งานวิจัยพบการแปลงวรรณกรรมเป็นดิจิทัล กระตุ้นยอดขายหนังสือเล่มเพิ่มขึ้น
<span class="submitted-by">Submitted on Tue, 2024-02-20 17:28</span><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>งานวิจัยพบการแปลงวรรณกรรมเป็นดิจิทัล สามารถเพิ่มยอดขายหนังสือเล่มถึง 8% เพราะการเข้าถึงทางออนไลน์ได้ช่วยกระตุ้นความต้องการหนังสือเล่มของผู้อ่าน ยิ่งไปกว่านั้น ยอดขายหนังสือเล่มที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมยังเพิ่มขึ้นมากขึ้นด้วย ซึ่งอาจส่งผลดีต่อร้านหนังสือขนาดเล็กทั่วโลก</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53536915925_923c05d1e5_o_d.jpg" />
<span style="color:#f39c12;">ภาพประกอบสร้างจากเทคโนโลยี AI ของ Image Creator from Microsoft Designer</span></p>
<p>แม้อุปกรณ์อ่านอีบุ๊กสมัยใหม่จะมีความสามารถในการบรรจุนวนิยายนับพันเล่มไว้ในอุ้งมือเดียว แต่ก็ไม่มีอะไรเทียบเท่ากับการได้สัมผัสและลูบไล้หนังสือเล่มจริงขณะพลิกหน้าอย่างตื่นเต้น ในขณะที่สำนักพิมพ์หลายแห่งกังวลเกี่ยวกับการแปลงวรรณกรรมเป็นดิจิทัลในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) ชี้ว่าการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเผยแพร่งานวรรณกรรมทางดิจิทัลอาจส่งผลดีต่อร้านหนังสือขนาดเล็กทั่วโลก</p>
<p>ทีมวิจัยพบว่าการแปลงงานวรรณกรรมเป็นดิจิทัลสามารถช่วยเพิ่มยอดขายหนังสือเล่มได้ถึง 8% เนื่องจากการเข้าถึงทางออนไลน์ได้ช่วยกระตุ้นความต้องการหนังสือเล่มของผู้อ่าน ยิ่งไปกว่านั้น ยอดขายของหนังสือเล่มที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมยังเพิ่มขึ้นมากขึ้นด้วย และยังส่งผลบวกไปยังผลงานที่ไม่ได้ผ่านการแปลงเป็นดิจิทัลของนักเขียนคนเดียวกันอีกด้วย</p>
<p>เมื่อเกือบ 2 ทศวรรษที่แล้ว โครงการ Google Books ได้แปลงวรรณกรรมมากกว่า 25 ล้านเล่มเป็นดิจิทัลและเผยแพร่ฟรี ในเวลานั้น บรรดาสำนักพิมพ์ต่างโกรธแค้นและฟ้องร้องตามกฎหมาย โดยอ้างว่าการเผยแพร่ดิจิทัลฟรีนั้นบั่นทอนตลาดหนังสือเล่ม</p>
<p>แต่งานวิจัยที่ดำเนินการโดยอิมเค รีมเมอร์ส (Imke Reimers) อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์และการจัดการ มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ และคณะ ได้ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นเพื่อวิเคราะห์และทำความเข้าใจผลกระทบของโครงการแปลงงานวรรณกรรมเป็นดิจิทัลขนาดใหญ่ของ Google นี้ต่อยอดขายหนังสือจริง</p>
<p>“คำถามหลักจากฝ่ายสำนักพิมพ์เสมอคือไม่พอใจที่ผู้คนนำผลงานที่มีลิขสิทธิ์ของพวกเขาไปเผยแพร่ฟรี” รีมเมอร์ส ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์อยู่ที่คอร์เนลล์ หลังจากเคยทำงานที่มหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทอร์น (Northeastern University) เป็นเวลานาน 9 ปี กล่าวในข่าวประชาสัมพันธ์ “สำหรับเรา มันไม่ชัดเจนว่าการแปลงเป็นดิจิทัลควรจะส่งผลเสียต่อยอดขาย” เธอกล่าวต่อ “เพราะมันสามารถนำไปสู่การรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ผ่านการแปลงเป็นดิจิทัลบางประเภทมากขึ้น”</p>
<p>โครงการ Google Books เริ่มต้นในปี 2005 และได้แปลงผลงานนับล้านเป็นดิจิทัล ไม่เพียงแค่นั้น ยังใช้เทคโนโลยีการรู้จำอักขระด้วยแสง (OCR) เพื่อให้ค้นหาเนื้อหาภายในได้ ผู้ใช้สามารถค้นหางานพิมพ์จำนวนมหาศาลและค้นพบหนังสือที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือธีมเฉพาะได้</p>
