสตราภรณ์ ย้อนมองอาภรณ์สตรีสยามผ่านภาพที่บันทึกไว้บนฟิล์มกระจก ณ หอวชิราวุธานุสรณ์ หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี กรุงเทพมหานคร ๑๐ สิงหาคม - ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ หัวข้อ: Re: นิทรรศการ ฉัฐรัช พัสตราภรณ์ ย้อนมองอาภรณ์สตรีสยามผ่านภาพที่บันทึกไว้บนฟิล์มก เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 27 ตุลาคม 2559 19:52:13 (http://www.sookjaipic.com/images_upload/52846200474434__MG_4354.jpg)
(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/thumb/9/9f/Princess_Valaya_Alongkorn2.jpg/190px-Princess_Valaya_Alongkorn2.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/92028187215328_b21.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/53717354560891__3626_3634_3623_3651_3594_3657.jpg)
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/98229090041584__MG_4355.jpg) The End...จบบริบูรณ์ |