หัวข้อ: หลวงพ่อพุธตอบปัญหาธรรมะ เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 16 ธันวาคม 2552 14:13:44 หลวงพ่อพุธตอบปัญหาธรรมะ
คำถาม : มิจฉาสมาธิ ถ้าทำแล้วจะเสื่อมบ้างไหม เช่น พวกคุณ พวกไสย เป็นต้น หลวงพ่อพุธตอบ : พวกคุณ พวกไสย ฯลฯ ผู้ฝึกยึดถือครูบาอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้เป็นสำคัญ ตราบใดที่เขายังเคารพนับถือครูบาอาจารย์ ผู้สอนวิชาให้แก่เขาไม่หมิ่นประมาท และไม่ประมาทวิชาความรู้ของตัวเอง แม้จะเป็นเรื่องมิจฉาสมาธิผิดศีลธรรม แต่ก็ยังใช้การได้ และวิชาอันนี้ก็ย่อมมีความเสื่อมความเจริญเป็นครั้งเป็นคราว ถ้าจะเทียบกับสมาบัติทางศาสนาพราหมณ์ เขาถือการบำเพ็ญสมาบัติ ๘ เป็นหลักสำคัญในศาสนาของพราหมณ์ ผู้ที่บำเพ็ญเพียรบรรลุถึงสมาบัติ ๘ แล้ว ยังมีเสื่อมมีเจริญ ถ้าไปทำผิดอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ฌานก็เสื่อม ทางไสยศาสตร์ก็เหมือนกัน ถ้าไปละเมิดครูหรือหมิ่นประมาทครู หรือไปละเมิดสิ่งที่ครูเขาห้าม วิชาก็เสื่อมลงเป็นครั้งเป็นคราวในเมื่อเขาขอขมาและยกเครื่องสักการะบูชาขึ้นมาใหม่ วิชาก็กลับมามีประสิทธิภาพได้อีก ทีนี้เรื่องสัมมาสมาธิและมิจฉาสมาธิ เกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนานั้น เราถือเอากิเลสของเราเป็นเกณฑ์ ทีนี้เรามีขอบเขตที่จะใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์ อิทธิฤทธิ์ซึ่งเกิดจากสมาธิถ้าเราจะใช้อะไรให้เกิดประโยชน์ เราเอาศีล ๕ ข้อเป็นเครื่องวัด ถ้าการใช้พลังจิตในทางที่ไม่ชอบธรรม เช่น อย่างพระทำสมาธิเก่งแล้ว ใช้พลังจิตไปบังคับจิตของพวกเศรษฐีให้เอาเงินมาให้สร้างวัด อันนี้เป็นมิจฉาสมาธิ สิ่งใดที่เราใช้อำนาจทางใดทางหนึ่งไปกดขี่ข่มเหงน้ำใจคนซึ่งเขาไม่เกิดศรัทธาโดยเหตุผล เป็นเรื่องการใช้สมาธิในทางที่ผิดเป็นมิจฉาสมาธิทั้งนั้น สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้ามีแต่มุ่งตรงต่อการฝึกฝนอบรมจิตใจให้เกิดความรู้ตามสายแห่งวิชาการในแง่ความรู้ยิ่งเห็นจริง เพื่อมุ่งตรงต่อความปฏิบัติชอบ เพื่อกำจัดกิเลส เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานเท่านั้นส่วนอื่น ๆ นั้นเป็นผลพลอยได้ วันหนึ่งอยู่ที่วัดมีเรื่องขำขัน มีโยมคนหนึ่งไปถามว่า อ่านประวัติหลวงพ่อแล้วว่าหลวงพ่อหัดภาวนามาตั้งแต่อายุ ๑๕ - ๑๖ ปี ภาวนามานานแล้วหลวงพ่อแสดงฤทธิ์ได้ไหม หลวงพ่อก็บอกว่าแสดงได้ เอ้าถ้าแสดงได้ลองแสดงฤทธิ์ให้ดูซิ ก็แสดงแล้วไง ไหน……ไม่เห็นได้แสดง อาคารหลังนี้เกิดขึ้นมาด้วยบุญฤทธิ์ หลวงพ่อแสดงบุญฤทธิ์ เพราะหลวงพ่อมีคุณงามความดีเป็นที่เลื่อมใสของปวงชน เขาจึงมาสร้างกุฎิให้อยู่ อันนี้เรียกว่าบุญฤทธิ์ ฤทธิ์ตามความหมายของคุณเช่น ดำดินบินบนเหาะเหินเดินอากาศ มันจะเกิดประโยชน์อะไรสำหรับคุณ พระเทวทัตเก่งแสนเก่ง เข้าฌานแล้วอธิษฐานฤทธิ์ เอาเขาพระสุเมรุติดใต้ฝ่าพระบาท