[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
17 พฤษภาคม 2567 18:27:44 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ๖. เทวธรรมชาดก ว่าด้วยธรรมของเทวดา  (อ่าน 72 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Maintenence
ผู้ดูแลระบบ
นักโพสท์ระดับ 10
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
Thailand Thailand

กระทู้: 1025


[• บำรุงรักษา •]

ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 02 พฤษภาคม 2567 19:01:40 »



ขุททกนิกายภาค ๑  เอกนิบาต ๑. อปัณณกวรรค
๖. เทวธรรมชาดก ว่าด้วยธรรมของเทวดา

พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้มีภัณฑะมาก จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีดังนี้

ได้ยินว่า กุฎุมพีชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง เมื่อภรรยาตายก็บวช กุฎุมพีนั้น เมื่อจะบวชได้ให้ทำบริเวณ โรงไฟและห้องเก็บสิ่งของ ในห้องเก็บสิ่งของนั้นก็ให้บรรจุเนยใสและข้าวสารเป็นต้น สำหรับตนแล้ว จึงบวช

ครั้นบวชแล้ว ให้เรียกทาสของตนมา ให้หุงต้มอาหารตามชอบใจ แล้วจึงบริโภค และได้เป็นผู้มีบริขารมาก ในเวลากลางคืน มีผ้านุ่งและผ้าห่มผืนหนึ่ง เวลากลางวัน มีอีกผืนหนึ่งอยู่ท้ายวิหาร

วันหนึ่ง เมื่อภิกษุนั้นนำจีวรและเครื่องปูลาดเป็นต้น ออกมาคลี่ตากไว้ในบริเวณ ภิกษุชาวชนบทมากด้วยกัน เที่ยวจาริกไปตามเสนาสนะ ไปถึงบริเวณ เห็นจีวรเป็นต้น จึงถามว่า

“จีวรเป็นต้นเหล่านี้ของใคร?”

ภิกษุนั้นกล่าวว่า “ของผมครับ ท่านผู้มีอายุ”

ภิกษุเหล่านั้นถามว่า “จีวรนี้ก็ดี ผ้านุ่งนี้ก็ดี เครื่องลาดนี้ก็ดี ทั้งหมดเป็นของท่านเท่านั้นหรือ?”

ภิกษุนั้นกล่าวว่า “ขอรับ เป็นของผมเท่านั้น”

ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า

“ท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไตรจีวร มิใช่หรือ ท่านบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้มักน้อยอย่างนี้ เกิดเป็นผู้มีบริขารมากอย่างนี้ มาเถิดท่าน พวกเราจักนำไปยังสำนักของพระทศพล แล้วได้พาภิกษุนั้นไปยังสำนักของพระศาสดา”

พอทรงเห็นภิกษุนั้นเท่านั้น จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเป็นผู้พาภิกษุผู้ไม่ปรารถนานั้นแล มาแล้วหรือ”

ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้มีภัณฑะมากมีบริขารมาก พระเจ้าข้า”

พระศาสดาตรัสถามว่า “ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอมีภัณฑะมาก จริงหรือ?”

ภิกษุนั้นกราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า จริง พระเจ้าข้า”

พระศาสดาตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุ ก็เพราะเหตุไร เธอจึงเป็นผู้มีภัณฑะมาก เรากล่าวคุณของความเป็นผู้มักน้อย ความเป็นผู้สันโดษ ความสงัด และการปรารภความเพียร มิใช่หรือ”

ภิกษุนั้นได้ฟังพระดำรัสของพระศาสดา ก็โกรธคิดว่า บัดนี้ เราจักเที่ยวไปโดยทำนองนี้ จึงทิ้งผ้าห่ม มีจีวรผืนเดียว ยืนอยู่ในท่ามกลางบริษัท

ลำดับนั้น พระศาสดา เมื่อจะทรงอุปถัมภ์ภิกษุนั้น จึงตรัสว่า

“ดูก่อนภิกษุ เมื่อก่อน แม้ในกาลเมื่อเธอเป็นผีเสื้อน้ำผู้แสวงหาหิริโอตตัปปะ เธอแสวงหาหิริโอตตัปปะอยู่ถึง ๑๒ ปี เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไรในบัดนี้ เธอบวชในพระพุทธศาสนาอันเป็นที่เคารพอย่างนี้ จึงทิ้งผ้าห่มในท่ามกลางบริษัท ละหิริ โอตตัปปะ ยืนอยู่เล่า”

