[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้
15 พฤษภาคม 2567 17:01:23 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
  หน้าแรก   เวบบอร์ด   ช่วยเหลือ ห้องเกม ปฏิทิน Tags เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก ห้องสนทนา  
บุคคลทั่วไป, คุณถูกห้ามตั้งกระทู้หรือส่งข้อความส่วนตัวในฟอรั่มนี้
Fuck Advertise !!

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สถานที่ลึกลับ ในโลกดึกดำบรรพ์  (อ่าน 2828 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ใบบุญ
สุขใจ๊ สุขใจ
นักโพสท์ระดับ 12
*

คะแนนความดี: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

Thailand Thailand

กระทู้: 2334


ระบบปฏิบัติการ:
Windows 7/Server 2008 R2 Windows 7/Server 2008 R2
เวบเบราเซอร์:
Mozilla รองรับ Mozilla รองรับ


ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 10 กุมภาพันธ์ 2558 19:29:42 »

.

สถานที่ลึกลับ ในโลกดึกดำบรรพ์
     โดย : ณัฐพล เดชขจร
     ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน


อนุสาวรีย์หินตั้งลีอา ฟอยล์ แห่งไอร์แลนด์.

ในขณะที่โลกเบี้ยวๆ ของเราใบนี้มีอายุยืนยาวมาได้ประมาณ 4,600 ล้านปีแล้ว มนุษย์เพิ่งถือกำเนิดขึ้นมาได้แค่ไม่กี่ล้านปีเท่านั้นเองครับ แต่ก็ได้รังสรรค์สิ่งต่างๆ เอาไว้บนโลกอย่างมากมาย โดยเฉพาะในช่วงราวๆ หนึ่งหมื่นปีมาแล้วที่มนุษย์เริ่มเปลี่ยนจากยุคหาของป่า-ล่าสัตว์มาเป็นยุคเกษตรกรรม ก่อให้เกิดการตั้งถิ่นฐานซึ่งนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมต่างๆในที่สุด

ถ้าว่ากันตามทฤษฎีแล้ว มนุษย์แพร่กระจายออกจากทวีปแอฟริกา เดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน แต่จนถึงทุกวันนี้ พวกเราก็ยังไม่สามารถเข้าใจมโนคติ ความเชื่อและเทคโนโลยีของบรรพชนในอารยธรรมโบราณต่างๆ ได้อย่างถ่องแท้ ถ้าไม่เชื่อ ลองมาดูสถานที่ลึกลับชวนพิศวงต่อไปนี้ดีกว่าครับ เพราะมันช่างเข้าใจได้ยากเย็นเสียเหลือเกินว่าบรรพชนของเราจะสร้างมันขึ้นมาเพื่อเหตุผลกลใดและด้วยวิธีใดกันแน่



โครงสร้างคล้ายแท่นยกพื้นทรงขั้นบันไดใต้ทะเลแห่งโยนากุนิ.

แรกเริ่มที่สุดคงต้องขอพาไปใกล้ๆ บ้านเรากันก่อน สถานที่ที่จะพาไปชมนั้นอยู่ “ใต้ท้องทะเล” ของเกาะโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็คือซากโครงสร้างปริศนาใต้น้ำหรือที่เรารู้จักกันในนามว่า “โยนากุนิ” นั่นเอง

โยนากุนิเปรียบเสมือนแท่นยกพื้นที่มีเหลี่ยมมีมุมและการเล่นระดับชั้นปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนประหนึ่งว่ามันถูกสร้างขึ้นมาอย่างจงใจด้วยเหตุผลที่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีนักวิชาการท่านใดทราบอย่างชัดเจน บ้างก็เสนอว่ามันอาจจะเป็นโครงสร้างที่เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ แต่ก็มีการค้นพบ “หลุมเสา” และเครื่องไม้เครื่องมือสำหรับใช้สกัดหินปรากฏอยู่ใต้น้ำด้วยเช่นกัน โดยนักโบราณคดีส่วนหนึ่งที่ดำลงไปสำรวจก็ระบุว่าแท่นยกพื้นใต้น้ำนี้น่าจะมีอายุราว 12,000 ปี ซึ่งก็นับว่าเก่าแก่กว่าอารยธรรมอย่างอียิปต์โบราณหรือเมโสโปเตเมียเสียอีกครับ นั่นแปลว่าโยนากุนิคือซากโบราณสถานของชาวญี่ปุ่นโบราณเช่นนั้นหรือ และมันจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเหตุผลใด คงต้องรอคอยการสำรวจเพิ่มเติมกันต่อไปล่ะครับ




อาคารทรงโคนที่มหาซิมบับเวไม่มีแม้กระทั่งหน้าต่างหรือประตู.

