หัวข้อ: ข้อดีของการไปบริจาคเลือด เริ่มหัวข้อโดย: wondermay ที่ 16 พฤศจิกายน 2555 02:28:46 เนื่องจากwondermay นอนไม่หลับ ........เปิดโทรทัศน์เจอข่าววันใหม่ ได้ยินข่าวว่า
สภากาชาดไทยออกมาขอร้องให้ประชาชนออกมาช่วยบริจาคเลือด เพราะปริมาณคงคลังถือว่าน้อยมากและยอดเฉลี่ยบริจาคต่อวันต่ำกว่าเกณฑ์ จึงเกิดความสนใจ และคิดว่าโตมาจนป่านนี้ก็น่าจะลองไปบริจาคดูซักทีเป็นไร ก่อนไปต้องหาข้อมูลเสียก่อนนนน!! (:???:)20 คำถามก่อนบริจาคเลือด (:???:) (http://202.8.79.144:8080/chaipattana//upload/news2/news200580.bmp) แม้ว่าการบริจาคเลือดจะทำให้ผู้บริจาครู้สึกติ อิ่มเอมใจที่ได้ทำกุศล เพราะได้แบ่งปันและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่ก็ใช่ว่าทุกๆ คนสามารถไปบริจาคเลือดได้ เพราะว่าการบริจาคเลือดนั้นคุณต้องเสียเลือดในร่างกายจำนวนไม่น้อย ซึ่งอาจส่งผลข้างเคียงต่อสุขภาพของคุณเองหลังบริจาคได้เหมือนกัน หรือในทางตรงกันข้ามหากว่า เลือดของคุณไม่สมบูรณ์และอาจมีเชื้อโรคก็อาจทำให้ผู้ที่ได้รับเลือดของคุณติดเชื้อที่อยู่ในเลือดของคุณตามไปด้วย แต่เมื่อมีความตั้งใจจะบริจาคแล้ว มีคำถาม 20 ข้อ ที่คุณต้องตอบตัวเองก่อนว่าสภาพร่างกายของคุณพร้อมแล้ว หรือเลือดของคุณพร้อมที่จะมอบเพื่อต่อชีวิตผู้อื่นได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ ดังนี้ 1. สุขภาพสมบูรณ์พร้อมที่จะบริจาคเลือด อายุระหว่าง 17-60 ปี 2. นอนหลับเพียงพอไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง 3. มีอาการท้องเสีย ท้องร่วงภายใน 7 วันก่อนบริจาคเลือดหรือไม่ เพราะผู้บริจาคจะอ่อนแอรับประทานไป ส่วนผู้รับเลือดอาจได้รับเชื้อที่มากับเลือดได้ด้วย 4. ใน 3 เดือนที่ผ่านมา มีอาการน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งอาจมีสาเหตุจากโรคเบาหวาน ธัยรอยด์เป็นพิษ เครียด วิตกกังวล ก็ไม่ควรบริจาคเลือด 5. ภายใน 3 วันก่อนบริจาคเลือด คุณรับประทานยาแอสไพริน ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาแก้ปวดข้อหรือไม่ เพราะอาจทำให้มีเกล็ดเลือดผิดปกติได้ เลือดแข็งตัวช้า บวมช้ำง่าย เลือดที่บริจาคไปก็จะไม่มีคุณภาพ 6. รับประทานยากแก้อักเสบภายใน 14 วัน หรือยาอื่นๆ หรือไม่ ซึ่งต้องระบุ ให้ทราบ เพราะผู้บริจาคเลือดที่ได้รับยาแก้อักเสบแสดงว่ามีการติดเชื้ออยู่ ซึ่งอาจแพร่เชื้อเข้าสู่กระแสเลือดของผู้รับเลือดและอาจทำให้แพ้ยาได้ 7. คุณเป็นโรคหอบหืด ลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง ไอเรื้อรัง วัณโรค โรคภูมิแพ้ หรือไม่เพราะการบริจาคเลือดทำให้ต้องสูญเสียเลือดอย่างรวดเร็ว อาจจะกระตุ้นให้มีการกำเริบได้ จึงไม่ควรบริจาคเลือด โรคผิวหนังบางชนิด โรคติดต่ออย่างวัณโรค ไอเรื้อรังก็ไม่ควรบริจาคเลือด 8. เคยเป็นหรือมีคนในครอบครัวเป็นโรคตับอักเสบ ผู้ที่เคยเป็นโรคตับอักเสบแล้วไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นชนิดใด หรือไม่แน่ใจว่าหายขาดไม่มีเชื้อแล้วหรือไม่ ก็ควรเลื่อนการบริจาคเลือดออกไปจนกว่าจะทราบว่าเลือดของคุณปลอดเชื้อแล้ว 9. เป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจ ไต ธัยรอยด์ มะเร็ง โรคโลหิตออกง่ายหยุดยาก เป็นต้น เพราะโรคเหล่านี้ล้วนมีผลต่อสุขภาพ ซึ่งต้องใช้ยารักษาควบคุมรักษาอย่างต่อเนื่อง และถ้าไม่ดูแลตนเองให้ดี อาจมีผลข้างเคียงของยาหรือมีโรคแทรกซ้อนที่ทำให้มีปัญหาสุขภาพได้ ควรพิจารณาดังนี้ - โรคความดันโลหิตสูงและเบาหวานอนุโลมให้บริจาคเลือดได้ ถ้าใช้ยาควบคุมได้ดีอย่างอย่างต่อเนื่องและต้องเป็นเพียงโรคใดโรคหนึ่งเท่านั้น - โรคหัวใจทุกชนิดต้องงดบริจาคเลือด - โรคไตชนิดเรื้อรังต้องงดบริจาคเลือด ถ้าเป็นชนิดอักเสบเฉียบพลัน และรักษาหายขาดภายใน 1 ปี สามารถบริจาคเลือดได้ - โรคธัยรอยด์ชนิดไม่เป็นพิษต้องรักษาหายแล้ว ถ้าเป็นชนิดเป็นพิษแม้รักษาหาย และหยุดยาแล้วก็ไม่ควรบริจาคเลือด - โรคมะเร็งทุกชนิดไม่ควรบริจาคเลือด รักษาหายแล้วก็ตาม เพราะไม่สามารถทราบสาเหตุและตำแหน่งการกระจานหรือแฝงตัวของโรค - โรคโลหิตออกง่าย-หยุดยาก เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ ควรงดบริจาคเลือด เพราะมีโอกาสเสียชีวิตเพราะเสียเลือดมากและเลือดหยุดยาก - โรคเรื้อรังอื่นๆ ควรงดบริจาคเลือด 10. ถอนฟันภายใน 3 วันที่ผ่านมา เหงือกอาจจะอักเสบและมีบาดแผลในช่องปาก เป็นทางนำเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือดได้ 11. คุณหรือคู่ของคุณมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศกับผู้อื่น ซึ่งมีโอกาสติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์สูง โรคบางชนิดมีระยะฟักตัวนาน อาจตรวจไม่พบเชื้อ เช่น HIV 12. ได้รับการผ่าตัดใหญ่ภายใน 6 เดือนหรือผ่าตัดเล็กภายใน 1 เดือน เนื่องจากการผ่าตัดใหญ่ทำให้มีการเสียเลือดมาก ร่างกายต้องใช้เวลาและสารอาหารในการซ่อมแซม ควรงดบริจาคชั่วคราว ส่วนผ่าตัดเล็กที่เสียเลือดไม่มาก ควรรอให้แผลหายก่อนค่อยบริจาคเลือด 13. เจาะหู สัก ลบรอยสัก ฝังเข็ม ในระยะ 1 ปี มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อโรคติดเชื้อที่มีการส่งต่อทางเลือดและน้ำเหลือง ซึ่งผู้ที่ได้รับเลือดอาจติดไปด้วย 14. เคยมีประวัติยาเสพติดหรือพ้นโทษในระยะ 3 ปี มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อโรคที่มีการส่งต่อทางเลือดและน้ำเหลือง 15. เคยเจ็บป่วยและได้รับเลือดจากผู้อื่นในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา ผู้ที่ได้รับเลือดคนอื่นจะมีการสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาในระบบโลหิต ถึงแม้จะมีการตรวจหากลุ่มเลือดหลักที่เข้ากันได้ แต่กลุ่มย่อยที่ไม่สามารถหาได้ตรงกันหมด ก็ยังคงเป็นปัญหาของผู้ได้รับเลือด 16. เคยฉีดวัคซีนในระยะ 14 วัน หรือฉีดเซรุ่มในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา การฉีดวัคซีนเป็นการกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันโรคในช่วง 