[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

วิทยาศาสตร์ทางจิต เรื่องลี้ลับ => ร้อยภูติ พันวิญญาณ => ข้อความที่เริ่มโดย: ใบบุญ ที่ 30 กรกฎาคม 2556 17:44:57



หัวข้อ: เปิดตำนาน วิญญาณสุดเฮี้ยน
เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 30 กรกฎาคม 2556 17:44:57
.

แม้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปมากสักเพียงใด แต่เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ เรื่องอาถรรพณ์ วิญญาณหลอน ภูตผีปีศาจสุดเฮี้ยน ก็ยังถูกกล่าวขานถึงมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นชนชาติไหน ทันสมัยไฮเทคสักเพียงใดก็ตาม เมืองไทยเรานั้นขึ้นชื่อเรื่องประเภทนี้มานานแล้ว โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องผีสางที่คอยหลอกหลอนให้คนขวัญอ่อนได้ขนลุกขนพองกัน แต่ประเทศชั้นนำของโลกอย่างญี่ปุ่น อังกฤษ และสหรัฐอเมริกานั้น เขามีเรื่องสุดยอดของความเฮี้ยนระดับโลกอย่างไร ไปดูกัน

ญี่ปุ่น

(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/23/334290/o3/420.jpg)
ศาลโออิวะ ทามิยะ จินจะ

ดินแดนปลาดิบ มีเรื่องของวิญญาณเฮี้ยนที่เล่าขานกันมานานเรื่องหนึ่ง ในฐานะที่ว่าเป็นเรื่องผีที่น่ากลัวที่สุดของเขา เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยเอโดะ มีสตรีนางหนึ่งนามว่าโออิวะ เธอเป็นหญิงสาวที่สวยมาก จึงเป็นที่หมายปองของผู้ชายทั้งหนุ่มและไม่หนุ่มมากมาย แต่นางก็หักอกผู้ชายทั้งหลายด้วยการตัดสินใจที่จะมอบใจและกายให้กับอิเอม่อน ซามูไรหนุ่ม แต่ไม่นานความรักของทั้งคู่ก็เริ่มมีปัญหา เพราะไม่เพียงลำบากทางการเงิน สามีของเธอยังไปติดพันลูกสาวเศรษฐีคนหนึ่ง ในขณะที่โออิวะเพิ่งให้กำเนิดทารกน้อยคนแรก แทนที่สามีของเธอจะดีใจ กลับร่วมมือกับคนรักใหม่หาทางกำจัดโออิวะให้พ้นทาง

อิเอม่อนนำเอายาพิษที่ได้จากชู้รักไปให้กับภรรยากิน บอกว่าเป็นยาบำรุงหลังคลอดบุตร (บางครั้งก็เป็นครีมทาหน้า) ด้วยความรักที่มีต่อสามีทำให้นางหลงเชื่ออย่างง่ายดาย เมื่อยาพิษออกฤทธิ์ก็ทำให้เธอเสียโฉมกลายเป็นคนอัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวตาปูดโปนออกมาข้างหนึ่ง เธอจึงรู้ว่าหลงกลคนชั่วเข้าเสียแล้ว ด้วยความเสียใจเจ็บแค้นถึงที่สุดเธอจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายในบึงน้ำ

เมื่อหมดก้างขวางคอ อิเอม่อนก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านภรรยาคนใหม่ผู้มั่งคั่ง แต่วิญญาณอาฆาตของโออิวะก็ตามมาทวงแค้น เธอกรีดร้องคร่ำครวญโหยหวนดังไปทั่วบ้าน ทุกคนที่ได้ยินเกิดอาการหวั่นผวาไปทั้งสิ้น แต่อิเอม่อนนั้นเป็นซามูไรผู้เหี้ยมหาญ เมื่อเขาเห็นร่างผีภรรยาปรากฏขึ้น ก็ชักดาบแทงเข้าใส่ทันที ทว่า...เมื่อร่างนั้นล้มลงมันกลับกลายเป็นร่างของลูกสาวเศรษฐี ชู้รักของเขาเอง

เมื่อพ่อของนางเข้าไปดูร่างไร้ชีวิตของลูกสาว อิเอม่อนกลับมองเห็นเป็นโออิวะอีกครั้ง เขาจึงใช้ดาบฟันไปที่ร่างนางปีศาจอดีตภรรยา แต่ร่างที่ล้มลงไปตายต่อหน้าต่อตาเขาก็คือเศรษฐีพ่อตาของเขาเอง อิเอม่อนเห็นเช่นนั้นจึงหนีออกจากบ้านเศรษฐีกลับไปบ้านของตนเอง เมื่อไปถึงที่บ้านอิเอม่อนถูกเชือกที่ห้อยอยู่ในบ้านพันรัดคอ เขารีบชักดาบออกมาตัดเชือก แต่กลายเป็นการเชือดคอตัวเองตายคาที่อยู่ตรงนั้น

