จิตตนคือสำนึกอาจารย์กำลังกำกับให้ลูกศิษย์ติดตัวอักษร
สำนึก อาจารย์บอกว่า
ไปซ้ายหน่อย พอลูกศิษย์ขยับไปซ้าย อาจารย์ก็ส่ายหน้าว่า
ไม่ดี ไม่ดี กลับเข้ามา พอลูกศิษย์ขยับกลับมาอาจารย์ก็บอกว่า
ไม่ถูก ขึ้นสูงหน่อย พอลูกศิษย์ขยับสูงขึ้นอาจารย์ก็ว่า ไม่ใช่ ไม่ใช่
ลงล่างหน่อย ขยับไปขยับมาจนดึงกระดาษขาดเป็นสองแผ่น
แยก
ตัวอักษรสำนึก เป็น
จิต ตน อาจารย์ดูแล้วรู้สึกพอใจ
โลกเราเปรียบเสมือนเมล็ดข้าวเม็ดหนึ่งเท่านั้น
ทำลายเนื้อหนังมังสาที่เกิดมา
หมื่นวิธีเพียงสดับเสียงคนลือ จะหาที่สงบใจได้อย่างไร
เรื่องเดิมโดยย่อวันหนึ่งเหว่ยชื่อ ถามอาจารย์ลิ่วจู่ ว่า ศิษย์เห็นคนเราพร่ำสวดมนต์ภาวนา ขอให้ได้ขึ้นสวรรค์ เรื่องนี้เป็นไปได้หรือไม่ ลิ่วจู่ตอบว่า คนมีสองประเภท แต่มรรควิธีไม่มีสอง คนโง่สวดมนต์หาทางรอดให้กับตนเอง แต่คนมีสำนึกนั้นบริสุทธิ์อยู่ที่ใจ คนบนโลกทำบาปสามารถสวดมนต์ขอขึ้นสวรรค์ คนบนสวรรค์ทำบาปจะสวดมนต์ขอไปที่ไหน คนโง่ไม่เข้าใจว่าความบริสุทธิ์อยู่ที่ใจ ได้แต่โทษสวรรค์โทษนรก คนมีปัญญาจึ่งรู้ว่าใจบริสุทธิ์นั้นคือแดนสวรรค์ ไม่ว่าอยู่โลกไหนก็พบแดนสงบ
โลกเรานี้ก็เปรียบเสมือนเมล็ดข้าวเม็ดหนึ่งเท่านั้น มีขอบเขตที่จำกัด ไม่มีความยิ่งใหญ่อะไรเลย ในเมื่อโลกเรานี้ยังไม่นับว่าใหญ่โตสักเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเนื้อหนังมังสาคนเรา ดังนั้นคนที่ยึดถือเอารูปกายภายนอกเป็นสรณะ จะโง่เขลาขาดสติสักเพียงใด ใยไม่รีบแสวงหาทางหลุดพ้น ทางพระกล่าวว่า ไม่ว่าหนทางพันหมื่นวิธีตั้งมากมาย ต่างเน้นหนักที่จิตใจเท่านั้น จึงจะพบหนทางหลุดพ้นได้ แต่หนทางทั้งหลายล้วนคงที่สภาพเดิม คนที่เดินบนหนทางต่างหากที่ไม่มั่นคง มักหลงไหลในสิ่งยั่วยวนข้างทาง อาลัยในสิ่งสนุกบนเส้นทาง หากว่าใจตนยังลุ่มหลงไม่สามารถอดกลั้นต่อสิ่งเหล่านี้ได้ จะแสวงหาดินแดนสงบได้ที่ไหนเล่า