<p>"สมมติว่าคุณค้นหาคำว่า 'สังเคราะห์แสง' บน Google" รีมเมอร์ส กล่าวเสริม "คุณอาจพบข้อความตัดตอนมาจากหนังสือเล่มหนึ่ง แล้วคุณอาจต้องการซื้อมัน เพราะคุณเห็นมันบนหน้าเว็บและตัดสินใจว่าหนังสือเล่มนั้นมีประโยชน์"</p>
<p style="text-align: center;"><img alt="" src="
https://live.staticflickr.com/65535/53536524186_a35d77f749_o_d.jpg" />
<span style="color:#f39c12;">ภาพประกอบสร้างจากเทคโนโลยี AI ของ Image Creator from Microsoft Designer</span></p>
<p>ในการศึกษา นักวิจัยเลือกโฟกัสผลงานดิจิทัลเฉพาะส่วนของโปรเจค Google Books นั่นคือ ผลงานจากห้องสมุด Widener ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ซึ่งเป็นแหล่งชิ้นงานสำคัญในช่วงเริ่มต้นของโครงการ </p>
<p>สำหรับเหตุผลในการเลือกคือ กระบวนการแปลงเป็นดิจิทัลของห้องสมุด Widener ได้รวมเฉพาะผลงานหมดลิขสิทธิ์ที่ตีพิมพ์ก่อนปี 1923 และเผยแพร่ให้ผู้บริโภคทั้งเล่ม นอกจากนั้น ลำดับการดิจิทัลของหนังสือจากห้องสมุด Widener ถูกสุ่มเลือกตามที่ตั้งชั้นวาง ไม่ใช่ตามหัวเรื่อง </p>
<p>"สิ่งนี้ทำให้เราสามารถเปรียบเทียบสองช่วงเวลา - ยอดขายก่อนและหลังการแปลงเป็นดิจิทัล" รีมเมอร์ส อธิบาย</p>
<p>นักวิจัยประเมินหนังสือที่สแกนระหว่างปี 2005-2009 ทั้งหมด 37,743 เล่ม พวกเขาวิเคราะห์ยอดขายใน 2 ปีก่อนกับ 2 ปีหลังการแปลงเป็นดิจิทัล ผลลัพธ์แสดงความแตกต่างของยอดขายอย่างชัดเจน ระหว่างหนังสือที่แปลงเป็นดิจิทัลและไม่ได้แปลงเป็นดิจิทัล โดยพบว่าหนังสือที่แปลงเป็นดิจิทัลประมาณ 40% มียอดขายเพิ่มขึ้น เทียบกับหนังสือเล่มที่ไม่ได้แปลงเป็นดิจิทัล เล่มที่มียอดขายเพิ่มขึ้นนั้นมีไม่ถึง 20% เท่านั้น</p>
<p>“ทีแรกเราไม่ได้คาดหวังว่ายอดขายจะเพิ่มมากขนาดนี้” รีมเมอร์ส กล่าว “เราคาดหวังว่ามันจะเป็นผลดีต่อการใช้งาน เพราะถ้าหนังสือหาได้ง่ายในโลกออนไลน์ ผู้คนจะค้นพบและใช้งานมันมากขึ้น แต่ผลดีต่อยอดขายเป็นสิ่งที่เราไม่ได้คาดการณ์”</p>
<p>รีมเมอร์ส กล่าวเสริมว่า “นี่คือผลกระทบเชิงบวกจากการค้นพบ” ซึ่งยังส่งผลถึงหนังสือที่ไม่ได้แปลงเป็นดิจิทัลของนักเขียนคนเดียวกัน เมื่อผู้อ่านค้นหางานที่ดิจิทัล ดูเหมือนจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น</p>
<p>"แม้ยอดขายไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล" รีมเมอร์ส กล่าว "แต่ก็ยังเป็นข่าวดีสำหรับสำนักพิมพ์"</p>
<p>แต่สำหรับคนรักหนังสือเล่มอย่างจริงจังนั้น รีมเมอร์ส ยอมรับว่าหลายคนชื่นชอบหนังสือจริง มากกว่าเวอร์ชันดิจิทัล ซึ่งอาจส่งผลเช่นกัน</p>
<p>"เวลาฉันคุยกับผู้คนเกี่ยวกับงานวิจัยของฉันเกี่ยวกับหนังสือ" รีมเมอร์ส กล่าว "บางครั้งพวกเขาก็พูดว่า 'ฉันชอบสัมผัสหนังสือจริง'"</p>
<p>งานวิจัยชิ้นนี้เผยแพร่ในวารสาร
Economic Policy</p>
<p><strong>ที่มา:</strong>
Book stores rejoice: Digitizing literature can spur greater demand for paper copies (John Anderer, StudyFinds, 28 January 2024)</p>
<p> </p>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">ข่
https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์
https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
https://prachatai.com/journal/2024/02/108147