หัวข้อ: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 10:41:05 (http://www.gmwebsite.com/upload/phuttawong.net/webboard/DSC08119(1).gif) พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ ท่านพระโพธินันทมุนี (สมศักดิ์ ปฺณฑิโต) ศิษย์ใกล้ชิดท่าน (ปัจจุบันท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดบูรพาราม)ได้บันทึกไว้ ผู้เขียน(webmaster) ขอกราบอารธนาธรรมคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ด้วยเล็งเห็นว่าธรรมข้อคิดต่างๆของท่านหลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระอริยสงฆ์ แฝงไว้ด้วยแก่นธรรมที่ลึกซึ้ง โดยเฉพาะปฏิจจสมุปบาท, อริยสัจ และขันธ์๕ แต่เป็นไปในลักษณะปริศนาธรรม สั้น กระชับ มีคุณประโยชน์มากแก่ผู้ที่มีพื้นฐานทางธรรมอย่างแท้จริง แต่ยากเกินเข้าใจสําหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในธรรม จึงได้พยายามอธิบายความหมายตามความเห็นตามความเข้าใจของผู้เขียน เพื่อยังประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย อันอาจมีข้อผิดพลาดสื่อผิดจุดมุ่งหมายบางประการ ก็ต้องกราบขออภัยต่อท่านหลวงปู่ดูลย์ อตุโล, ท่านผู้บันทึก และท่านผู้รวบรวมและเรียบเรียงหนังสือนี้ด้วย, เพราะผู้เขียนกระทําด้วยกุศลจิต และท่านนักปฏิบัติทั้งหลายต้องโยนิโสมนสิการด้วยตัวเองอีก จึงจักเกิดประโยชน์บริบูรณ์ ในคําสอนของท่านที่ได้บันทึกไว้เพื่อประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลัง เนื่องด้วยแต่เดิมมี "หลวงปู่ฝากไว้" อยู่ใน Internet แล้ว แต่ในปัจจุบันไม่สามารถใช้งานได้ ผู้เขียน(webmaster)เล็งเห็นว่าเป็นสิ่งที่น่าถ่ายทอดบันทึกไว้ให้กว้างขวาง เพื่อให้นักปฏิบัติตลอดจนอนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้ากันได้ เพราะข้อคิดข้อธรรมใน "หลวงปู่ฝากไว้"ของพระอริยเจ้า หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่บันทึกถ่ายทอดมาโดยพระโพธินันทะมุนี (สมศักดิ์ ปฺณฑิโต)นั้นเป็นข้อคิดข้อธรรม ตลอดจนปริศนาธรรมที่สั้นกระชับแต่กินความหมายอันลึกซึ้ง ซึ่งถ้ากระทำการโยนิโสมนสิการด้วยความเพียรแล้ว จะทำให้เข้าใจในสภาวธรรม ตลอดจนแนวการปฏิบัติได้เป็นอย่างดี สมควรที่จะเผยแผ่แก่ผู้ที่สนใจ จึงได้บันทึกตามต้นฉบับในหนังสือ "อตุโล ไม่มีใดเทียม" โดยแบ่งเป็นฉบับย่อยๆเพื่อความสะดวกในการเข้าเว็บ [และมีคำอธิบายในวงเล็บสีม่วงท้ายข้อธรรมในบางข้อของท่าน โดยผู้เขียนเอง(webmaster) เพื่อให้ผู้อ่านได้เน้นพิจารณา เพื่อให้เห็นสภาวธรรมบางประการที่ท่านได้กล่าวสอนฝากไว้ได้ชัดง่ายขึ้นบ้าง] พนมพร หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 10:42:39 ธรรมะปฏิสันถาร
เมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จเยี่ยมหลวงปู่เป็นการส่วนพระองค์ เมื่อทั้งสองพระองค์ทรงถามถึงสุขภาพอนามัยและการอยู่สำราญแห่งอริยาบถของหลวงปู่ ตลอดถึงทรงสนทนาธรรมกับหลวงปู่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชปุจฉาว่า "หลวงปู่ การละกิเลสนั้นควรละกิเลสอะไรก่อน" ฯ หลวงปู่ถวายวิสัชนา "กิเลสทั้งหมดเกิดรวมที่จิต ให้เพ่งมองดูที่จิต อันไหนเกิดก่อนให้ละอันนั้นก่อน" [Webmaster-เป็นการปฏิบัติจิตตานุปัสสนาและเวทนานุปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ กล่าวคือ จิตหรือสติเห็นอาการของจิต(เจตสิก)ดัง ราคะ โทสะ โมหะ จิตฟุ้งซ่าน จิตหดหู่ ฯ. หรือจิตเห็นเวทนา กล่าวคือสติเห็นอันใดแล้วก็ละในสิ่งนั้นๆกล่าวคืออุเบกขาเสียนั่นเอง] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 10:46:04 หลวงปู่ไม่ฝืนสังขาร ทุกครั้งที่ล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์เสด็จเยี่ยมหลวงปู่ หลังจากเสร็จพระราชกรณียกิจในการเยี่ยมแล้ว เมื่อจะเสด็จกลับทรงมีพระราชดำรัสคำสุดท้ายว่า "ขออาราธนาหลวงปู่ให้ดำรงค์ขันธ์อยู่เกินร้อยปี เพื่อเป็นที่เคารพนับถือของปวงชนทั่วไป หลวงปู่รับได้ไหม"ฯ ทั้งๆที่พระราชดำรัสนี้เป็นสัมมาวจีกรรม ทรงประทานพรแก่หลวงปู่โดยพระราชอัธยาศัย หลวงปู่ก็ไม่กล้ารับ และไม่อาจฝืนสังขาร จึงถวายพระพรว่า "อาตมาภาพรับไม่ได้หรอก แล้วแต่สังขารจะเป็นไปของเขาเอง." [Webmaster-แสดงสภาวธรรมหรือธรรมชาติของสังขารทั้งปวง แม้แต่ในสังขารกายของพระอริยเจ้า] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 10:49:23 ปรารภธรรมะเรื่องอริยสัจสี่ พระเถระฝ่ายกัมมัฏฐานเข้าถวายสักการะหลวงปู่ในวันเข้าพรรษาปี ๒๔๙๙ หลังฟังโอวาทและข้อธรรมะอันลึกซึ้งข้ออื่นๆ แล้วหลวงปู่สรุปใจความอริยสัจสี่ให้ฟังว่า จิตที่ส่งออกนอก เป็นสมุทัย ผลอันเกิดจากจิตที่ส่งออกนอก เป็นทุกข์ จิตเห็นจิต เป็นมรรค ผลอันเกิดจากจิตเห็นจิต เป็นนิโรธ [Webmaster-ข้อธรรมแสดงหลักธรรมอริยสัจ ๔ รวมทั้งหลักปฏิบัติต่อจิต ทั้งเวทนานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ อย่างแจ่มแจ้ง] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 10:53:25 สิ่งที่อยู่เหนือคำพูด อุบาสกผู้คงแก่เรียนผู้หนึ่ง สนทนากับหลวงปู่ว่า "กระผมเชื่อว่า แม้ในปัจจุบันพระผู้ปฏิบัติถึงขั้นได้บรรลุมรรคผลนิพพานก็คงมีอยู่ไม่น้อย เหตุใดท่านเหล่านั้นจึงไม่แสดงตนให้ปรากฎ เพื่อให้ผู้สนใจปฏิบัติทราบว่าท่านได้บรรลุถึงคุณธรรมนั้นแล้ว เขาจะได้มีกำลังใจและความหวัง เพื่อเป็นพลังเร่งความเพียรในทางปฏิบัติให้เต็มที่" ฯ หลวงปู่กล่าวว่า "ผู้ที่เขาตรัสรู้แล้ว เขาไม่พูดว่าเขารู้แล้วซึ่งอะไร เพราะสิ่งนั้นมันอยู่เหนือคำพูดทั้งหมด" [Webmaster-เป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน และการรู้ ล้วนเป็นเพียงรู้เพื่อนิพพิทาญาณ เพื่อการปล่อยวางเป็นสำคัญ] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 10:55:51 หลวงปู่เตือนพระผู้ประมาท ภิกษุผู้อยู่ด้วยความประมาท คอยนับจำนวนศีลของตนแต่ในตำรา คือมีความพอใจภูมิใจกับจำนวนศีลที่มีอยู่ในพระคำภีร์ ว่า ตนนั้นมีศีลถึง ๒๒๗ ข้อ "ส่วนที่ตั้งใจปฏิบัติให้ได้นั้น จะมีสักกี่ข้อ" [Webmaster-กล่าวแสดง การพ้นทุกข์ว่าไม่ใช่ด้วยการถือศีลแต่ฝ่ายเดียว ต้องประกอบด้วยการมีจิตที่มี สติ สมาธิที่หมายถึงตั้งใจมั่น เพื่อให้บรรลุถึงปัญญา] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 10:57:41 จริง แต่ไม่จริง ผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน ทำสมาธิภาวนา เมื่อปรากฎผลออกมาในแบบต่างๆ ย่อมเกิดความสงสัยขึ้นเป็นธรรมดา เช่น เห็นนิมิตในรูปแบบที่ไม่ตรงกันบ้าง ปรากฎในอวัยวะของตนเองบ้าง ส่วนมากมากราบเรียนหลวงปู่เพื่อให้ช่วยแก้ไข หรือแนะอุบายปฏิบัติต่อไปอีก มีจำนวนมากที่ถามว่า ภาวนาแล้วก็เห็น นรก สรรรค์ วิมาน เทวดา หรือไม่ก็เป็นองค์พระพุทธรูปปรากฎอยู่ในตัวเรา สิ่งที่เห็นเหล่านี้เป็นจริงหรือ ฯ หลวงปู่บอกว่า "ที่เห็นนั้น เขาเห็นจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น ไม่จริง" [Webmaster-หมายเตือนเรื่องนิมิต ที่ไปยึดหมาย อันจะก่อให้เกิดวิปัสสนูปกิเลสเป็นที่สุด, หลวงปู่กล่าวดังนี้เพราะ ผู้ที่เห็นนั้น เขาก็อาจเห็นจริงๆตามความรู้สึกนึกคิดหรือสังขารที่เกิดขึ้นจากส่วนหนึ่งของสัญญาเขา เพียงแต่ว่าสิ่งที่เห็นนั้น ไม่ได้เป็นจริงตามนั้น อ่านรายละเอียดความเป็นไปได้ในบทนิมิตและภวังค์] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 10:59:42 แนะวิธีละนิมิต ถามหลวงปู่ต่อมาอีกว่า นิมิตทั้งหลายแหล่ หลวงปู่บอกยังเป็นของภายนอกทั้งหมด จะเอามาทำอะไรยังไม่ได้ ถ้าติดอยู่ในนิมิตนั้นก็ยังอยู่แค่นั้น ไม่ก้าวต่อไปอีก จะเป็นด้วยเหตุที่กระผมอยู่ในนิมิตนี้มานานหรืออย่างไร จึงหลีกไม่พ้น นั่งภาวนาทีไร พอจิตจะรวมสงบก็เข้าถึงภาวะนั้นทันที หลวงปู่โปรดได้แนะนำวิธีละนิมิตด้วยว่า ทำอย่างไรจึงจะได้ผล หลวงปู่ตอบว่า เออ นิมิตบางอย่างมันก็สนุกดี น่าเพลิดเพลินอยู่หรอก แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้นมันก็เสียเวลาเปล่า วิธีละได้ง่ายๆก็คือ อย่าไปดูสิ่งที่ถูกเห็นเหล่านั้น "ให้ดูผู้เห็น แล้วสิ่งที่ไม่อยากเห็นนั้นก็จะหายไปเอง" [Webmaster-ผู้เห็น หมายถึงจิตหรือสติ จึงหมายถึงกลับมาอยู่กับสติเสียนั่นเอง, ส่วนผู้ที่เห็นนิมิตอยู่เสมอๆเนื่องจากการปฏิบัติสั่งสมดังนั้นมานานโดยไม่รู้คือตามหรือเชื่อในนิมิต จนเป็นสังขารองค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาทธรรมนั่นเอง จึงมักเกิดขึ้นเองเสมอๆ แม้โดยไม่ได้เจตนา] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 11:03:13 เป็นของภายนอก เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๔ หลวงปู่อยู่ในงานประจำปี วัดธรรมมงคล สุขุมวิท กรุงเทพฯ มีแม่ชีพราหมณ์หลายคนจากวิทยาลัยครูพากันเข้าไปถาม ทำนองรายงานผลของการปฏิบัติวิปัสสนาให้หลวงปู่ฟังว่า เขานั่งวิปัสสนาจิตสงบแล้ว เห็นองค์พระพุทธรูปในหัวใจของเขา บางคนว่า ได้เห็นสวรรค์เห็นวิมานของตนเองบ้าง บางคนว่าเห็นพระจุฬามณีเจดีย์สถานบ้าง พร้อมทั้งภูมิใจว่าเขาวาสนาดี ทำวิปัสสนาได้สำเร็จ หลวงปู่อธิบายว่า "สิ่งที่ปรากฎเห็นทั้งหมดนั้น ยังเป็นของภายนอกทั้งสิ้นจะนำเอามาเป็นสาระที่พึ่งอะไรยังไม่ได้หรอก." [Webmaster-เป็นเพียงสังขารขึ้นมา ไม่ใช่ของเที่ยงแท้ที่นำพาให้พ้นทุกข์ หรือดับภพชาติ จึงยังไม่เป็นสาระที่ไปยึดหมาย