ภิกษุนั้นได้ฟังพระดำรัสของพระศาสดา ได้ยังหิริโอตตัปปะให้กลับตั้งขึ้น จึงห่มจีวรนั้น แล้วถวายบังคมพระศาสดา นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงยังเรื่องนั้นให้แจ่มแจ้ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำเหตุอันระหว่างภพปกปิดไว้ให้ปรากฏ ดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล ได้มีพระราชาพระนามว่า พรหมทัต ในนครพาราณสี ในแคว้นกาสี ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิ ในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตนั้น เมื่อครบทศมาส พระนางประสูติพระโอรส ในวันเฉลิมพระนามของพระโอรสนั้น พระญาติทั้งหลายได้ตั้งพระนามว่า มหิสสาสกุมาร ในกาลที่พระกุมารนั้นทรงวิ่งเล่นได้ พระโอรสองค์อื่นก็ประสูติ พระญาติทั้งหลายตั้งพระนามของพระโอรสนั้นว่า จันทกุมาร ในเวลาที่พระจันทกุมารนั้นทรงวิ่งเล่นได้ พระมารดาของพระโพธิสัตว์ก็สวรรคต พระราชาทรงตั้งพระสนมอื่น ไว้ในตำแหน่งพระอัครมเหสี พระอัครมเหสีนั้น ได้เป็นที่รักเป็นที่โปรดปรานของพระราชา ต่อมาพระอัครมเหสีนั้นก็ประสูติพระโอรสองค์หนึ่ง พระญาติทั้งหลายได้ตั้งพระนามของพระโอรสนั้นว่า สุริยกุมาร

พระราชาทรงเห็นพระโอรส แล้วมีพระหฤทัยยินดี ตรัสว่า “นางผู้เจริญ เราให้พรแก่บุตรของเธอ” พระเทวีเก็บไว้จะรับเอาในเวลาต้องการพรนั่น เมื่อพระโอรสเจริญวัยแล้ว พระนางกราบทูลพระราชาว่า

“ข้าแต่สมมติเทพ ในกาลที่พระโอรสของหม่อมฉันประสูติ พระองค์ทรงประทานพรไว้มิใช่หรือ ขอพระองค์จงประทานราชสมบัติแก่พระโอรสของหม่อมฉัน”

พระราชาทรงห้ามว่า “พระโอรสสองพระองค์ของเรา รุ่งเรืองอยู่เหมือนกองเพลิง เราไม่อาจให้ราชสมบัติแก่โอรสของเธอ”

ทรงเห็นพระนางอ้อนวอนอยู่บ่อยๆ ทรงพระดำริว่า “พระนางนี้จะพึงคิด แม้กรรมอันลามกแก่โอรสทั้งหลายของเรา”

จึงรับสั่งให้เรียกพระโอรสทั้งสองมา แล้วตรัสว่า พ่อทั้งสอง ในเวลาที่สุริยกุมารประสูติ พ่อได้ให้พรไว้ บัดนี้ มารดาของสุริยกุมารนั้นทูลขอราชสมบัติ พ่อไม่ประสงค์จะให้แก่สุริยกุมารนั้น ธรรมดา มาตุคาม ผู้ลามกจะพึงคิดแม้สิ่งอันลามกแก่พวกเจ้า เจ้าทั้งสองต้องเข้าป่า ต่อเมื่อพ่อล่วงไปแล้ว จงครองราชสมบัติในนครอันเป็นของมีอยู่ของตระกูล แล้วทรงกันแสง ครํ่าครวญจุมพิตที่ศีรษะ แล้วทรงส่งไป

สุริยกุมารทรงเล่นอยู่ที่พระลานหลวง เห็นพระโอรสทั้งสองนั้น ถวายบังคมพระราชบิดา แล้วลงจากปราสาท ทรงเห็นเหตุนั้น จึงคิดว่า แม้เราก็จักไปกับพระเจ้าพี่ทั้งสอง จึงออกไปพร้อมกับพระโอรสทั้งสองนั้นเอง พระโอรสเหล่านั้นเสด็จเข้าไปยังป่าหิมพานต์ พระโพธิสัตว์แวะลงข้างทาง ประทับนั่งที่โคนไม้ เรียกสุริยกุมารมาว่า