ออกจากทวีปเอเชียมุ่งหน้าทางตะวันตกไปยังกาฬทวีปหรือแอฟริกากันบ้างดีกว่า ถึงแม้ว่าทวีปแห่งนี้จะเป็นที่ตั้งของอารยธรรมมากมายโดยเฉพาะอียิปต์ที่ถือได้ว่ารุ่งเรืองมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกโบราณ แต่กระนั้นก็ยังมีสถานที่ลึกลับที่นักวิชาการยังคงงงงวยและตามล่าหาคำตอบอยู่เช่นกัน สถานที่แห่งนั้นคือ “มหาซิมบับเว” (Great Zimbabwe) ซึ่งมีอายุอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ครับ

ประเทศซิมบับเวตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกาฝั่งตะวันออก เป็นสถานที่ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีสิ่งปลูกสร้างสุดอลังการอย่างมหาซิมบับเวตั้งอยู่ ที่นี่มีกำแพงหินขนาดยักษ์สูง 11 เมตรพร้อมด้วยกลุ่มอาคารทรงโคนหน้าตาแปลกประหลาดมากมายตั้งอยู่ตามแนวกำแพง อาคารทรงโคนเหล่านี้ไม่มีทั้งประตูและหน้าต่าง เสมือนว่าไม่ได้ให้ “คน” เข้าไปใช้งาน นั่นจึงสร้างความฉงนฉงายให้นักโบราณคดียิ่งนักล่ะครับ ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดออกมาแต่อย่างใด




สโตนเฮนจ์คืออนุสาวรีย์หินที่เก็บงำความลับเอาไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกโบราณ.

ขึ้นเหนือไปยังทวีปยุโรปกันบ้าง ที่นี่มีสถานที่ลึกลับให้ค้นหามากมายเลยทีเดียว สถานที่แรกเชื่อว่าหลายๆ ท่านน่าจะคุ้นเคยกันดี นั่นก็คือ “สโตนเฮนจ์” จากประเทศอังกฤษ

สโตนเฮนจ์ถือได้ว่าเป็นอนุสาวรีย์หินตั้งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกโบราณ โครงสร้างหินอายุหลายพันปีนี้สร้างขึ้นมาได้ด้วยวิธีใด และหน้าที่ของมันคืออะไรกันแน่ แนวความคิดเรื่องการสร้างสโตนเฮนจ์น่าสนใจมากครับ ในช่วงประมาณ ค.ศ.1135 มีการเสนอกันว่าเหล่ายักษ์เป็นผู้ขนหินมาจากไอร์แลนด์ และพ่อมดเมอร์ลินก็ได้ใช้เวทมนตร์ช่วยยกก้อนหินข้ามทะเลมาตั้งเอาไว้ในบริเวณนี้ แต่แน่นอนว่ามันคงจะไม่ใช่คำตอบที่ดีพอสำหรับนักโบราณคดี ทำให้ในปัจจุบันได้มีการจำลองวิธีการขนหินโดยใช้คนงานกว่าร้อยชีวิต ซึ่งก็สามารถจำลองการตั้งหินได้คล้ายคลึงกับของเดิมเป็นอย่างมาก ส่วนวัตถุประสงค์การใช้งานของมันก็ยังคงเป็นปริศนาครับ แต่ก็เป็นไปได้ว่ามันอาจจะเป็นหอดูดาว หรือวิหารบางอย่างของเหล่าบรรพชนก็เป็นได้




มหาวิหารหินแห่งมอลตา.

