๔. อโหสิกรรม เป็นกรรมที่ไม่มีโอกาสจะให้ผล เพราะไม่มีช่องที่จะเข้าให้ผลได้ เลยหมดโอกาสสิ้นอำนาจสลายไป ในฝ่ายอกุศลกรรมเช่น พระองคุลีมาลเถระได้หลงกลของอาจารย์ เพราะความโลภในมนต์ ได้ฆ่าคนจำนวนถึงพันเพื่อจะนำไปขึ้นครูเรียนมนต์ พระทศพลทรงเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตผลมีอยู่ ทรงเกรงว่าจะฆ่ามารดา แล้วจะทำลายอุปนิสัยแห่งอรหัตผล จึงรีบเสด็จไปโปรด ทรงแสดงทูเรปาฏิหาริย์และตรัสพระวาจาเพียงว่า “หยุดแล้ว คือทรงหยุดทำบาปแล้ว ส่วนท่านซิยังไม่หยุดทำบาป” ท่านเกิดรู้สึกตัว เข้าเฝ้าขอบรรพชาอุปสมบท ทรงประทานอุปสมบทแล้วพาไปฝึกฝนอบรมจนได้บรรลุพระอรหัตผล สิ้นภพสิ้นชาติ กรรมบาปซึ่งมีอำนาจจะให้ผลไปในชาติหน้าหลายแสนกัลป์ก็เลยหมดโอกาส ให้ผลเพียงเล็กน้อยในชาตินี้ ส่วนฝ่ายกุศลกรรมไม่อาจหาตัวอย่างได้.
๕. ชนกกรรม เป็นกรรมที่สามารถแต่งกำเนิดได้ กำเนิดของสัตว์ในไตรโลก มี ๔ คือ
(๑) ชลาพุชะ เกิดจากน้ำสัมภวะของมารดาบิดาผสมกันเกิดเป็นสัตว์ในครรภ์ แล้วคลอดออกมาเป็นเด็ก แล้วค่อยเจริญเติบโตขึ้นโดยลำดับกาล ฝ่ายดีได้แก่กำเนิดมนุษย์ ฝ่ายไม่ดีได้แก่กำเนิดดิรัจฉานบางจำพวก.
(๒) อัณฑชะ เกิดเป็นฟองไข่ก่อนแล้วจึงเกิดเป็นตัวออกจากกะเปาะฟองไข่แล้วเจริญเติบโตโดยลำดับกาล ฝ่ายดีได้แก่กำเนิดดิรัจฉานมีฤทธิ์ เช่น นาค ครุฑ ประเภทอัณฑชะฝ่ายชั่วได้แก่กำเนิดดิรัจฉาน เช่น นกสามัญทั่วไป ฯลฯ.
(๓) สังเสทชะ เกิดจากสิ่งโสโครกเหงื่อไคล ฝ่ายดีเช่น นาคและครุฑ ประเภทสังเสทชะฝ่ายชั่วเช่น กิมิชาติ มีหนอนที่เกิดจากน้ำครำเป็นต้น และเรือด ไร หมัด เล็น ที่เกิดจากเหงื่อไคลหมักหมมเป็นต้น.
(๔) อุปปาติกะ เกิดผุดขึ้นเป็นวิญญูชนทีเดียว ฝ่ายดีเช่น เทพเจ้า ฝ่ายชั่วเช่น สัตว์นรกเปรต อสุรกาย กรรมดีแต่งกำเนิดดี กรรมชั่วแต่งกำเนิดชั่ว นี้เป็นกฎแห่งกรรมที่ตายตัว ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไป.
๖. อุปปัตถัมภกกรรม เป็นกรรมที่คอยสนับสนุนกรรมอื่นซึ่งเป็นฝ่ายเดียวกัน กรรมดีสนับสนุนกรรมดี กรรมชั่วสนับสนุนกรรมชั่ว เช่น กรรมดีแต่งกำเนิดดีแล้ว กรรมดีอื่นๆ ก็ตามมาอุดหนุนส่งเสริมให้ได้รับความสุขความเจริญยิ่งขึ้น กรรมชั่วแต่งกำเนิดทรามแล้ว กรรมชั่วอื่นๆ ก็ตามมาอุดหนุนส่งเสริมให้ได้รับทุกข์เดือดร้อนในกำเนิดนั้นยิ่งๆ ขึ้น หาตัวอย่างที่เป็นจริงมาแสดงไม่ได้.
๗. อุปปีฬกกรรม เป็นกรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับกรรมอื่นที่ต่างฝ่ายกับตน คอยเบียดเบียนทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามมีกำลังอ่อนลง ให้ผลไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เช่น กรรมดีแต่งกำเนิดเป็นมนุษย์แล้ว กรรมชั่วเข้ามาขัดขวางรอนอำนาจของกรรมดีนั้นลง ทำให้เป็นมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์ หรือขาดความสุขในความเป็นมนุษย์ที่ควรจะได้ไป ในฝ่ายชั่วก็นัยเดียวกัน เช่น กรรมชั่วแต่งกำเนิดทรามแล้ว กรรมดีเข้ามาขัด ถึงเป็นสัตว์ก็มีผู้เมตตากรุณาเลี้ยงดูมิให้ได้รับความลำบาก เป็นต้น.
๘. อุปฆาตกกรรม เป็นกรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับกรรมอื่น ที่ต่างฝ่ายกับตนเช่นข้อก่อน แต่มีกำลังแรงกว่า มิให้อำนวยผลสืบไป แล้วตนเข้าแทนที่ให้ผลเสียเอง ตัวอย่างในฝ่ายอกุศล เช่นกรรมดีแต่งกำเนิดเป็นมนุษย์มาแล้ว กรรมฝ่ายชั่วที่มีกำลังเข้าสังหาร เช่นไปทำกรรมร้ายแรงขึ้นในปัจจุบัน หรือกรรมชั่วร้ายแรงในอดีตตามมาทันเข้าให้ผลแทนที่ คนนั้นเสียความเป็นมนุษย์ไปในทันทีทันใด กลายร่างไปเป็นยักษ์หรือดิรัจฉานไปเลย หรือเพศเปลี่ยนไป เช่น เดิมเป็นบุรุษเพศกลายเป็นสตรีเพศไป ดังโสเรยยเศรษฐีบุตรฉะนั้น ในฝ่ายกุศล กรรมชั่วแต่งกำเนิดทรามแล้วกรรมดีเข้าสังหารกำลังของกรรมทรามนั้นให้สิ้นกระแสลง แล้วเข้าแทนที่ให้ผลเสียเอง เช่น เปรตได้รับส่วนบุญแล้วพ้นภาวะเปรต กลายเป็นเทวดาทันทีทันใด เป็นต้น.
๙. ครุกรรม เป็นกรรมที่หนักมาก สามารถให้ผลทันทีทันใด ฝ่ายกุศลได้แก่ฌานสมาบัติที่ท่านเรียกว่าอนันตริยกรรม ฝ่ายอกุศลได้แก่อนันตริยกรรม ๕ มีฆ่ามารดาบิดาเป็นต้น บุคคลจะทำกรรมชั่วมามากมายสักเพียงไรก็ตาม ถ้ารู้สึกสำนึกตัวแล้ว กลับตัวทำความดี มีความสามารถทำใจให้สงบเป็นสมาธิ และเป็นฌานสมาบัติได้แล้ว กรรมนี้จะแสดงผลเรื่อยๆ ไปตั้งแต่บัดนั้นจนกว่าจะสิ้นกระแสลง กรรมอื่นๆ จึงจะได้ช่องให้ผล บุคคลทำกรรมดีไว้มากมายแล้วสมควรจะได้มรรคผลขั้นใดขั้นหนึ่งในชาติปัจจุบัน แต่ไปเสวนะกับคนพาลเกิดประมาททำความชั่วร้ายแรงขึ้น เช่นฆ่าพระอรหันต์ ฆ่ามารดาบิดาเป็นต้น กรรมนี้จะเข้าให้ผลทันทีทันใด อุปนิสัยแห่งมรรคผลก็เป็นอันพับไป ต้องเสวยผลกรรมชั่วนั้นไปจนกว่าจะสิ้นกำลัง กรรมอื่นๆ จึงจะมีช่องให้ผลสืบไป.
๑๐. พหุลกรรม หรืออาจิณณกรรม เป็นกรรมที่ทำมาก ทำจนชินเป็นอาจิณ เป็นกรรมหนักรองครุกรรมลงมา สามารถให้ผลก่อนกรรมอื่นๆ ในเมื่อไม่มีครุกรรม เช่น บุคคลบำเพ็ญทานหรือรักษาศีล หรือเจริญภาวนา มีเมตตาภาวนาเป็นต้นเป็นอาจิณ แต่ไม่ถึงกับได้ฌานสมาบัติกรรมดีนี้จะเป็นปัจจัยมีกำลังในจิตอยู่เสมอ สามารถให้ผลสืบเนื่องไปนาน ถ้าบุคคลนั้นไม่ประมาทในชาติต่อๆ ไป ทำเพิ่มเติมเป็นอาจิณอยู่เรื่อยๆ กรรมดีก็จะให้ผลทวีและสืบเนื่องเรื่อยๆ ตัดโอกาสของกรรมอื่นๆ เสียได้ ในฝ่ายอกุศลก็นัยเดียวกัน เช่น พรานเนื้อหรือชาวประมงทำปาณาติบาตเป็นนิตย์ ถึงแม้ไม่หนักหนาเท่าครุกรรม แต่เพราะเป็นกรรมติดเนื่องกับสันดานมาก จึงสามารถอำนวยผลสืบเนื่องไป ไม่เปิดช่องให้กรรมอื่นมีโอกาสอำนวยผลได้ ท่านยกตัวอย่าง เช่น คนฆ่าโคขายเนื้อทุกวัน เวลาจะตายร้องอย่างโค พอสิ้นใจก็ไปนรกทันที คนฆ่าสุกรขายเป็นอาชีพ เวลาจะตายร้องอย่างสุกร พอขาดใจก็ไปนรกเช่นเดียวกัน.
๑๑. อาสันนกรรม เป็นกรรมที่ทำเวลาใกล้ตาย แม้จะมีกำลังเพลาก็ได้ช่องให้ผลก่อนกรรมอื่น ในเมื่อไม่มีครุกรรมและพหุลกรรม ตัวอย่างในฝ่ายดี เช่น พวกสำเภาแตกได้สมาทานศีลก่อนหน้ามรณะเพียงเล็กน้อย ตายแล้วได้ไปเกิดในสวรรค์ มีนามว่าสตุลลปายิกาเทวา ในฝ่ายอกุศลเช่น ภิกษุรูปหนึ่งในพระศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องอาบัติเพราะพรากภูตคาม คือทำใบตะไคร้น้ำขาด ประมาทว่าเป็นอาบัติเล็กน้อยไม่แสดงทันที ต่อมาไม่นานเกิดอาพาธพอใกล้มรณะก็นึกขึ้นได้ว่าตนมีอาบัติติดตัวจะแสดงก็หาภิกษุรับแสดงไม่ได้ เสียใจตายไป ได้ไปเกิดในกำเนิดนาค มาในพุทธกาลนี้ได้ฟังพระธรรมเทศนา และตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ ถ้ามิใช่เพราะอยู่ในกำเนิดดิรัจฉานแล้วจะบรรลุภูมิพระโสดาบันในครั้งฟังพระธรรมเทศนานั้นทีเดียว เพราะมีกุศลได้สั่งสมมามากพอสมควร ในคราวประพฤติพรหมจรรย์ในพระศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า อีกเรื่องพระนางมัลลิกาเทวี มเหสีของพระเจ้าปัสเสนทิโกศล เป็นคนมีศรัทธาในพระศาสนาของพระบรมศาสดา ต่อมาพลั้งพลาดในศีลธรรมเล็กน้อย พระสวามีต่อว่ากลับโกหกและหาอุบายลวง และด่าพระสวามีด้วย ต่อมามินานเกิดประชวร ทิวงคต ได้ไปสู่นรกถึง ๗ วัน จึงได้ไปสวรรค์ อาสันนกรรมสำคัญเช่นนี้ คนโบราณจึงนิยมให้พระไปให้ศีลคนป่วยหนัก หรือบอกพระอรหังให้บริกรรมเพื่อช่วยให้ได้ไปสู่สุคติบ้าง.
๑๒. กตัตตากรรม หรือกตัตตาวาปนกรรม เป็นกรรมที่เพลาที่สุด ทำด้วยเจตนาอ่อนๆแทบจะว่าไม่มีเจตนา เช่นการฆ่ามดแมลงของเด็กๆ ที่ทำด้วยความไม่เดียงสา ไม่รู้ว่าเป็นบาปกรรมทิพยอำนาจ ๑๔๖ในฝ่ายกุศลก็เช่นกัน เช่นเด็กๆ ที่ไม่เดียงสาแสดงคารวะต่อพระรัตนตรัยตามที่ผู้ใหญ่สอนให้ทำเด็กจะทำด้วยเจตนาอ่อนที่สุด จึงชื่อว่าสักว่าทำ ถ้าไม่มีกรรมอื่นให้ผลเลย กรรมชนิดนี้ก็จะให้ผลได้บ้าง แต่ไม่มากนัก มีทางจะเป็นอโหสิกรรมได้มากกว่าที่จะให้ผล เพราะกำลังเพลามาก.
เมื่อได้รู้จักประเภทกรรม ซึ่งมีลักษณะสามารถให้ผลต่างขณะต่างวาระต่างกรรมเช่นนี้แล้วแม้ได้เห็นสัตว์ได้ดีตกยากซึ่งเป็นไปในลักษณะสับปลับ เช่น ผู้ทำบาปในชาตินี้แล้วพอตายได้ไปเกิดในสวรรค์ หรือผู้ทำบุญในชาตินี้อยู่แท้ๆ แต่พอตายได้ไปสู่นรกเป็นต้น ก็จะไม่เข้าใจผิดไปตามความสับสนนั้น คงเห็นถูกรู้ถูกตามหลักวินิจฉัยกรรมอยู่เสมอไป จัดเป็นความรู้เห็นที่ถ่องแท้ได้.
อนึ่ง กรรมที่สัตว์ทำไว้ ย่อมให้ผลตามลักษณะต่างๆ กันดังต่อไปนี้
๑. กรรมคือการฆ่าสัตว์ ส่งผลให้ไปสู่อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ก็เป็นคนมีอายุน้อย ส่วนกรรมคือการไม่ฆ่าสัตว์ มีเมตตาปรานีในสรรพสัตว์ อำนวยผลให้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ก็เป็นคนมีอายุยืน.
๒. กรรมคือการเบียดเบียนสัตว์ ด้วยการตบตีขว้างปาแทงฟัน ส่งผลให้ไปสู่อบาย ทุคติวินิบาต นรก ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ก็เป็นคนอาพาธมาก ส่วนกรรมคือการไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยการตบตีขว้างปาแทงฟัน อำนวยผลให้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ก็เป็นคนมีอาพาธน้อย.
๓. กรรมคือความมักโกรธ มากด้วยความคับแค้น ถูกว่าเล็กน้อยก็โกรธพยาบาทปองร้ายแสดงความโกรธความดุร้ายความน้อยใจให้ปรากฏออก ส่งผลให้ไปสู่อบาย ทุคติ วินิบาต นรกครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ก็เป็นคนผิวทราม ส่วนกรรมคือคือไม่มักโกรธตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้วอำนวยผลให้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ก็เป็นคนผิวงามน่าเลื่อมใส คือเป็นคนผิวผุดผ่องเกลี้ยงเกลา.
๔. กรรมคือความมีใจริษยา อยากได้ เข้าไปขัดขวางในลาภสักการะ ความเคารพนับถือนบไหว้บูชาของคนอื่น ส่งผลให้ไปสู่อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ก็เป็นคนมีศักดาน้อย ส่วนกรรมคือความไม่มีใจริษยาอยากได้ ไม่ขัดขวางลาภสักการะ ความเคารพนับถือนบไหว้บูชาของผู้อื่น อำนวยผลให้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ก็เป็นคนมีศักดาใหญ่.
๕. กรรมคือการไม่ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยานพาหนะ ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่อาศัยหลับนอน เครื่องเกื้อกูลแก่แสงสว่างแก่สมณะหรือคนดี ส่งผลให้ไปสู่อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ก็เป็นคนมีโภคะน้อย ส่วนกรรมคือการให้วัตถุดังกล่าวนั้นแก่สมณะหรือคนดีอำนวยผลให้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ก็เป็นคนมีโภคะมาก.
๖. กรรมคือความกระด้างถือตัว ไม่ไหว้คนควรไหว้ ไม่ลุกรับคนควรลุกรับ ไม่ให้อาสนะแก่คนควรไหว้ ไม่หลีกทางแก่คนควรหลีก ไม่สักการะคนควรสักการะ ไม่เคารพคนควรเคารพ ไม่นับถือคนควรนับถือ ไม่บูชาคนควรบูชา ส่งผลให้ไปสู่อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ก็เป็นคนเกิดในตระกูลต่ำ ส่วนกรรมคือความไม่กระด้าง ไม่ถือตัวโดยนัยตรงกันข้ามจากที่กล่าวแล้วนั้น อำนวยผลให้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ก็เป็นคนเกิดในตระกูลสูง.
๗. กรรมคือการไม่เข้าหาศึกษาไต่ถามสมณพราหมณ์ ถึงกุศล-อกุศล สิ่งมีโทษ-ไม่มีโทษ สิ่งควรเสพ-ไม่ควรเสพ กรรมที่เป็นไปเพื่อทุกข์อันไม่เกื้อกูลตลอดกาลนาน และกรรมที่เป็นไปเพื่อสุขเกื้อกูลตลอดกาลนาน ส่งผลให้ไปสู่อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ก็เป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา ส่วนกรรมคือการเข้าหาศึกษาไต่ถามสมณพราหมณ์ถึงสิ่งต่างๆ ดังกล่าวมานั้นอำนวยผลให้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ครั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์ก็เป็นคนมีปัญญามาก.
เมื่อได้รู้ลักษณะกรรมแต่ละชนิดที่ให้ผลต่างๆ กันตามสมควรแก่กรรมนั้นๆ ดังนี้แล้ว เมื่อเห็นสัตว์เกิด ตาย ได้ดี ตกยาก ผิวงาม ผิวทราม ด้วยตาทิพย์อันบริสุทธิ์แล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า สัตว์เป็นไปตามกรรมของตนมั่นคงในหลักที่ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน เป็นผู้รับสนองผลกรรมที่ตนทำไว้กำเนิดแต่กรรม ผูกพันในกรรม พึ่งกรรมของตนเอง กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวหรือประณีตตามควรแก่กรรมนั้นๆ ดังนี้. ความรู้เห็นเกี่ยวกับสัตว์ถูกต้องกับความเป็นจริงนี้แล ท่านเรียกว่าจุตูปปาตญาณ ญาณชนิดนี้เป็นตัววิปัสสนา ที่รู้เห็นเหตุปัจจัยแห่งชีวะตามความเป็นจริง ทั้งมีพยานในการเกิดตายในสังสารวัฏอย่างดีด้วย ผู้มีญาณชนิดนี้ย่อมมั่นใจในการเวียนเกิดเวียนตายว่าเป็นจริง และย่อมรู้แน่ชัดว่ากรรมเป็นตัวปัจจัยให้สัตว์ได้ดีตกยากในระหว่างเกิดตายในสังสารวัฏนั้น จึงสามารถถอนความเห็นผิดในเรื่องสังสารวัฏ และเรื่องอำนาจของสิ่งที่บันดาลความสุขทุกข์แก่สรรพสัตว์ได้เด็ดขาด เมื่อวิปัสสนาญาณแก่กล้าสามารถเห็นเหตุปัจจัยของชีวะถูกต้องได้ ความมั่นใจเช่นนี้ชื่อว่าข้ามเหวแห่งความสงสัยเสียได้ วิปัสสนาญาณก็มีแต่จะเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป วิธีเจริญวิปัสสนาญาณจะได้กล่าวพิสดารในข้อว่าด้วยอาสวักขยญาณข้างหน้า วิธีการเจริญจุตูปปาตญาณมีนัยดังการเจริญทิพพจักขุญาณที่กล่าวมาแล้ว จึงเป็นอันหมดข้อความที่จะพึงกล่าวในบทนี้เพียงนี้.
จาก
http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/misc/ ทิพยอำนาจ-13.htm
ลงสำรองไว้ อีกที่
http://www.tairomdham.net/index.php/topic,11777.0.html