“พ่อสุริยะ เจ้าจะไปยังสระนั้น อาบและดื่มแล้ว จงเอาใบบัวห่อน้ำดื่มมา แม้เพื่อเราทั้งสอง”

สระนั้นเป็นสระที่ผีเสื้อน้ำตนหนึ่ง ได้พรจากสำนักของท้าวเวสวัณ ท้าวเวสวัณตรัสกะผีเสื้อน้ำนั้นว่า

“เจ้าจะได้กินคนที่ลงยังสระนี้ ยกเว้น คนที่รู้เทวธรรมเท่านั้น เจ้าจะไม่ได้กิน” ตั้งแต่นั้น รากษสนั้นจึงถามเทวธรรมกะคนที่ลงสระนั้น แล้วกินคนที่ไม่รู้เทวธรรม ลำดับนั้นแล สุริยกุมารไปยังสระนั้น ไม่ได้พิจารณาเลยลงไปอยู่ รากษสนั้นจึงจับสุริยกุมารนั้น แล้วถามว่า

“ท่านรู้เทวธรรมหรือ?”

สุริยกุมารนั้นกล่าวว่า “เออ ฉันรู้ พระจันทร์และพระอาทิตย์ ชื่อว่า เทวธรรม”

ลำดับนั้น รากษสนั้นจึงกล่าวกะสุริยกุมารนั้นว่า

“ท่านไม่รู้จักเทวธรรม”

แล้วพาดำไปพักไว้ในที่อยู่ของตน

ฝ่ายพระโพธิสัตว์เห็นสุริยกุมารนั้นชักช้าอยู่ จึงส่งจันทกุมารไป แม้รากษสก็จับจันทกุมารนั้น แล้วถามว่า

“ท่านรู้เทวธรรมไหม?”

จันทกุมารกล่าวว่า “เออ ฉันรู้ ทิศทั้ง ๔ ชื่อว่าเทวธรรม”

รากษสกล่าวว่า “ท่านไม่รู้เทวธรรม”

แล้วพาจันทกุมารแม้นั้น ไปไว้ในที่อยู่ของตนนั้นนั่นแหละ

เมื่อจันทกุมารล่าช้าอยู่ พระโพธิสัตว์คิดว่า อันตรายอย่างหนึ่งจะพึงมี จึงเสด็จไปที่สระนั้นด้วยพระองค์เอง เห็นรอยเท้าลงของพระอนุชาแม้ทั้งสอง จึงดำริว่า

“สระนี้คงเป็นสระที่รากษสหวงแหน”

จึงได้สอดพระขรรค์ถือธนู ยืนอยู่ ผีเสื้อน้ำเห็นพระโพธิสัตว์ไม่ลงน้ำ จึงแปลงเป็นเหมือนบุรุษผู้ทำงานในป่า กล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า

“บุรุษผู้เจริญ ท่านเหน็ดเหนื่อยในหนทาง เพราะเหตุไร จึงไม่ลงสระนี้ อาบดื่ม กินเหง้าบัว ประดับดอกไม้ไปตามสบาย”

พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น รู้ว่า ผู้นี้จักเป็นยักษ์ จึงกล่าวว่า “ท่านจับน้องชายของเรามาหรือ”

ผีเสื้อน้ำกล่าวว่า “เออ เราจับมา”

พระโพธิสัตว์ถามว่า “เพราะเหตุไร”

ผีเสื้อน้ำกล่าวว่า “เราย่อมได้คนผู้ลงยังสระนี้”

พระโพธิสัตว์ถามว่า “ท่านย่อมได้ทั้งหมดทีเดียวหรือ?”

ผีเสื้อน้ำกล่าวว่า “เราได้ทั้งหมด ยกเว้นคนที่รู้เทวธรรม”

พระโพธิสัตว์นั้นตรัสถามว่า “ท่านมีความต้องการเทวธรรมหรือ?”

ผีเสื้อน้ำกล่าวว่า “เออมีความต้องการ”

พระโพธิสัตว์ตรัสว่า “ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น เราจักบอกเทวธรรมแก่ท่าน”

ผีเสื้อน้ำกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านจงบอก เราจักฟังเทวธรรม”

พระโพธิสัตว์ตรัสว่า “แต่เรามีตัวสกปรก”

ยักษ์จึงให้พระโพธิสัตว์อาบน้ำ ให้ดื่มน้ำ ให้ประดับดอกไม้ให้ลูบไล้ของหอม ได้ลาดบัลลังก์ให้ ในท่ามกลางปะรำ ที่ประดับแล้ว พระโพธิสัตว์ประทับนั่งบนอาสนะ ให้ยักษ์นั่งแทบเท้า แล้วตรัสว่า

“ถ้าอย่างนั้น ท่านจงเงี่ยโสตฟังพระธรรมโดยเคารพ”

แล้วตรัสพระธรรมเทศนาว่า

“สัปบุรุษผู้สงบระงับ ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ ตั้งมั่นอยู่ในธรรมอันขาว ท่านเรียกว่า ผู้มีเทวธรรมในโลก

บรรดาหิริและโอตตัปปะเหล่านั้น ที่ชื่อว่า หิริ เพราะละอายแต่กายทุจริต เป็นต้น คำว่า หิริ นี้ เป็นชื่อของความละอาย

ที่ชื่อว่า โอตตัปปะ เพราะกลัวแต่กายทุจริตเป็นต้นนั้นนั่นแหละ คำว่า โอตตัปปะนี้ เป็นชื่อของความกลัวแต่บาป

บรรดาหิริและโอตตัปปะนั้น หิริมีสมุฏฐานที่ตั้งขึ้นภายใน โอตตัปปะมีสมุฏฐานที่ตั้งขึ้นภายนอก

หิริมีตนเป็นใหญ่ โอตตัปปะมีโลกเป็นใหญ่

หิริดำรงอยู่ในสภาวะอันน่าละอาย โอตตัปปะดำรงอยู่ในสภาวะอันน่ากลัว

หิริมีลักษณะยำเกรง โอตตัปปะมีลักษณะโทษและเห็นภัย

บรรดาหิริและโอตตัปปะนั้น บุคคลย่อมยังหิริอันมีสมุฏฐานเป็นภายใน ให้ตั้งขึ้นด้วยเหตุ ๔ ประการ

เพราะพิจารณาถึงชาติกำเนิด ๑

พิจารณาถึงวัย ๑

พิจารณาถึงความกล้าหาญ ๑

พิจารณาถึงความเป็นพหูสูต ๑

อย่างไร? บุคคลพิจารณาถึงชาติกำเนิดก่อน อย่างนี้ว่า ชื่อว่าการกระทำบาปนี้ ไม่เป็นกรรมของคนผู้สมบูรณ์ด้วยชาติ เป็นกรรมของตนผู้มีชาติต่ำ มีพรานเบ็ดเป็นต้น จะพึงกระทำ บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยชาติเช่นท่าน ไม่ควรกระทำกรรมนี้ แล้วไม่ทำบาปมีปาณาติบาตเป็นต้น ชื่อว่ายังหิริให้ตั้งขึ้น

อนึ่ง บุคคลพิจารณาถึงวัย อย่างนี้ว่า ชื่อว่าการกระทำบาปนี้ เป็นกรรมที่คนหนุ่มๆ พึงกระทำ กรรมนี้อันคนผู้ตั้งอยู่ในวัย เช่นท่านไม่ควรกระทำ แล้วไม่กระทำบาป มีปาณาติบาตเป็นต้น ชื่อว่ายังหิริให้ตั้งขึ้น

แม้อนึ่ง บุคคลพิจารณาถึงความเป็นผู้กล้าหาญ อย่างนี้ว่า ชื่อว่าการกระทำบาปนี้ เป็นกรรมของคนผู้มีชาติอ่อนแอ กรรมนี้บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยความกล้าหาญเช่นท่าน ไม่ควรกระทำ แล้วไม่กระทำบาป มีปาณาติบาตเป็นต้น ชื่อว่ายังหิริให้ตั้งขึ้น