เหาะไปขู่พระเจ้าอชาตศัตรูให้ยอมจำนน จนกระทั่งปลงพระชนม์พระราชบิดาจนสิ้นพระชนม์ ผลลัพธ์ก็คือว่าลงนรก เทวทัตผู้เป็นอาจารย์ก็ถูกธรณีสูบที่ซึ่งธรณีสูบพระเทวทัต หลวงพ่อยังได้ไปดูเลย ทีนี้สิ่งอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นในวัดนี้ทั้งหมดก็เกิดขึ้นด้วยบุญฤทธิ์ อย่างคุณถ้าสามารถที่จะสร้างบ้านสร้างช่องอยู่ได้เอง โดยลำพังตัวเองนั่นแหละฤทธิ์ของคุณ คุณแสดงฤทธิ์ได้แล้ว ไม่เฉพาะแต่หลวงพ่อ คุณก็แสดงฤทธิ์ได้ บางสิ่งบางอย่างคุณแสดงได้เก่งกว่าอาตมาเสียอีก คุณแสดงฤทธิ์สร้างคนก็ได้ อาตมาสร้างคนไม่เป็น……. หัวข้อ: Re: หลวงพ่อพุธตอบปัญหาธรรมะ เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 17 ธันวาคม 2552 10:51:19 คำถาม : ขณะที่เราพิจารณากายคตาสติ เราพิจารณาถึงตัวเองก่อน พอพิจารณาเพ่ง ๆ ไป เราจะเป็นตัวของเรานั้นไม่มี เป็นของว่างเปล่า เมื่อพิจารณาตัวเราเองเสร็จแล้วเราพิจารณาคนอื่น เราก็จะเห็นในลักษณะเดียวกัน หรือเห็นแต่เพียงฆนะ ความเป็นก้อนที่รวมกันอยู่เท่านั้น แท้จริงแล้วเขาไม่มีอะไรเลย เป็นของว่างเปล่าเมื่อเราพิจารณาเห็นอย่างนี้เป็นประจำต่อไป ควรปฏิบัติอย่างไรครับ หลวงพ่อพุธตอบ : ต่อไปก็ควรปฏิบัติอย่างนี้เป็นประจำ ใครคล่องตัวต่อการพิจารณาในเรื่องอันใด ให้ยึดเอาอันนั้นแหละพิจารณาซ้ำ ๆ อยู่นั่นแหละ แม้จะเป็นเรื่องเดียวตลอดชีวิตก็ตาม วันนี้เราอาจจะพิจารณารู้เพียงแค่ว่าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของคนอื่นก็ดี เป็นเพียงฆนะ เป็นเพียงก้อนอันหนึ่ง แท้ที่จริงก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เราพิจารณาในเรื่องนี้ซ้ำ ๆ บ่อย ๆ เข้า ความรู้ของเราจะเกิดขึ้นใน ๒ ลักษณะ ลักษณะอย่างหนึ่ง กำหนดรู้เพียงแค่ว่า ร่างกายเป็นแต่เพียงฆนะ เป็นแค่ก้อน รู้ชัดแจ้งเห็นจริง เป็นความรู้ขั้นสมถกรรมฐาน และอาศัยการพิจารณาอย่างเดียวนั้นแหละ เมื่อจิตปฏิวัติไปสู่ความรู้ เกิดอนิจจสัญญา ความสำคัญ มั่นหมายว่าไม่เที่ยง แต่อาศัยอารมณ์อันเดียวนั้นแหละเป็นพื้นฐานให้เกิดความรู้เช่นนั้น จิตของเรา ก็ก้าวขึ้นสู่ภูมิแห่งวิปัสสนาอย่าไปเข้าใจว่าเราพิจารณาอันนี้จนคล่องตัว ชำนิชำนาญจนรู้จริงเห็นจริงแล้ว เราทิ้งเอาไว้ไม่ต้องนึกถึงมันอีกล่ะ เราหมดธุระหน้าที่ที่จะค้นคว้าพิจารณาเพราะเรารู้จริงเห็นจริงอย่าไป เข้าใจผิดอย่างนั้น ถ้ายิ่งรู้จริงเห็นจริงเท่าไรยิ่งเอามายกเป็นเรื่องพิจารณาให้มันคล่องตัว ความเปลี่ยนแปลง ของจิตนั้นอยู่ตรงที่ว่าเรามีสติสัมปชัญญะดีขึ้น แล้วมีการปล่อยวางกิเลสอารมณ์ได้ดีขึ้น ส่วนความเป็น ของจิตนั้นใครจะภาวนาถึงระดับใดก็ตาม จิตก็ย่อมเดินอยู่ในระดับของวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา แม้แต่ภูมิของสามัญชนที่ยังไม่ได้บรรลุมรรคผลอันใดก็ตาม ก็เดินอยู่ในขั้นของวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา เหมือนกัน แล้วเราจะเอาวิตกถึงเรื่องอะไรมาเป็นคู่ของใจก็ได้ ถ้าพิจารณาเรื่องนั้นทำให้เรา รู้จริงเป็นจริงตามที่เราต้องการรู้ แล้วจิตของเราสามารถปล่อยวางกิเลสและอารมณ์ได้มาก เราถือว่า เป็นผลงานของเรา แล้วก็ยึดเอาอันนั้นแหละพิจารณาเรื่อยไป เราอาจจะอาศัยอารมณ์อย่างเดียวนี้ ทำให้จิตของเราบรรลุโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ได้. หัวข้อ: Re: หลวงพ่อพุธตอบปัญหาธรรมะ เริ่มหัวข้อโดย: PETER ที่ 18 ธันวาคม 2552 14:18:51 รู้ธรรม ดี
มีธรรม ดีมาก วางธรรม ดีที่สุด หัวข้อ: Re: หลวงพ่อพุธตอบปัญหาธรรมะ เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 21 ธันวาคม 2552 02:52:21 Monday, 21 September 2009 02:51
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม (1) โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย คำถาม : วิปัสสนูปกิเลสคืออะไร? มีอะไรบ้าง? หลวงพ่อพุธตอบ : วิปัสสนูปกิเลสคือสิ่งที่มันเกิดขึ้นมาแล้วเราไปหลงยึดถือ เช่น อย่างพวกที่ภาวนาแล้วเห็นนิมิต รูปภาพต่างๆ แล้วก็ไปยึดว่าสิ่งนั้น เป็นของวิเศษ เกิดความรู้ความเห็นอะไรขึ้นมาแล้ว ก็ไปยึดสิ่งที่รู้ที่เห็น นั้นเป็นเรื่องสำคัญไปกำหนดหมายเอาว่าจิตต้องอยู่ในณานขั้นนั้น ต้องได้ณานขั้นนี้อะไรทำนองนี้ ถ้าหากว่าเราทำไม่ได้มันก็จะทำให้ เกิดท้อถอย สิ่งใดที่เกิดเป็นผลงานขึ้นมาแล้วเราไปยึดสิ่งนั้น จนเหนียวแน่นแล้วก็ติดกับสิ่งนั้นด้วย สิ่งนั้นคือวิปัสสนูปกิเลส แต่ในแบบฉบับท่านว่าอุปกิเลส ๑๖ ประการ ขอให้คำจำกัด ความหมายสั้นๆ ว่า จิตของเรารู้เห็นสิ่งใดขึ้นมาแล้วยึดสิ่งนั้น อย่างเหนียวแน่น ถือว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีวิเศษถ้าไม่รู้อย่างนั้น เป็นอันว่าเป็นความรู้ที่ไม่ถูกทางอะไรทำนองนี้ แล้วก็ยึดสิ่งที่ มันเกิดขึ้นเป็นวิปัสสนูปกิเลสทั้งนั้น ถ้าไปยึดว่าเราต้องนั่งสมาธิ ให้ได้ ๔-๕ ชั่วโมง. ให้ได้มากๆ ถ้าไม่ได้อย่างนั้นเป็นอันว่า ปฏิบัติไม่ได้ผล หรือเกิดความรู้ความเห็นอะไรขึ้นมาแล้ว ยึดติดสิ่งนั้นๆ เป็นวิปัสสนูปกิเลสรักษาศีลติดศีลก็เป็นวิปัสนูปกิเลส ทำสมาธิเกิดติดสมาธิก็เป็นวิปัสนูปกิเลส เกิดปัญญาความรู้อะไรต่างๆ ขึ้นมาแล้วไปหลงปัญญาความรู้ของตนเอง ขาดวิชชาสติปัญญา ความรู้เท่าเอาทันเป็นวิปัสนูปกิเลสทั้งนั้น หัวข้อ: Re: หลวงพ่อพุธตอบปัญหาธรรมะ เริ่มหัวข้อโดย: หมีงงในพงหญ้า ที่ 21 ธันวาคม 2552 05:04:46 สาธุ