อีกหนึ่งสถานที่ลึกลับในทวีปยุโรปก็คือเนินเขาทารา (Tara) ในประเทศไอร์แลนด์ครับ พื้นที่ของเนินเขาทาราเขียวชอุ่มไปด้วยทุ่งหญ้า แต่เมื่อกวาดสายตาดูให้ถ้วนทั่วแล้วก็จะพบว่ามันมีแท่งหินปริศนาตั้งโผล่ขึ้นมาอยู่หนึ่งชิ้น เรารู้จักแท่งหินนั้นกันในนาม “ลีอา ฟอยล์” (Lia Fáil) เสาหินนี้คือสถานที่ที่ว่ากันว่ากษัตริย์แห่งไอร์แลนด์จะมาประกอบพิธีราชาภิเษก โดยที่ตำนานกล่าวไว้ว่าถ้าบุคคลที่เข้ามาประกอบพิธีราชาภิเษกมีความเหมาะสมกับตำแหน่งกษัตริย์ ตอนที่ประทับนั่งลงบนหินลีอา ฟอยล์ มันก็จะคำรามหวีดเสียงร้องออกมาสามครั้ง แสดงถึงสิทธิโดยชอบธรรมในการครองราชย์ของบุคคลผู้นั้น ทว่าอะไรที่อยู่เบื้องหลังตำนานนี้ เสียงคำรามของหินจะมีจริงหรือไม่ ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนครับ

สถานที่ลึกลับแห่งสุดท้ายของยุโรปที่จะพาไปเยี่ยมชมกันก็คือ “วิหารหินแห่งมอลตา” บนเกาะมอลตาตอนใต้ของประเทศอิตาลี ความน่าสนใจของวิหารหินบนเกาะมอลตาอยู่ที่รูปร่างอันชวนแปลกตาด้วยว่ามันมีลักษณะเหมือนใบโคลเวอร์ 3 แฉก มีการใช้หนังสัตว์ขึงเป็นหลังคา แต่คำถามสำคัญที่ยังคงตามหาคำตอบก็คือใครเป็นคนสร้างวิหารแห่งนี้ และสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร ที่เราเรียกโครงสร้างแห่งนี้ว่าวิหาร เพราะอาจจะมีความเป็นไปได้ว่ามันจะเคยใช้เป็นศาสนสถานสำหรับบูชาเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์ ด้วยว่ามีการพบรูปสลักของเทพีดังกล่าวบนเกาะแห่งนี้เป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังคงมีปริศนาอีกมากมาย เพราะนักโบราณคดียังไม่แน่ใจด้วยซ้ำครับว่าชนเผ่าที่สร้างวิหารรูปใบโคลเวอร์ 3 แฉกนี้คือใคร ดูเหมือนว่าพวกเขาอาจจะอพยพมาจากซิซิลี แต่สุดท้ายก็อันตรธานไปอย่างไร้ร่องรอย




เนินนักบวชขนาดมหึมาแห่งคาโฮเกีย.

สถานที่ลึกลับ 5 แห่งสุดท้ายอยู่ในพื้นที่ของ “โลกใหม่” (New World) หรือทวีปอเมริกาทั้งสิ้นครับ เริ่มจากอเมริกาเหนือกันก่อนที่เนินดินดึกดำบรรพ์ที่มีชื่อว่า “คาโฮเกีย” (Cahokia) ครับ คาโฮเกียรุ่งเรืองในช่วงปี ค.ศ.1100 ตั้งอยู่ในรัฐอิลลินอยส์ของสหรัฐอเมริกา บริเวณนี้มีเนินดินปริศนาผุดขึ้นมานับร้อยเนินราวกับดอกเห็ด แต่ก็ไม่มีเนินไหนยิ่งใหญ่สะดุดตาเท่า “เนินนักบวช” (Monk Mound) ด้วยว่าเนินแห่งนี้มีขนาดฐานที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่ามหาพีระมิดแห่งกิซ่าที่อียิปต์เสียอีก แต่มีความสูงอยู่ที่เพียงแค่ราวๆ 30 เมตรเท่านั้นเอง ด้านบนของเนินนั้นราบเรียบ ไม่มีอาคารใดๆ ตั้งอยู่ แล้วเนินดินแห่งนี้คืออะไรกันแน่ หนึ่งในความเป็นไปได้ก็คือมันอาจจะเป็นที่พักของนักบวชชั้นสูงแห่งคาโฮเกีย ซึ่งก็ได้สะท้อนออกมาในชื่อของ “เนินนักบวช” นั่นเอง