อนึ่ง บุคคลพิจารณาความเป็นพหูสูต อย่างนี้ว่า ชื่อว่าการกระทำบาปนี้เป็นกรรมของคนอันธพาล กรรมนี้อันคนผู้เป็นพหูสูต เป็นบัณฑิตเช่นท่าน ไม่ควรกระทำ แล้วไม่กระทำบาปมีปาณาติบาตเป็นต้น ชื่อว่ายังหิริให้ตั้งขึ้น

บุคคลชื่อว่ายังหิริ อันมีสมุฏฐานภายในให้ตั้งขึ้น ด้วยเหตุ ๔ ประการอย่างนี้ ก็แหละครั้นให้ตั้งขึ้นแล้ว ยังหิริให้เข้าไปในจิต ไม่กระทำบาปด้วยตน หิริย่อมชื่อว่ามีสมุฏฐานภายใน อย่างนี้

โอตตัปปะชื่อว่า มีสมุฏฐานภายนอกอย่างไร? บุคคลพิจารณาว่า ถ้าท่านจักทำบาปไซร้ ท่านจักเป็นผู้ถูกติเตียนในบริษัท ๔ และว่า วิญญูชนทั้งหลายจักติเตียนท่านเหมือนชาวเมืองติเตียนของไม่สะอาด ดูก่อนภิกษุ ท่านอันผู้มีศีลทั้งหลายเว้นห่างแล้ว จักกระทำอย่างไร ดังนี้ ย่อมไม่กระทำบาปกรรม เพราะโอตตัปปะอันตั้งขึ้นภายนอก โอตตัปปะย่อมชื่อว่ามีสมุฏฐานภายนอกอย่างนี้

หิริชื่อว่ามีตนเป็นใหญ่อย่างไร กุลบุตรบางคนในโลกนี้ กระทำตนให้เป็นใหญ่ ให้เป็นหัวหน้า ไม่กระทำบาปด้วยคิดว่า บุคคลผู้บวชด้วยศรัทธา เป็นพหูสูต มีวาทะ [คือสอน] ในการกำจัดกิเลสเช่นท่าน ไม่ควรกระทำบาปกรรม หิริย่อมชื่อว่ามีตนเป็นใหญ่อย่างนี้ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า บุคคลนั้นกระทำตนนั่นแหละให้เป็นใหญ่ ละอกุศล เจริญกุศล ละธรรมที่มีโทษ เจริญธรรมที่ไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดอยู่

โอตตัปปะชื่อว่ามีโลกเป็นใหญ่อย่างไร? กุลบุตรบางคนในโลกนี้ กระทำโลกให้เป็นใหญ่ ให้เป็นหัวหน้า แล้วไม่กระทำบาปกรรม สมดังที่ตรัสไว้ว่า ก็โลกสันนิวาสนี้ใหญ่แล อนึ่ง สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้มีฤทธิ์ มีทิพยจักษุ รู้จิตของผู้อื่น อยู่ในโลกสันนิวาสอันใหญ่แล สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมเห็นในที่ไกลบ้าง เห็นในที่ใกล้บ้าง รู้จิตด้วยจิตบ้าง สมณพราหมณ์แม้เหล่านั้น ย่อมรู้เราอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายจงดูกุลบุตรนี้ เขามีศรัทธาออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เกลือกกลั้วด้วยอกุศลธรรมอันลามกอยู่ เทวดาทั้งหลายผู้มีฤทธิ์ มีทิพยจักษุ รู้จิตของผู้อื่นมีอยู่ แม้เทวดาเหล่านั้น ย่อมเห็นแต่ที่ไกลบ้าง ย่อมเห็นในที่ใกล้บ้าง ย่อมรู้ใจด้วยใจบ้าง แม้เทวดาเหล่านั้นก็จักรู้เราว่า ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายจงดูกุลบุตรนี้ เขามีศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตไม่มีเรือน เกลือกกลั้วด้วยอกุศลธรรมอันลามกอยู่ เขากระทำโลกนั่นแลให้เป็นใหญ่ ละอกุศล เจริญกุศล ละธรรมอันมีโทษ เจริญธรรมอันไม่มีโทษ บริหารตนให้หมดจดอยู่ โอตตัปปะย่อมชื่อว่ามีโลกเป็นใหญ่อย่างนี้