ตามตำนานนั้น โออิวะเสียชีวิตเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2179 และมีศาลชื่อโออิวะ ทามิยะ จินจะ (Oiwa Tamiya Jinja) อยู่ในกรุงโตเกียว ทุกครั้งที่มีการสร้างภาพยนตร์ ทีมผู้สร้างและนักแสดงจะต้องไปกราบไหว้ที่ศาลเพื่อแสดงความเคารพต่อโออิวะและขอให้การถ่ายทำสำเร็จราบรื่น

(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/23/334290/o4/420.jpg)
ปีศาจนางโออิวะ
ผีโออิวะนั้น ลักษณะของเธอก็คล้ายกับผีผู้หญิงของไทย ที่มักจะปล่อยผมยาวสยาย รูปลักษณ์น่ากลัวเพราะกินยาพิษเข้าไปก่อนตายจนตาถลนออกมาข้างหนึ่ง หลายครั้งจะปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับอุ้มลูกน้อยของนางด้วย คล้ายกับผีแม่นากของบ้านเรา นิยายผีแม่ลูกอ่อนเรื่องนี้ ถูกนำไปแสดงเป็นละครคาบูกิตั้งแต่ พ.ศ.2368 และสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วหลายสิบครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งก็จะมีรายละเอียดแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็คงความเป็นผีที่น่ากลัวที่สุดของญี่ปุ่นมาโดยตลอด



อังกฤษ

ประเทศอังกฤษนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี สิ่งก่อสร้างจำนวนมากที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคแรกๆก็ยังคงยืนยงอยู่มาจนทุกวันนี้ หนึ่งในนั้นคือ หอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) ซึ่งจะว่ากันจริงๆแล้วหอคอยนี้มีลักษณะเป็นป้อมมากกว่า สร้างขึ้นตั้งแต่ประมาณทศวรรษที่ 6-7 ของศตวรรษที่ 11 ในสมัยของกษัตริย์วิลเลี่ยม และได้รับการต่อเติมจากกษัตริย์องค์ต่อๆมา จนขนาดใหญ่ขึ้นเท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ จัดเป็นหอคอยที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก หอคอยแห่งนี้ผ่านเหตุการณ์ที่สำคัญๆ มานับไม่ถ้วน แต่ที่โดดเด่นจนขึ้นชื่อคือ การถูกใช้เป็นที่จองจำและประหารชีวิตคนสำคัญจำนวนมาก ดังนั้น ที่นี่จึงเป็นที่เกิดเหตุการณ์ “หลอน” มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/23/334290/o5/420.jpg)
หอคอยแห่งลอนดอน

(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/23/334290/o6/420.jpg)
พระนางแอนน์ โบลีน

(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/23/334290/o7/420.jpg)
วิญญาณ พระนางแอนน์ โบลีน

วิญญาณหรือผีที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดคือ พระนางแอนน์ โบลีน ผู้เป็นราชินีอยู่ในช่วง พ.ศ.2076-2079 พระนางถูกประหารชีวิตด้วยการตัดพระศอ โดยบัญชาของพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 สวามีของพระนางเอง สาเหตุก็เพราะพระนางมักจะขัดแย้งกับพระเจ้าเฮนรี่เป็นประจำ ทำให้ข้าราชบริพารแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ว่ากันว่าพระนางถูกประหารตรงบริเวณที่เรียกว่า Tower Green ดวงวิญญาณของพระนางอาจยังสิงสถิตอยู่ที่นั่น เพราะบางครั้งทหารยามเห็นสตรีนางหนึ่งมีผ้าคลุมศีรษะเดินอยู่ริมระเบียงที่ถูกปิดตาย ที่สุดสยองก็คือ สตรีผู้นั้นถือศีรษะของตนเดินไปด้วย บางครั้งมีคนได้ยินเสียงลากโซ่ตรวนในห้องที่พระนางถูกประหาร ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง บ่อยครั้งที่มีคนเห็นพระนางแอนน์ โบลีน นำทหารในสมัยนั้นและเลดี้หรือสตรีระดับสูงเข้ามาในโบสถ์ที่หอคอยแห่งลอนดอน (Tower Chapel Royal) ภาพเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นแล้วค่อยๆเลือนหายไป เหลือเพียงโบสถ์ที่เงียบวังเวงเช่นเดิม

