ยอดหญิงงามแห่งราชวงศ์ถังโดย : ลุงดำ ทีมงาน นิตยสาร ต่วย'ตูน มัจฉาจมวารี
ปักษีตกนภา
จันทร์หลบโฉมสุดา
มวลผกาละอายนาง คือโคลงที่อาจารย์ถาวร สิกขโกศล แต่งขึ้นจากโคลงภาษาจีนที่ใช้ยกย่องสี่ยอดพธูในอดีตของจีน หญิงงามทั้งสี่
ประกอบด้วย
- ไซซี หรือ ซี ซือ ตามสำเนียงจีนกลาง (西施)
- หวังเจาจวิน (王昭君)
- เตียวเสี้ยน หรือ เตียวฉาน (貂蟬) และ
- หยางกุ้ยเฟย (楊貴妃)
ไซซีนั้นได้รับฉายาว่า “มัจฉาจมวารี” ซึ่งหมายความว่า ความงามของนางนั้นทำให้ฝูงปลายังต้องจมลงสู่ใต้น้ำ
ไซซีนั้นมีชีวิตอยู่ในสมัยเลียดก๊ก (ราวสองร้อยกว่าปีก่อนคริสตกาล) เป็นหญิงงามจากรัฐเย่วที่ถูกส่งตัวไปให้กับอ๋องแห่งรัฐอู๋เนื่องจากแพ้สงคราม
มัจฉาจมวารี - ไซซีหวังเจาจวินได้รับฉายาว่า “ปักษีตกนภา” ซึ่งก็คงบอกว่า แม้แต่นกก็หลงมองความงามของนางจนลืมบินและตกจากฟ้า
มีชีวิตอยู่ในราชวงศ์ฮั่น (ราว 200 ปี ก่อนคริสตกาล-ค.ศ.8) สมัยฮ่องเต้ ฮั่นหยวนตี้ นางถูกส่งตัวไปให้หูฮันเซีย
ผู้นำเผ่าซง–หนูเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่า นางถูกคัดเลือกตัวจากภาพวาด
ซึ่งต่อมาเมื่อฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นตัวจริงของนางก็ถึงกับอยากเปลี่ยนให้คนอื่นไปแทน
แต่ในที่สุดนางก็ต้องไปและอยู่ที่นั่นไปตลอดชีวิต
คนต่อมาคือผู้ที่มีฉายาว่า “จันทร์หลบโฉมสุดา” นางคือ
เตียวเสี้ยน หญิงงามยุคสามก๊กนั่นเอง (ค.ศ.220- 280) ใครที่สนใจและอ่านสามก๊กมาและพอจำได้
นางคือผู้หญิงที่ทำให้ตั๋งโต๊ะและลิโป้ต้องแตกคอและตั๋งโต๊ะถูกลิโป้ฆ่าในที่สุด
กวีจีนโบราณเปรียบความงามของนางไว้ว่า สวยกว่าดวงจันทร์ในคืนที่สวยที่สุด
คนสุดท้ายคือ
หยางกุ้ยเฟยผู้ที่งามล้ำเลิศกว่ามวลบุปผชาติทั้งปวง มีชีวิตอยู่ในราชวงศ์ถัง
สมัยฮ่องเต้ถังเสวียนจง แม้ในช่วงหนึ่งของชีวิตจะได้เป็นถึงสนมเอกของฮ่องเต้ก็ตาม แต่ในบั้นปลาย
ชีวิตของ หยางกุ้ยเฟยกลับประสบกับชะตากรรมที่ไม่ดีเลย นางกลายเป็นที่เกลียดชังและเป็นแพะรับบาป
เพื่อสังเวยให้กับความวุ่นวายในบ้านเมือง ซึ่งเรื่องราวของนางนั้นน่าสนใจไม่น้อย เพราะในบรรดายอดพธู
แห่งแผ่นดินจีนทั้งสี่นั้น ดูเหมือนว่าแม่นางหยางจะเป็นผู้ที่ตกที่นั่งลำบากที่สุด
ปักษีตกนภา - หวังเจาจวินหยางอวี้หวน (楊玉環) คือชื่อจริงของนาง คำว่า “อวี้หวน” มีความหมายว่า “ตุ้มหูหยก”
ส่วนที่เรียกกันจนเป็นปกติว่า หยางกุ้ยเฟย นั้น คำว่ากุ้ยเฟยหมายถึงเป็นสนมเอกของฮ่องเต้
เกิดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ.719 ที่เมืองหย่งเล่อเป็นธิดาของหยางหยวนเหยียน
ก่อนที่นางจะเกิดนั้น มารดาของนางฝันเห็นสายรุ้งพาดจากฟากฟ้าลงมาที่เตียงนอนของเธอ
สายรุ้งนั้นทอแสงระยิบระยับงดงามมาก แต่เพียงชั่วครู่เดียวสายรุ้งก็หายวับไปแล้วเกิดเป็นดาวตก
พุ่งตกลงมาสู่พื้นพร้อมกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
หยางอวี้หวนเมื่อเติบใหญ่ขึ้นก็เป็นหญิงที่มีรูปโฉมงดงามหาใครมาเทียบไม่ได้
ผิวพรรณของเธอไม่เพียงแต่ผุดผ่องชวนมองยิ่งนัก ยังมีกลิ่นหอมจนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งตำบล
นอกจากนั้นนางยังมีความสามารถทางดนตรี ขับร้องและฟ้อนรำ ทำให้ชื่อเสียงของนางนั้นขจรขจายออกไปยิ่งขึ้น
จนกระทั่งเมื่อปีที่ 25 ของรัชสมัยฮ่องเต้ ถังเสวียนจง (唐玄宗) พระองค์ทรงดำริที่จะหาพระชายาให้พระโอรสองค์ที่ 18
คือโซ่วอ๋อง (寿王) ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของอวี้หวนทราบข่าวจึงบอกกับพ่อแม่ของนางเพื่อนำนางเข้าไปถวาย
กาลต่อมา
อู่กุ้ยเฟย พระสนมคนโปรดของฮ่องเต้ถังเสวียนจง ได้เสียชีวิตลง ขันทีเกาลี่ซื่อคนรับใช้ใกล้ชิด
ของพระองค์จึงทูลเสนอว่ามีหญิงงามที่สุดคนหนึ่งที่คู่ควรกับพระองค์ หญิงนางนั้นคือหยางอวี้หวน พระชายา
ของโซ่วอ๋องนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าฮ่องเต้ย่อมต้องการจะยลโฉมของนางผู้งามกว่าหญิงใดๆ ในปฐพี ขันทีเกาลี่
จึงหาทางให้พระองค์ได้เห็นนางและก็เป็นไปตามคาด เพียงแรกเห็นฮ่องเต้ก็เกิดอาการลุ่มหลงหยางอวี้หวนทันที
แต่ในเวลานั้นนางเป็นพระชายาของโซ่วอ๋องไปแล้ว ขันทีคนเดิมจึงคิดอุบายที่จะทำให้นางหลุดออกมาจากวัง
ของโซ่วอ๋องก่อน โดยแนะฮ่องเต้มีบัญชาให้นางบวชเป็นนักพรตแล้วหาชายาใหม่ให้โซ่วอ๋องแทน
อวี้หวนเมื่อบวชเป็นนักพรตหญิงได้ฉายาว่า ไท่เจิน ต่อมาในปี ค.ศ.745 ทางสำนักราชวังจึงสั่งให้นางสึก
แล้วเข้าไปถวายตัวต่อฮ่องเต้ในวัง ได้รับตำแหน่งเป็น กุ้ยเฟย หรือสนมเอกนั่นเอง
ปีนั้นฮ่องเต้มีพระชนมายุ 61 พรรษา ขณะที่หยางกุ้ยเฟยมีอายุเพียง 27 ปี
ฮ่องเต้ทรงลุ่มหลงความงามของหยางกุ้ยเฟยเมื่อเป็นสนมเอกที่ฮ่องเต้โปรดปราน บรรดาญาติพี่น้องก็ได้รับอานิสงส์ไปด้วย คือ ทั้งพ่อ พี่น้อง รวมทั้งเครือญาติ
ของนางทั้งหมดได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ที่เป็นชายก็ได้เป็นขุนนาง ที่เป็นหญิงก็ได้เข้าวังเป็นฮูหยิน
หรือนางสนมของอ๋องต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย ประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่าขุนนางใหญ่น้อยจำนวนมาก
จะคอยเฝ้าพะเน้าพะนอเอาใจนาง เช่น ยามที่นางจะนั่งรถม้า ขุนนางที่มีตำแหน่งใหญ่ๆ จะขออาสาไปบังคับรถม้า
ให้ด้วยตัวเอง นางมีช่างถักทอและปักผ้าสำหรับตนเองถึงเจ็ดร้อยคน ผู้คนจำนวนมากต่างหาของกำนัลต่างๆ มามอบให้
เนื่องจากมีตัวอย่างจากขุนนางหลายคนที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง จากการที่มอบของกำนัลให้เธอ เมื่อเป็นเช่นนั้น
ขุนนางทั้งหลายก็ทำตามเพราะหวังที่จะได้รับผลตอบแทนเช่นเดียวกัน
ส่วนฮ่องเต้ถังเสวียนจงเมื่อได้นางไปเป็นสนมก็ลุ่มหลงจนละเลยไม่สนใจงานบ้านงานเมือง
หยางกั๋วจง พี่ชาย(ลูกพี่ลูกน้อง) ของนาง
ซึ่งเป็นใหญ่ขึ้นมามีอำนาจใหญ่โต ควบตำแหน่งสำคัญๆไว้กับตนเองหลายตำแหน่ง แต่เป็นคนนิสัยไม่ดีและติดการพนัน
จึงใช้อำนาจไปในทางที่ผิดรับเงินเพื่อแลกกับตำแหน่ง ทำให้ระบบการปกครองเสียหายและบ้านเมืองวุ่นวายอย่างยิ่ง
สาเหตุนั้นทำให้เกิดกบฏขึ้นนำโดยขุนนางชื่อ อาน–ลู่ซาน ที่ไปนำทหารจากชายแดนและจากทิเบตเข้าไปยึดเมืองหลวง
คือ นครฉางอานได้อย่างง่ายดายในปี ค.ศ.756
จันทร์หลบโฉมสุดา เตียวเสี้ยนครั้งนั้นฮ่องเต้ถังเสวียนจงต้องลี้ภัยไปทางใต้ของเสฉวน โดยมีหยางกุ้ยเฟยและหยางกั๋วจงตามเสด็จไปด้วย
ระหว่างเสด็จลี้ภัยนั้นบรรดาขุนนางที่ตามเสด็จได้ให้ทหารจับหยางกั๋วจงแล้วฆ่าตาย แล้วทูลต่อฮ่องเต้ว่า
หยางกั๋วจงเป็นขุนนางกังฉินผู้ทำให้เกิดกบฏอานลู่ซานขึ้น แต่หยางกั๋วจงนั้นเป็นใหญ่ขึ้นมาได้ก็เนื่องจาก
ฮ่องเต้ได้สนมอย่างหยางกุ้ยเฟยนั่นเอง หากนางยังอยู่ย่อมก่อให้เกิดข้อครหาและปัญหาตามมาได้อีก
จึงขอให้ฮ่องเต้สั่งประหารนางด้วย ฮ่องเต้ทรงโทมนัสอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจขัดต่อข้อเสนอของเหล่าขุนนางได้
จึงสั่งให้ขันทีนำผ้าแพรขาวไปให้หยางกุ้ยเฟย เพื่อให้นางแขวนคอตาย (บางแห่งบอกว่านางถูกรัดคอจนตาย)
ซึ่งศพของนางก็ถูกฝังอยู่ในบริเวณนั้น หยางกุ้ยเฟยจบชีวิตลงเมื่ออายุเพียง 38 ปีเท่านั้น
มวลผกาละอายนาง หยางกุ้ยเฟยปัจจุบันจุดที่ฝังศพนั้นอยู่ในเขตอำเภอหม่าเหวย และได้รับการบูรณะขึ้นมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่หนึ่ง
ของมณฑลเสฉวน โดยมีรูปสลักหินขนาดใหญ่ของนางตั้งอยู่ด้วย แต่ที่น่าประหลาดคือ เมื่อปี 2002 มีดาราสาวชาวญี่ปุ่น
ชื่อ ยามากูชิ ได้ออกมาประกาศต่อชาวโลกว่า เธอสืบเชื้อสายมาจากยอดหญิงงามหยางกุ้ยเฟย ทั้งนี้ก็เพราะครั้งที่ถูกบังคับ
ให้ฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอนั้น หยางกุ้ยเฟย หาได้ตายจริงไม่ แต่มีหญิงรับใช้ คนหนึ่งของนางยอมพลีชีพแทน
ส่วนตัวนางเอง ได้หลบหนีข้ามน้ำข้ามทะเลไปอยู่ที่เกาะญี่ปุ่น ก็ยังไม่มีใครไปพิสูจน์ว่าเรื่องนั้นจริงหรือไม่
นางพญาผมขาว สาวงามที่มีชะตาอาภัพหยางกุ้ยเฟยนั้นเสียชีวิตไปพันกว่าปีแล้ว โดยที่ต้องยอมฆ่าตัวตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่สามารถแก้ตัว
เรื่องที่ถูกโยงเข้าไปว่าเป็นต้นเหตุของการยึดบัลลังก์ของอานลู่ซานและพวกได้ ต่างจากสตรีอีกนางหนึ่ง
ในภาพยนตร์จีนกำลังภายในระดับตำนาน ซึ่งกำลังเข้าโรงฉายอยู่ตอนนี้ กับเรื่องราวยุคราชวงศ์หมิง
ที่เกิดการฉ้อฉลทั่วทั้งแผ่นดิน โจรสาว “อสุรีหยก” จึงต่อสู้กับทหารที่กดขี่ชาวบ้านเลยถูกทางการใส่ความ
ว่าเป็นผู้ฆ่าผู้ว่าการรัฐจัวจงเลี่ยน ในขณะเดียวกัน จัวอี้หัง ว่าที่เจ้าสำนักบู๊ตึ๊งคนต่อไปก็ถูกทหารตามล่า
ด้วยข้อหาวางยาพิษปลงพระชนม์ฮ่องเต้ เมื่อคนที่ถูกปรักปรำทั้งคู่ได้พบกันต่างก็ตกหลุมรักกันแต่ชะตากรรม
กลับกระหน่ำซ้ำเติมทั้งคู่อย่างสุดแสนสาหัส จนเส้นผมดำสนิทของอสุรีหยกเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนเพียงชั่วเวลา
แค่ข้ามคืน ชะตากรรมนั้นจะโหดร้ายรุนแรงสักเพียงไหน ต้องไปชมกันเองในภาพยนตร์เรื่อง “นางพญาผมขาว”
เรื่องราวของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ผู้ซึ่งไม่ยอมพ่ายแพ้ต่อโชคชะตา.