14 วัน จึงควรให้ร่างกายได้ทำงานเต็มที่ การฉีดเซรุ่มต้องติดตามดูโรคนั้นๆ 1 ปี 17. เคยเข้าไปในพื้นที่ที่มีเชื้อมาเลเรียชุกชุมในระยะ 1 ปี หรือป่วยเป็นมาเลเรียในระยะ 3 ปี ถ้าไม่ได้รักษาให้หายขาด เชื้อสามารถแอบแฝงอยู่ในร่างกายโดยไม่ได้แสดงอาการรุนแรง 18. คุณผู้หญิงที่อยู่ในระหว่างรอบเดือน ไม่ควรให้ร่างกายมีการเสียเลือดซ้ำซ้อน ควรรอให้หมดประจำเดือนก่อน 19. คนที่คลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา จะมีการเสียเลือดมาก ร่างกายต้องการเวลาในการปรับตัวและสร้างเลือดขึ้นมาใหม่ ควรงดบริจาค 6 เดือน 20. อยู่ในระหว่างให้นมบุตรหรือตั้งครรภ์ น้ำนมผลิตขึ้นมาจากเลือด การเสียเลือดในการบริจาคจะทำให้น้ำนมลดน้อยลงหรือหมดไป พิจารณาจบ 20 ข้อนี้แล้ว สำหรับคุณที่ผ่านเกณฑ์ว่ามีเลือดมาตรฐานก็ยินดีด้วย แต่สำหรับคุณบางคนที่ยังไม่แน่ใจก็อย่าเสียใจที่ไม่ได้ทำกุศลยิ่งใหญ่นี้เลย เพราะยังมีอีกหลายทางให้คุณได้เผื่อแผ่บุญกุศลค่ะ ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today (http://p1.s1sf.com/ca/0/ud/184/924830/200252911-001.jpg) ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากสภากาชาดไทย สำหรับผู้จะไปบริจาคโลหิต คุณสมบัติผู้บริจาคโลหิต 1. มีน้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป 2. อายุระหว่าง 17 ปี ถึง 60 ปีบริบูรณ์ ( ถ้าเป็นผู้บริจาคครั้งแรกต้องอายุไม่เกิน 55 ปี) 3. มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ไม่อยู่ระหว่างไม่สบายหรือรับประทานยาใดๆ 4. ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ หรือติดยาเสพติด 5. สตรีไม่อยู่ในระหว่างมีประจำเดือน ตั้งครรภ์หรือ ให้นมบุตร และไม่มีการคลอดบุตรหรือแท้งบุตรภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา การเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต -นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อเนื่อง ในเวลาปกติคืนก่อนวันบริจาค -รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กเพิ่ม -รับประทานอาหารมื้อหลักก่อนมาบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เนื่องจากจะทำให้สีของพลาสมาผิดปกติเป็นสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้ได้ -ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว และเครื่องดื่มเหลวเพิ่ม เช่น น้ำผลไม้ นม น้ำหวาน เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตในร่างกาย จะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อน เช่น มึนงง อ่อนเพลีย หรือวิงเวียนศีรษะภายหลังบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน -งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนบริจาค -งดสูบบุหรี่ ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี ขณะบริจาคโลหิต -สวมใส่เสื้อผ้าที่แขนเสื้อไม่คับเกินไป สามารถดึงขึ้นเหนือข้อศอกได้อย่างน้อย 3 นิ้ว -เลือกแขนข้างที่เส้นโลหิตดำใหญ่ชัดเจน ที่สามารถให้โลหิตไหลลงถุงได้ดี ผิวหนังบริเวณที่จะให้เจาะ ไม่มีผื่นคัน หรือรอยเขียวช้ำ ถ้าแพ้ยาทาฆ่าเชื้อ เช่น แอลกอฮอล์ ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบล่วงหน้า -ทำตัวตามสบาย อย่ากลัว หรือวิตกกังวล -ไม่ควรเคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมลูกอมขณะบริจาคโลหิต -ขณะบริจาคควรบีบลูกยางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้โลหิตไหลได้สะดวก หากมีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น วิงเวียน มีอาการคล้ายจะเป็นลม อาการชา อาการเจ็บที่ผิดปกติ ต้องรีบแจ้งให้พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ในบริเวณนั้นทราบทันที -หลังบริจาคโลหิตเสร็จเรียบร้อย ห้ามลุกทันที ให้นอนพักสักครู่จนกระทั่งรู้สึกสบายดี จึงลุกไปดื่มน้ำ และรับประทานอาหารว่างที่จัดไว้รับรอง หลังบริจาคโลหิต -ดื่มน้ำมากกว่าปกติ เป็นเวลา 1-2 วัน -หลีกเลี่ยงการทำซาวน่า หรือออกกำลังกายที่ต้องเสียเหงื่อมากๆ งดใช้กำลังแขนข้างที่เจาะ รวมถึงการหิ้วของหนักๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ภายหลังการบริจาคโลหิต -ถ้ามีอาการเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลม หรือรู้สึกผิดปกติ ให้รีบนั่งก้มศีรษะต่ำระหว่างเข่า หรือนอนราบยกเท้าสูงจนกระทั่งมีอาการปกติจึงลุกขึ้น และเดินทางกลับ ป้องกันอุบัติเหตุจากการล้ม -ถ้ามีโลหิตซึมออกมาจากรอยผ้าปิดแผล อย่าตกใจ ให้ใช้นิ้วมืออีกด้านหนึ่งกดลงบนผ้าก๊อส กดให้แน่นและยกแขนสูงไว้ประมาณ 3-5 นาที หากยังไม่หยุดซึมให้กลับมายังสถานที่บริจาคโลหิตเพื่อพบแพทย์หรือพยาบาล -ผู้บริจาคโลหิตที่ทำงานปีนป่ายที่สูง หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล ควรหยุดพัก 1 วัน -รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กที่ได้รับวันละอย่างน้อย 1 เม็ด จนหมด เพื่อป้องกันการขาดธาตุเหล็ก หัวข้อ: Re: ข้อดีของการไปบริจาคเลือด เริ่มหัวข้อโดย: wondermay ที่ 16 พฤศจิกายน 2555 02:35:23 >คือเรื่องจริง ที่เกิดขึ้นจริง ๆ >เป็นผลมาจากการบริจาคโลหิตโดยแท้ !! > >รุ่นพี่ของผมคนหนึ่ง อายุประมาณ 35 ปี ทำงานอยู่ที่ ทีพีไอ สำนักงานใหญ่ > ซึ่งบริษัทมีสวัสดิการให้พนักงานตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี >ผลการตรวจล่าสุดเมื่อปลายปีที่แล้ว >ปรากฎว่าพี่เค้าเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว >ซึ่งคุณหมอก็งงเหมือนกัน เพราะเกือบทั้งหมดของคนที่เป็นโรคนี้ >มักเป็นมาแต่กำเนิดหลังทราบผล พี่เค้าก็ไปปรึกษาคุณหมอ สรุปว่า >ทางเดียวที่จะรอดได้ก็ต้องผ่าตัด >เพื่อดูว่าสามารถซ่อมลิ้นหัวใจได้หรือไม่ >ถ้าไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนใหม่ > >หลังจากปรึกษาที่รพ.เซ็นหลุยส์ >ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดประมาณ 3 – 4 แสนบาท >จึงลองไปปรึกษาที่รพ.จุฬาฯ ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 1 แสนกว่า ๆ >จึงตัดสินใจไปผ่าตัดที่รพ.จุฬา ฯ > >แต่ก่อนหน้านี้ >พี่เค้าบริจาคเลือดทุก ๆ 3 เดือนมาโดยตลอด >รวมทั้งหมดที่บริจาคก็ 49 ครั้ง >และพี่เค้าก็ได้รับคำแนะนำมาว่า ทางสภากาชาดจะช่วยเหลือในส่วนของ >ค่าห้องในการพักรักษาตัวได้ >จึงได้ไปขอจดหมายรับรองจากสภากาชาดไว้ >ว่าได้บริจาคเลือดจำนวนครั้งเท่านี้จริง > >อย่างน้อยก็จะได้ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้บ้างพี่เค้าเพิ่งได้รับการผ่าตัดเรียบร้อ > ย >เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 48 นี้เอง >วันที่ออกจากรพ. ก็ต้องไปเคลียร์ค่าใช้จ่าย >ซึ่งทั้งหมดเป็นเงิน 110,000 บาทแต่พี่เค้าต้องจ่ายจริง >คือค่ายาเพียง 9,800 บาทเท่านั้น >เพราะสรุปว่าสภากาชาดออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ > >เจ้าหน้าที่ของรพ.แจ้งว่า >ได้รับสิทธิ์เหมือนกับข้าราชการคนหนึ่ง >ส่วนของค่ายาที่ต้องจ่ายเองนั้นเพราะเป็นยาบัญชีประเภทสอง >ซึ่งถึงจะเป็นข้าราชการก็ต้องจ่ายส่วนนี้เองเหมือนกัน >เจ้าหน้าที่ยังแนะนำอีกว่า เพียงแค่คุณบริจาคเลือด >กับสภากาชาดอย่างน้อย 24 ครั้ง >คุณก็จะได้รับสิทธิประโยชน์นี้เหมือนเหมือนกับข้าราชการคนหนึ่ง > >นี่ถือเป็นโชค 2 ชั้นเลยนะ ได้บุญจากการบริจาคเลือดแล้ว >ยังเหมือนได้ประกันแถมมาอีก >ถ้าใครมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงดี ก็พยายามไปบริจาคเลือดไว้นะ >แต่ขอย้ำว่านับเฉพาะที่บริจาคไว้กับ >สภากาชาดเท่านั้นนะ หัวข้อ: Re: ข้อดีของการไปบริจาคเลือด เริ่มหัวข้อโดย: wondermay ที่ 16 พฤศจิกายน 2555 02:40:19 "บริจาคเลือดครบ 36 ครั้ง" เข้ารับประทานเข็มจากพระองค์เจ้าโสมสวลี!!! มีท่านหนึ่งในบล๊อคโอเคเนชั่น ได้มีโอกาสเข้าพิธีประทานเข็มที่ระลึกผู้บริจาคโลหิต ของศูนย์บริการโลหิต สภากาชาดไทย สำหรับผู้บริจาคครั้งที่ 36 และครั้งที่ 108 ได้รับประทานจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ (http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201201/19/654efbc.jpg) ไปลงทะเบียนเข้าร่วมพิธีแล้วได้โบแดงติดหมายเลขสำหรับผู้บริจาคครบ 36 ครั้ง ได้ลำดับที่ 750 ซึ่งวันนั้นมีผู้บริจาคครบ 36 ครั้งเข้ารับประทานเข็ม 1,283 คน (http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201201/19/6548408.jpg)(http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201201/19/654fde1.jpg) เมื่อลงทะเบียนก็ได้ใบประกาศนียบัตรนี้มาเลย เข็มที่ระลึก 36 ครั้ง รับประทานจากพระหัตถ์พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เมื่อลงทะเบียนได้รับคูปองอาหารนี้ด้วย เป็นข้าวกล่อง มีข้าวสวย 1 ถุง ไข่พะโล้ 1 ถุง และผัดพริกปลาอีก 1 ถุง http://www.oknation.net/blog/twin/2012/01/19/entry-1 |