[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4 => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 19 ธันวาคม 2564 16:31:17



หัวข้อ: ตำนาน ระตะนะสุตตัง
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 19 ธันวาคม 2564 16:31:17
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/44797901643647_58758451_2155935334443692_4371.jpg)
ขอขอบคุณเว็บไซต์ "พลังจิต" (ที่มาภาพประกอบ)

ตำนานของ ระตะนะสุตตัง

ครั้งหนึ่ง ณ พระนครไพสาลี อันไพบูลย์ไปด้วยขัตติยะตระกูล มีพระยาลิจฉวีเป็นประธาน ได้บังเกิดทุพภิกขภัย ข้าวแพงฝนแล้ง พืชพันธุ์ธัญชาติปลูกเท่าไหร่ก็ตายหมด หมู่คนยากจนทั้งหลายพากันอดยากล้มตายลงเป็นอันมาก หมู่ญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ก็พากันเอาศพไปทิ้งไว้นอกพระนคร กลิ่นซากศพนั้นเหม็นตลอดไปทั่วพระนคร

กาลนั้น หมู่อมนุษย์ทั้งหลายก็เข้ามากินซากศพแล้วตรงเข้าไปสู่พระนคร เป็นเหตุให้ชนผู้คนในพระนครติดอหิวาตกโรคและโรคนานา จนผู้คนล้มตายลงเป็นอันมาก สืบเนื่องมาจากบ้านเมืองสกปรก ปฏิกูลไปด้วยเฬวรากซากศพ จากคนและสัตว์ ขณะนั้นกล่าวได้ว่า นครไพสาลี มีภัยเกิดขึ้น ๓ ประการ คือ

๑. ทุพภิกขภัย ข้าวแพง มนุษย์ล้มตายลงเพราะอดอาหาร
๒. อมนุษย์ภัยเบียดเบียน ตายด้วยภัยของอมนุษย์
๓. โรคภัย ผู้คนล้มตายด้วยโรคภัยต่างๆ มีอหิวาตกโรค เป็นต้น

ขณะนั้น ผู้คนในพระนคร ต่างได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้า จึงชวนกันเข้าไปเฝ้าสภากษัตริย์ลิจฉวี แล้วทูลว่า "แต่ก่อนแต่ไรมา ภัยอย่างนี้มิได้เคยมี เหตุไรจึงมาเกิดภัยเช่นนี้ หรือว่าจะมาจากเหตุราชะสภามิได้ตั้งอยู่ในธรรม หรือว่าผู้คนมหาชนทั้งหลายในไพสาลีนคร หมกมุ่นมัวเมาประมาทขาดสติ มิมีธรรมะ หรือว่ จะมาจากเหตุนักบวช สมณะ สงฆ์ มิได้ทรงศีลสิกขา จึงเป็นเหตุให้เกิดกาลกิณีแก่ปวงประชา"

ฝ่ายสภากษัตริย์ หมู่เจ้าลิจฉวีทั้งหลาย ก็มิอาจจับต้นชนปลายหรือจะรู้สาเหตุก็หาไม่ ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากันไปมา ได้แต่ทำตาลอกแลกแล้วส่ายหน้า จนมีท้าวพระยาลิจฉวีพระองค์หนึ่ง ลุกขึ้นตรัสว่า "เห็นทีภัยร้ายครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก มิอาจจะระงับได้ด้วยกำลังทหาร กำลังทรัพย์ หรือกำลังปัญญา คงต้องอาศัยกำลังของพระโพธิบวรแห่งองค์สมเด็จพระชินศรีศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาโปรด ชาวไพสาลีให้พ้นภัยพิบัติครั้งนี้คงจะได้" ในที่สุดประชุมราชสภา ต่างเห็นพ้องต้องกัน จึงมอบให้พระยาลิจฉวี ๒ พระองค์พร้อมไพร่พลนำเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้าพิมพิสาร ทูลขอให้พระองค์ทรงอนุญาตให้เชิญเสด็จองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามายังนครไพสาลี

กล่าวฝ่ายพระราชาพิมพิสาร เมื่อได้ทรงทราบถึงความทุกข์ร้อนของชาวนครไพสาลี และวัตถุประสงค์ของพระยาลิจฉวี จึงทรงอนุญาตชาวนครไพสาลีไปทูลอาราธนาองค์สมเด็จพระบรมศาสดาตามประสงค์

องค์พระผู้มีพระภาค พร้อมภิกษุบริษัทอีก ๕๐๐ รูป ได้เสด็จพระดำเนินไปสู่นครไพสารี ในเวลาที่เสด็จนั้น พระราชาลิจฉวี หมู่มุขมนตรี ชาวพระนคร องค์อินทรเทวะพรหมินทร์ทั้งหลาย ได้พากันเฝ้ารับเสด็จระหว่างทาง ด้วยการโปรยทราย ดอกไม้ของหอม พร้อมยกฉัตรกางกั้นแสงพระสุริยะฉาย จัดตั้งราชวัตรฉัตรธง จตุรงค์เสนาขุนทหารทั้งหลาย

ต่างพากันยืนแถวถวายพระเกียรตินานาประการ ในขณะเดินทาง ทรงหยุดพักระหว่างทางวิถี พระราชาและหมู่ชนต่างพากันจัดสรรสรรพผลาหารอันเลิศประเสริฐรส นำมาถวายแด่พระบรมศาสดาและหมู่สงฆ์