ถัดลงมาจากคาโฮเกีย ขอลัดเลาะทางตะวันออกของประเทศบาฮามาสไปยัง “หมู่เกาะบิมินี” (Bimini Islands) กันบ้าง ที่นี่คล้ายคลึงกับเมืองใต้น้ำโยนากุนิครับ หมู่เกาะบิมินีเต็มไปด้วยกลุ่มโครงสร้างใต้ทะเลชวนพิศวง โดยนักประดาน้ำได้พบเข้ากับแผ่นหินที่ถูกตัดเป็นก้อนอย่างจงใจ วางเรียงรายเป็นแนวยาวจนได้รับการเรียกขานว่า “ถนนบิมินี” ว่าแต่ ถนนอะไรจะมาอยู่ใต้น้ำ ทำให้นักวิชาการบางท่านออกมาเสนอว่ามันก็แค่เป็นผลงานของธรรมชาติเท่านั้นเอง แต่กระนั้นทางกลุ่มที่ศึกษาเรื่องลี้ลับกลับเสนอว่าพื้นที่ตรงนี้คือบริเวณที่เอ็ดการ์ เคย์ซี นักพยากรณ์ชื่อดังเคยประกาศเอาไว้ว่าหลักฐาน ของอาณาจักรแอตแลนติสจะปรากฏออกมาให้เห็น




กลุ่มก้อนหินที่ถูกเรียกว่าถนนบิมินี.

ถนนบิมินีสายนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของแอตแลนติส ด้วยหรือไม่ คงต้องรอคอยการสำรวจกันต่อไปครับ

เดินทางลงใต้ต่อมายังประเทศเปรูกันบ้าง หนึ่งในสถานที่ลึกลับที่สุดของโลกก็คือบริเวณทุ่งกว้างที่เรียกว่า “ปัมปา โคโลราดา” (Pampa Corolada) ซึ่งเปรียบเสมือนกระดาษแผ่นใหญ่สำหรับการรังสรรค์ “ลายเส้นนาซกา” ครับ แน่นอนว่าประเด็นเรื่องลายเส้นนาซกานี้คือหนึ่งในปริศนาของโลกโบราณที่ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะกระจ่างขึ้นมามากแล้ว แต่ก็ยังคงมีคำถามอีกมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่น่าพึงใจ ภาพสลักมากมายนับร้อยภาพทั้งภาพของสัตว์ต่างๆ ต้นไม้ ลายเส้นเรขาคณิต ล้วนแล้วแต่ปรากฏอยู่บนทุ่งกว้างแห่งนี้ทั้งสิ้น หนึ่งในภาพที่ชวนพิศวงที่สุดก็คือภาพที่ได้รับการเรียกขานว่า “มนุษย์อวกาศ” ที่เป็นร่างของมนุษย์ตัวยักษ์กำลังชูมือข้างหนึ่งคล้ายคลึงว่ากำลังทักทายใครสักคน แต่อย่าลืมครับว่าลายเส้นนาซกานั้นถ้ามองจากบนพื้นจะไม่เข้าใจเลยว่ามันเป็นรูปอะไร ต้องขึ้นไปมองจากฟากฟ้าลงมาเท่านั้นถึงจะเห็น นั่นแปลว่ามนุษย์อวกาศร่างนั้นกำลังทักทายใครสักคนจากนอกโลกหรือไม่ เป็นอีกหนึ่งความลี้ลับของลายเส้นนาซกาที่ยังไม่มีคำตอบแน่ชัด




ลายเส้นนาซการูปมนุษย์อวกาศกำลังโบกมือทักทาย.

ไปที่โบลิเวียกันบ้าง ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่ “พูมาพุงคู” (Puma Punku) ความมหัศจรรย์ของสถานที่แห่งนี้อยู่ที่โครงสร้างหินขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้นเมื่อราว 1,500 ปีที่แล้วบนภูเขาที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึงร่วม 4 กิโลเมตรครับ ความน่าพิศวงก็คือชนโบราณชักลากก้อนหินขนาดมหึมาเหล่านี้มาเป็นระยะทางไกลแสนไกล ขึ้นภูเขาสูงชะลูดเช่นนี้มาได้อย่างไร นอกจากนั้น อีกหนึ่งปริศนาสำคัญก็คือบรรดาโครงสร้างหินรูปตัว “เอช” (H) จำนวนมากที่สกัดได้อย่างเรียบเนียน สามารถนำมาเรียงต่อกันด้วยหมุดยึดรูปตัวไอ (I) ได้สบายๆ ไม่ต่างจากการเล่นเลโก้ ด้วยว่าเหลี่ยมมุมต่างๆ ของหินแต่ละก้อน ไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากการใช้เพียงแค่เครื่องมือยุคโบราณ นอกจากนั้น หินบางก้อนยังถูกเจาะรูและเซาะร่องอย่างประณีตประหนึ่งใช้สว่านหรือเครื่องมือสมัยใหม่ นั่นจึงทำให้พูมาพุงคูเป็นสถานที่อันชวนพิศวงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