สิ่งที่เห็นยังเป็นเพียงนิมิตอยู่เท่านั้นเอง และพึงแยกแยะหรือพิจารณาให้ดีว่ามาปฏิบัติสมถสมาธิ(สมาธิ)แต่เพียงอย่างเดียว อันอาจเสียการ, หรือปฏิบัติสมถวิปัสสนา อันดีงาม] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากŭ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 11:39:26 หยุดเพื่อรู้ เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๐๗ มีพระสงฆ์หลายรูป ทั้งฝ่ายปริยัติและฝ่ายปฏิบัติได้เข้ากราบหลวงปู่เพื่อรับโอวาทและรับฟังการแนะแนวทางธรรมะที่จะพากันออกเผยแผ่ธรรมทูตครั้งแรก หลวงปู่แนะวิธีอธิบายธรรมะขั้นปรมัตถ์ ทั้งสอนผู้อื่นและเพื่อปฏิบัติตนเอง ให้เข้าถึงสัจจธรรมนั้นด้วย ลงท้ายหลวงปู่ได้กล่าวปรัชญาธรรมไว้ให้คิดด้วยว่า คิดเท่าไรก็ไม่รู้ ต่อเมื่อหยุดคิดได้จึงรู้ แต่ต้องอาศัยความคิดนั้นแหละจึงรู้ [Webmaster-คิดทั้ง ๓ ต้องจำแนกแตกความให้ถูกต้อง แต่ละคิดมีความหมายดังนี้ คิดนึกปรุงแต่ง(หมายถึงการคิดฟุ้งซ่านเท่า่นั้น)เท่าไรก็ย่อมไม่รู้จักนิโรธ-การดับทุกข์ ต่อเมื่อหยุดการคิดฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่ง อันยังให้ไม่เกิดเวทนาอันเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาและทุกข์ในที่สุด นั่นแหละจึงจักรู้หรือพบนิโรธหรือความสุขสงบ แต่ก็ต้องอาศัยการคิดพิจารณาธรรมคือการโยนิโสมนสิการ(ธรรมวิจยะ)เสียก่อนจึงจักรู้เข้าใจด้วยตนเองจึงเกิดกำลังของปัญญา ในโทษของการคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่าน] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากŭ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 11:42:23 ทั้งส่งเสริมทั้งทำลาย กาลครั้งนั้น หลวงปู่ได้ให้โอวาทเตือนพระธรรมทูตครั้งแรกมีใจความตอนหนึ่งว่า ฯ "ท่านทั้งหลาย การที่จะออกจาริกไปเพื่อเผยแผ่ ประกาศพระศาสนานั้น เป็นได้ทั้งส่งเสริมศาสนาและทำลายพระศาสนา ที่ว่าเช่นนี้เพราะองค์ธรรมทูตนั่นแหละตัวสำคัญ คือ เมื่อไปแล้วประพฤติตัวเหมาะสม มีสมณสัญญาจริยาวัตร งดงามตามสมณวิสัยผู้ที่ได้พบเห็น หากยังไม่เลื่อมใส ก็จะเกิดความเลื่อมใสขึ้น ส่วนผู้ที่เลื่อมใสแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความเลื่อมใสมากขึ้นเข้าไปอีกฯ ส่วนองค์ที่มีความประพฤติและวางตัวตรงกันข้ามนี้ ย่อมทำลายผู้ที่เลื่อมใสแล้วให้ถอยศรัทธาลง สำหรับผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสเลย ก็ยิ่งถอยห่างออกไปอีกฯ จึงขอให้ทุกท่านจงเป็นผู้พร้อมไปด้วยความรู้และความประพฤติ ไม่ประมาท สอนเขาอย่างไร ตนเองต้องทำอย่างนั้นให้ได้เป็นตัวอย่างด้วย" หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากŭ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 11:45:20 เมื่อถึงปรมัตถ์แล้วไม่ต้องการ ก่อนเข้าพรรษาปี ๒๔๘๖ หลวงพ่อเถาะ ซึ่งเป็นญาติของหลวงปู่ และบวชเมื่อวัยชราแล้ว ได้ออกธุดงค์ติดตามท่านอาจารย์เทสก์ ท่านอาจารย์สาม ไปอยู่จังหวัดพังงาหลายปี กลับมาเยี่ยมนมัสการหลวงปู่ เพื่อศึกษาข้อปฏิบัติทางกัมมัฎฐานต่อไปอีกจนเป็นที่พอใจแล้ว หลวงพ่อเถาะพูดตามประสาความคุ้นเคยว่า หลวงปู่สร้างโบสถ์ ศาลาได้ใหญ่โตสวยงามอย่างนี้ คงได้บุญได้กุศลอย่างใหญ่โตทีเดียว ฯ หลวงปู่กล่าวว่า "ที่เราสร้างนี่ก็สร้างเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ประโยชน์สำหรับโลก สำหรับวัดวาศาสนาเท่านั้นแหละ ถ้าพูดถึงเอาบุญเราจะมาเอาบุญอะไรอย่างนี้." [Webmaster- เพราะการดับทุกข์แห่งตน คืออานิสงส์ ผลของบุญอันสูงสุดแล้ว ไม่มีอานิสงส์ของสิ่งใดสูงส่งไปกว่านี้อีกต่อไปแล้ว กิจอันควรทำยิ่งได้ทำแล้วโดยบริบูรณ์] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากŭ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 12:01:45 ทุกข์เพราะอะไร สุภาพสตรีวัยเลยกลางคนผู้หนึ่ง เข้านมัสการหลวงปู่ พรรณาถึงฐานะของตนว่าอยู่ในฐานะที่ดี ไม่เคยขาดแคลนสิ่งใดเลย มาเสียใจกับลูกชายที่สอนไม่ได้ ไม่อยู่ในระเบียบแบบแผนที่ดี ตกอยู่ภายใต้อำนาจอบายมุขทุกอย่าง ทำลายทรัพย์สมบัติและจิตใจของพ่อแม่จนเหลือที่จะทนได้ ขอความกรุณาหลวงปู่ให้ช่วยแนะอุบายบรรเทาทุกข์ และแก้ไขให้ลูกชายพ้นจากอบายมุขนั้นด้วย ฯ หลวงปู่ก็แนะนำสั่งสอนไปตามเรื่องนั้นๆ ตลอดถึงแนะอุบายทำใจให้สงบ รู้จักปล่อยวางให้เป็น ฯ เมื่อสุภาพสตรีนั้นกลับไปแล้ว หลวงปู่ปรารภธรรมะให้ฟังว่า "คนเราสมัยนี้ เขาเป็นทุกข์เพราะความคิด." [Webmaster-ความคิด นี้ท่านหมายถึงความคิดชนิดฟุ้งซ่าน หรือความคิดนึกปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ มิได้หมายความถึงความคิดทั้งมวล แบบยึดถือว่าความว่างอย่างผิดๆ] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากŭ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 12:03:54 อุทานธรรม หลวงปู่ยังกล่าวธรรมกถาต่อมาอีกว่า สมบัติพัสถานทั้งหลายมันมีประจำอยู่ในโลกมาแล้วอย่างสมบูรณ์ ผู้ที่ขาดปัญญาและไร้ความสามารถ ก็ไม่อาจจะแสวงหาเพื่อยึดครองสมบัติเหล่านั้นได้ ย่อมครองตนอยู่ด้วยความฝืดเคืองและลำบากขันธ์ ส่วนผู้ที่มีปัญญาความสามารถ ย่อมแสวงหายึดสมบัติของโลกไว้ได้อย่างมากมายอำนวยความสะดวกสบายแก่ตนได้ทุกกรณีฯ ส่วนพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านพยายามดำเนินตนเพื่อออกจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไปสู่ภาวะแห่งความไม่มีอะไรเลย เพราะว่า "ในทางโลก มี สิ่งที่ มี ส่วนในทางธรรม มี สิ่งที่ ไม่มี" หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากŭ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 12:07:19 อุทานธรรมต่อมา เมื่อแยกพันธะแห่งความเกี่ยวเนื่องจิตกับสรรพสิ่งทั้งปวงได้แล้ว จิตก็จะหมดพันธะกับเรื่องโลก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จะดีหรือเลว มันขึ้นอยู่กับจิตที่ออกไปปรุงแต่งทั้งนั้น แล้วจิตที่ขาดปัญญาย่อมเข้าใจผิด เมื่อเข้าใจผิดก็หลง ก็หลงอยู่ภายใต้อำนาจของเครื่องร้อยรัดทั้งหลาย ทั้งทางกายและทางใจ อันโทษทัณฑ์ทางกายอาจมีคนอื่นช่วยปลดปล่อยได้บ้าง ส่วนโทษทางใจ มีกิเลสตัณหาเป็นเครื่องรึงรัดไว้นั้น ต้องรู้จักปลดปล่อยตนด้วยตนเอง "พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านพ้นจากโทษทั้งสองทางความทุกข์จึงครอบงำไม่ได้" หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากŭ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 12:09:40 อุทานธรรมข้อต่อมา เมื่อบุคคลปลงผม หนวด เคราออกหมดแล้ว และได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์เรียบร้อยแล้ว ก็นับว่าเป็นสัญญลักษณ์แห่งความเป็นภิกษุได้ แต่ยังเป็นได้แต่เพียงภายนอกเท่านั้น ต่อเมื่อเขาสามารถปลงสิ่งที่รกรุงรังทางใจ อันได้แก่อารมณ์ตกตํ่าทางใจได้แล้ว ก็ชื่อว่าเป็นภิกษุในภายในได้ฯ ศีรษะที่ปลงผมหมดแล้ว สัตว์เลื้อยคลานเล็กน้อยเช่นเหา ย่อมอาศัยอยู่ไม่ได้ฉันใด จิตที่พ้นจากอารมณ์ ขาดจากการปรุงแต่งแล้ว ทุกข์ก็อาศัยอยู่ไม่ได้ฉันนั้น ผู้มีปกติเป็นอยู่อย่างนี้ควรเรียกได้ว่า "เป็นภิกษุแท้" หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 12:16:09 พุทโธเป็นอย่างไร หลวงปู่รับนิมนต์ไปโปรดญาติโยมที่กรุงเทพฯ เมื่อ ๓๑ มีนาคม ๒๕๒๑ ในช่วงสนทนาธรรม ญาติโยมสงสัยว่าพุทโธ เป็นอย่างไร หลวงปู่ได้เมตตาตอบว่า เวลาภาวนาอย่าส่งจิตออกนอก ความรู้อะไรทั้งหลายทั้งปวงอย่าไปยึด ความรู้ที่เราเรียนกับตำหรับตำรา หรือจากครูบาอาจารย์ อย่าเอามายุ่งเลย ให้ตัดอารมณ์ออกให้หมด แล้วก็เวลาภาวนาไปให้มันรู้ รู้จากจิตของเรานั่นแหละ จิตของเราสงบเราจะรู้เอง ต้องภาวนาให้มากๆเข้า เวลามันจะเป็น จะเป็นของมันเอง ความรู้อะไรๆให้มันออกมาจากจิตของเรา ความรู้ที่ออกจากจิตที่สงบนั่นแหละเป็นความรู้ที่ลึกซึ้งถึงที่สุด ให้มันรู้ออกมาจากจิตนั่นแหละมันดี คือจิตมันสงบ ทำจิตให้เกิดอารมณ์อันเดียว อย่าส่งจิตออกนอก ให้จิตอยู่ในจิต แล้วให้จิตภาวนาเอาเอง ให้จิตเป็นผู้บริกรรมพุทโธ พุทโธอยู่นั่นแหละ แล้วพุทโธ เราจะได้รู้จักว่า พุทโธ นั้นเป็นอย่างไร แล้วรู้เอง...เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรมากมาย. [Webmaster-จิตอยู่ในจิต หมายถึง จิตอยู่กับสติ, ส่วนคำบริกรรมพุทโธ หรือสัมมาอรหัง หรือการตามลมหายใจ หรือยุบหนอพองหนอ หรือการเคลื่อนไหวร่างกายหรือส่วนหนึ่งของร่างกาย ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงนั้นล้วนด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือใช้เป็นอารมณ์ คือสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องล่อคือเครื่องกำหนดของจิต ให้จิตไม่ดำริ(คิด)พล่านออกไปปรุงแต่งต่างๆนา จนเป็นสมาธิตั้งใจมั่นในกิจที่ปฏิบัตินั้นๆ] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 25 พฤษภาคม 2553 12:17:39 (:88:) (:88:) (:88:) หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝาก& เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 12:18:19 อยากได้ของดี เมื่อต้นเดือนกันยายน ๒๕๒๖ คณะแม่บ้านมหาดไทย โดยมีคุณหญิงจวบ จิรโรจน์ เป็นหัวหน้าคณะ ได้นำคณะแม่บ้านมหาดไทยไปบำเพ็ญสังคมสงเคราะห์ทางภาคอีสาน ได้ถือโอกาสแวะมนัสการหลวงปู่ เมื่อเวลา ๑๘.๐๐ น.ฯ หลังจากกราบมนัสการและถามถึงอาการสุขสบายของหลวงปู่และรับวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกจากหลวงปู่แล้ว เห็นว่าหลวงปู่ไม่ค่อยสบาย ก็รีบออกมา แต่ยังมีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง ถือโอกาสพิเศษกราบหลวงปู่ว่า ดิฉันขอของดีจากหลวงปู่ด้วยเถอะเจ้าค่ะ ฯ หลวงปู่จึงเจริญพรว่า ของดีก็ต้องภาวนาเอาจึงจะได้ เมื่อภาวนาแล้ว ใจก็สงบ กายวาจาก็สงบ แล้วกายก็ดี วาจาใจก็ดี เราก็อยู่ดีมีสุขเท่านั้นเอง ดิฉันมีภาระมาก ไม่มีเวลาจะนั่งภาวนา งานราชการเดี๋ยวนี้รัดตัวมากเหลือเกิน มีเวลาที่ไหนมาภาวนาได้คะ ฯ หลวงปู่จึงต้องอธิบายให้ฟังว่า "ถ้ามีเวลาสำหรับหายใจ ก็ต้องมีเวลาสำหรับภาวนา" หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 12:22:20 มี แต่ไม่เอา ปี ๒๕๒๒ หลวงปู่ไปพักผ่อน และเยี่ยมอาจารย์สมชายที่วัดเขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี ขณะเดียวกันก็มีพระเถระอาวุโสรูปหนึ่งจากกรุงเทพฯ คือพระธรรมวราลังการ วัดบุปผารามเจ้าคณะภาคทางภาคใต้ไปอยู่ฝึกกัมมัฏฐานเมื่อวัยชราแล้ว เพราะมีอายุอ่อนกว่าหลวงปู่เพียงปีเดียว ฯ เมื่อท่านทราบว่าหลวงปู่เป็นพระฝ่ายกัมมัฏฐานอยู่แล้ว ท่านจึงสนใจและศึกษาถามถึงผลของการปฏิบัติ ทำนองสนทนาธรรมกันเป็นเวลานาน และกล่าวถึงภาระของท่านว่า มัวแต่ศึกษาและบริหารงานการคณะสงฆ์มาตลอดวัยชรา แล้วก็สนทนาข้อกัมมัฏฐานกับหลวงปู่อยู่เป็นเวลานาน ลงท้ายถามหลวงปู่สั้นๆว่า ท่านยังมีโกรธอยู่ไหม ฯ หลวงปู่ตอบเร็วว่า "มี แต่ไม่เอา" [Webmaster-หมายถึงมีความโกรธเกิดขึ้นในระดับของขันธ์ ๕ ธรรมดาในลำดับแรก แล้วไม่เอาไปคิดนึกปรุงแต่งต่อซึ่งย่อมไม่มีสังขารเกิดขึ้นใหม่อีก ดังนั้นเวทนาก็่เกิดขึ้นใหม่ไม่ได้จึงระงับไปเช่นกัน เมื่อดับเวทนา(ที่หมายถึง ไม่ปรุงแต่งให้เกิดเวทนาขึ้นอีก)เสียแล้ว ตัณหาและอุปปาทานความเป็นตัวตนของตนจะเกิดขึ้นได้อย่างไร อันเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาทธรรม, ความโกรธจะไปอาศัยเหตุเกิดกับสิ่งใดได้ จึงต้องดับไปอย่างรวดเร็ว ไม่เกิดอาการ เกิดดับๆๆๆ จนต่อเนื่องแลเป็นสายเดียวกันคือยืดยาวนาน อันเป็นทุกข์] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 12:30:43 รู้ให้พร้อม ระหว่างที่หลวงปู่พักรักษา ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ในรอบดึกมีจำนวนหลายท่านด้วยกัน เขาเหล่านั้นมีความสงสัยและอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง โดยที่สังเกตว่า บางวันพอเวลาดึกสงัดตีหนึ่งผ่านไปแล้ว ได้ยินหลวงปู่อธิบายธรรมะนานประมาณ ๑๐ กว่านาที แล้วสวดยถาให้พร ทำเหมือนหนึ่งมีผู้มารับฟังอยู่เฉพาะหน้าเป็นจำนวนมาก ครั้นจะถามพฤติการที่หลวงปู่ทำเช่นนั้นก็ไม่กล้าถาม ต่อเมื่อหลวงปู่ทำเช่นนั้นหลายๆครั้ง ก็ทนสงสัยต่อไปไม่ได้ จึงพากันถามหลวงปู่ตามลักษณาการนั้นฯ หลวงปู่จึงบอกว่า "ความสงสัยและคำถามเหล่านี้ มันไม่ใช่เป็นแนวทางปฏิบัติธรรม" หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 12:33:41 ประหยัดคำพูด คณะปฏิบัติธรรมจากจังหวัดบุรีรัมย์หลายท่าน มีร้อยตำรวจเอกบุญชัย สุคนธมัต อัยการจังหวัด เป็นหัวหน้า มากราบหลวงปู่ เพื่อฟังข้อปฏิบัติธรรมแลเรียนถามถึงการปฏิบัติยิ่งๆขึ้นไปอีก ซึ่งส่วนมากก็เคยปฏิบัติกับครูบาอาจารย์แต่ละองค์มาแล้ว และแสดงแนวทางปฏิบัติไม่ค่อยจะตรงกัน เป็นเหตุให้เกิดความสงสัยยิ่งขึ้น จึงขอกราบเรียนหลวงปู่โปรดช่วยแนะแนวปฏิบัติที่ถูกต้อง และทำได้ง่ายที่สุด เพราะหาเวลาปฏิบัติธรรมได้ยาก หากได้วิธีที่ง่ายๆ แล้วก็จะเป็นการถูกต้องอย่างยิ่ง ฯ หลวงปู่บอกว่า "ให้ดูจิต ที่จิต" [Webmaster- จิต นี้มีความหมายถึงจิตตสังขารหรือเจตสิกคืออาการของจิต เช่น จิตมีราคะ โทสะ โมหะ ฯลฯ. และอาจหมายรวมถึงเวทนาอีกด้วยก็ได้, จึงมิได้มีความหมายถึง จิตที่เป็นดวง เป็นแสงเป็นโอภาส หรือวิญญาณในลักษณะเจตภูต หรือเป็นนิมิตใดๆทั้งสิ้น] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 12:41:42 ง่าย แต่ทำได้ยาก คณะของคุณดวงพร ธารีฉัตร จากสถานีวิทยุทหารอากาศ ๐๑ บางซื่อ นำโดยคุณอาคม ทันนิเทศ เดินทางไปถวายผ้าป่า และกราบนมัสการครูบาอาจารย์ตามสำนักต่างๆทางอีสาน ได้แวะกราบมนัสการหลวงปู่ หลังจากถวายผ้าป่า ถวายจตุปัจจัยไทยทานแด่หลวงปู่ และรับวัตถุมงคลเป็นที่ระลึกจากท่านแล้ว ต่างคนต่างก็ออกไปตลาดบ้าง พักผ่อนตามอัธยาศัยบ้าง มีอยุ่กลุ่มหนึ่งประมาณสี่ห้าคน เข้าไปกราบหลวงปู่แนะนำวิธีปฏิบัติง่ายๆ เพื่อแก้ไขความทุกข์ความกลุ้มใจ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเป็นประจำ ว่าควรปฏิบัติอย่างไรจึงได้ผลเร็วที่สุด ฯ หลวงปู่บอกว่า "อย่าส่งจิตออกนอก." [Webmaster-อย่าส่งจิตออกนอก ไปคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านคือไปเสวยอารมณ์(รูป เสียง กลิ่น ฯ.)ภายนอก หรือให้พิจารณาอยู่ในกาย, เวทนา, จิต, ธรรม ในสติปัฏฐาน ๔ ข้อควรระวัง พิจารณาอยู่ในกายหรือภายในกาย ไม่ใช่หมายถึง "จิตส่งใน" ที่จิตเคยเป็นสมาธิหรือฌาน แล้วคอยสอดส่องหรือจับสังเกตุแต่กายหรือจิตของตนเอง ด้วยความเคยชินสั่งสมจากการเสพรสอันสุขสบายจากอำนาจของฌานหรือความสงบจากสมาธิ และมักขาดการวิปัสสนา อย่างนี้จัดเป็นอันตรายอย่างยิ่งในภายหลัง ที่ย่อมสั่งสมจนเป็นสังขารในปฏิจจสมุปบาทธรรมในที่สุด จึงกล้าแข็งเป็นสังโยชน์ขั้นละเอียด ที่แก้ไขได้ยากมาก] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 12:49:01 ทิ้งเสีย สุภาพสตรีท่านหนึ่ง เป็นชนชั้นครูบาอาจารย์ เมื่อฟังธรรมปฏิบัติจากหลวงปู่จบแล้ว ก็อยากทราบถึงวิธีไว้ทุกข์ที่ถูกต้องตามธรรมเนียม เขาจึงพูดปรารภต่อไปอีกว่า คนสมัยนี้ไว้ทุกข์กันไม่ค่อยจะถูกต้องและตรงกัน ทั้งๆที่สมัย ร.๖ ท่านทำไว้เป็นแบบอย่างดีอยู่แล้ว เช่น เมื่อมีญาติพี่น้องหรือญาติผู้ใหญ่ถึงแก่กรรมลง ก็ให้ไว้ทุกข์ ๗ วันบ้าง ๕๐ วันบ้าง ๑๐๐ วันบ้าง แต่ปรากฎว่าคนทุกวันนี้ทำอะไรรู้สึกว่าลักลั่นกันไม่เป็นระเบียบ ดิฉันจึงขอเรียนถามหลวงปู่ว่า การไว้ทุกข์ที่ถูกต้อง ควรไว้อย่างไรเจ้าคะ ฯ หลวงปู่บอกว่า "ทุกข์ ต้องกำหนดรู้ เมื่อรู้แล้วให้ละเสีย ไปไว้มันทำไม." [Webmaster-หลวงปู่สอนกิจญาณในอริยสัจ๔, อ่านรายละเอียดของกิจอันพึงกระทำในแต่ละอริยสัจได้ในบท อริยสัจ ๔] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 22:42:34 จริง ตามความเป็นจริง สุภาพสตรีชาวจีนผู้หนึ่ง ถวายสักการะแด่หลวงปู่แล้ว เขากราบเรียนถามว่า ดิฉันจะต้องไปอยู่ที่อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรมย์เพื่อทำมาค้าขายอยู่ใกล้ญาติทางโน้น ทีนี้ทางญาติๆก็เสนอแนะว่า ควรจะขายของชนิดนั้นบ้าง ชนิดนี้บ้าง ตามแต่เขาจะเห็นดีว่าอะไรขายได้ดี ดิฉันยังมีความกังวลใจตัดสินใจเอาเองไม่ได้ว่าจะเลือกขายของอะไร จึงให้หลวงปู่ช่วยแนะนำด้วยว่า จะให้ดิฉันขายอะไรจึงจะดีเจ้าคะ ฯ "ขายอะไรก็ดีทั้งนั้นแหละ ถ้ามีคนซื้อ." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 22:44:22 ไม่ได้ตั้งจุดหมาย เมื่อจันทร์ ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๒ คณะนายทหารประมาณ ๑๐ กว่านายเข้านมัสการหลวงปู่เมื่อเวลาคํ่าแล้ว ก็จะเดินทางต่อเข้ากรุงเทพ ฯ ในคณะนายทหารเหล่านั้น มียศพลโทสองท่าน หลังสนทนากับหลวงปู่เป็นเวลาพอสมควร ก็ถอดเอาพระเครื่องจากคอของแต่ละท่านรวมใส่ในพานถวายให้หลวงปู่ช่วยอธิษฐานแผ่เมตตาพลังจิตให้ ท่านก็อนุโลมตามประสงค์ แล้วก็มอบคืนไป นายพลท่านหนึ่งถามว่า ทราบว่ามีเหรียญหลวงปู่ออกมาหลายรุ่นแล้ว อยากถามหลวงปู่ว่ามีรุ่นไหนดังบ้าง ฯ หลวงปู่ตอบว่า "ไม่มีดัง" หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 22:46:12 คนละเรื่อง มีชายหนุ่มจากต่างจังหวัดไกลสามสี่คนเข้าไปหาหลวงปู่ ขณะที่ท่านพักผ่อนอยู่ที่มุขศาลาการเปรียญ ดูอากัปกิริยาของเขาแล้วคงคุ้นเคยกับพระนักเลงองค์ใดองค์หนึ่งมาก่อนแล้ว สังเกตุจากการนั่งการพูด เขานั่งตามสบาย พูดตามถนัด ยิ่งกว่านั้นเขาคงเข้าใจว่าหลวงปู่นี้คงสนใจกับเครื่องรางของขลังอย่างดี เขาพูดถึงชื่อเกจิอาจารย์อื่นๆ ว่าให้ของดีของวิเศษแก่ตนหลายอย่าง ในที่สุดก็งัดเอาของมาอวดกันเองต่อหน้าหลวงปู่ คนหนึ่งมีหมูเขี้ยวตัน คนหนึ่งมีเขี้ยวเสือ อีกคนมีนอแรด ต่างคนต่างอวดอ้างว่าของตนดีวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ มีคนหนึ่งเอ่ยปากว่า หลวงปู่ฮะ อย่างไหนแน่ดีวิเศษกว่ากันฮะ ฯ หลวงปู่ก็อารมณ์รื่นเริงเป็นพิเศษยิ้มๆ แล้วว่า "ไม่มีดี ไม่มีวิเศษอะไรหรอก เป็นของสัตว์เดียรัจฉานเหมือนกัน." [Webmaster-ท่านกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเป็นที่สุด เพราะต่างล้วนแล้วแต่เป็นศรัทธาอย่างอธิโมกข์ ด้วยกำลังของสีลัพพตุปาทาน หรือทิฏฐุปาทาน] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 25 พฤษภาคม 2553 22:49:13 สาธุครับ