ครั้นเสด็จพระดำเนินมาถึงริมฝั่งคงคา พระยานาคราชผู้สถิตอยู่ในแม่น้ำคงคา ก็ขึ้นมาถวายเครื่องสักการะ แล้วเนรมิตวงกายให้เป็นเรือใหญ่ แล้วทูลอาราธนาองค์สมเด็จพระบรมศาสดาขึ้นประทับบนรัตนบัลลังก์ ที่เนรมิตถวายพร้อมภิกษุสงฆ์ทั้ง ๕๐๐ ส่วนหมู่มนุษย์พระยาลิจฉวีและชาวพระนคร ก็ให้ขึ้นเรือแพที่จัดเตรียมมา แล้วเรือนาคาก็บ่ายหน้าแล่นตรงไปยังนครไพสาลี สิ้นระยะทาง ๘ โยชน์ กินเวลา ๘ วัน ระหว่างทางองค์นาคราชและบริวารได้ถวายอภิบาลพระบรมศาสดาและหมู่สงฆ์มิให้สะดุ้งสะเทือนระหว่างทาง ไม่ว่าคลื่นจะซัด ลมจะพัด น้ำจะแรง เรือนาคราชนั้นก็บรรเทาผ่อนแรง บดบังลมแดดแรงเป็นอันดี ประดุจดังทางประทับอยู่บนยอดขุนเขาคีรีษี มิได้มีหวั่นไหวฉะนั้น
 
ครั้นเมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเสด็จพระดำเนินถึงเขตนครไพสาลี เมฆฝนก็ตั้งเค้า ลมทั้งหลายก็พัดหอบเอาเมฆมารวมไว้บนท้องฟ้าเหนือนครไพสาลี ครั้นสมเด็จพระชินศรีทรงย่างพระบาทเหยียบยืนบนแผ่นดินไพสาลี เม็ดฝนก็ตกลงมาในทันที องค์สมเด็จพระชินศรี เมื่อเสด็จประทับภายในพระนครไพสาลีเป็นอันดีแล้ว ฝนที่มิได้เคยตกมาเจ็ดปีก็พลูไหลรินจนท่วมภาคพื้นปฐพี กระแสน้ำได้พัดพาเอาซากอสุภและสิ่งปฏิกูลทั้งปวงไหลลงไปสู่แม่น้ำคงคาจนหมดสิ้น

ครั้นเม็ดฝนหยดสุดท้ายหมดสิ้น หมู่อมรนิกรเทพพรหมินทร์และอินทรราช ก็เข้าเฝ้ากราบเบื้องยุคลบาทพระผู้มีพระภาค ฝ่ายฝูงอมนุษย์ทั้งหลาย ครั้นเห็นหมู่มหาเทพได้เสด็จมาเข้าเฝ้าพระผู้พระภาคเจ้า ต่างตนต่างก็เกรงกลัวเดช กลัวจะเกิดอาเพศ จึงพากันหลีกลี้หนีไปเป็นอันมาก พระผู้มีพระภาคจึงทรงมีพุทธฎีกาตรัสเรียกพระอานนท์ว่า "ดูกรอานนท์ เธอจงเรียนมนต์รัตนสูตรนี้ แล้วจงถือเอาเครื่องพลีกรรมเที่ยวไปในระหว่างแห่งกำแพงทั้งสามชั้นของพระนคร แล้วจงสาธยายมนต์รัตนสูตรเวียนเป็นประทักษิณให้ครบ ๓ รอบ แล้วนำบาตรของเราตถาคตใส่น้ำที่สำเร็จด้วยมนต์รัตนสูตร สาดรดไปทั้งพระนคร อมนุษย์ทั้งหลายที่ยังมิได้หนี จักได้พากันหนีไปสิ้น ประชาชนผู้คนในพระนครจักได้ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน"

ครานั้น พระบรมสุคตเจ้าได้ทรงแสดง รัตนสูตร โปรดหมู่อมรนิกรพรหมินทร์ อินทราธิราชทั้งหลาย กาลเมื่อทรงแสดงธรรมจบสิ้น ความสิริสวัสดิ์พิพัฒน์มงคลก็บังเกิดแก่ชาวไพสาลีทั้งปวง อุปัททวภัยทั้งหลายก็ระงับสิ้น หมู่มนุษย์และเทพทั้งหลายมีประมาณแปดหมื่นสี่พันได้บังเกิดธรรมจักษุ ต่างพากันรู้ทั่วถึงธรรมนั้น ตามแต่อุปนิสัยวาสนาบารมีธรรมของตนที่สั่งสมมา เมื่อหมู่อมรเทพนิกร พรหมินทร์ อินทรา เสด็จกลับไปแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระกรุณาโปรดแสดงธรรมเทศนารัตนสูตร โปรดชาวพระนครไพสาลีอยู่อีก ๖ วัน รวมสิ้นเวลาที่พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ภายในพระนครไพสาลี สิ้นเวลา ๑๕ วัน จึงเสด็จ ระหว่างทางขณะเสด็จมาถึงริมแม่น้ำคงคา พญานาคาและเหล่าบริวารผู้เฝ้ารอคอยเสด็จกลับ ก็ได้เนรมิตกายให้เป็นเรือพระที่นั่งถวาย พร้อมภิกษุสงฆ์ทั้ง ๕๐๐ ระหว่างทางได้ทรงแสดงธรรม โปรดพญานาคและบริวาร จนเสด็จถึงกรุงราชคฤห์ หมู่ชนชาวพระนครราชคฤห์พร้อมพระราชาพิมพิสาร ต่างรอคอยถวายเครื่องสักการะต้อนรับ ยิ่งกว่าตอนเสด็จไป