สถานที่ลึกลับแห่งสุดท้าย ตั้งอยู่โดดเดี่ยวห่างออกไปทางชายฝั่งประเทศชิลีราว 3,600 กิโลเมตร ใช่แล้วครับ “เกาะอีสเตอร์” นั่นเอง เกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยคำถาม ตั้งแต่ชนกลุ่มแรกที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะแห่งนี้คือใคร เดินทางมาอย่างไรตั้งหลายพันกิโลเมตรจากแผ่นดินใหญ่ นอกจากนั้นแล้วพวกเขายังสลักรูปปั้นอันน่าตื่นตาตื่นใจอย่าง “โมอาย” (Moai) เอาไว้อีกด้วย ซึ่งตัวของโมอายเองก็มีคำถามอีกไม่รู้จบเลยครับว่า ชาวเกาะอีสเตอร์สร้างไว้เพื่ออะไร สกัดหินอย่างไร ขนย้ายอย่างไร เพราะหนึ่งในความเชื่อที่ชาวเกาะอีสเตอร์พูดถึงโมอายเหล่านี้เวลามีคนถามว่าบรรพบุรุษของพวกเขาขนย้ายโมอายมาตั้งไว้ยังพื้นที่ต่างๆ ของเกาะได้อย่างไร คำตอบที่ได้รับนั้นน่าทึ่งมากครับ เพราะชาวเกาะอีสเตอร์ตอบง่ายๆ เพียงแค่ว่า “มันก็เดินมาเองน่ะสิ”!!



แท่งหินรูปตัวเอชที่พูมาพุงคู.

กระนั้นนักโบราณคดีก็กำลังขุดค้นเพิ่มเติมกันอยู่อย่างขะมักเขม้น ซึ่งเมื่อปลายปี ค.ศ.2011 ก็เพิ่งมีการค้นพบครั้งสำคัญว่าโมอายบางร่างที่ปรากฏเพียงแค่ศีรษะออกมาจากพื้นดินนั้น แท้ที่จริงแล้วเมื่อขุดลงไปในดินก็พบเข้ากับ “ลำตัว” ที่ถูกฝังอยู่ด้วย การค้นพบในครั้งนั้นทำให้เห็นว่าถึงแม้เกาะอีสเตอร์จะยังคงมีความลับอีกมากมายซุกซ่อนอยู่ แต่เราก็เริ่มเข้าใจมันมากขึ้นทุกวันเช่นกัน


ลำตัวที่ถูกซ่อนอยู่ใต้พื้นดินของโมอายแห่งเกาะอีสเตอร์.

โดยสรุปแล้ว สถานที่ลึกลับเหล่านี้ยังคงเต็มไปด้วยปริศนานานัปการที่เรายังคงมืดแปดด้าน แต่สิ่งหนึ่งที่เรามั่นใจได้แน่นอนก็คือ ชนโบราณผู้รังสรรค์สถานที่เหล่านั้นขึ้นมาจะต้องมีมันสมองที่ฉลาดปราดเปรื่องไม่แพ้มนุษย์ในยุคโลกาภิวัตน์เลยทีเดียวครับ

Share this topic on AskShare this topic on DiggShare this topic on FacebookShare this topic on GoogleShare this topic on LiveShare this topic on RedditShare this topic on TwitterShare this topic on YahooShare this topic on Google buzz

บันทึกการเข้า
คำค้น:
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


คุณ ไม่สามารถ ตั้งกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ ตอบกระทู้ได้
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ได้
คุณ ไม่สามารถ แก้ไขข้อความได้
BBCode เปิดใช้งาน
Smilies เปิดใช้งาน
[img] เปิดใช้งาน
HTML เปิดใช้งาน

Powered by MySQL Powered by PHP
Bookmark and Share

www.SookJai.com Created By Mckaforce | Sookjai.com Sitemap | CopyRight All Rights Reserved
Mckaforce Group | Sookjai Group
Best viewed with IE 7.0 , Chrome , Opera , Firefox 3.5
Compatible All OS , Resolution 1024 x 768 Or Higher
Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.611 วินาที กับ 32 คำสั่ง

Google visited last this page 10 ตุลาคม 2566 03:23:29