ขอให้พระพุทธศาสนา จีรังยั่งยืนสืบไป หัวข้อ: Re: หลวงพ่อพุธตอบปัญหาธรรมะ เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 25 ธันวาคม 2552 20:30:58 ถาม นิพพานเป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตา? ตอบ นิพพานเป็นธรรมใช่มั๊ย นิพพานเป็นธรรม “สัพเพ ธัมมา อะนัตตา” ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา พระนิพพานก็ต้องเป็นอนัตตา เพราะผู้ที่บรรลุพระนิพพานแล้ว ไม่มีอัตตาตัวตน ไม่มีสมมติบัญญัติ เป็นสภาวจิตที่อยู่เหนือสมมติบัญญัติ เหนือกิเลส เพราะฉะนั้น พระนิพพาน จึงเป็นอนัตตา หัวข้อ: Re: หลวงพ่อพุธตอบปัญหาธรรมะ เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 25 ธันวาคม 2552 20:35:12 ถาม พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จะดูได้จากอะไร? ตอบ อันนี้ธุระไม่ใช่ ไม่ควรไปดูคนอื่น ควรจะดูเราเองว่า เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือไม่ ถ้าหากว่าเราเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทุกคนก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปหมด เพราะว่าอันนั้นมันเป็นเรื่องส่วนตัว เราจะดูแต่ภายนอกไม่ได้ มันดูยากว่าใครปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สมัยทุกวันนี้เขาเล่นลิเกเก่ง เพราะฉะนั้นมันเป็นสิ่งที่ดูยาก ถ้าหากเรา จะปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบจริงๆ เราก็ตั้งใจว่าเราจะปฏิบัติตัวของเราให้ดี เราไม่ควรไปกลัวคนอื่นจะลงนรก เราควรกลัวเราลงนรกมากกว่า สำหรับสหธรรมิกที่อยู่ด้วยกัน เราก็รู้ได้ด้วยการประพฤติปฏิบัติ ถ้ามองเห็นว่าข้อปฏิบัติข้างนอกนี่มันดีงามสมกับสมณสารูป เราก็รู้ทันทีว่าผู้นั้นเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ “สังวาเสนะ สีลัง เวทิตัพพัง” ศีลเราจะรู้ได้ว่าใครบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เพราะการอยู่ร่วมกัน เราอยากจะรู้ได้เราก็อยู่ร่วมกันนานๆ ดูความประพฤติปฏิบัติของกันและกันไป ดังนั้นสำหรับพระภิกษุสงฆ์ ในเมื่อไปสู่สำนักของพระเถระท่านใดท่านหนึ่ง ซึ่งท่านเป็นหัวหน้า ท่านให้ดูอยู่ ๓ วัน ถ้าแน่ใจว่าจะเป็นครูบาอาจารย์ ของเราได้ ให้ขอนิสัยถ้าหากเราไม่แน่ใจสมัครใจจะอยู่ที่นั่น ก็ดูต่อไปอีก ถ้าไม่เห็นความดีความชอบของท่าน เราไม่สมัครใจก็ลาท่านหนีไปเสีย ถ้าขืนอยู่ต่อไปเป็นอาบัติทุกกฎ หัวข้อ: Re: หลวงพ่อพุธตอบปัญหาธรรมะ เริ่มหัวข้อโดย: ไอย ที่ 25 ธันวาคม 2552 20:40:30 ถาม ที่ว่า “นิพพานัง ปะระมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งนั้น ถามว่า นิพพานยังมีสุขอีกหรือ? ตอบ คำว่า “นิพพานัง ปะระมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง คือมันยิ่งกว่าสุขธรรมดา ยิ่งกว่าสุขจนไม่รู้สึก ว่ามีสุข มีทุกข์ แต่โวหารสมมติว่า พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ถ้าใครมาเทศน์ว่า “พระนิพพานมันไม่มีความสุขหรอกมีแต่ความเฉยๆ” คนมันก็จะขี้เกียจปฏิบัติเฉยๆนี่จะเอาไปทำไม? นั่งมันอยู่ซื่อๆ มันก็ได้ซิ ! ที่ว่านิพพานสุขนั่นเป็นการจูงใจ สุขอันเป็นบรมสุข สุขอันเป็นปรมัตถสุข เป็นสุขที่เหนือสมมติบัญญัติ เป็นสุขที่อยู่เหนือสุขอย่างสามัญธรรมดา ที่ว่าสุขก็เพราะว่าไม่มาเกิดอีกนั่นเป็นข้อสำคัญ |