ก็ในคำว่า หิริตั้งอยู่ในสภาวะน่าละอาย โอตตัปปะตั้งอยู่ในสภาวะน่ากลัวนี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ : อาการละอาย ชื่อว่า ความละอาย หิริตั้งอยู่โดยสภาวะอันนั้น ความกลัวแต่อบาย ชื่อว่า ภัย โอตตัปปะตั้งอยู่โดยสภาวะอันนั้น หิริและโอตตัปปะแม้ทั้งสองนั้น ย่อมปรากฏในการงดเว้นจากบาป จริงอยู่ บุคคลบางคนก้าวลงสู่ธรรม คือความละอายอันเป็นภายใน ไม่กระทำบาปกรรม เหมือนกุลบุตร เมื่อจะถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ เป็นต้น เห็นคนหนึ่งอันควรจะละอาย พึงเป็นผู้ถึงอาการละอาย ถูกอุจจาระ ปัสสาวะบีบคั้น จนอาจมเล็ด ก็ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะไม่ได้ ฉะนั้น บุคคลบางคนกลัวภัยในอบาย จึงไม่กระทำบาปกรรม ในข้อนั้น มีความอุปมาดังต่อไปนี้ : เหมือนอย่างว่า ในก้อนเหล็ก ๒ ก้อน ก้อนหนึ่งเย็น แต่เปื้อนคูถ ก้อนหนึ่งร้อน ไฟติดโพลง ในก้อนเหล็ก ๒ ก้อนนั้น บัณฑิตเกลียดไม่จับก้อนเย็น เพราะก้อนเย็นเปื้อนคูถ ไม่จับก้อนร้อน เพราะกลัวไฟไหม้ ฉันใด ในข้อที่ว่าด้วยหิริและโอตตัปปะนั้น ก็ฉันนั้น พึงทราบการหยั่งลงสู่ลัชชีธรรม อันเป็นภายใน แล้วไม่ทำบาปกรรม เหมือนบัณฑิตเกลียดก้อนเหล็กเย็นที่เปื้อนคูถ จึงไม่จับ และพึงทราบการไม่ทำบาป เพราะกลัวภัยในอบาย เหมือนการที่บัณฑิตไม่จับก้อนเหล็กร้อน เพราะกลัวไหม้ ฉะนั้น แม้บททั้งสองนี้ที่ว่า หิริมีลักษณะยำเกรง โอตตัปปะมีลักษณะกลัว โทษและเห็นภัย ดังนี้ ย่อมปรากฏเฉพาะในการงดเว้นจากบาปเท่านั้น จริงอยู่ คนบางคนยังหิริอันมีลักษณะยำเกรง ให้เกิดขึ้นด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ

พิจารณาถึงความเป็นใหญ่โดยชาติ ๑

พิจารณาถึงความเป็นใหญ่แห่งพระศาสดา ๑

พิจารณาถึงความเป็นใหญ่โดยทรัพย์มรดก ๑ และ

พิจารณาถึงความเป็นใหญ่แห่งเพื่อนพรหมจารี ๑

แล้วไม่ทำบาป คนบางคนยังโอตตัปปะอันมีลักษณะกลัวโทษ และมักเห็นภัย ให้ตั้งขึ้นด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ

ภัยในการติเตียนตน ๑

ภัยในการที่คนอื่นติเตียน ๑

ภัยคืออาชญา ๑ และ

ภัยในทุคติ ๑

แล้วไม่ทำบาป ในข้อที่ว่าด้วย หิริโอตตัปปะนั้น พึงกล่าวการพิจารณาความเป็นใหญ่โดยชาติเป็นต้น และภัยในการติเตียนตนเป็นต้น ให้พิสดาร ความพิสดารของการพิจารณาความเป็นใหญ่โดยชาติ เป็นต้นเหล่านั้น ได้กล่าวไว้แล้ว ในอรรถกถาอังคุตตรนิกาย

กุศลธรรมที่ควรกระทำมีหิริโอตตัปปะ นี้แหละเป็นต้นไป ชื่อว่า สุกกธรรม ธรรมขาว เมื่อว่าโดยนัย ที่รวมถือเอาทั้งหมด สุกกธรรมนั้น ก็คือธรรมอันเป็นโลกิยะและโลกุตระ อันเป็นไปในภูมิ ๔ ที่ประกอบแล้ว ประกอบพร้อมแล้วด้วย หิริและโอตตัปปะทั้งสองนั้น

ชื่อว่าผู้สงบระงับ เพราะกายกรรมเป็นต้น สงบระงับแล้ว ชื่อว่า เป็นสัปบุรุษ เพราะเป็นบุรุษผู้งดงาม ด้วยความกตัญญูกตเวที ก็ใน

โลกมีหลายโลก คือ สังขารโลก สัตวโลก โอกาสโลก ขันธโลก อายตนโลก และธาตุโลก ในโลกเหล่านั้น สังขารโลกท่านกล่าวไว้ในประโยคนี้ว่า โลกหนึ่ง คือสัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ฯลฯ โลก ๑๘ คือธาตุ ๑๘ โลกมีขันธโลก เป็นต้นรวมอยู่ใน สังขารโลก นั่นแหละ ส่วนสัตวโลกท่านกล่าวไว้ในประโยค มีอาทิว่า โลกนี้ โลกหน้า เทวโลก มนุษยโลก โอกาสโลก ท่านกล่าวไว้ในประโยคนี้ว่า พันโลกธาตุมีประมาณเพียงที่พระจันทร์ และพระอาทิตย์เวียน ส่องสว่างไปทั่วทิศ อำนาจของพระองค์ ย่อมแผ่ไปในพันโลกธาตุนั้น บรรดาโลกเหล่านั้น ในที่นี้ประสงค์เอาสัตวโลก จริงอยู่ ในสัตวโลกเท่านั้น มีสัปบุรุษเห็นปานนี้ สัปบุรุษเหล่านั้นท่านกล่าวว่า มีเทวธรรม

เทพมี ๓ ประเภท คือ สมมติเทพ ๑ อุปบัติเทพ ๑ และวิสุทธิเทพ ๑ บรรดาเทพเหล่านั้น พระราชาและพระราชกุมารเป็นต้น ชื่อว่าสมมติเทพ เพราะชาวโลกสมมติว่าเป็น เทพ จำเดิมแต่ครั้ง พระมหาสมมติราช เทวดาผู้อุปบัติในเทวโลก ชื่อว่า อุปบัติเทพ พระขีณาสพ ชื่อว่า วิสุทธิเทพ สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า พระราชา พระราชเทวี พระราชกุมาร ชื่อว่าสมมติเทพ เทพสูงๆ ขึ้นไปตั้งแต่ภุมมเทวดาไป ชื่อว่า อุปบัติเทพ, พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระขีณาสพ ชื่อว่า วิสุทธิเทพ ธรรมของเทพเหล่านี้ ชื่อว่า เทวธรรม

จริงอยู่ กุศลธรรมทั้งหลายมีหิริโอตตัปปะเป็นมูล ชื่อว่า เป็นธรรมของเทพทั้ง ๓ ประเภทเหล่านี้ เพราะอรรถว่า เป็นเหตุแห่งกุศลสัมปทา แห่งการเกิดในเทวโลก และแห่งความหมดจด เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าเทวธรรม แม้บุคคลผู้ประกอบด้วยเทวธรรมเหล่านั้น ก็เป็นผู้มีเทวธรรม เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงธรรมเหล่านั้น ด้วยเทศนาอันเป็นบุคคลาธิษฐาน จึงตรัสว่า สัปบุรุษผู้สงบระงับ เรียกว่า ผู้มีเทวธรรมในโลก”

ยักษ์ ครั้นได้ฟังธรรมเทศนานี้ มีความเลื่อมใส จึงกล่าวกะพระโพธิสัตว์ ว่า

“ดูก่อนบัณฑิต เราเลื่อมใสท่าน จะให้น้องชายคนหนึ่ง จะให้นำคนไหนมา”

พระโพธิสัตว์ตรัสว่า “ท่านจงนำน้องชายคนเล็กมา”

ยักษ์กล่าวว่า “ดูก่อนบัณฑิต ท่านรู้แต่เทวธรรมอย่างเดียวเท่านั้น แต่ไม่ประพฤติในเทวธรรมเหล่านั้น”

พระโพธิสัตว์ตรัสถามว่า “เพราะเหตุไร?”

ยักษ์กล่าวว่า “เพราะเหตุที่ท่านเว้นพี่ชายเสีย ให้นำน้องชายมา ชื่อว่าไม่กระทำกรรมของผู้อ่อนน้อมต่อผู้เจริญที่สุด”

พระโพธิสัตว์ตรัสว่า

“ดูก่อนยักษ์ เรารู้เทวธรรมทีเดียว และประพฤติในเทวธรรมเหล่านั้น เพราะว่า เราทั้งหลายเข้าป่านี้ เพราะอาศัยน้องชายนี้ ด้วยว่า พระมารดาของน้องชายนี้ ทูลขอราชสมบัติกะพระบิดาของพวกเรา เพื่อประโยชน์แก่น้องชายนี้ แต่พระบิดาของพวกเราไม่ให้พรนั้น เพื่อจะทรงอนุรักษ์พวกเรา จึงทรงอนุญาตการอยู่ป่า พระกุมารนั้นติดตามมากับพวกเรา แม้เมื่อพวกเรากล่าวว่า ยักษ์ในป่ากินพระกุมารนั้นเสียแล้ว ใครๆ จักไม่เชื่อ ด้วยเหตุนั้น เรากลัวแต่ภัย คือการครหา จึงให้นำน้องชายคนเล็กนั้น นั่นแหละมา”

ยักษ์มีจิตเลื่อมใสให้สาธุการแก่พระโพธิสัตว์ว่า

“สาธุ สาธุ ท่านบัณฑิต ท่านรู้เทวธรรม ทั้งปฏิบัติในเทวธรรมเหล่านั้น ดังนี้แล้ว จึงได้นำน้องชายทั้งสองคนมาให้”

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ตรัสกะยักษ์นั้นว่า

“สหาย ท่านบังเกิดเป็นยักษ์มีเนื้อและเลือดของคนอื่นเป็นภักษา เพราะบาปกรรมที่ตนทำไว้ในชาติก่อน บัดนี้ ท่านยังกระทำบาปนั่นแลซ้ำอีก ด้วยว่า บาปกรรมจักไม่ไห้พ้นจากนรก เป็นต้น เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นี้ไป ท่านจงละบาปแล้วกระทำแต่กุศล ก็แหละได้สามารถทรมานยักษ์นั้น”

พระโพธิสัตว์นั้น ครั้นทรมานยักษ์นั้นแล้ว เป็นผู้อันยักษ์นั้นจัดแจงการอารักขา อยู่ในที่นั้น นั่นแล วันหนึ่ง แลดูนักขัตฤกษ์ รู้ว่าพระชนกสวรรคต จึงพายักษ์ไปเมืองพาราณสี ยึดราชสมบัติ ประทานตำแหน่งอุปราชแก่พระจันทกุมาร ประทานตำแหน่งเสนาบดีแก่สุริยกุมาร ให้สร้างที่อยู่ในที่อันน่ารื่นรมย์ ให้แก่ยักษ์ ได้ทรงกระทำโดยประการที่ ยักษ์นั้นได้บูชาอันเลิศ ดอกไม้อันเลิศ ของหอมอันเลิศ ผลไม้อันเลิศ และภัตอันเลิศ พระโพธิสัตว์ครองราชสมบัติโดยธรรม ได้เสด็จไปตามยถากรรมแล้ว

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุนั้นดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล  แล้วทรงประชุมชาดก ว่า

ผีเสื้อน้ำในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุผู้มีภัณฑะมาก ในบัดนี้

สุริยกุมารได้เป็น พระอานนท์

จันทกุมารได้เป็น พระสารีบุตร

ส่วนมหิสสาสกุมารผู้เป็นเชฏฐา ได้เป็น เราเอง แล



พระคาถาประจำชาดก
สัปบุรุษผู้สงบระงับ ประกอบด้วยหิริและโอตตัปปะ ตั้งมั่นอยู่ในธรรมอันขาว
ท่านเรียกว่า ผู้มีเทวธรรมในโลก


ที่มา วัดโพรงจระเข้ จ.ตรัง

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า

[• สุขใจ บำรุงรักษาระบบ •]
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.564 วินาที กับ 29 คำสั่ง

Google visited last this page 03 พฤษภาคม 2567 23:50:22