นอกจากนี้ ยังมีวิญญาณเฮี้ยนที่เคยมีคนเห็นอีกหลายครั้งคือ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 6, เซอร์ วอลเตอร์ ราเลย์, เคาน์เตสแห่งซาลิสบิวรี่, เลดี้เจน เกรย์ ฯลฯ


สหรัฐอเมริกา

แม้ว่าประเทศนี้จะมีประวัติศาสตร์มาเพียงสองร้อยกว่าปี แต่การสร้างประเทศจากแผ่นดินที่เรียกว่า “ดิบๆ” ผู้คนของเขาก็ต้องเสียสละเลือดเนื้อกันมานับจำนวนไม่ถ้วนเช่นกัน หลายๆ แห่งในสหรัฐฯ จึงขึ้นชื่อเรื่อง “ผีดุ” ไม่น้อยหน้าประเทศอื่นๆ ที่จะยกตัวอย่างความสยองขึ้นชื่อก็คือที่อิลลินอยส์

คืนอันหนาวเหน็บของเดือนมกราคม พ.ศ.2460 ที่อาคารเพ็มเบอร์ตัน ฮอลล์ หอพักแห่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยอีสเทิร์น อิลลินอยส์ นักศึกษาสาวแมรี่ ฮอว์กกินส์ เธอนอนไม่หลับ ทั้งๆ ที่ใกล้เที่ยงคืนแล้ว เธอจงใจไปที่ชั้นสี่ของตัวอาคารเพื่อเล่นเปียโน การกระทำของเธอไปกระทบโสตภารโรงหื่นกระหายคนหนึ่งที่คงเฝ้ารอโอกาสมานานแล้ว มันแอบย่องขึ้นไปยังห้องที่แมรี่เล่นเปียโนอยู่ เธอนั่งหันหลังให้ประตูจึงไม่รู้ว่าภารโรงใจชั่วกำลังมุ่งตรงเข้ามา มันล็อกเธอจากด้านหลัง ชกต่อยเธออย่างหนักเมื่อเธอพยายามจะร้องขอความช่วยเหลือ แมรี่ผู้น่าสงสารถูกฉีกทึ้งเสื้อผ้า แล้วข่มขืนอย่างไร้ปรานี ก่อนที่คนร้ายจะหนีไปมันยังทุบตีด้วยไม้จนมั่นใจว่าเธอตายสนิท แต่แมรี่ก็ยังไม่สิ้นใจ เธอตะเกียกตะกายพาร่างโชกเลือดคลานลงไปพร้อมทั้งร้องขอความช่วยเหลือ แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงของเธอเลย จนกระทั่งเธอคลานลงไปถึงชั้นล่างสุด ที่ห้องของผู้ดูแลตึก เธอทั้งกรีดร้องและใช้เล็บตะกุยประตูให้คนข้างในรับรู้ จนในที่สุดความพยายามของเธอก็เป็นผล เมื่อผู้ดูแลตึกได้ยินเสียงตะกุกตะกักนอกห้องจึงเปิดประตูออกมาดู แต่ช้าไปเสียแล้ว...แมรี่ผู้เคราะห์ร้ายขาดใจตายไปต่อหน้าต่อตา ทิ้งรอยเลือดตามทางที่เธอคลานลงมาไว้ให้ดูอย่างสุดสยอง


(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/23/334290/o8/420.jpg)
เพ็มเบอร์ตัน ฮอล์ ในปี 2516

หลังการตายของแมรี่ ภารโรงใจชั่วหนีหายไร้ร่องรอยและไม่เคยถูกจับมาลงโทษแต่อย่างใด ทิ้งให้วิญญาณของแมรี่ยังคงสิงสถิตอยู่ในหอพักนั้น สร้างความอกสั่นขวัญแขวนแก่บรรดานักศึกษาสาวที่นั่น คนจำนวนมากได้ยินเสียงฝีเท้าเดินไปเดินมาในอาคารและบันไดของหอพัก ไม่มีใครกล้าโผล่หน้าออกไปจากห้องพักในยามวิกาลแม้สักก้าวเดียว หลายคนเห็นร่างของแมรี่ลอยผ่านกำแพงเข้ามาในห้องนอน บางคนเล่าว่า พวกเธอลืมปิดทีวีหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า แล้วจู่ๆ มันก็ปิดไปเองเหมือนมีใครมาช่วยปิด ที่ชวนขนหัวลุกหนักก็คือ บางครามีเสียงดังออกมาจากผนังห้อง ซึ่งหากเอาหูไปแนบกับผนัง จะได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงขอความช่วยเหลือดังอยู่ข้างใน ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ บางคนเห็นรอยเลือดเป็นทางยาวไปตามทางเดิน แล้วก็มีรอยเท้าปรากฏขึ้นบนรอยเลือดนั้น ภาพสุดช็อกนี้จะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป

ปัจจุบันนี้อาคารเพ็มเบอร์ตัน ฮอลล์ยังเปิดใช้งานอยู่ เช่นเดียวกับเรื่องวิญญาณเฮี้ยนที่เล่าสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นให้นักศึกษาในหอนั้นเสียวสันหลังเล่น แต่บริเวณชั้นสี่ของตัวอาคารถูกปิดตาย ห้ามนิสิตหรือผู้ใดขึ้นไปดูผีหรือไปดูเปียโนแห่งความหลังอีกต่อไป

นอกจากที่อิลลินอยส์แล้ว ยังมีอีกหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเฮี้ยน เช่น คุกอัลคาทราซ, Athens Lunatic Asylum เมืองเอเธนส์ รัฐโอไฮโอ, อุโมงค์เซี่ยงไฮ้ (Shianghai Tunnels) ในเมืองพอร์ตแลนด์, โรงละคร Dock Street เมืองชาร์ลสตัน เซาท์แคโรไลนา, อาคาร Lalaurie House เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยเซียนา, Hampton Lillibridge House เมืองซาวานนา รัฐจอร์เจีย ฯลฯ


(http://static.cdn.thairath.co.th/media/content/2013/03/23/334290/hr1667/630.jpg)

เรื่องราวของแม่นากนั้นคนรุ่นเก่าได้ยินติดหูแต่เด็กรุ่นใหม่อาจไม่รู้ละเอียดนัก เรื่องราวของแม่นากเชื่อกันว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เรื่องมีอยู่ว่า นายมากและนางนากเป็นสามีภรรยาที่รักกันมาก ทั้งสองอยู่ที่พระโขนง ขณะที่นางนากตั้งครรภ์ได้ไม่นาน นายมากก็ได้รับหมายเกณฑ์ให้ไปเป็นทหารที่บางกอก ระหว่างนั้นนางนากถึงกำหนดคลอด ซึ่งสมัยนั้นก็ต้องอาศัยหมอตำแย แต่เนื่องจากลูกในท้องไม่ยอมกลับหัว นางจึงไม่สามารถคลอดลูกได้ ทนทุกข์ทรมานอยู่นาน จนกระทั่งนางทนความเจ็บปวดไม่ไหว สิ้นใจไปพร้อมกับลูกในท้อง ศพของนางถูกนำไปฝังไว้ที่ป่าช้าท้ายวัดมหาบุศย์ ต่อมาเมื่อนายมากกลับจากประจำการ ก็รีบกลับแต่มาถึงบ้านตอนพลบค่ำ เขาพบนางนากคอยอยู่ในรูปลักษณ์เหมือนคนปกติธรรมดา นายมากจึงไม่รู้ว่านางนากนั้นตายไปแล้ว ผีนางนากพยายามไม่ให้ผัวของตนออกไปพบปะกับใคร เพื่อจะได้ไม่รู้ว่านางนั้นตายแล้ว แต่ในที่สุดนายมากก็รู้จนได้ และพยายามหนีออกจากบ้านจนสำเร็จ ทำให้ผีนางนากโกรธมากและออกอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านไปทั่ว กลายเป็นตำนานความเฮี้ยนที่ร่ำลือกันมานับร้อยปี

เรื่องราวของแม่นากและนายมากถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์หลายต่อหลายครั้ง และเร็วๆ นี้ก็มีบริษัทภาพยนตร์ได้หยิบยกเอาตำนานนี้กลับมาเล่าอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้เป็นการนำเสนอในมุมมองที่แตกต่าง กับเรื่องราวที่ไม่เคยมีใครรู้ของ “พี่มาก” ชายหนุ่มที่แม่นากรักมากที่สุดและผองเพื่อนทั้งสี่ที่เดินทางกลับมาที่พระโขนงด้วยกันจนมาเจอ

แม่นาก ความฮาและความเฮี้ยนจึงบังเกิดกลายเป็นหนังผีคอมเมดี้ โรแมนติก ที่ตั้งชื่อเก๋มากว่า “พี่มาก...พระโขนง” เปิดตำนานวิญญาณสุดเฮี้ยนกันอีกครั้งโดยทีมสร้างที่มากด้วยฝีมือมาร่วมกันสร้างสรรค์ ให้ตำนานผีไทยนั้นไม่น้อยหน้าชาติใดๆ.

 

โดย "ลุงดำ"
ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน