sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:34:39 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 19:03:52 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:44:27 » |
|
มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา (:3:)ก็ไปเรียนโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์และเข้าเรียนหลักสูตรธรรมศึกษาตรี และสอบได้ธรรม ศึกษาตรีดิฉันชอบการเรียนธรรมเช่น นวโกวาท ที่รวบรวมคำสอน ไว้เป็นหัวข้อย่อ ๆ ชอบอ่านพระสูตรชอบอ่านชาดกซึ่งเด็ก ๆ เพื่อน ๆ พี่น้องในวัยเดียวกันไม่มีใครสนใจเลยดิฉันจึงคิดว่าคงเพราะ...........................สะสมมาที่จะสนใจจึงทำให้มีความสุขที่ได้ศึกษาธรรม เมื่อเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา พบเพื่อน ๆ ที่เป็นกัลยาณมิตร มี รศ. จลีพร แสงบุญนำโกลากุล ชักชวนให้มาศึกษาธรรมที่ วัดบวรนิเวศฯ กับหลวงตา ธัมมสาโร
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:28:42 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:45:15 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:29:43 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:46:23 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:30:46 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:48:01 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:31:42 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:49:05 » |
|
มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา - มากอยากจะให้ใคร ๆ ได้ยินได้ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์เหมือนดิฉัน (:4:)ชวนญาติเพื่อนฝูงไปฟัง และเคยเชิญท่านอาจารย์ไปบรรยาย ธรรมที่ทำงานคิดว่าคนอื่นจะซาบซึ้งที่ได้ยินธรรมที่แท้จริงอย่างนี้ แต่ ปรากฏว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่สนใจและไม่เข้าใจ จึงเข้าใจว่า ธรรม ไม่สาธารณะสำหรับทุกคนนั้นเป็นอย่างนี้เอง จะต้องสะสมกุศลมา พอสมควรจึงจะทำให้เข้าใจและสนใจที่จะได้ศึกษาธรรมที่ลึกซึ้งต่อไป และการที่จะเข้าใจธรรมก็ด้วยการศึกษา การฟัง การอ่าน การ พิจารณา แล้วการปฏิบัติธรรมก็จะเกิดขึ้นเมื่อเข้าใจธรรม เช่น ถ้า เข้าใจเรื่องศีล ว่าเป็นข้อประพฤติปฏิบัติที่ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น ด้วยกายและวาจา มีการไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิด ในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มของมึนเมา เมื่อมีเหตุการณ์ที่จะต้องพูด ก็เลือกที่จะไม่พูดปด ไม่พูดหยาบคาย ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ อย่างนี้คือการปฏิบัติธรรมแล้ว การปฏิบัติธรรมสามารถปฏิบัติได้ตลอด เวลา ไม่ต้องเลือกว่าช่วงเวลานี้ควรไปปฏิบัติธรรมที่วัดนี้ หรือสำนัก นี้ มีตัวอย่างมากมายในพระไตรปิฎก เช่น นางขุชชุตตรา หรือนาง รัชชุมาลา เป็นทาสี ก็สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลได้ ท่าน ทั้งสองเป็นทาสี คงไม่มีเวลาว่างที่เจ้านายให้หยุดงานไปปฏิบัติธรรม โดยไม่ถือเป็นวันลา
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:32:16 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:51:15 » |
|
มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา เอ...................ดิฉันพูดส่อเสียดหรือเปล่าคะ....................... ? (:4:)มีครั้งหนึ่งดิฉันประทับใจมากไม่มีวันลืมเลย คือ ท่าน อาจารย์บรรยายเรื่องความหวัง มาจากคำว่า อาสา เป็นโลภะ เป็น อกุศล และอกุศลเป็นสิ่งที่ควรละ ซึ่งต่างกับที่เคยรู้ ๆ มาว่า ควร มีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ใคร ๆ ก็สอนกันว่า ให้ตั้งความหวังไว้ใน การทำทุกสิ่ง เพราะความหวังเป็นสิ่งจรรโลงใจ มีคำพูดที่สอนเกี่ยว กับชีวิตและความหวังมากมาย เมื่อท่านบรรยายเสร็จ ดิฉันจึง เรียนถามท่านว่า “ถ้าไม่มีความหวัง ชีวิตจะอยู่อย่างไร” ท่าน ก็ตอบว่า “อยู่ด้วยปัญญาซิคะ” คำตอบสั้น ๆ ของท่านรวมทุกสิ่ง ทุกอย่างอยู่ในนั้น ทำให้ดิฉันรู้สึกโปร่งโล่งใจสบาย จุดประกายให้ ดิฉันตั้งใจศึกษาพระธรรม เพื่อให้มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา เพราะไม่ ว่าชีวิตจะเป็นสุข เป็นทุกข์ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้นินทา ได้ลาภ -
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:32:50 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:52:22 » |
|
มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา (:-_-:)สื่อมลาภอย่างไร ชีวิตก็เป็นอยู่ได้ด้วยปัญญา แต่ปัญญาไม่ได้เกิดง่าย ๆ เลย แม้ปัญญาเพียงขั้นการฟัง เพราะฟังแล้วก็ลืมอย่าง รวดเร็ว แต่ก็เหมือนมีเงาราง ๆ ที่พอจะเห็นรูปร่างได้ ไม่มืดสนิท เสียทีเดียว รู้ว่านี่แหละใช่เลย ธรรมต้องลึกซึ้งอย่างนี้ ไม่ใช่ของ ง่าย ๆ ที่ใครบอกให้ทำ เมื่อทำตามแล้วจะเห็นธรรมเข้าใจแล้วว่า ทำไมพระผู้มีพระภาคจึงต้องทรงรอให้ท้าวสหัมบดีพรหมมาอาราธนา ให้ทรงแสดงธรรม เพราะพระธรรมนั้นลึกซึ้งจริง ๆ ยากที่จะเข้าใจ ทั้ง ๆ ที่มีปรากฏอยู่ตลอดเวลา พระสาวกทั้งหลายท่านยังต้องบำเพ็ญ บารมีที่จะรู้ตามเป็นแสนกัป แล้วอย่างดิฉันเพิ่งเริ่มพบหนทางที่ถูก จะเข้าใจแจ่มแจ้งได้อย่างไร ดิฉันจึงติดตามฟังธรรม อ่านธรรมที่ ท่านอาจารย์นำมาจากพระไตรปิฎก มาย่อยให้พวกเราเข้าใจ มีหลาย เรื่องที่ท่านนำมาบรรยายแล้วช่วยให้ดิฉันเข้าใจธรรมมากขึ้นและเข้า ใจตัวเองมากขึ้น คือ ทำความเห็นให้ตรงตามความเป็นจริงซึ่งเป็น
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:33:31 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:53:06 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:34:33 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:53:44 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:35:23 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:54:27 » |
|
มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา (:BYE:)คนนี้ก็รังเกียจเพราะเราไม่ใช่ลูกเขา แต่พี่น้องคนอื่นเขาก็อยู่ใน สภาพเดียวกับดิฉัน ก็ไม่เป็นอย่างดิฉัน ดิฉันก็เลยคิดได้ว่า ดิฉัน สะสมกิเลสมาไม่เหมือนกับคนอื่น เมื่อเข้าใจเรื่องโลก ๖ ทางแล้ว ก็คิดได้ว่าเราไม่สามารถจะรู้จิตใจของใครได้ เขาจะคิดอะไรก็เป็นไป ตามการสะสมของเขา การที่เราคิดว่าเขาไม่ชอบเรา ก็เป็นโลก ความคิดของเราเอง จะถูกหรือผิดก็ไม่รู้ และไม่สำคัญด้วยที่ สำคัญคือ ความคิดของเราเองว่า เราคิดถูก คิดดีหรือไม่ดีการ เข้าใจเรื่องโลก 6 ทาง ทำให้มีความอดทนต่อคำพูดชั่วของคนอื่นมาก :'( :'(
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:36:02 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:55:12 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:36:56 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:55:50 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:37:48 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:56:28 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:38:37 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:57:12 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:39:22 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #15 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:57:56 » |
|
มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา :'( และกาญจนบุรีรถได้ประสบอุบัติเหตุ ทำให้คุณอลันและคุณแม่ เสียชีวิตทันทีคนที่เหลือบาดเจ็บสาหัส ตอนนั้นดิฉันไม่เข้าใจธรรม มากนัก จึงร้องไห้คร่ำครวญว่าทำไมต้องเป็นดิฉัน ดิฉันทำแต่ความดี ทำไมจึงต้องประสบเคราะห์กรรมอย่างนี้บุญกุศลไม่ช่วยดิฉันเลย ท่านอาจารย์ท่านก็เมตตา ไม่พูดอะไรเลย ตอนหลังดิฉันจึงได้ทราบ จากท่านว่าต้องเป็นเรา เพราะเราเป็นคนทำไว้เอง ไม่มีใครทำให้ ใครเลยจริง ๆ เป็นกรรมของเราเองที่ทำไว้แล้ว” และคราวนั้นแม้ดิฉัน และเพื่อนจะประสบอุบัติเหตุ ได้รับความเจ็บปวดทรมานมาก แต่ได้ รับกำลังใจจากสหายธรรมของมูลนิธิ ฯ มากมาย ที่ท่านกรุณาเสียสละ เวลามาเยี่ยม บางท่านคือคุณศุกล กัลยาณมิตร ก็จัดการคดีเกี่ยวกับ รถชน คุณอดิศักดิ์ สิงหลกะนนท์ เป็นทนายก็กรุณาจัดการคดีให้ เรียบร้อย คุณป้าสงวน สุจริตกุล ก็นำเทปธรรมที่ท่านอาจารย์บรรยาย ที่สภาการศึกษาฯ ระหว่างที่ดิฉันนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลมาให้ฟัง มีเรื่องหนึ่งที่ดิฉันประทับใจไม่เคยลืม ท่านอาจารย์ได้นำเรื่องในอรรถกถา ขุททกนิกาย เปตวัตถุ มาอ่านให้ฟัง ดิฉันขอคัดลอกจากพระไตรปิฎก และอรรถกถาฉบับของมหามกุฎราชวิทยาลัยมา ณ. ที่นี้ด้วย
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:40:20 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #16 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 17:59:15 » |
|
มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา อรรถกถาเขตตูปมาเปตวัตถุที่ 1 (:6:)ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อประทับอยู่ที่พระเวฬุวันกลัน-- ทกนิวาปสถาน ใกล้กรุงราชคฤห์จึงทรงปรารภเปรตบุตรเศรษฐีคนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนั้นดังต่อไปนี้.............................. ได้ยินว่าในกรุงราชคฤห์ได้มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มากมีโภคะมากมีเครื่องอุปกรณ์แห่งทรัพย์ที่น่าปลื้มใจ อย่างมากมาย สั่งสมทรัพย์ไว้เป็นจำนวนหลายโกฏิ ได้มีบุตรคนเดียว น่ารัก น่าชอบใจ เมื่อบุตรนั้น รู้เดียงสา บิดามารดาจึงพากันคิด อย่างนี้ว่า เมื่อบุตรของเราจ่ายทรัพย์ให้สิ้นเปลืองไปวันละ 1000 ทุกวัน แม้ถึงร้อยปี ทรัพย์ที่สั่งสมไว้นี้ ก็ไม่หมดสิ้นไป จะประโยชน์ อะไร ด้วยการที่จะให้บุตรนี้ลำบากในการศึกษาศิลปะ ขอให้บุตรนี้ จงมีความไม่ลำบากกายและจิต บริโภคโภคสมบัติตามสบายเถิด ดังนี้แล้ว จึงไม่ให้บุตรศึกษาศิลปะ ก็เมื่อบุตรเจริญวัยแล้ว มารดา บิดาได้นำหญิงสาวแรกรุ่น ผู้สมบูรณ์ด้วยสกุล รูปร่างความเป็นสาว และความงามผู้เ้อิบอิ่มดว้ยกามคุณผู้บ่ายหน้า้ออกจากธรรม สัญญามาให้เขาเขาอภิรมย์อยู่กับหญิงสาวนั้นไม่ให้เกิดแม้ความ คิดถึงธรรม ไม่มีความเอื้อเฟื้อในสมณพราหมณ์และคนที่ควร เคารพ ห้อมล้อม ด้วยพวกนักเลง กำหนัด ยินดี ติดอยู่ในกามคุณ 5 เป็นผู้มืดมนไปด้วยโมหะ ให้เวลาผ่านไป เมื่อมารดาบิดาถึงแก่ กรรมลง ให้สิ่งที่ปรารถนาแก่นักรำ นักร้อง เป็นต้น ผลาญทรัพย์ ให้วอดวายไป ไม่นานเท่าไรนัก ก็สิ้นเนื้อประดาตัวเที่ยวขอยืม เงินเลี้ยงชีวิต ยืมหนี้ไม่ได้อีก ถูกพวกเจ้าหนี้ทวงถาม ก็ต้องให้ ที่นาที่สวนและเรือนเป็นต้นของตนแก่พวกเจ้าหนี้เหล่านั้น ถือกระเบื้อง เที่ยวขอทานกิน พักอยู่ที่ศาลาคนอนาถาในพระนครนั้นนั่นแล
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:41:42 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #17 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 18:00:04 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:42:35 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #18 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 18:00:48 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:43:37 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sometime
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #19 เมื่อ: 28 ธันวาคม 2552 18:01:31 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ธันวาคม 2552 18:44:24 โดย บางครั้ง »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
กำลังโหลด...