หลวงปู่ดูลย์นี่ส่วนมากผมจะได้อ่านประวัติท่านซะมากกว่า หนังสือประวัติพระส่วนมากจะกล่าวถึง การฝึกตน การต่อสู้กิเลส ฯลฯ มีบ้างที่กล่าวถึงธรรมะ แต่ก็ไม่ค่อยได้ลงเนื้อหาเท่าไหร่ ขออนุโมทนากับหัวข้อดี ๆ ครับ หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 22:49:35 ปรารภธรรมะให้ฟัง คราวหนึ่ง หลวงปู่กล่าวปรารภธรรมะให้ฟังว่า เราเคยตั้งสัจจะจะอ่านพระไตรปิฎกจนจบ ในพรรษาที่ ๒๔๙๕ เพื่อสำรวจดูว่าจุดจบของพระพุทธศาสนาอยู่ตรงไหน ที่สุดแห่งสัจจธรรม หรือที่สุดของทุกข์นั้น อยู่ตรงไหน พระพุทธเจ้าทรงกล่าวสรุปไว้ว่าอย่างไร ครั้นอ่านไป ตริตรองไปกระทั่งถึงจบ ก็ไม่เห็นตรงไหนที่มีสัมผัสอันลึกซึ้งถึงจิตของเราให้ตัดสินใจได้ว่า นี่คือที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ ที่สุดแห่งมรรคผล หรือที่เรียกว่านิพพาน ฯ มีอยู่ตอนหนึ่ง คือ ครั้งนั้นพระสารีบุตรออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ๆ พระพุทธเจ้าตรัสเชิงสนทนาธรรมว่า สารีบุตร สีผิวของเธอผ่องใสยิ่งนัก วรรณะของเธอหมดจดผุดผ่องยิ่งนัก อะไรเป็นวิหารธรรมของเธอ พระสารีบุตรกราบทูลว่า "ความว่างเปล่าเป็นวิหารธรรมของข้าพระองค์" (สุญฺญตา) ฯ ก็เห็นมีเพียงแค่นี้แหละ ที่มาสัมผัสจิตของเรา. หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 22:53:45 ปรารภธรรมะให้ฟัง จบพระไตรปิฎกหมดแล้ว จำพระธรรมได้มากมาย พูดเก่งอธิบายได้อย่างซาบซึ้ง มีคนเคารพนับถือมาก ทำการก่อสร้างวัตถุไว้ได้อย่างมากมาย หรือสามารถอธิบายถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้อย่างละเอียดแค่ไหนก็ตาม "ถ้ายังประมาทอยู่ ก็นับว่ายังไม่ได้รสชาติของพระศาสนาแต่ประการใดเลย เพราะสิ่งเหล่านี้ยังเป็นของภายนอกทั้งนั้น เมื่อพูดถึงประโยชน์ ก็เป็นประโยชน์ภายนอกคือเป็นไปเพื่อสงเคราะห์สังคม เพื่อสงเคราะห์ผู้อื่น เพื่อสงเคราะห์อนุชนรุ่นหลัง หรือเป็นสัญญลักษณ์ของศาสนวัตถุ ส่วนประโยชน์ของตนที่แท้นั้น คือ ความพ้นทุกข์ "จะพ้นทุกข์ได้ต่อเมื่อรู้ จิตหนึ่ง." [Webmaster- รู้จิตหนึ่ง จิตที่มีความหมายถึงจิตในเวทนานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนา] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 22:57:51 คิดไม่ถึง สำนักปฏิบัติแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสาขาของหลวงปู่นี่นเอง อยู่ด้วยกันเฉพาะพระประมาณห้าหกรูป อยากจะเคร่งครัดเป็นพิเศษ ถึงขั้นสมาทานไม่พูดจากันตลอดพรรษา คือ ไม่ให้มีเสียงเป็นคำพูดออกมาจากปากใคร ยกเว้นการสวดมนต์ทำวัตร หรือสวดปาติโมกข์เท่านั้น ครั้นออกพรรษาแล้ว พากันไปกราบหลวงปู่ เล่าถึงการปฏิบัติอย่างเคร่งของพวกตนว่า นอกจากปฏิบัติข้อวัตรอย่างอื่นแล้วสามารถหยุดพูดได้ตลอดพรรษาด้วย ฯ หลวงปู่ฟังฟังแล้วยิ้มหน่อยหนึ่ง พูดว่า "ดีเหมือนกัน เมื่อไม่พูดก็ไม่มีโทษทางวาจา แต่ที่ว่าหยุดพูดได้นั้นเป็นไปไม่ได้หรอก นอกจากพระอริยบุคคลผู้เข้านิโรธสมาบัติชั้นละเอียดดับสัญญาเวทนาเท่านั้นแหละที่ไม่พูดได้ นอกนั้นพูดทั้งวันทั้งคืน ยิ่งพวกที่ตั้งปฏิญาณว่าจะไม่พูดนั่นแหละยิ่งพูดมากกว่าคนอื่น เพียงแต่ไม่ออกเสียงให้คนอื่นได้ยินเท่านั้น." [Webmaster-กล่าวคือ แม้ไม่ได้พูดคือเป็นวจีสังขารออกมาเป็นคำพูด, แต่ก็พูดอย่างฟุ้งซ่านอยู่ในใจอยู่เสมอๆเนืองๆด้วยมโนสังขารหรือจิตตสังขารนั่นเอง] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝาก& เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 23:02:36 อย่าตั้งใจไว้ผิด นอกจากหลวงปู่จะนำปรัชญาธรรมที่ออกจากจิตของท่านมาสอนแล้ว โดยที่ท่านอ่านพระไตรปิฎกจบมาแล้ว ตรงไหนที่ท่านเห็นว่าสำคัญและเป็นการเตือนใจในทางปฏิบัติให้ตรงและลัดที่สุด ท่านก็จะยกมากล่าวเตือนอยู่เสมอ เช่น หลวงปู่ยกพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเตือนว่า "ภิกษุทั้งหลาย พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติ มิใช่เพื่อหลอกลวงคน มิใช่เพื่อให้คนมานิยมนับถือ มิใช่เพื่ออานิสงส์ลาภสักการะและสรรเสริญ มิใช่อานิสงส์เป็นเจ้าลัทธิอย่างนั้นอย่างนี้ฯ ที่แท้พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติ เพื่อสังวระ-ความสำรวม เพื่อปหานะ-ความละ เพื่อวิราคะ-ความหายกำหนัดยินดี และเพื่อนิโรธะ-ความดับทุกข์ ผู้ปฏิบัติและนักบวชต้องมุ่งตามแนวทางนี้ นอกจากแนวทางนี้แล้วผิดทั้งหมด." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 23:05:50 พระพุทธพจน์ หลวงปูว่า ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่ ตราบนั้นย่อมมีทิฎฐิ และเมื่อมีทิฎฐิแล้วยากที่จะเห็นตรงกัน เมื่อไม่เห็นตรงกัน ก็เป็นเหตุให้โต้เถียงวิวาทกันอยู่รํ่าไป สำหรับพระอริยเจ้าผู้เข้าถึงธรรมแล้วก็ไม่มีอะไรสำหรับมาโต้แย้งกับใคร ใครมีทิฎฐิอย่างไร ก็ปล่อยเป็นเรื่องของเขาไป ดังพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลกกล่าวว่ามีอยู่ แม้เราตถาคตก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามีอยู่ สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลกกล่าวว่าไม่มี แม้เราตถาคตก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่โต้แย้งเถียงกับโลก แต่โลกย่อมวิวาทโต้เถียงกับเรา (ปุปผสูตร) หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 23:08:39 นักปฏิบัติลังเล ปัจจุบันนี้ ศาสนิกชนผู้สนใจในการปฏิบัติฝ่ายวิปัสสนา มีความงงงวยสงสัยอย่างยิ่งในแนวทางปฏิบัติ โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นสนใจเนื่องจากคณาจารย์ฝ่ายวิปัสสนาแนะแนวปฏิบัติไม่ตรงกัน ยิ่งไปกว่านั้นแทนที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจโดยความเป็นธรรม ก็กลับทำเหมือนไม่อยากจะยอมรับคณาจารย์อื่น สำนักอื่น ว่าเป็นการถูกต้อง หรือถึงขั้นดูหมิ่นสำนักอื่นไปแล้วก็เคยมีไม่น้อย ฯ ดังนั้น เมื่อมีผู้สงสยทำนองนี้มากแลัเรียนถามหลวงปู่อยู่บ่อยๆ จึงได้ยินหลวงปู่อธิบายให้ฟังอยู่เสมอๆว่า "การเริ่มต้นปฏิบัติวิปัสสนาภาวนานั้น จะเริ่มต้นโดยวิธีไหนก็ได้ เพราะผลมันก็เป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว ที่ท่านสอนแนวปฏิบัติไว้หลายแนวนั้นเพราะจริตของคนไม่เหมือนกัน จึงต้องมีวัตถุ สี แสง และคำสำหรับบริกรรม เช่น พุทโธ อรหัง เป็นต้น เพื่อหาจุดใดจุดหนึ่งให้จิตรวมอยู่ก่อน สงบ แล้ว คำบริกรรมเหล่านั้นก็หลุดหายไปเอง แล้วก็ถึงรอยเดียวกัน รสเดียวกัน คือมีวิมุตติเป็นแก่น มีปัญญาเป็นยิ่ง." [Webmaster-หลวงปู่ท่านหมายถึงการปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่ได้แตกแขนงออกเป็นหลายแนวทางการปฏิบัติตามจริตผู้ปฏิบัติ หรือตามสำนักนั้นๆ จึงมีความแตกต่างกันออกไปบ้าง แต่ความจริงแล้ว ล้วนมุ่งสู่จุดหมายเดียวกันคือละความดำริคือคิดพล่านลงไปเสียก่อน, แต่ก็มิได้หมายถึงการปฏิบัติแบบผิดๆอันย่อมยังให้เกิดโทษอย่างแน่นอน] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 23:11:10 อยู่ ก็อยู่ให้เหนือ ผู้ที่เข้านมัสการหลวงปู่ทุกคนและทุกครั้ง มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แม้หลวงปู่จะมีอายุใกล้ร้อยปีแล้วก็จริง แต่ดูผิวพรรณยังผ่องใส และสุขภาพอนามัยแข็งแรงดี แม้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดท่านตลอดมาก็ยากที่จะได้เห็นท่านแสดงอาการหมองคลํ้า หรืออิดโรย หรือหน้านิ่วคิ้วขมวดให้เห็น ท่านมีปรกติสงบเย็น เบิกบานอยู่เสมอ มีอาพาธน้อย มีอารมณ์ดี ไม่ตื่นเต้นตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่เผลอคล้อยตามไปตามคำสรรเสริญ หรือคำตำหนิติเตียนฯ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่ามกลางพระเถระฝ่ายวิปัสสนา สนทนาธรรมเรื่องการปฏิบัติกับหลวงปู่ ถึงปรกติจิตที่อยู่เหนือความทุกข์ โดยลักษณาการอย่างไรฯ หลวงปู่ว่า "การไม่กังวล การไม่ยึดถือ นั่นแหละวิหารธรรมของนักปฏิบัติ." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 23:16:24 ทำจิตให้สงบได้ยาก การปฏิบัติภาวนาสมาธินั้น จะให้ผลเร็วช้าเท่าเทียมกันเป็นไปไม่ได้ บางคนได้ผลเร็ว บางคนก็ช้า หรือยังไม่ได้ผลลิ้มรสแห่งความสงบเลยก็มี แต่ก็ไม่ควรท้อถอย ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประกอบความเพียรทางใจ ย่อมเป็นบุญกุศลขั้นสูงต่อจากการบริจาคทานรักษาศีล เคยมีลูกศิษย์จำนวนมากเรียนถามหลวงปู่ว่า อุตส่าห์พยายามภาวนาสมาธินานมาแล้ว แต่จิตไม่เคยสงบเลย แส่ออกไปข้างนอกอยู่เรื่อย มีวิธีอื่นใดบ้างที่พอจะปฏิบัติได้ ฯ หลวงปู่เคยแนะวิธีอีกอย่างหนึ่งว่า "ถึงจิตจะไม่สงบก็ไม่ควรให้มันออกไปไกล ใช้สติระลึกไปแต่ในกายนี้ ดูให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภสัญญา หาสาระแก่นสารไม่ได้ เมื่อจิตมองเห็นชัดแล้ว จิตก็จะเกิดความสลดสังเวช เกิดนิพพิทา ความหน่าย คลายกำหนัด ย่อมตัดอุปาทานขันธ์ได้เช่นเดียวกัน." [Webmaster- เนื่องจากฌานสมาธิ เป็นอจินไตย ขึ้นอยู่กับจริต การสั่งสม ความเพียร แนวทางปฏิบัติ ฯลฯ.] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 23:20:48 หลักธรรมแท้ มีอยู่อย่างหนึ่งที่นักปฏิบัติชอบพูดถึง คือ ชอบโจษขานกันว่า นั่งภาวนาแล้วเห็นอะไรบ้าง[Webmaster-หมายถึงนิมิตที่ย่อมรวมโอภาสด้วย] ปรากฎอะไรออกมาบ้าง หรือไม่ก็ว่า ตนนั่งภาวนามานานแล้วไม่เคยเห็นปรากฎอะไรออกมาบ้างเลย หรือบางคนก็ว่า ตนได้เห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่เสมอ ทำให้บางคนเข้าใจผิดคิดว่า ภาวนาแล้วตนจะได้เห็นสิ่งที่ต้องการเป็นต้น ฯ หลวงปู่เคยเตือนว่า การปรารถนาเช่นนั้นผิดทั้งหมด เพราะการภาวนานั้นเพื่อให้เข้าถึงหลักธรรมอย่างแท้จริง "หลักธรรมที่แท้จริงนั้น คือ จิต ให้กำหนดดูจิต ให้เข้าใจจิตตัวเองให้ลึกซึ้ง เมื่อเข้าใจจิตตัวเองได้ลึกซึ้งแล้ว นั่นแหละได้แล้วซึ่งหลักธรรม." [Webmaster-จิต ที่หมายถึงเวทนานุปัสสนา หรือจิตตานุปัสสนา หรือแม้แต่กายานุปัสสนาและธัมมานุปัสสนาที่ต่างล้วนอาศัยจิตเช่นกัน] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 23:24:35 มีปรกติไม่แวะเกี่ยว อยู่รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่เป็นเวลานานสามสิบกว่าปี จนถึงวาระสุดท้ายของท่านนั้น เห็นว่าหลวงปู่มีปฏิปทา ตรงต่อพระธรรมวินัย ตรงต่อการปฏิบัติ เพื่อพ้นทุกข์อย่างเดียว ไม่แวะเกี่ยวกับวิชาอาคม ของศักสิทธิ์ หรือสิ่งชวนสงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย เช่น มีคนขอให้เป่าหัวให้ ก็ถามว่า เป่าทำไม มีคนขอให้เจิมรถ ก็ถามเขาว่า เจิมทำไม มีคนขอให้บอกวันเดือนหรือฤกษ์ดี ก็บอกว่าวันไหนก็ดีทั้งนั้นฯ หรือเมื่อท่านเคี้ยวหมาก มีคนขอชานหมากฯ หลวงปู่ว่า "เอาไปทำไมของสกปรก." [Webmaster-แสดงให้เห็นสีลัพพตปรามาสในการปฏิบัติหรือยึดถือ] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 23:27:34 ทำโดยกริยา บางครั้งอาตมานึกไม่สบายใจ เกรงว่าตัวเองจะมีบาป ที่เป็นผู้มีส่วนทำให้หลวงปู่ต้องแวะเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ได้สนใจหรือไม่ถนัดใจครั้งแรก คือ วันนั้นหลวงปู่ไปร่วมงานเปิดพิพิธภัณฑ์บริขารท่านอาจารย์มั่น ที่วัดป่าสุธาวาส สกลนคร มีพระเถระวิปัสสนามากประชาชนก็มาก เขาเหล่านั้นจึงถือโอกาสเข้าหาครูบาอาจารย์ทั้งหลายเพื่อกราบเพื่อขอ จึงมีหลายคนที่มาขอให้หลวงปู่เป่าหัว เมื่อเห็นท่านเฉยอยู่ จึงขอร้องท่านว่า หลวงปู่เป่าให้เขาให้แล้วๆไป ท่านจึงเป่าให้ ต่อมาเมื่อเสียไม่ได้ก็เจิมรถให้เขา ทนอ้อนวอนไม่ได้ก็ให้เขาทำเหรียญ และเข้าพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล ฯ แต่ก็มีความสบายใจอย่างยิ่งเมื่อฟังคำหลวงปู่ว่าฯ "การกระทำของเราในสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงกริยาภายนอกที่เป็นไปในสังคม หาใช่เป็นกริยาที่นำไปสู่ภพ ภูมิ หรือมรรคผลนิพพานแต่ประการใดไม่." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 23:34:01 ปรารภธรรมะให้ฟัง คำสอนทั้ง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น เป็นเพียงอุบายให้คนทั้งหลายหันมาดูจิตนั่นเอง คำสอนของพระพุทธองค์มีมากมายก็เพราะกิเลสมีมากมาย แต่ทางดับทุกข์ได้มีทางเดียว พระนิพพาน การที่เรามีโอกาสปฏิบัติธรรมที่ถูกทางเช่นนี้มีน้อยนัก หากปล่อยโอกาสให้ผ่านไปเราจะหมดโอกาสพ้นทุกข์ทันในชาตินี้ แล้วจะต้องหลงอยู่ในความเห็นผิดอีกนานแสนนาน เพื่อที่จะพบธรรมอันเดียวกันนี้ ดังนั้น เมื่อเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว รีบปฏิบัติให้พ้นเสีย มิฉนั้นจะเสียโอกาสอันดีนี้ไป เพราะว่าเมื่อสัจจธรรมถูกลืม ความมืดมนย่อมครอบงำปวงสัตว์ให้อยู่กองทุกข์สิ้นกาลนาน. [Webmaster-จิต ที่หมายถึงเวทนานุปัสสนา หรือจิตตานุปัสสนา หรือแม้แต่กายานุปัสสนาและธัมมานุปัสสนาที่ต่างล้วนอาศัยจิตเช่นกัน] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 25 พฤษภาคม 2553 23:40:07 ปรารภธรรมะให้ฟัง มิใช่ครั้งเดียวเท่านั้นที่หลวงปู่เปรียบเทียบธรรมะให้ฟัง มีอยู่อีกครั้งหนึ่ง หลวงปู่ว่า ปัญญาภายนอกคือปัญญาสมมติ ไม่ทำให้จิตแจ้งในพระนิพพานได้ ต้องอาศัยปัญญาอริยมรรคจึงเข้าถึงพระนิพพานได้ ความรู้ของนักวิทยาศาสตร์เช่น ไอสไตน์ มีความรู้มาก มีความสามารถมาก แยกปรมาณูที่เล็กที่สุด จนเข้าถึงมิติที่ ๔ แล้ว แต่ไอสไตน์ไม่รู้จักนิพพาน จึงเข้าพระนิพพานไม่ได้ "จิตที่แจ้งในอริยมรรคเท่านั้นจึงเป็นไปเพื่อการตรัสรู้จริง ตรัสรู้ยิ่ง ตรัสรู้พร้อม เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ เป็นไปเพื่อนิพพาน." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 พฤษภาคม 2553 10:29:59 วิธีระงับดับทุกข์แบบหลวงปู่ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๒๐ โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ กำลังครอบงำข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงมหาดไทยอย่างหนัก คือ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา และทุกข์ แน่นอน ความทุกข์โศกนี้อันนี้ย่อมปกคลุมถึงบุตรภรรยาด้วย จึงมีอยู่วันหนึ่ง คุณหญิงคุณนายหลายท่านได้ไปมนัสการหลวงปู่ พรรณนาถึงทุกข์โศกที่กำลังได้รับ เพื่อให้หลวงปู่ได้แนะวิธีหรือช่วยเหลืออย่างใดอย่างหนึ่งแล้วแต่ท่านจะเมตตาฯ หลวงปู่กล่าวว่า "บุคคลไม่ควรเศร้าโศกอาลัยถึงสิ่งนอกกายทั้งหลายที่มันผ่านพ้นไปแล้ว มันหมดไปแล้ว เพราะสิ่งเหล่านั้นมันได้ทำหน้าที่ของมันอย่างถูกต้องโดยสมบูรณ์ที่สุดแล้ว." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 พฤษภาคม 2553 10:36:51 เมื่อกล่าวถึงสัจจธรรมแล้ว ย่อมลงสู่กระแสเดียวกัน มีท่านผู้คงแก่เรียนหลายท่านชอบถามว่า คำกล่าวหรือเทศน์ของหลวงปู่ดูคล้ายนิกายเซ็น หรือคล้ายมาจากสูตรเว่ยหล่างเป็นต้น อาตมาเรียนถามหลวงปู่ก็หลายครั้ง ในที่สุดท่านกล่าวอย่างเป็นกลางว่า สัจจธรรมทั้งหมดมีอยู่ประจำโลกอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้สัจจธรรมนั้นแล้ว ก็นำมาสั่งสอนสัตว์โลก เพราะอัธยาศัยของสัตว์ไม่เหมือนกัน หยาบบ้าง ประณีตบ้าง พระองค์จึงเปลืองคำสอนไว้มากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เมื่อมีนักปราชญ์ฉลาดสรรหาคำพูดให้สมบูรณ์ที่สุด เพื่อจะอธิบายสัจจธรรมนั้นนำมาตีแผ่เผยแจ้งแก่ผู้มุ่งสัจจธรรมด้วยกัน เราย่อมต้องอาศัยแนวทางในสัจจธรรมนั้น ที่ตนเองไตร่ตรองเห็นแล้วว่าถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุดนำเผยแผ่ออกไปอีก โดยไม่คำนึงถึงคำพูด หรือไม่ได้ยึดติดในอักขระพยัญชนะตัวใดเลยแม้แต่น้อยนิดเดียว. หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 พฤษภาคม 2553 10:39:09 ละเอียด หลวงพ่อเบธ วัดป่าโคกหม่อน ได้เข้าสนทนาธรรมถึงการปฏิบัติทางสมาธิภาวนา เล่าถึงผลการปฏิบัติขั้นต่อๆไปว่าได้บำเพ็ญสมาธิภาวนามานานให้จิตเข้าถึงอัปปนาสมาธิได้เป็นเวลานานๆก็ได้ ครั้นถอยจากสมาธิออกมา บางทีก็เกิดความรู้สึกเอิบอิ่มอยู่เป็นเวลานาน บางทีก็เกิดความสว่างไสว เข้าใจสรรพางค์กายได้ครบถ้วน หรือมีอะไรต้องปฏิบัติต่อไปอีก หลวงปู่ว่า "อาศัยพลังอัปปนาสมาธินั่นแหละ มาตรวจสอบจิต แล้วปล่อยวางอารมณ์ทั้งหมด อย่าให้เหลืออยู่." [Webmaster-คืออาศัยสมาธินั่นแหละเป็นกำลัง แล้วนำมาตรวจสอบจิตหรือการเจริญวิปัสสนานั่นเองเป็นสาระสำคัญ ก็เพื่อให้เกิดปัญญาญาณคือนิพพิทาญาณเพื่อการปล่อยวาง] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 พฤษภาคม 2553 10:44:55 ว่าง ในสมัยต่อมา หลวงพ่อเบธ พร้อมด้วยพระสหธรรมิกอีกสองรูป และมีคฤหัสถ์หลายคนด้วย เข้านมัสการหลวงปู่ฯ หลังจากหลวงปู่ได้แนะนำข้อปฏิบัติแก่ผู้ที่เข้ามาใหม่แล้ว หลวงพ่อเบธถามถึงข้อปฏิบัติที่หลวงปู่แนะเมื่อคราวที่แล้ว ว่าการปล่อยวางอารมณ์นั้น ทำได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว หรือชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจให้อยู่ได้เป็นเวลานานฯ หลวงปู่ว่า "แม้ที่ว่าปล่อยวางอารมณ์ได้ชั่วขณะหนึ่งนั้น ถ้าสังเกตุจิตไม่ดีหรือสติไม่สมบูรณ์เต็มที่แล้ว ก็อาจเป็นไปได้ว่าละจากอารมณ์หยาบไปอยู่กับอารมณ์ละเอียดก็ได้ จึงต้องหยุดความคิดทั้งปวงเสียแล้วปล่อยจิตให้ตั้งอยู่บนความไม่มีอะไรเลย." [หมายเหตุ Webmaster - การ"ละจากอารมณ์หยาบไปอยู่กับอารมณ์ละเอียด" เป็นสิ่งที่ควรสังวรระวังอย่างมาก เพราะนักปฏิบัติจะไปยึดความสงบ ความสบาย ความสุข อันเกิดจากการปฏิบัติ แทนอารมณ์หยาบเดิมๆ ด้วยความเคยชินจากการสั่งสมปฏิบัติเดิมๆนั่นเอง จึงคอยจับจ้องคอยยึดอยู่โดยไม่รู้ตัวและด้วยความไม่รู้, ซึ่งเป็นการปฏิบัติผิด ไม่ถูกทางเช่นกัน, ต้องไม่ยึดมั่น ไม่หมายมั่น ในความสงบความสุขความสบายอันเกิดขึ้นจากการปฏิบัติสมาธิหรือฌานที่ถูกต้องเพราะย่อมระงับทุกข์เป็นบางส่วนคือนิวรณ์๕ ได้ระยะหนึ่งนั่นเอง กล่าวคือยังต้องดำเนินการวิปัสสนาเป็นสำคัญควบคู่ไปด้วย จึงดีงาม, ผู้เขียนมีประสบการณ์แบบนี้มาแล้วจึงอยากเตือนกันไว้บ้าง] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 พฤษภาคม 2553 10:47:55 ไม่ค่อยแจ่ม กระผมได้อ่านประวัติการปฏิบัติธรรมของหลวงปู่เมื่อสมัยเดินธุดงค์ว่า หลวงปู่เข้าใจเรื่องจิตได้ดีว่า จิตปรุงกิเลส หรือว่ากิเลสปรุงจิต ข้อนี้หมายความว่าอย่างไร ฯ หลวงปู่อธิบายว่า "จิตปรุงกิเลส คิอ การที่จิตบังคับให้กาย วาจา ใจ กระทำสิ่งภายนอก ให้มี ให้เป็น ให้เลว ให้เกิดวิบาก แล้วยึดติดอยู่ว่า นั่นเป็นตัว นั่นเป็นตน ของเรา ของเขา กิเลสปรุงจิต คือ การที่สิ่งภายนอกเข้ามา ทำให้จิตเป็นไปตามอำนาจของมัน แล้วยึดว่ามีตัว มีตนอยู่ สำคัญผิดจากความเป็นจริงอยู่รํ่าไป." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 พฤษภาคม 2553 10:51:32 ความหลังยังฝังใจ ครั้งหนึ่งหลวงปู่ไปพักผ่อนที่วัดโยธาประสิทธิ์ พระเณรจำนวนมากพากันมากราบนมัสการหลวงปู่ ฟังโอวาสของหลวงปู่แล้ว หลวงตาพลอยผู้บวชเมื่อแก่ แต่สำรวมดี ได้ปรารภถึงตนเองว่า กระผมบวชมานานก็พอสมควรแล้ว ยังไม่อาจตัดห่วงอาลัยในอดีตได้แม้ตั้งใจอย่างไรก็ยังเผลอจนได้ ขอทราบอุบายวิธีอย่างอื่นเพื่อปฏิบัติตามแนวนี้ต่อไปด้วยครับกระผม ฯ หลวงปู่ว่า "อย่าให้จิตแล่นไปสู่อารมณ์ภายนอก ถ้าเผลอ เมื่อรู้ตัวให้รีบดึงกลับมา อย่าปล่อยให้มันรู้อารมณ์ดีชั่ว สุขหรือทุกข์ ไม่คล้อยตาม และไม่หักหาญ." [Webmaster-อารมณ์ ที่หมายถึง สิ่งที่จิตไปยึดติดหรือกำหนดในขณะนั้นๆ ดังนั้นอารมณ์ภายนอกจึงหมายถึง สิ่งที่จิตไปกำหนดหรือยึดไว้ในขณะนั้นๆ เช่นใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ คือกามทั้ง๕ใดๆ] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 พฤษภาคม 2553 11:00:02 รู้จากการเรียนรู้ กับ รู้จากการปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ที่กระผมจำจากตำราและฟังครูสอนนั้น จะตรงกับเนื้อหาตามที่หลวงปู่เข้าใจหรือ ฯ หลวงปู่อธิบายว่า "ศีล คือ ปรกติจิตที่อยู่อย่างปราศจากโทษ เป็นจิตที่มีเกราะกำบังป้องกันการกระทำชั่วทุกอย่าง, สมาธิ ผลสืบเนื่องมาจากการรักษาศีล คือ จิตที่มีความมั่นคง มีความสงบเป็นพลัง ที่จะส่งต่อไปอีก(ให้ปัญญานั่นเอง-webmaster), ปัญญา ผู้รู้ คือ จิตที่ว่างเบาสบาย รู้แจ้งแทงตลอดตามความเป็นจริงอย่างไร ฯ. วิมุตติ คือ จิตที่เข้าถึงความว่าง จากความว่าง คือ ละความสบาย เหลือแต่ความไม่มี ไม่เป็น ไม่มีความคิด(หมายถึง ไม่มีเฉพาะความคิดปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านเท่านั้น-webmaster)เหลืออยู่เลย." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 พฤษภาคม 2553 11:07:38 หยุด ต้องหยุดให้เป็น นักปฏิบัติกราบเรียนหลวงปู่ว่า กระผมพยายามหยุดคิดหยุดนึก(คือไปพยายามผิดคือไปหยุดคิดนึกทั้งปวง หรือคิดหาทางที่จะหยุดคิด จนกลายเป็นความคิดชนิดคิดปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านไปในการหยุดคิดเสีย - webmaster)ให้ได้ตามที่หลวงปู่เคยสอน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จสักที ซํ้ายังเกิดความอึดอัด แน่นใจ สมองมึนงง แต่กระผมก็ยังศรัทธาว่าที่หลวงปู่สอนไว้ย่อมไม่ผิดพลาดแน่ ขอทราบอุบายวิธีต่อไปด้วย ฯ หลวงปู่บอกว่า "ก็แสดงถึงความผิดพลาดอยู่แล้ว เพราะบอกให้หยุดคิดหยุดนึก ก็กลับไปคิด (ปรุงแต่งคือฟุ้งซ่าน) ที่จะหยุดคิดเสียอีกเล่า แล้วอาการหยุดคิด(ปรุงแต่งคือฟุ้งซ่าน)จะอุบัติขึ้นได้อย่างไร จงกำจัดอวิชชาแห่งการหยุดคิดหยุดนึก(ปรุงแต่งคือฟุ้งซ่าน)เสียให้สิ้น เลิกล้มความคิดที่จะหยุดคิด(คือหยุดฟุ้งซ่านกับการหาทางหยุดคิด หรือก็คืออุเบกขา)เสียก็สิ้นเรื่อง." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 พฤษภาคม 2553 11:12:03 ผลคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน แรม ๒ คํ่า เดือน ๑๑ เป็นวันคล้ายวันเกิดของหลวงปู่ ซึ่งพอดีกับวันออกพรรษาแล้วได้ ๒ วันของทุกปี สานุศิษย์ทั้งฝ่ายปริยัติและฝ่ายปฏิบัติก็นิยมเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่ เพื่อศึกษาและไตร่ถามข้อวัตรปฏิบัติ หรือรายงานผลของการปฏิบัติตลอดพรรษา ซึ่งเป็นกิจที่ศิษย์ของหลวงปู่กระทำอยู่เช่นนี้ตลอดมา ฯ หลังจากฟังหลวงปู่แนะนำข้อวัตรปฏิบัติอย่างพิสดารแล้ว หลวงปู่จบลงด้วยคำว่า "การศึกษาธรรม ด้วยการอ่านการฟัง สิ่งที่ได้ก็คือ สัญญา (ความจำได้) การศึกษาธรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ สิ่งที่เป็นผลของการปฏิบัติ คือ ภูมิธรรม." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 พฤษภาคม 2553 11:17:44 มีอยู่จุดเดียว ในนามสัทธิวิหาริกของหลวงปู่ มีพระมหาทวีสุข สอบเปรียญ ๙ ประโยค ได้เป็นองค์แรก ทางวัดบูรพารามจึงจัดฉลองพัดประโยค ๙ ถวาย ฯ หลังพระมหาทวีสุขถวายสักการะแก่หลวงปู่แล้ว ท่านได้ให้โอวาทแบบปรารภธรรมว่า "ผู้ที่สามารถสอบเปรียญ ๙ ประโยคได้นั้น ต้องมีความเพียรอย่างมาก และมีความฉลาดเพียงพอ เพราะถือว่าเป็นการจบหลักสูตรฝ่ายปริยัติ และต้องแตกฉานในพระไตรปิฎก การสนใจทางปริยัติอย่างเดียวพ้นทุกข์ไม่ได้ ต้องสนใจปฏิบัติทางจิตต่อไปอีกด้วย." ฯ หลวงปู่กล่าวว่า "พระธรรมทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น ออกไปจากจิตของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างออกจากจิต อยากรู้อะไรค้นได้ที่จิต." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 พฤษภาคม 2553 14:21:54 หวังผลไกล เมื่อมีแขกหรืออุบาสกอุบาสิกาไปกราบนมัสการหลวงปู่ แต่หลวงปู่มีปรกติไม่เคยถามถึงเรื่องอื่นไกล มักถามว่า ญาติโยมเคยภาวนาบ้างไหม? บางคนก็ตอบว่าเคย บางคนก็ตอบว่าไม่เคย ในจำนวนนั้นมีคนหนึ่งฉะฉานกว่าใคร เขากล่าวว่า ดิฉันเห็นว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องมาวิปัสสนาอะไรให้มันลำบากลำบนนัก เพราะปีหนึ่งๆ ดิฉันก็ฟังเทศน์มหาชาติจบทั้ง ๑๓ กัณฑ์ ตั้งหลายวัด ท่านว่าอานิสงส์การฟังเทศน์มหาชาตินี้จะได้ถึงศาสนาพระศรีอาริย์ ก็จะพบแต่ความสุขความสบายอยู่แล้ว(สีลัพพตปรามาส-Webmaster) ต้องมาทรมานให้ลำบากทำไม ฯ "สิ่งประเสริฐอันมีอยู่เฉพาะหน้าแล้วไม่สนใจ กลับไปหวังไกลถึงสิ่งที่เป็นเพียงการกล่าวถึง เป็นลักษณะของคนที่ไม่เอาไหนเลย ก็ในเมื่อมรรคผลนิพพานในศาสนาสมณโคดมในปัจจุบันนี้ยังมีอยู่อย่างสมบูรณ์ กลับเหลวไหลไม่สนใจ เมื่อถึงศาสนาพระศรีอาริย์ ก็ยิ่งเหลวไหลมากกว่านี้อีก." [หมายเหตุ Webmaster - แสดงให้เห็นสีลัพพตปรามาสในการปฏิบัติหรือยึดถือ] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 พฤษภาคม 2553 14:25:35 โลกนี้ มันก็มีเท่าที่เราเคยรู้มาแล้วนั่นเอง บางครั้งที่หลวงพ่อสังเกตเห็นว่า ผู้มาปฏิบัติยังลังเลใจ เสียดายในความสนุกเพลิดเพลินแบบโลกล้วน จนไม่อยากจะมาปฏิบัติธรรมฯ ท่านแนะนำชวนคิดให้เห็นชัดว่า "ขอให้ท่านทั้งหลาย จงสำรวจดูความสุขว่า ตรงไหนที่ตนเห็นว่ามันสุขที่สุดในชีวิต ครั้นสำรวจดูแล้ว มันก็แค่นั้นแหละ แค่ที่เราเคยพบมาแล้วนั่นเอง ทำไมจึงไม่มากกว่านั้น มากกว่านั้นไม่มีในโลกนี้ มีอยู่แค่นั้นเอง แล้วก็ซํ้าๆซากๆอยู่แค่นั้น เกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่รํ่าไป มันจึงน่าจะมีความสุขชนิดพิเศษกว่า ประเสริฐกว่านั้น ปลอดภัยกว่านั้น พระอริยเจ้าทั้งหลายท่านจึงสละสุขส่วนน้อยนั้นเสีย เพื่อแสวงหาสุขอันเกิดจากความสงบกาย สงบจิต สงบกิเลส เป็นความสุขที่ปลอดภัยหาสิ่งใดเปรียบมิได้เลย." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 26 พฤษภาคม 2553 14:28:19 ไม่ยาก สำหรับผู้ที่ไม่ติดอารมณ์ วัดบูรพารามที่หลวงปู่จำพรรษาตลอด ๕๐ ปี ไม่มีได้ไปจำพรรษาที่ไหนเลย เป็นวัดที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง หน้าศาลากลางติดกับศาลจังหวัดสุรินทร์ ด้วยเหตุนี้จึงมีเสียงรบกวนความสงบอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อถึงฤดูงานช้างแฟร์หรือฤดูเทศกาลแต่ละอย่าง แสงเสียงอึกทึกครึกครื้นตลอดเจ็ดวันบ้าง สิบห้าวันบ้าง ภิกษุสามเณรผู้มีจิตใจยังอ่อนไหวอยู่ ย่อมได้รับความกระทบกระเทือนเป็นอย่างยิ่ง ฯ เมื่อนำเรื่องนี้กราบเรียนหลวงปู่ทีไร ก็ได้คำตอบทำนองเดียวกันทุกครั้งว่า "มัวสนใจอะไรกับสิ่งเหล่านี้ ธรรมดาแสงย่อมสว่าง ธรรมดาเสียงย่อมดัง หน้าที่ของมันเป็นเช่นนั้นเอง เราไม่ใส่ใจฟังเสียงก็หมดเรื่อง จงทำตัวเราไม่ให้เป็นปฎิปักษ์กับสิ่งแวดล้อม เพราะมันมีอยู่อย่างนี้ เป็นอยู่อย่างนี้เอง เพียงแต่ทำความเข้าใจกับมันให้ถ่องแท้ด้วยปัญญาอันลึกซึ้งเท่านั้นเอง." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 05:05:48 กล่าวเตือน บางครั้งหลวงปู่แทบจะรำคาญกับพวกที่ปฏิบัติเพียงไม่กี่มากน้อย ก็มาถามแบบเร่งผลให้ทันตาเห็น ฯ ท่านกล่าวเตือนว่า "การปฏิบัติ ให้มุ่งปฏิบัติเพื่อสำรวม เพื่อความละ เพื่อคลายความกำหนัดยินดี เพื่อความดับทุกข์ ไม่ใช่เพื่อสวรรค์วิมาน หรือแม้แต่นิพพานก็ไม่ต้องตั้งเป้าหมายเพื่อจะเห็นทั้งนั้น ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่ต้องอยากเห็นอะไร เพราะนิพานมันเป็นของว่างไม่มีตัวไม่มีตน หาที่ตั้งไม่ได้ หาที่เปรียบไม่ได้ ปฏิบัติไปจึงจะรู้เอง." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 05:08:49 ละอย่างหนึ่ง ติดอีกอย่างหนึ่ง ลูกศิษย์ฝ่ายคฤหัสถ์ผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง เข้านมัสการหลวงปู่ รายงานผลการปฏิบัติให้หลวงปู่ฟังด้วยความภาคภูมิใจว่า ปลื้มใจอย่างยิ่งที่ได้พบหลวงปู่วันนี้ ด้วยกระผมปฏิบัติตามที่หลวงปู่แนะนำก็ได้ผลไปตามลำดับ คือ เมื่อลงมือนั่งภาวนาก็เริ่มละสัญญาอารมณ์ภายนอกหมด จิตก็หมดความวุ่น จิตรวม จิตสงบ จิตดิ่งลงสู่สมาธิ หมดอารมณ์อื่น เหลือแต่ความสุข สุขอย่างยิ่ง เย็นสบาย แม้จะให้อยู่ตรงนี้นานเท่าไรก็ได้ ฯ หลวงปู่ยิ้มแล้วพูดว่า "เออ ก็ดีแล้วที่ได้ผล พูดถึงสุขในสมาธิมันก็สุขจริงๆ จะเอาอะไรมาเปรียบเทียบไม่ได้ แต่ถ้าติดอยู่แค่นั้น มันก็ได้แค่นั้นแหละยังไม่เกิดปัญญาอริยมรรค ที่จะตัดภพ ชาติ ตัณหา อุปาทานได้ ให้ละสุขนั้นเสียก่อน แล้วพิจารณาขันธ์ ๕ ให้แจ่มแจ้งต่อไป." [หมายเหตุ Webmaster - ภพ ชาติ ตัณหา อุปาทาน ที่หลวงปู่กล่าวถึงนั้น หมายถึงองค์ธรรมต่างๆในปฏิจจสมุปบาท] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 05:14:16 ตัวอย่างเปรียบเทียบ มรรคผลนิพพาน เป็นสิ่งปัจจัตตัง คือ รู้เห็นได้จำเพาะตนโดยแท้ ผู้ใดปฏิบัติเข้าถึง ผู้นั้นเห็นเอง แจ่มแจ้งเอง หมดสงสัยในพระศาสนาได้โดยสิ้นเชิง มิฉนั้นแล้วจะต้องเดาเอาอยู่รํ่าไป แม้จะมีผู้อธิบายให้ลึกซึ้งอย่างไร ก็รู้ได้แบบเดา สิ่งใดยังเดาอยู่สิ่งนั้นก็ยังไม่แน่นอน ฯ ยกตัวอย่างเช่น เต่ากับปลา เต่าอยู่ได้สองโลกคือ โลกบนบกกับโลกในนํ้า ส่วนปลาอยู่ได้โลกเดียวคือในนํ้า ขืนมาบนบกก็ตายหมด ฯ วันหนึ่ง เต่าลงไปในนํ้าแล้ว ก็พรรณนาความสุขสบายบนบกให้ปลาฟังว่า มันมีแต่ความสุขสบาย แสงสีสวยงาม ไม่ต้องลำบากเหมือนอยู่ในนํ้า ฯ ปลาพากันฟังด้วยความสนใจ และอยากเห็นบก จึงถามเต่าว่า บนบกลึกมากไหม เต่าว่า มันจะลึกอะไร ก็มันบก ฯ เอ บนบกนั้นมีคลื่นมากไหม มันจะคลื่นอะไรก็มันบก ฯ เอ บนบกมีเปือกตมมากไหม มันจะมีอะไรก็มันบก ฯ ให้สังเกตดูคำที่ปลาถาม เอาแต่ความรู้ที่มีอยู่ในนํ้าถามเต่า เต่าก็ได้แต่ปฏิเสธ "จิตปุถุชนที่เดามรรคผลนิพพาน ก็ไม่ต่างอะไรกับปลา." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 05:16:59 ไม่เคยเห็นหวั่นไหวในเหตุการณ์อะไร เวลา ๔ ทุ่มผ่านไปแล้ว เห็นหลวงปู่ยังนั่งพักผ่อนอยู่ตามสบายจึงเข้าไปกราบเรียนว่า หลวงปู่ครับ หลวงปู่ขาวมรณภาพเสียแล้ว หลวงปู่ก็แทนที่จะถามว่า ด้วยเหตุใด เมื่อไร ก็ไม่ถาม กลับพูดต่อไปเลยว่า "เออ ท่านอาจารย์ขาว ก็หมดภาระการแบกหามสังขารเสียที พบกันเมื่อ ๔ ปีที่ผ่านมาเห็นลำบากสังขาร ต้องให้คนอื่นช่วยเหลืออยู่เสมอ เราไม่มีวิบากของสังขาร เรื่องวิบากของสังขารนี้ แม้จะเป็นพระอริยเจ้าชั้นไหนก็ต้องต่อสู้จนกว่าจะขาดจากกัน ไม่เกี่ยวข้องกันอีก แต่ตามปรกติสภาวะของจิตนั้นมันก็ยังอยู่กับสิ่งเหล่านี้เอง เพียงแต่จิตที่ฝึกดีแล้วเมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นย่อมละและระงับได้เร็วไม่กังวล ไม่ยึดถือ หมดภาระเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านั้น มันก็แค่นั้นเอง." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 06:21:58 ผู้ที่เข้าใจธรรมะได้ถูกต้อง หายาก เมื่อไฟไหม้จังหวัดสุรินทร์ครั้งใหญ่ได้ผ่านไปแล้ว ผลคือความทุกข์ยากสูญสิ้นเนื้อประดาตัว และเสียใจอาลัยอาวรณ์ในทรัพย์สิน ถึงขั้นเสียสติไปก็มีหลายราย วนเวียนมาลำเลิกให้หลวงปู่ฟังว่า อุตส่าห์ทำบุญเข้าวัด ปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ทำไมบุญกุศลจึงไม่ช่วย ทำไมธรรมะจึงไม่ช่วยคุ้มครอง ไฟไหม้บ้านวอดวายหมด แล้วเขาเหล่านั้นก็เลิกเข้าวัดทำบุญไปหลายราย เพราะธรรมะไม่ช่วยเขาให้พ้นจากไฟไหม้บ้าน ฯ หลวงปู่ว่า "ไฟมันทำตามหน้าที่ของมัน ธรรมะไม่ได้ช่วยใครในลักษณะนั้น หมายความว่า ความอันตรธาน ความวิบัติ ความเสื่อมสลาย ความพลัดพรากจากกัน มันมีประจำโลกอยู่แลัวสิ่งเหล่านี้(สภาวะธรรมชาติ-ผู้เขียน) ทีนี้ผู้มีธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมะ เมื่อประสบกับภาวะเช่นนั้นแล้ว จะวางใจอย่างไรจึงไม่เป็นทุกข์ อย่างนี้ต่างหาก ไม่ใช่ธรรมะไม่ให้แก่ ไม่ให้ตาย ไม่ให้หิว ไม่ให้ไฟไหม้ ไม่ใช่อย่างนั้น." [หมายเหตุ Webmaster - ผู้เขียนเมื่อปฏิบัติใหม่ๆอันเป็นไปตามความเชื่อความยึดเดิมๆที่แอบซ่อนอยู่ในจิตตามที่ได้สืบทอดกันต่อๆมา การปฏิบัติจึงเป็นเพื่อหวังบุญ หวังกุศล ก็ด้วยหวังว่าบุญกุศลนั้นจะยังประโยชน์โดยตรง ในอันที่จะไม่ให้เกิดทุกข์ โศก โรคภัย ฯ กล่าวคือ เพื่อไม่ให้เกิด ไม่ให้มี ไม่ให้เป็น, อยากให้เป็นดังนี้ ดังนั้น เป็นต้น. อันล้วนเป็นความเข้าใจผิดที่เรียกว่า ทิฏฐุปาทาน หรือสีลัพพตปรามาส หรือ อันเป็นธรรมหรือสิ่งที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์(สังโยชน์) อันทำให้ไม่สามารถเจริญในธรรมได้เพราะความไม่เข้าใจสภาวธรรมอันถูกต้องแท้จริงดังที่หลวงปู่กล่าวไว้ เมื่อปฏิบัติอย่างถูกต้องจึงจะยังให้เกิดประโยชน์โดยตรงและยิ่งใหญ่ได้] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 06:30:51 ต้องปฏิบัติจึงหมดสงสัย เมื่อมีผู้ถามถึง การตาย การเกิดใหม่ หรือถามถึงชาติหน้า ชาติหลัง หลวงปู่ไม่เคยสนใจที่จะตอบ หรือมีผู้กล่าวค้านว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่มีประการใด หลวงปู่ไม่เคยคว้าหาเหตุผลเพิ่อจะเอาค้านใคร หรือไม่เคยหาหลักฐานเพื่อยืนยัน เพื่อให้ใครยอมจำนนแต่ประการใด ท่านกลับแนะนำว่า "ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้าชาติหลังหรือนรกสวรรค์อะไรก็ได้ ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรง ศีล สมาธิ ปัญญาอย่างแน่วแน่ก็พอ ถ้าสวรรค์มีจริงถึง ๑๖ ชั้นตามตำรา ผู้ปฏิบัติดีแล้ว ก็ได้เลื่อนฐานะตนเองโดยลำดับ หรือถ้าสวรรค์นรกไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีแล้วขณะนี้ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุขเป็นมนุษย์ชั้นเลิศ "การฟังจากคนอื่น การค้นคว้าจากตำรานั้น ไม่อาจแก้ข้อสงสัยได้ ต้องเพียรปฏิบัติ ทำวิปัสสนาญาณ ให้แจ้งความสงสัยก็หมดไปเองโดยสิ้นเชิง." [หมายเหตุ Webmaster - เรื่องชาติหน้า ชาติหลัง แม้องค์พระบรมศาสดาก็ไม่ทรงพยากรณ์ ดังความว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ๑๐ เพราะความที่ไม่เป็นไปเพื่อการดับชาติ ชรา-มรณะ หรือก็คือเพื่อการดับทุกข์ในปัจจุบันแสดงใน จูฬมาลุงโกยวาทสูตร ผู้ที่เกิดวิปัสสนาญาณแล้วก็ย่อมรู้ได้ด้วยอาการปัจจัตตังในที่สุด แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นเยี่ยงไร ผู้ฟังก็ย่อมไม่สามารถเข้าใจหรือพิสูจน์ได้ตามคำสอนนั้นๆ นอกจากน้อมเชื่อด้วยศรัทธาหรือน้อมเชื่อแบบอธิโมกข์อันงมงาย และไม่เป็นเรื่องของการปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ในปัจจุบัน จึงรังแต่จะเป็นโทษแก่ผู้ฟังเป็นที่สุด และจะเป็นที่ถกเถียงกันไม่รู้จบ หาเหตุหาผลมาถกหักล้างกันไม่รู้จักสิ้น แม้ตราบเท่าทุกวันนี้ เพราะทั้งผู้พูดและผู้ฟังย่อมไม่สามารถพิสูจน์ให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็นอะไรๆได้ตามตนเอง] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 06:33:51 เขาต้องการอย่างนั้นเอง แม้จะมีคนเป็นกลุ่ม อยากฟังความคิดเห็นของหลวงปู่เรื่องเวียนว่ายตายเกิด ยกบุคคลมาอ้างว่า ท่านผู้นั้นผู้นี้สามารถระลึกชาติย้อนหลังได้หลายชาติว่าตนเคยเกิดเป็นอะไรบ้าง และใครเคยเป็นแม่เป็นญาติกันบ้าง หลวงปู่ว่า "เราไม่เคยสนใจเรื่องอย่างนี้ แค่อุปจารสมาธิก็เป็นได้แล้วทุกอย่าง มันออกไปจากจิตทั้งหมด อยากรู้อยากเห็นอะไร จิตมันบันดาลให้รู้ให้เห็นได้ทั้งนั้น และรู้ได้เร็วเสียด้วย หากพอใจเพียงแค่นี้ ผลดีที่ได้ก็คือ ทำให้กลัวการเวียนว่ายตายเกิดในภพที่ตํ่า แล้วตั้งใจทำดี บริจาคทาน รักษาศีล แล้วก็ไม่เบียดเยียนกัน พากันกระหยิ่มยิ้มย่องในผลบุญของตน ส่วนการที่จะกำจัดกิเลสเพื่อทำลายอวิชชา ตัณหา อุปาทาน เข้าถึงความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง อีกอย่างหนึ่งต่างหาก." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝาก& เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 06:38:11 ไม่มีนิทานสาธก อยู่ใกล้ชิดหลวงปู่ตลอดระยะเวลายาวนาน คำสอนของท่านไม่เคยมีนิทานสาธก หรือนิทานสนุกอะไรที่หลวงปู่ยกมาบรรยายให้ฟังสนุกๆเลย ไม่ว่าชาดกหรือเรื่องประกอบปัจจุบันฯ คำสอนของท่านล้วนแต่เป็นสัจจธรรมขั้นปรมัตถ์ หรือไม่ก็เป็นคำจำกัดความอย่างกะทัดรัด ชนิดระมัดระวัง หรือคล้ายประหยัดคำพูดอย่างยิ่ง แม้แต่การสอนพิธีกรรม หรือศาสนพิธีและการทำบุญบริจาคทานอะไร ในระดับศีลธรรมหลวงปู่ทำในระดับปล่อยวางหมด ส่วนมากหลวงปู่กล่าวว่า "เรื่องพิธีกรรม หรือบุญกริยาวัตถุต่างๆทั้งหลาย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยังให้เกิดกุศลได้อยู่ หากแต่ว่าสำหรับนักปฏิบัติแล้ว อาจถือได้ว่าเป็นไปเพื่อกุศลเพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 06:44:25 ปฏิปุจฉา ด้วยความคุ้นเคยและอยู่ใกล้ชิดหลวงปู่มาเป็นเวลานาน เมื่ออาตมาถามปัญหาอะไรท่าน หลวงปู่ท่านมักจะตอบด้วยการย้อนกลับคืน ทำนองให้คิดหาคำตอบเอาเอง ฯ เช่นถามว่า พระอรหันต์ท่านมีใจสะอาด สว่างแล้ว ท่านอาจรู้เลขหวยได้อย่างแม่นยำหรือครับ ฯ ท่านตอบว่า "พระอรหันต์ ท่านใส่ใจเพื่อจะรู้สิ่งเหล่านี้หรือ" ถามว่า พระอรหันต์ท่านเคยนอนหลับฝันเหมือนคนธรรมดาด้วยหรือเปล่าครับ ฯ ท่านตอบว่า "การหลับแล้วเกิดฝัน เป็นเรื่องของสังขารขันธ์ไม่ใช่หรือ." ถามว่าพระปุถุชนธรรมดายังหนาด้วยกิเลส แต่มีความสามารถสอนคนอื่นให้เขาบรรลุถึงอรหันต์ เคยมีบ้างไหมครับหลวงปู่ ฯ ท่านตอบว่า "หมอบางคน ทั้งที่ตัวเองยังมีโรคอยู่ แต่ก็เคยรักษาคนอื่นให้หายจากโรคได้ มีอยู่ทั่วไปไม่ใช่หรือ." [หมายเหตุ Webmaster - การหลับแล้วฝันเป็นเรื่องของสังขารขันธ์ จึงหมายถึงย่อมเกิดขึ้นแก่ทุกคนที่ยังดำรงขันธ์อยู่ จึงยังคงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 06:50:43 ปรกตินิสัยประจำตัวของหลวงปู่ ทางกาย มีร่างกายแข็งแรง กระฉับกระเฉงว่องไว สมสัดส่วนสะอาดปราศจากกลิ่นตัว มีอาพาธน้อย ท่านจะสรงนํ้าอุ่นวันละครั้งเท่านั้น ทางวาจา เสียงใหญ่ แต่พูดเบา พูดน้อย พูดสั้น พูดจริง พูดตรง ปราศจากมายาทางคำพุด คือ ไม่พูดเลียบเคียง ไม่พูดโอ๋ ไม่พูดปลอบโยน ไม่พูดประชด ไม่พูดนินทา ไม่พูดขอร้อง ขออภัย ไม่พูดขอโทษ ไม่พูดถึงความฝัน ไม่พูดเล่านิทานชาดกหรือนิทานปรัมปรา เป็นต้น ฯ ทางใจ มีสัจจะ ตั้งใจทำสิ่งใดแล้วทำโดยสำเร็จ มีเมตตากรุณาเป็นประจำ สงบเสงี่ยมเยือกเย็น อดทน ไม่เคยมีอาการกระวนกระวายวู่วาม ไม่แสดงอาการอึดอัดหงุดหงิด หรือรำคาญ ไม่แสวงหาของหรือสั่งสมหรืออาลัยอาวรณ์กับของที่สูญหาย ไม่ประมาท รุ่งเรืองด้วยสติสัมปชัญญะและเบิกบานอยู่เสมอ เป็นอยู่โดยปราศจากทุกข์ ไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์ ไม่ถูกภาวะอื่นครอบงำ ท่านสอนอยู่เสมอว่า "ให้ทำความเข้าใจกับสภาวธรรมอย่างชัดแจ้งว่า เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง สลายไป อย่าทุกข์โศกเพราะสภาวะนั้นเป็นเหตุ." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 06:55:11 มีเวทนาหนัก แต่ไม่หนักด้วยเวทนา หลวงปู่อาพาธหนักอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ. เป็นวันที่ ๑๗ ของการอยู่โรงพยาบาล คืนนั้น หลวงปู่มีอาการอ่อนเพลียอย่างมากถึงกับต้องให้ออกซิเจนช่วยหายใจโดยตลอด เวลาดึกมากแล้วคือหกทุ่มกว่า ท่านอาจารย์ยันตระ พร้อมบริวารหลายท่าน เข้าไปขอกราบเยี่ยมหลวงปู่ เห็นเป็นกรณีพิเศษจึงให้ท่านเข้าไปกราบเยี่ยมได้ หลวงปู่นอนตะแคงขวา หลับตาตลอด เมื่อคณะของอาจารย์ยันตระกราบนมัสการแล้ว ท่านอาจารย์ยันตระขยับก้มไปชิดหูหลวงปู่แล้วถามว่า "หลวงปู่ยังมีเวทนาอยู่หรือ" หลวงปู่ตอบว่า "เวทนากับร่างกายนั้นมีอยู่ตามธรรมชาติของมัน แต่ไม่ได้เสวยเวทนานั้นเลย" [หมายเหตุ Webmaster - เวทนาหรือทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นนั้น เป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติของชีวิต ที่ย่อมต้องเกิดขึ้นจากการผัสสะของอายตนะต่างๆเป็นธรรมดา ในทุกรูปนามหรือทุกบุคคลเขาเรา ท่านจึงคงมีทุกขเวทนาทางกายเป็นธรรมดาโดยธรรมชาติ แต่องค์ท่านไม่เสพเสวยกล่าวคืิอไม่ไปพัวพัน ไม่ไปปรุงแต่ง หรือไปยึดมั่นจนทุกขเวทนาอันเป็นทุกข์เป็นธรรมดาโดยธรรมชาติหรือเป็นทุกข์ธรรมชาติของชีวิตนั้น เกิดการแปรปรวนไปเป็นอุปาทานเวทนาคือเวทนูปาทานขันธ์ที่ประกอบด้วยอุปาทานอันแสนเร่าร้อนเผาลนทุรายกว่าทุกข์ธรรมชาติยิ่งนัก กล่าวคือไม่เสพเสวยอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์ที่แสนเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายอันเกิดจากการฟุ้งซ่านหรือส่งจิตออกนอกไปปรุงแต่ง ดังที่เกิดขึ้นในองค์ธรรมชราในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 06:59:43 เดินทางลัด ที่ปลอดภัย เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๒๖ ก่อนที่หลวงปู่จะกลับจากโรงพยาบาลจุฬาฯ ได้ชักชวนกันทำบุญถวายสังฆทาน เพื่ออุทิศส่วนกุศลแด่บรรพชนที่สร้างโรงพยาบาลฯ ที่ล่วงลับแล้วฯ เมื่อพิธีถวายสังฆทานผ่านไปแล้ว มีนายแพทย์และนางพยาบาลจำนวนหนึ่งเข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่ แสดงความดีใจที่หลวงปู่หายจากอาพาธครั้งนี้ พร้อมทั้งกล่าวปิยวาจาว่า หลวงปู่มีสุขภาพอนามัยแข็งแรงดี หน้าตาสดใสเหมือนไม่ได้ผ่านการอาพาธมา คงจะเป็นผลจากการที่หลวงปู่มีภาวนาสมาธิจิตดี พวกกระผมมีเวลาน้อยหาโอกาสเพียรภาวนาสมาธิได้ยาก มีวิธีใดบ้างที่จะปฏิบัติได้ง่ายๆ หรือโดยย่อที่สุด ฯ หลวงปู่ตอบว่า "มีเวลาเมื่อไร ให้ปฏิบัติเมื่อนั้น, การฝึกจิต การพิจารณาจิตเป็นวิธีลัดสั้นที่สุด." หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝาก& เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 07:03:48 ทั้งหมดอยู่ที่ความประพฤติ ตลอดชีวิตของหลวงปู่ ท่านไม่ยอมรับกับการถือฤกษ์งามยามดีอะไรเลย แม้จะถูกถามถูกขอให้บอกเพียงว่า จะบวชวันไหน จะสึกวันไหน หรือวันเดือนปีไหนดีเสียอย่างไร หลวงปู่ก็ไม่เคยเผลอเอออวยด้วย มักจะพูดว่าวันไหนเดือนไหนก็ดีทั้งนั้นแหละ คือ ถ้ามีผู้ขอเช่นนี้ ท่านมักให้เขาหาเอาเอง หรือมักบอกว่าวันไหนก็ได้ ถ้าสะดวกดีแล้วเป็นฤกษ์ดีทั้งหมด ฯ หลวงปู่สรุปลงว่า "ทุกอย่างรวมอยู่ที่ความประพฤติ คือ ฤกษ์ดี ฤกษ์ร้าย โชคดี โชคร้าย เรื่องเคราะห์ กรรม บาป บุญ อะไรทั้งหมดนี้ ล้วนออกไปจากความประพฤติของมนุษย์ทั้งนั้น" [หมายเหตุ Webmaster - หลวงปู่สอนไว้ อันเป็นจริงยิ่ง และถูกต้องตามหลัก"อิทัปปัจจยตา" อันมีสาระสำคัญว่า"เพราะเหตุนี้มี ผลนี้จึงเกิดขึ้น" หรือธรรมใดเกิดแต่เหตุ อันคือกรรมที่หมายถึงการกระทำ-ความประพฤตินั่นเอง ล้วนมิได้เกิดแต่ฤกษ์ผานาทีเป็นสำคัญ ความสำคัญจึงขึ้นอยู่ที่กรรมคือการประพฤติหรือการกระทำเป็นสำคัญ อันเป็นดั่งพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า "บุคคลประพฤติชอบเวลาใด เวลานั้นได้ชื่อว่า เป็นฤกษ์ดี เป็นมงคลดี เป็นเช้าดี อรุณดี เป็นขณะดี ยามดี และ(นับด้วยว่า)เป็นอันได้ทําบูชาดีแล้วในท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย แม้กายกรรมของเขาก็เป็นสิทธิโชค วจีกรรมก็เป็นสิทธิโชค มโนกรรมก็เป็นสิทธิโชค ประณิธานของเขาก็(ย่อมต้อง)เป็นสิทธิโชค ครั้นกระทํากรรม(การกระทําใดๆ)ทั้งหลายที่เป็นสิทธิโชคแล้ว เขาย่อมได้ประสบแต่ผลที่มุ่งหมายอันเป็นสิทธิโชค" (สุปุพพัณหสูตร)] หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 07:08:17 ไม่เคยกระทำแบบแสดง หลวงปู่ไม่มีมารยาในทางอยากโชว์ เพื่อให้เด่น ให้สง่าแก่ตนเอง เช่นการถ่ายรูปของท่าน ถ้าใครอยากถ่ายรูปท่าน ก็ต้องหาจังหวะให้ดี ระหว่างที่ท่านห่มผ้าสังฆาฏิเรียบร้อย เพื่อลงปาฎิโมกข์หรือบวชนาคหรือเข้าพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วขอถ่ายรูปท่านในจังหวะนี้ย่อมได้ถ่าย เมื่อท่านอยู่ตามธรรมดา แล้วขอร้องท่านให้ลุกไปนุ่งห่มมาตั้งท่าให้ถ่าย แบบนี้หวังได้ยากอย่างยิ่ง เช่น มีสุภาพสตรีท่านหนึ่งจากกรุงเทพฯ นำผ้าห่มชั้นดีมาถวายหลวงปู่เมื่อหน้าหนาว พอถึงเดือนห้าหน้าร้อน เผอิญเขาได้ไปกราบหลวงปู่อีก จึงขอให้ท่านเอาผ้ามาห่มให้เขาถ่ายรูปด้วย เพราะตอนถวายไม่ได้ถ่ายไว้ หลวงปู่ปฏิเสธว่า ไม่ต้องหรอก แม้เขาจะขอเป็นครั้งที่สองที่สาม ท่านก็ว่าไม่จำเป็นอยู่นั่นเองฯ เมื่อสุภาพสตรีนั้นลากลับไปแล้ว อาตมาไม่ค่อยสบายใจจึงถามท่านว่า โยมเขาไม่พอใจ หลวงปู่ทราบไหม ฯ หลวงปู่ยิ้มแล้วตอบว่า "รู้อยู่ ที่เขามีความไม่พอใจ ก็เพราะใจเขามีความไม่พอ" หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 07:12:30 สิ้นชาติขาดภพ พระมหาเถระผู้ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนากัมมัฏฐาน สนทนาธรรมะขั้นปรมัตถ์กับหลวงปู่หลายข้อ แล้วลงท้ายด้วยคำถามว่า พระเถระนักปฏิบัติบางท่าน มีปฏิปทาดี น่าเชื่อถือ แม้พระด้วยกันก็ยอมรับว่าท่านเป็นผู้มั่นคงในพระศาสนา แต่ในที่สุดก็ไปไม่รอด ถึงขั้นต้องสึกหาลาเพศไปก็มี หรือไม่ก็ทำไขว้เขวประพฤติตนมัวหมองอยู่ในพระธรรมวินัยก็มี จึงไม่ทราบว่าจะปฏิบัติถึงขั้นไหนอีก จึงจะตัดวัฏสงสารให้สิ้นภพสิ้นชาติได้ ฯ หลวงปู่กล่าวว่า "การสำรวมสำเหนียกในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด และสมาทานถือธุดงค์นั้น เป็นปฏิปทาที่ดีงามอย่างยิ่ง น่าเลื่อมใส แต่ถ้าเจริญจิตไม่ถึงอธิจิิต อธิปัญญาแล้ว ย่อมเสื่อมลงได้เสมอ เพราะยังไม่ถึงโลกุตตรภูมิ ที่จริงพระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่ได้รู้อะไรมากมายเลย เพียงแต่เจริญจิตให้รู้ในขันธ์ ๕ แทงตลอดในปฏิจจสมุปบาท หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกริยาจิต มันก็จบแค่นี้ เหลือแต่ บริสุทธิ์ สะอาด สว่าง มหาสุญตา ว่างมหาศาล หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 07:15:45 อยู่อย่างไรปลอดภัยที่สุด จำได้ว่าเมื่อปี ๒๕๑๙ มีพระเถระ ๒ รูป เป็นพระฝ่ายวิปัสสนากัมัฏฐานจากอีสานเหนือแวะไปกราบมนัสการหลวงปู่ แล้วสนทนาธรรมเรื่องการปฏิบัติ เป็นที่เกิดศรัทธาปสาทะ และดื่มด่ำในรสพระธรรมอย่างยิ่ง ท่านเหล่านั้นกล่าวย้อนถึงคุณงามความดีตลอดถึงภูมิธรรมของครูบาอาจารย์ที่ตนเคยไปพำนักศึกษาปฏิบัติมาด้วยเป็นเวลานานว่า หลวงปู่องค์โน้นมีวิหารธรรมคืออยู่กับสมาธิตลอดเวลา อาจารย์นี้อยู่กับพรหมวิหารเป็นปรกติ คนจึงนับถือท่านมาก หลวงปู่องค์นั้นอยู่กับอัปปมัญญาพรหมวิหาร ลูกศิษย์ของท่านจึงมากมายทั่วสารทิศไม่มีประมาณ ดังนี้เป็นต้น ท่านจึงมีแต่ความปลอดภัยอันตรายตลอดมา ฯ หลวงปู่กล่าวว่า เออ ท่านองค์ไหนมีภูมิธรรมแค่ไหน ก็อยู่กับภูมิธรรมนั้นเถอะ เราอยู่กับ " รู้ " หัวข้อ: Re: พระราชวุฒาจารย์(ดูลย์ อตุโล), หลวงปู่ฝากไว้ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 28 พฤษภาคม 2553 07:38:29 สนทนาต่อมา ครั้นเมื่อพระเถระทั้ง ๒ รูปได้ฟังคำพูดของหลวงปู่ว่า หลวงปู่ท่านอยู่กับ " รู้ " ต่างองค์ก็นิ่งสงบชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็เรียนถามหลวงปู่ต่อไปว่า อาการที่ว่าอยู่กับรู้ มีลักษณะเป็นอย่างไร ฯ หลวงปู่ตอบอธิบายว่า " รู้ " (อัญญา) เป็นปรกติจิตที่ "ว่าง สว่าง บริสุทธิ์ หยุดการปรุงแต่ง หยุดการแสวงหา หยุดกริยาของจิต ไม่มีอะไรเลย ไม่ยึดถืออะไรสักอย่าง." (http://www.dhammajak.net/gallery/albums/userpics/%CB%C5%C7%A7%BB%D9%E8%B4%D9%C5%C2%EC%20%CD%B5%D8%E2%C5%202.jpg) Credit by : http://www.nkgen.com/pudule3.htm (http://www.nkgen.com/pudule3.htm) Pics by : Google เรียนขออนุญาตนำมาเผยแพร่ อนุโมทนาสาธุ ที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ |